เผือก อาหารทิพย์จากธรรมชาติ
ผมไม่แน่ใจว่า เผือกเคยถูกยกให้เป็นตัวแทนของความอุดมสมบูรณ์ทางอาหารของชาติใดหรือไม่ ผมรู้แต่เพียงว่าเผือกเป็นพืชพื้นเมืองของเอเชียตะวันออกเฉียงใต้มาแต่ยุคดึกดำบรรพ์ อาจเป็นอาหารหลักของคนแถวนี้ก่อนกินข้าวด้วยซ้ำ
ผมเกือบลืมไปแล้วว่าบ้านเราที่ดำเนินฯปลูกเผือกกันอย่างไร เมื่อเสร็จจากการเขียนบล็อกมันเทศ จึงนึกถึงเผือก หัวเผือกกับหัวมันจึงเป็นของคู่กัน หมดสมัยแล้วที่เผือกและมันเป็นสัญญาลักษณ์ของการไม่มีอะไรจะกิน พืชทั้งสองชนิดนี้น่าจะเป็นอาหารสำคัญของโลกในอนาตค
ตราบเท่าที่พลเมืองของโลกยังเพิ่มขึ้นในอัตราก้าวหน้าเดือนละ ๗ ล้านคน
ผมหลับตานึกถึงบริเวณที่ว่างใกล้ขนัดสวน จะมีพื้นที่รอบสวนปรับไว้สำหรับปลูกผักสวนครัว หรือใช้เพาะพันธุ์พืชอย่างต้นเผือก อนุบาลเผือกระยะเริ่มต้นด้วยขี้เถ้าแกลบ สีออกดำๆ หรืออาจเรียกว่าถ่านที่เผาจากแกลบเห็นจะไม่ผิดนัก เอาลูกเผือกเล็กๆที่เก็บพันธุ์ไว้จากการปลูกเมือปีกลาย การเก็บลูกเผือกให้ปลอดภัยจากนกหนู เห็นที่จะต้องเคลือบด้วยยาปราบศัตรูพืชอ่อนๆ สมัยนั้นเรียกว่ายา เซฟวิน ผงสีขาวๆ
การเพาะต้นเผือก จะฝังลูกเผือกเล็กๆในขี้เถ้าแกลบ แล้วคุมด้วยฟางข้าว ชาวบ้านแถวนั้นไม่ได้ปลูกข้าว แต่มีฟางข้าวใช้ได้ไม่ขาด ช่วงหน้าน้ำลด หรือย่างเข้าหน้าแล้ง จะมีเรือมาดบรรทุกฟางข้าว ฟางจะมากับเรือ มองไกลๆเหมือนแท่งสี่เหลี่ยมขนาดใหญ่สีเหลืออร่ามลอยไปตามคลอง เจ้าของสวนรายไหนพอใจ ต่อรองราคากันเรียบร้อยแล้วก็ขนฟางข้าวที่มัดเป็นท่อนๆขึ้นฝั่ง เมื่อหัวเผือกเริ่มแตกยอด มีรากอุกอุยแล้ว ก็ถึงเวลาแยกย้ายไปปลูก ที่ดำเนินฯ ไม่นิยมปลูกบนร่องสวนหรือที่แห้งๆ แต่จะปลูกข้างๆร่องติดชายน้ำ ยิ่งน้ำท่วนยิ่งดี แต่เมื่อแก่ได้ที่แล้ว จะปล่อยให้ขาดน้ำสักพัก แล้วจึงขุด
ด้วยเพราะน้ำท่าถึง จึงทำให้เผือกดำเนินฯหัวใหญ่มาก ใบใหญ่แทบจะปิดช้าง (ไม้) ทั้งตัวได้ทีเดียว หนอนที่มากัดกินใบเผือกจะมีขนาดนิ้วโป้งบ้าง นิ้วชี้บ้าง เอามือจับออกได้อย่างสบาย การจับตัวหนอนออกจากใบ ดูเหมือนจะเป็นวิธีที่นิยมกัน ไม่ต้องใช้ยาฆ่าแมลง เชื่อว่าเดี๋ยวนี้ก็ยังทำกันอยู่
ผมเข้าใจว่าเผือกหัวใหญ่ที่ดำเนินฯน่าจะเป็นพันธุ์เผือกหอม เมื่อเผือกเริ่มแก่ น่าจะราวๆ ๕-๖ เดือน ถึงเวลาที่ต้องขุดขึ้นมา การขุดเผือกจะใช้เครื่องมือเฉพาะของเขา เป็นเหล็กทั้งดุ้นคล้ายไม้พายหน้าตัดสั้นๆ มีความคม เพื่อใช้แทงดินข้างๆหัวเผือก มักจะแทงทีเดียวได้หัวเผือกขึ้นมาทั้งกระปิ
ที่น่าภูมิใจสำหรับผมคือ มีการบันทึกไว้เมื่อปี ๒๕๑๑ ว่า จังหวัดราชบุรีปลูกเผือกมากที่สุด และตรงกับช่วงเวลาที่ผมกำลังเล่าผ่านตัวหนังสืออยู่พอดี
นั่นแสดงถึงถิ่นที่อยู่แถวนี้มีห้วยหนองคลองบึงมากมายและมีดินดำน้ำชุ่ม ต้นเผือกจึงงอกงานอยู่ทั่วไป Taro เป็นชื่อภาษาอังกฤษของเผือก ชื่อวิทยาศาสตร์ว่า โคโลคาเซีย เอสคูเบนตา (แอล) ชอตต์ (Colocacia esculenta(L) Schott) มีมากกว่า ๒๐๐ พันธุ์ ในเมืองไทยเคยมีการรวบรวมไว้ได้ ๕๐ พันธุ์ หากจะแยกตามขนาดของหัวต่อต้น คงมีอยู่ ๔ ชนิด ได้แก่ เผือกหอมหัวใหญ่ เผือกเหลืองหัวเล็กลงมาหน่อย เผือกไหหลำหัวเล็ก และเผือกตาแดงคือมีหัวเล็กๆติดอยู่รอบหัวใหญ่เป็นกลุ่มจำนวนมาก แบ่งตามกลิ่นจะมี ๒ ประเภทคือ ชนิดหอม (ต้มแล้วมีกลิ่นหอม) และไม่หอม ถ้าแยกตามสีและเนื้อจะเป็น ๒ อย่างคือ เนื้อสีขาวหรือสีครีมอย่างหนึ่ง กับเนื้อสีขาวปนม่วงอีกอย่างหนึ่ง ปัจจุบัน แหล่งที่ปลูกเผือกกันเป็นล่ำเป็นสัน ได้แก่ จังหวัดเชียงใหม่ นครสวรรค์ พิษณุโลก นครราชสีมา สุรินทร์ สระบุรี อยุธยา สิงห์บุรี ปราจีนบุรี นครปฐม ประจวบคีรีขันธ์ ราชบุรี เผือกที่นิยมปลูกคือเผือกหอม ส่งขายต่างประเทศก็มาก ประเทศที่นำเข้าเผือกได้แก่ ออสเตรเลีย ฮ่องกง ญี่ปุ่น เนเธอร์แลนด์ และมาเลเซีย โลกแห่งอาหารของคนไทยถูกคุกคามหรืออย่างไรไม่ทราบ หรือว่าส่งออกกันหมด เดี๋ยวนี้ในตลาดสดจะหาซื้อหัวเผือกหัวมันเทศไม่ค่อยจะได้ ทั้งๆที่มีการปลูกกันมากพอสมควร แต่ไฉนมีแต่มัมฝรั่ง แครอท สาลี่ แอปเปิล พรุน ลูกพลับ องุ่น... หรือว่าโลกเปลี่ยน ค่านิยมก็เปลี่ยนตาม ? ตารางคุณค่าอาหารของเผือกในส่วนที่กินได้ ๑๐๐ กรัม
Create Date : 25 มีนาคม 2555 |
Last Update : 5 พฤษภาคม 2556 21:00:04 น. |
|
29 comments
|
Counter : 9410 Pageviews. |
|
|
ขอบคุณข้อมูล
มีความสุขกับวันหยุดนะคะ
โหวต Diarist