ว่าด้วยเรื่องความดี






“ทำดีได้ดีมีที่ไหน ทำชั่วได้ดีมีถมไป”
ประโยคนี้ได้ยินกันบ่อย ๆ มักจะพูดแซวเล่นกันในหมู่เพื่อนฝูง
ตามประสาคนดี ๆ ชั่ว ๆ อย่างฉัน
แต่พอมานั่งพินิจพิจารณากันจริง ๆ แล้ว
มันก็อาจจะเป็นจริงอย่างที่เขาว่ากัน

วันนี้ฉันนึกครึ้มอะไรไม่รู้อยากเขียนเรื่องความดีสักหน่อย
ทั้ง ๆ ที่จริงฉันเองก็ไม่ใช่คนดีอะไรสักนิด
แต่จะว่าไม่มีดีเลยก็คงไม่ใช่
เพราะเราทุกคนต่างก็ล้วนเป็นมนุษย์สีเทาด้วยกันทั้งนั้น
เพราะไม่มีอะไรดีสุดขั้วและไม่ได้ชั่วสุดขีด
ฉันเป็นแค่เพียงมนุษย์สีเทาคนหนึ่งเหมือนอย่างที่ทุกคนเป็น
หากแตกต่างกันที่โทนสีหนักเบาที่ไม่เท่ากันของแต่ละคน
บางคนก็สีเทาขาว ๆ สว่าง
บางคนก็สีเทามืดสลัว ๆ
นั่นขึ้นอยู่กับศักยภาพของความเป็นมนุษย์ที่แต่ละคน
มีไม่เท่ากัน




สำหรับฉันแล้วฉันเชื่อในการทำความดี
เพราะความดีทำให้เกิดสุข
แต่หลายครั้งที่เราเป็นทุกข์
เราก็หลงลืมว่าจะต้องทำความดี
หลงลืมที่จะกลับมาดูแลจิตใจตัวเองให้เป็นสุข
บางครั้งบางชั่วขณะฉันเชื่อว่า
หลายคนมีภาพของเทวดากำลังถกเถียงอยู่กับเจ้าปีศาจอยู่ในหัว
แต่นั่นอยู่ที่เราเลือกว่าเราจะเข้าข้างเทวดาหรือปีศาจ
ถ้าเลือกที่จะเข้าข้างเทวดา
มันก็คงยากลำบากหน่อยกับการทำความดี
เผลอ ๆ อาจจะต้องเจ็บตัว หรือเจ็บใจกันบ้าง
แต่สุดท้ายแล้วก็จบลงที่รอยยิ้มและความอิ่มเอมใจ
แต่ถ้าหากเลือกข้างที่จะทำตามเจ้าปีศาจ
ภาพของเจ้าปีศาจที่กำลังหัวเราะเยาะเทวดาผู้น่าสงสาร
จะผลุดขึ้นอยู่ในสมอง
แต่สุดท้ายแล้วก็จบลงที่ความทุกข์หรือความเศร้า
พร้อมกับนั่งซึมด้วยความหงอยเหงา




นั่นแปลว่า
จิตใจของเรากำลังต่อสู้อยู่กับกิเลสอยู่ตลอดเวลา
อยู่ที่เราจะเอาชนะกิเลสนั้นได้หรือไม่ อย่างไร
และหนทางที่จะชนะกิเลสได้มีอยู่สิ่งเดียว
นั่นก็คือ “สติ”
สติที่หลายคนหลงลืมหลายครั้งไม่รู้ตัวว่ามีสติอยู่หรือเปล่า
ซึ่งหากไม่ได้รับการฝึกปฏิบัติให้เกิดสติจนเป็นนิสัย
ฉันเชื่อเหลือเกินว่า “สติ” จะเกิดขึ้นหลังจากเกิดทุกข์
(ทุกข์ไม่มา ปัญญาไม่เกิด)

หลายวันก่อนมีคนปรารภกับฉันว่า “เพราะคุณเป็นคนดี
ผมแพ้ความดีของคุณ”
ฉันไม่รู้ว่าประโยคนี้ผู้พูดมีเจตนาพูดให้ดูสวยหรู
หรือว่าให้ฉันเคลิบเคลิ้ม
และลุ่มหลงในความเป็นตัวตนของตัวเองหรือเปล่า
แต่มันก็น่าคิดตรงคำว่า “แพ้ความดี”
เพราะมันทำให้ฉันได้ตระหนักลงไปลึก ๆ ว่า
ความดีนี่แหละที่เป็นเกราะกำบังคุ้มภัยให้ตัวเอง
ความดีนี่แหละที่เป็นอาวุธสำคัญที่ไม่ทำให้กิเลสมาเข้าใกล้




เขียนมาจนถึงบรรทัดนี้
พลันคิดถึงหนังสือเรื่อง The Secret ที่พูดถึงกฎแห่งแรงดึงดูด
Law of Attraction
ที่กล่าวว่า
คนที่มีลักษณะเหมือนกันย่อมมีแรงดึงดูดเข้าหากัน
และนั่นก็แปลว่าคนดีย่อมดึงดูดคนดีเข้าหากัน
สุดท้ายนี้
ฉันคงไม่ต้องบอกแล้วใช่ไหมว่าเราควรใช้ชีวิตอยู่อย่างไร
เป็นอย่างไร
และคืออะไร
เป็นกำลังใจให้มนุษย์สีเทาทุกคน จงมีดวงจิตที่สว่างไสวในตัวเองค่ะ
ตีสองยี่สิบสองนาที
22 สิงหาคม 2551








Create Date : 22 สิงหาคม 2551
Last Update : 4 พฤศจิกายน 2551 19:00:38 น. 9 comments
Counter : 775 Pageviews.

 
เขียนต่อไปเรื่อย ๆ นะ อย่าหยุด
เพราะเทอ มีแรงดุงดูด

จะมาอ่านเรื่อย ๆ นะ

เบนซ์


โดย: ท้ายเบนซ์ IP: 58.147.23.72 วันที่: 22 สิงหาคม 2551 เวลา:5:42:50 น.  

 
คนที่มีลักษณะเหมือนกันย่อมมีแรงดึงดูดเข้าหากัน และนั่นก็แปลว่า คนดีย่อมดึงดูดคนดีเข้าหากัน
|
|
ชอบประโยคนี้ และ เห็นด้วยจ๊ะ

คิดๆ ดูแล้ว จิตใจคนเหมือนน้ำ เนอะ เปลี่ยนแปลงได้ตามภาชนะ




โดย: มาเฟียหัวใจง้องแง้ง วันที่: 22 สิงหาคม 2551 เวลา:11:15:01 น.  

 

Do all the good you can. By all the means you can. In all the ways you can. In all the places you can. At all the times you can. To all the people you can. As long as ever you can.

People will forget what you said, people will forget what you did, but people will never forget how you made them feel.

Keep Smiling


โดย: thai me up วันที่: 22 สิงหาคม 2551 เวลา:14:27:21 น.  

 
เป็นกำลังใจ
และส่งแรงใจมาให้น้องโบ
อิอิอิ นั่นแปลว่าเราเป็นคนดีใช่ไหม
เราเลยดึงดูดกันเสมอเลยน้อง
อย่านอนดึกนะจ๊ะ


โดย: อุ้มสี วันที่: 24 สิงหาคม 2551 เวลา:23:24:53 น.  

 
เขียนได้ดีค่ะ แวะมาทักทายค่ะ


โดย: maew_kk วันที่: 25 สิงหาคม 2551 เวลา:14:51:44 น.  

 

สวัสดีค่ะ
ฉันเองก็คิดว่าตัวฉันเองสีเทาขาวด่างๆค่ะ
เพราะฉันเองก็ไม่ได้ดีอะไรหนักหนา
ยังมี รักโลภโกรธหลงเหมือนคนทั่วๆไป
แต่ฉันเองก็พยายามทำในสิ่งที่ไม่เดือดร้อน หรือเป็นภัยต่อคนอื่น แค่นี้ก็คิดว่าดีพอแล้วคะ


โดย: ดอกหญ้าเมืองเลย วันที่: 26 สิงหาคม 2551 เวลา:5:05:03 น.  

 
ครูเคยบอกว่ามนุษย์ที่น่ากลัวที่สุดคือมนุษย์สีเทา ซึ่งจริงๆแล้วก็คือตัวเราเองนี่แหละ อันนี้เพิ่งเข้าใจ






แต่ถ้าให้เลือกขอเลือกเป็นมนุษย์สีเทา ที่มีดวงจิตสว่างไสว


โดย: พิม IP: 114.128.57.149 วันที่: 24 กันยายน 2551 เวลา:3:39:03 น.  

 
นั่นสินะ


โดย: มะลิ IP: 125.25.213.253 วันที่: 14 ตุลาคม 2551 เวลา:6:23:48 น.  

 
ขอบคุณมากนะคะ

ขอให้เจริญๆนะคะ


โดย: กระต่าย IP: 58.147.19.91 วันที่: 9 มกราคม 2552 เวลา:18:29:18 น.  

ชื่อ :
Comment :
  *ใช้ code html ตกแต่งข้อความได้เฉพาะสมาชิก
 

Stand by bowky
Location :
กรุงเทพฯ Thailand

[ดู Profile ทั้งหมด]

ฝากข้อความหลังไมค์
Rss Feed
Smember
ผู้ติดตามบล็อก : 1 คน [?]







ความเหงาคือความรู้สึก
เหมือนมีช่องว่าง
ที่ถมไม่เต็ม
ระหว่างตัวตนภายใน
ของเรา
กับสิ่งที่เราคิดว่า
เป็นตัวตนของคนอื่นๆ
มันไม่ได้ก่อรูปขึ้น
จากความไร้ญาติขาดมิตร
หากเกิดจากการพบปะ
ปฏิสัมพันธ์กับผู้คน
ที่เรารู้สึกแปลกแยก
ทางความรู้สึกนึกคิด
ต่างหาก



เวลาที่คุณอยากบอกใคร
สักคนว่าคุณชอบ
และเกลียดกลัวสิ่งไหน
หรืออยากทำอะไร
ในชีวิต
แล้วเขาไม่เข้าใจ
สิ่งที่คุณพูด
คุณจะอ้างว้างหนาวใจ
ขึ้นมาติดหมัด
ในแง่นี้
การถวิลหาความรัก
ก็คือ
การค้นหาทางออก
จากสถานการณ์ดังกล่าว




เราอยากมีใครสักคน
ที่คอยบอกว่า
ฉันเข้าใจว่า
คุณรู้สึกอย่างไร
ไม่ใช่เพราะ
คุณบอกออกมา
แต่ฉันเอง
ก็รู้สึกอย่างเดียวกัน
กับคุณ

การบรรจบอารมณ์
ความรู้สึกนี่แหละ
ที่ทำให้
เราเรียกเพื่อนสนิท
หรือคนรักว่า"คนรู้ใจ"



คนรู้ใจไม่ต้องรอ
ฟังคำอธิบายอันยืดยาว
ก็เข้าใจทุกอย่าง
ที่คุณอยากจะบอก
เพราะเขาเอง
ก็เคยผ่านประสบการณ์
ทางอารมณ์
แบบเดียวกันมาแล้ว
เมื่อมองจากมุมนี้

เราก็เข้าใจได้ทันทีว่า
เพราะเหตุใดมิตรภาพ
จึงถือเป็นความรัก
อีกสายพันธุ์หนึ่ง



จากความลับในความรัก
conditions of love
แปลโดย
จีระนันท์ พิตรปรีชา

Group Blog
 
<<
สิงหาคม 2551
 12
3456789
10111213141516
17181920212223
24252627282930
31 
 
22 สิงหาคม 2551
 
All Blogs
 
Friends' blogs
[Add Stand by bowky's blog to your web]
Links
 

 Pantip.com | PantipMarket.com | Pantown.com | © 2004 BlogGang.com allrights reserved.