ฝันที่เป็นจริงเกิดขึ้นตอนต้นปี...
ฝันที่เป็นจริงเกิดขึ้นตอนต้นปี...
ฉันจำได้ว่าเมื่อปีที่แล้วหรืออาจจะนานกว่านั้นเธอมักบ่นกับฉันว่าเธออยากไปเดินเล่นที่ถนนพระอาทิตย์ เธออยากไปกินโรตีมะตะบะ ร้านที่ฉันมักโฆษณาให้เธออยากไปชิมลิ้มลอง จนแล้วจนรอดวันสุดท้ายของปี ฉันส่งโปสการ์ดไปหาเธอ ใจความคร่าว ๆ ว่า ฉันรู้ว่าแกอยากไปถนนพระอาทิตย์... (จำอีกไม่ได้แล้ว ช่วยกลับไปพลิกข้างหลังโปสการ์ดดูให้หน่อยนะ) แต่เหตุการณ์มันเกิดขึ้นก่อนที่เธอจะได้รับโปสการ์ดของฉันซะอีก...ฉันได้ให้ของขวัญวันเกิดเธอเองกับมือ และฉันก็ได้พาเธอไปถนนพระอาทิตย์อย่างที่เธอต้องการ (สองต่อสอง) อิอิ
เธอโทรมานัดฉันว่าเราอาจจะได้เจอกันเย็นวันศุกร์หลังจากที่เธอเสร็จจากงาน แต่ฉันก็ทำใจไว้แล้วว่านัดครั้งแรกมันมักจะไม่เป็นตามนัดเสมอ เธอเลื่อนมานัดวันเสาร์ แต่เธอก็โทรมาบอกอีกว่าเธอขอเวลาเคลียร์งานก่อน จนฉันถอดใจแล้วว่าไม่ได้เจอกันแน่...เธอมักเป็นแบบนี้จนฉันชินและไม่รู้สึกอะไรกับการเลื่อนนัดหรือผิดนัดของเธอ (รู้ไว้ซะ) แต่สุดท้ายเธอก็ยืนยันว่าเราได้เจอกันวันอาทิตย์แน่ ๆ
ฉันนัดเธอที่สถานีรถไฟฟ้าศาลาแดง เพื่อที่จะเดินไปที่วัดแขกบนถนนสีลม วัดที่ฉันมักไปไหว้พระเป็นประจำทุกเดือนไม่เคยขาด (มีแต่จะเกิน) ฉันรู้เธอไม่เคยมา ดูเหมือนจะเป็นเรื่องแปลกด้วยซ้ำกับการเดินเข้ามาทำบุญไหว้พระตามศาสนาของพราหมณ์ ฮินดู แม้ว่าภายในวัดจะคลาคล่ำไปด้วยผู้คน แต่ฉันสัมผัสได้ว่าเธอดูอิ่มเอมกับการทำบุญ และรู้สึกถึงความสบายใจที่เกิดขึ้นกับเราสองคน (ทั้ง ๆ ที่ตอนนั้นหิวมากๆๆ) ฉันไม่รู้ว่าเธออธิษฐานอะไรไว้บ้าง แต่ก็การันตีได้เลยว่าชาติหน้าเราได้เจอกันอีกแน่ ๆ (เตรียมตัวไว้ให้ดี ฮ่าๆๆ)
หลังจากเสร็จพิธีการทำบุญ ได้บุญ ได้ความสบายใจเป็นที่เรียบร้อยแล้ว เราเดินกลับทางเดิมเรียบถนนสีลมเพื่อที่จะหาอะไรอร่อย ๆ กิน คิดได้ว่ามีร้านก๋วยเตี๋ยวอยู่แถวสถานีรถไฟฟ้า นั่นแหละเป้าหมาย แต่ขณะที่กำลังเดินไป กำลังลังเลอยู่ว่าจะข้ามถนนดีหรือว่าข้ามสะพานลอยดี พอดี๊ พอดี มีคนใจดีอยู่บริเวณทางม้าลายหันมายิ้มให้แล้วถามว่า จะข้ามถนนเหรอค่ะ เดี๋ยวข้ามไปส่ง ไอ้เราก็ยิ้มตอบพร้อมพยักหน้า แล้วก็ทำท่าทำทาง งง งง ใจหนึ่งก็คิดว่า เป็นรายการล้อกันเล่นมาถ่ายทำหรือเปล่า แต่คนใจดีก็พาเราข้ามถนนมาจนได้ รู้สึกเหมือนเราเป็นคนพิเศษที่มีคนคอยเปิดทางให้ข้าม มันเป็นสิ่งที่ดีสำหรับการเริ่มต้นปี และฉันก็เชื่อว่าคนใจดีที่ทำแบบนี้ก็มีความสุขด้วยเช่นกัน เราส่งยิ้มให้กันและกัน แค่รอยยิ้มของคนไม่รู้จัก แถมเป็นรอยยิ้มของการหยิบยื่นน้ำใจ และขอบคุณมันก็ทำให้มีค่าและมีความสุขมากเป็นกองแล้ว...อย่างนี้มั้งคะที่เค้าเรียกว่า ทำดีแล้วมีความสุข รู้แล้วก็ทำดีไว้เยอะ ๆ นะ
จากนั้นมื้อกลางวันของเรากลายเป็นก๋วยเตี๋ยวและก๋วยเตี๋ยว พร้อมกับการมอบของขวัญ ของฝากให้กันและกันเป็นธรรมเนียม...(ขอบใจนะ ฉันชอบกระเป๋าของแกมากเลยว่ะ) อิ่มหนำสำราญกับมื้อกลางวัน ฉันพาเธอนั่งรถไฟฟ้าลุยต่อ มุ่งหน้าไปที่ศูนย์หนังสือจุฬา เธอได้หนังสือตามเป้าหมาย ส่วนเป้าหมายฉันไม่ได้อยู่ในร้านหนังสือนี้ แต่อยู่อีกร้านข้างหน้า ทำธุระเสร็จสรรพจุ climax มันอยู่ตรงนี้ค่ะ
เรานั่งแท็กซี่ลุยต่อไปที่ถนนตอกข้าวสาร...เธอบอกว่าฉันเคยพาเธอมาแล้ว แต่ทำไมฉันจำไม่ได้หว่าว่าเมื่อไหร่ มันคงนานมากแล้วล่ะที่ฉันได้มากับเธอ ฉันเดินหาหนังสือภาษาอังกฤษมือสองดี ๆ สักเรื่อง (จำไม่ได้แล้วว่าเรื่องอะไร ถ้าอยากรู้จะมาบอกทีหลังนะค่ะ) ราคาด้านหลังติดไว้ 280 ต่อทีเดียวได้ในราคา 200 ถูกแสนถูก (ราคาคนไทยแบบนี้มั้งค่ะ) ได้หนังสือถูกใจหนึ่งเล่ม ฉันพาเธอเดินต่อไปอีกหน่อยจนถึงถนนพระอาทิตย์ จะว่าไปช่วงระยะเวลาจากมื้อกลางวันจนถึงตอกข้าวสารมันก็ห่างกันไม่กี่ชั่วโมง แต่รู้สึกได้ว่าท้องมันกำลังเรียกร้องให้ต้องไปกินโรตี มะตะบะ ร้านนั้น (ตรงข้ามป้อมพระสุเมรค่ะ)
คนแน่นเต็มร้าน ฉันสั่งเท่าที่อยากสั่ง สั่งแล้วสั่งอีก คงไม่ต้องบอกว่ากินไปเยอะขนาดไหน ฉันว่าเธอจำรสชาติอาหารมื้อนั้นได้ดี โอยย บรรยายไม่ถูก...ของอย่างงี้ไม่ลองไม่รู้ค่ะ เอาเป็นว่าช็อตนี้เราอิ่มเอมกับการกินโรตี มะตะบะมาก ๆ ยิ่งโรตีกล้วยราดช็อคโกแลตนะ...อย่าให้บอก (พิมพ์ไปอยากกินไป อิอิ)
หลังจากอิ่มหมีพลีมันกับอาหารมื้อใหญ่เรียบร้อยแล้ว ฉันพาเธอข้ามถนนไปยังสวนสันติ ฯ ฉันรู้เธอไม่เคยสัมผัสบรรยากาศแบบนี้หรอก ก็แหม..ริมเจ้าพระยา ลมเย็น ๆ มองออกไปตรงหน้าเป็นสะพานพระราม 8 มองขึ้นไปบนฟ้ามีดาวระยิบระยับให้ได้นับประปราย...เรานั่งลง สนทนากันตามประสา...แน่นอนประเด็นที่สนทนากันมันหนีไม่พ้นเรื่องการระลึกถึงความหลังในความสัมพันธ์ระหว่างเรา นับไปนับมา 9 ปีแล้วน๊าที่ได้รู้จักกัน (เป็นไปได้วุ้ย...) แล้วมันก็จะเป็นอย่างนี้ต่อไป .... ฉันจำไม่ได้ว่าเราได้คุยกันแบบนี้ครั้งสุดท้ายเมื่อไหร่ รู้แต่ว่าบรรยากาศคืนนั้นมันเป็นคืนที่พิเศษและโรแมนติคมากระหว่างฉันกับเธอ....(ว่าปะ ???)
ให้ตายเถอะ ฉันคิดถึงคำที่เธอเคยบอกฉันว่า นี่ถ้าเมิงเป็นผู้ชาย กรูจีบเมิงไปแล้วนะเนี่ย (ฮ่าๆๆๆ จำได้เปล่าว่าเคยลั่นวาจาเอาไว้) ฉันรู้ดีเธอก็เหงา ฉันเองก็เหงา เราต่างก็เหงา แต่โลกก็ไม่ยอมปล่อยให้เราเหงาเกินไป เพราะอย่างน้อยเราก็มีกันและกันมาตั้ง 9 ปี แล้วก็จะมีกันอย่างนี้ตลอดไป .... ฉันจำได้ว่าหลายครั้งที่ฉันมีปัญหาหรือท้อแท้ เรามักจะบอกกันเสมอว่า เมิงยังมีกรูเป็นเพื่อนนะเว๊ย ส่วนเวลาที่เธอมีปัญหาหรือท้อแท้ ฉันมักถามเธอว่า ให้ช่วยอะไรปะ.. และเธอก็มักจะตอบฉันว่า ไม่ต้องช่วยอะไรหรอก ช่วยเป็นเพื่อนกรูอย่างนี้ตลอดไปละกัน เหมือนมันจะเป็นคำพูดคำจาที่ฟังดูน้ำเน่า แต่มันก็จริงใจเกินกว่าจะอธิบายได้
ดีใจว่ะที่ได้เป็นเพื่อนแก ดีใจว่ะที่มีแกเป็นเพื่อน ฉันอยากจะบอกแกว่า แกเป็นเพื่อนฉันอีกคนที่เข้าใจโดยไม่ต้องพูดอะไร ... อ่านถึงตรงนี้อย่าพึ่งร้องไห้นะเว๊ย บล็อกหน้าที่แล้วฉันบอกรักแม่ไปแล้ว หน้านี้ฉันขอบอกรักแกนะเว๊ย ฉันรักแกว่ะ ฮ่าๆๆๆๆ (ไม่เคยทำแบบนี้มาก่อน อิอิ)
เอาเป็นว่าหน้านี้ฉันเขียนเพื่อแก เขียนให้แก คราวหน้าไม่ว่าจะเร็วหรือช้า ฉันพาแกไปอีก คงมีสักวันที่แกพร้อมจะแบกเป้เดินทางไปกับฉันอย่างที่แกเคยบ่นอยากไปมาตลอด...ฉันจะรอวันนั้นนะเว๊ย
รักแกวะ 11 มกราคม 2551 ตีสองห้านาที
Create Date : 11 มกราคม 2551 |
Last Update : 11 มกราคม 2551 2:09:03 น. |
|
5 comments
|
Counter : 620 Pageviews. |
|
|
|
โดย: arsenal19 IP: 202.139.223.18 วันที่: 11 มกราคม 2551 เวลา:22:31:22 น. |
|
|
|
โดย: พีช IP: 124.121.116.183 วันที่: 13 มกราคม 2551 เวลา:17:00:48 น. |
|
|
|
โดย: โบกี้ IP: 203.155.227.147 วันที่: 13 มกราคม 2551 เวลา:23:37:46 น. |
|
|
|
โดย: พีช IP: 124.121.115.18 วันที่: 19 มกราคม 2551 เวลา:13:54:26 น. |
|
|
|
โดย: พิม IP: 117.47.157.192 วันที่: 26 มกราคม 2551 เวลา:2:36:15 น. |
|
|
|
|
|
|
|
Location :
กรุงเทพฯ Thailand
[ดู Profile ทั้งหมด]
|
ฝากข้อความหลังไมค์
Rss Feed
Smember ผู้ติดตามบล็อก : 1 คน [?]
|
ความเหงาคือความรู้สึก เหมือนมีช่องว่าง ที่ถมไม่เต็ม ระหว่างตัวตนภายใน ของเรา กับสิ่งที่เราคิดว่า เป็นตัวตนของคนอื่นๆ มันไม่ได้ก่อรูปขึ้น จากความไร้ญาติขาดมิตร หากเกิดจากการพบปะ ปฏิสัมพันธ์กับผู้คน ที่เรารู้สึกแปลกแยก ทางความรู้สึกนึกคิด ต่างหาก
เวลาที่คุณอยากบอกใคร สักคนว่าคุณชอบ และเกลียดกลัวสิ่งไหน หรืออยากทำอะไร ในชีวิต แล้วเขาไม่เข้าใจ สิ่งที่คุณพูด คุณจะอ้างว้างหนาวใจ ขึ้นมาติดหมัด ในแง่นี้ การถวิลหาความรัก ก็คือ การค้นหาทางออก จากสถานการณ์ดังกล่าว
เราอยากมีใครสักคน ที่คอยบอกว่า ฉันเข้าใจว่า คุณรู้สึกอย่างไร ไม่ใช่เพราะ คุณบอกออกมา แต่ฉันเอง ก็รู้สึกอย่างเดียวกัน กับคุณ
การบรรจบอารมณ์ ความรู้สึกนี่แหละ ที่ทำให้ เราเรียกเพื่อนสนิท หรือคนรักว่า"คนรู้ใจ"
คนรู้ใจไม่ต้องรอ ฟังคำอธิบายอันยืดยาว ก็เข้าใจทุกอย่าง ที่คุณอยากจะบอก เพราะเขาเอง ก็เคยผ่านประสบการณ์ ทางอารมณ์ แบบเดียวกันมาแล้ว เมื่อมองจากมุมนี้
เราก็เข้าใจได้ทันทีว่า เพราะเหตุใดมิตรภาพ จึงถือเป็นความรัก อีกสายพันธุ์หนึ่ง
จากความลับในความรัก conditions of love แปลโดย จีระนันท์ พิตรปรีชา
|
|
|
|
|
|
| 1 | 2 | 3 | 4 | 5 |
6 | 7 | 8 | 9 | 10 | 11 | 12 |
13 | 14 | 15 | 16 | 17 | 18 | 19 |
20 | 21 | 22 | 23 | 24 | 25 | 26 |
27 | 28 | 29 | 30 | 31 | |
|
|
|
|
|
|
|
|
|
|
5555555555