Group Blog
All Blog
|
<<< "จะอยู่อย่างไรให้ชีวิตมีคุณค่า" >>>
แต่จะอยู่อย่างไรเล่า ให้ชีวิตมีคุณค่า ที่ว่าแบบนี้ไม่ได้หมายถึง การใช้ชีวิตไม่เป็นหลักแหล่ง หรือการปล่อยชีวิตให้เลื่อนลอยไป เหมือนคนไร้สติสัมปชัญญะ บางคนก็คิดว่า เกิดมาชาตินี้ มันจะเป็นอย่างไรก็ช่าง... เพราะชีวิตเป็นสิ่งที่ไม่แน่นอน.. มีความเปลี่ยนแปลงอยู่เสมอ... ความคิดแบบนั้นไม่ถูก จิตใจต่างหาก ที่เปลี่ยนแปลงไม่แน่นอน ชีวิตของเราจึงเปลี่ยนแปลงไปตาม เพราะฉะนั้นท่านทั้งหลาย ควรใช้ชีวิต อย่างมีสติ ไม่ประมาทในการดำเนินชีวิต...
หลวงพ่อเต๋ คงทอง
................................ หลวงพ่อเต๋ คงทอง ที่มา: ชมรมหลวงพ่อเต๋ หนังสืองานฉลองอายุ 80 ปี พ.ศ.2514 <<< "ฝึกสมาธิให้เหมือนชาวนาทำนา" >>>
เขาไม่รีบร้อน เขาหว่านกล้า ไถ คราด ปักดำ โดยลำดับ ไม่ข้ามขั้นตอน แล้วรอให้ต้นข้าวแก่" ถึงอย่างนั้น เขาก็ยังไม่เห็นเมล็ดไม่เห็นรวงเลย แต่เขาก็มีความเชื่อมั่นของเขาว่า "จะมีเมล็ดมีรวงวันหนึ่งข้างหน้าแน่ ๆ" "จะได้รับผลแน่นอน" เขาไม่ไปดึงต้นข้าวให้ออกรวงเอาตามใจชอบ ผู้ไปกระทำเช่นนั้นย่อมไร้ผลโดยแท้ "การฝึกสมาธิภาวนาก็เช่นเดียวกัน จะรีบร้อนข้ามขั้นตอนย่อมไม่ได้" ต้องตั้งจิตให้เลื่อมใสศรัทธาให้แน่วแน่ ว่าอันนี้ล่ะ เป็นคำบริกรรมที่จะทำให้จิตของเรา เป็นสมาธิได้แท้จริง จะถูกกับจริตนิสสัยของเราหรือไม่หนอ" คำบริกรรมอันนั้น "คนนั้นทำมันเป็นไปอย่างนั้นอย่างนี้ เราทำแล้วจิตไม่ตั้งมั่น" อย่างนี้ใช้ไม่ได้ .. "
หลวงปู่เทสก์ เทสรังสี .......................
"ฝึกสมาธิ โดยบริกรรมพุทโธ"
<<< "การฟังธรรมในครั้งพุทธกาล" >>>
ฟังแล้วก็ฝังลงที่จิต ไม่ได้ปล่อยให้เรี่ยราด หรือสักแต่ว่าฟังพอเป็นพิธี ตกมาสมัยทุกวันนี้ไม่ว่าใคร ๆ แม้เราผู้เป็นนักบวชอยู่ขณะนี้ การกระทำทุก ๆ อย่างก็ยังจะกลายเป็นพิธี ถ้าไม่ได้สนใจและมีความมุ่งมั่น ต่อความพ้นทุกข์อย่างเต็มที่แล้ว อาการทุกอย่างมันจะกลายเป็นพิธีโดยไม่รู้สึกตัว เช่น เดินจงกรม ก็พอเป็นพิธี ตามเวล่ำเวลาที่กำหนดไว้เท่านั้น แต่จิตกับสติจะสัมปยุตด้วยความเพียรหรือเปล่า ข้อนี้เป็นปัญหาที่น่าสงสัย เมื่อเป็นเช่นนี้ผลที่ปรากฏขึ้นมาให้เราได้รับ ก็จะกลายเป็นอื่นไปได้ เพราะเหตุใด เพราะทั้ง ๆ ที่เราว่าเราเดินจงกรม แต่จิตกลายเป็นอื่นไปนอกจากหลักธรรม เป็นผู้มีสติรับรู้ในประโยคความเพียรของตน เราจะกำหนดหรือพิจารณาในธรรมบทใด อาการใด ถ้าจิตและสติไม่ได้ติดต่อสืบเนื่องกันโดยลำดับ ในบทธรรมหรืออาการนั้น ๆ ปล่อยให้จิตเพ่นพ่านหรือเร่ร่อน ไปสู่สถานที่และอารมณ์ต่าง ๆ ตามอำนาจของสิ่งยั่วยวน นั่นแสดงว่ากระแสของใจ และใจไปสู่ความเป็นอื่นแล้ว ผลที่จะพึงได้รับก็ผิดจากความเป็นธรรม กลายเป็นอื่นไปได้ โดยถือเอาเพียงประโยคเบื้องต้นว่า เราทำความเพียรเท่านี้ เราอาจจะมีความเห็นผิด ไปตำหนิติโทษพระศาสนาว่า พระธรรมคำสั่งสอนของพระพุทธเจ้า ไม่เป็นนิยยานิกธรรม พอที่จะนำผู้ปฏิบัติธรรม ให้พ้นจากทุกข์ไปได้จริง สมกับที่พระองค์ตรัสไว้ว่า สวากขาตธรรมที่ตรัสไว้ชอบแล้ว แท้จริงทั้งวันทั้งคืนกระแสแห่งใจของเรา เอนเอียงไปสู่โลกตลอดเวลา... ........................................
พระธรรมเทศนา น้อมเอาธรรมมาเป็นครูสอนตน <<< "สงบด้วยปัญญา" >>>
ไม่ว่าจะรับรู้เสียงดัง รับรู้เหตุการณ์ต่าง ๆ ที่ไม่เป็นไปอย่างที่ควรจะเป็น แต่ใจก็สงบได้ ความสงบแบบนี้ต่างหากที่น่าสนใจ เพราะไม่ขึ้นกับสถานที่ ไม่ต้องไปอยู่ที่วัดหรือห้องแอร์ ไม่ต้องอยู่แต่ในบ้าน ถึงจะอยู่ข้างนอก หรืออยู่ในที่ทำงานก็สามารถสงบใจได้ อาตมาคิดว่าเราควรสนใจความสงบประเภทนี้ให้มาก อารมณ์จะเข้ามารบกวนจิตใจเราได้ ก็เพราะเราไม่มีสติรักษาใจเอาไว้ สติเปรียบเหมือนยามเฝ้าประตูเมือง... เพราะรู้ทันอารมณ์ที่เกิดขึ้น รู้ทันใจเมื่อกระเพื่อม ตอนที่ใจกระเพื่อมขึ้นคงไม่ค่อยเท่าใดนัก แต่ตอนที่ใจกระเพื่อมลงนี่เองที่เราไม่ค่อยชอบกัน ถ้าเรามีสติรู้ทัน ก็จะช่วยดึงจิตใจที่เคยแฟบลง ให้กลับมาเป็นปกติ ที่เคยกระเพื่อมให้กลับมานิ่ง ที่มีอารมณ์ เช่น ความโกรธ ความเศร้า มาครอบงำให้จมลงไปในอารมณ์เหล่านั้น ก็สามารถดึงจิตออกมาจากอารมณ์เหล่านั้นได้ ก็เพราะมีสิ่งมากระทบจิตใจ เช่น เสียงหรือการกระทำของคนอื่น อันที่จริงแล้ว หากใจเราไม่เปิดช่อง สิ่งเหล่านั้นก็ทำอะไรใจเราไม่ได้ ไม่มีอารมณ์ใดมาครอบงำใจเราได้ ไม่มีใครสร้างความทุกข์ หรือรบกวนความสงบของเราได้ ถ้าใจเราไม่ร่วมมือด้วย หากใจเรามี "สติ" เสียงดังแค่ไหนก็ทำอะไรเราไม่ได้ เสียงก็แค่มากระทบที่หู แล้วผ่านเลยไป สักแต่ว่าได้ยิน.
พระไพศาล วิสาโล <<< "อย่ามัวอ่านสรรพคุณยาจนลืมกินยา" >>>
ข้างนอกขวดเขาเขียนบอกสรรพคุณของยาไว้ว่า แก้โรคชนิดนั้นๆ ส่วนตัวยาแก้โรคนั้นอยู่ข้างในขวด ที่คนไข้มัวอ่านสรรพคุณของยาที่ติดไว้ข้างนอกขวด อ่านไปตั้งร้อยครั้งพันครั้ง คนไข้ผู้นั้นจะต้องตายเปล่า โดยไม่ได้รับประโยชน์จากตัวยานั้นเลย และเขาจะมาร้องตีโพยตีพายว่าหมอไม่ดี ยาไม่มีสรรพคุณ แก้โรคอะไรไม่ได้ เขาจึงเห็นว่ายาที่หมอให้ไว้ไม่มีประโยชน์อะไร ทั้งๆที่ตัวเองไม่เคยเปิดจุกขวดรินยาออกกินเลย เพราะมัวแต่ไปติดใจอ่านฉลากยา ซึ่งติดอยู่ข้างขวดเสียจนเพลิน แต่ถ้าหากเขาเชื่อหมอจะอ่านฉลากครั้งเดียว หรือไม่อ่านก็ได้ แต่ลงมือกินยาตามคำสั่งของหมอ ถ้าคนไข้เป็นน้อย เขาก็หายจากโรค แต่ถ้าหากเป็นมาก อาการของโรคก็จะทุเลาลง และถ้าหากกินบ่อยๆ โรคก็จะหายไปเอง ที่ต้องกินยามากและบ่อยครั้ง ก็เพราะโรคเรามันมาก เรื่องนี้เป็นธรรมดาเหลือเกิน ดังนั้นท่านผู้อ่านจงใช้สติปัญญา พิจารณาให้ละเอียดจริงๆ จึงจะเข้าใจดี... หลวงพ่อชา สุภทฺโท .........................
โอวาทธรรม |
tangkay
Rss Feed Smember ผู้ติดตามบล็อก : 55 คน [?] (‿✿) พออายุเลยเลขหกฉันยกเครื่อง มอบทุกเรื่องที่เคยรู้คู่ความเห็น มอบประสบการณ์ผ่านพบจบประเด็น ไม่ยากเย็นเรื่องความรู้ตามดูกัน ฉันคนเก่าเล่าความหลังยังจำได้ แต่ด้วยวัยที่เหลือน้อยค่อยสร้างสรร ยอมรับเรื่องเนตโซเชียลเรียนไม่ทัน อย่าโกรธฉันแค่สูงวัยแต่ใจจริง ด้วยอายุมากมายอยากได้เพื่อน หลากหลายเกลื่อนทุกวัยทั้งชายหญิง คุยทุกเรื่องแลกเปลี่ยนรู้คู่ความจริง หลากหลายสิ่งฉันไม่รู้ดูจากเธอ .... สิบปีผ่านไป....... อายุเข้าเลขเจ็ดไม่เผ็ดจี๊ด เคยเปรี้ยวปรี๊ดก็ต้องถอยคอยเติมหวาน ด้วยเคยเกริ่นบอกเล่ามาเนิ่นนาน ก็ยังพาลหมดแรงล้าพากายตรม ด้วยชีวิตผ่านมาพาเป็นสุข ยังสนุกกับการให้ใจสุขสม อยากบอกเล่ากล่าวอ้างบางอารมณ์ แม้คนชมจะร้องว้า....ไม่ว่ากัน ปัจจุบันเขียนน้อยค่อยเหินห่าง ระบบร่างเปลี่ยนแปลงเหมือนแกล้งฉัน เราคนแก่ตามแก้ไม่ค่อยทัน ยักแย่ยันค่อยศึกษาหาข้อมูล แต่ด้วยคิดถึงแฟนคลับกระชับมิตร จึงต้องคิดตามต่อไปไม่ให้สูญ ส่งความรู้คู่ธรรมะทวีคูณ เพื่อเพิ่มพูนให้รู้กันฉันสุขใจ Link |