จรดพู่กันด้วยหัวใจ...วาดด้วยกตัญญุตา
รวม ๑๖ บทเพลงพระราชนิพนธ์ ในหลวง ร.๙
มีหนังสือดี ๆ มาอวดค่ะ ต้นเดือนที่แล้วร้านหนังสือเจ้าประจำบอกข่าวว่านิตยสารแพรวจะออกหนังสือฉบับพิเศษเกี่ยวกับ ในหลวงรัชกาลที่ ๕ และ รัชกาลที่ ๙ แล้วจะวางแผงในวันปิยมหาราช เรารีบจองทันทีเลย รอไม่นานก็ได้หนังสือมา พอเห็นแล้วชอบและประทับใจสุด ๆ ออกแบบปก รูปเล่ม เนื้อหาในเล่มดีมากกกก ได้เห็นพระบรมฉายาลักษณ์ (ภาพถ่าย) และ พระบรมสาทิสลักษณ์ (ภาพวาด) ที่ทรงคุณค่าและหาชมยากหลายองค์ อยากสแกนภาพมาลงบล็อกแต่จนใจ เพราะหนังสือค่อนข้างหนา สแกนแล้วเห็นไม่เต็มภาพ มีแต่พระบรมสาทิสลักษณ์ในบทแรกที่สแกนได้ค่อนข้างชัด พระบรมสาทิสลักษณ์มีทั้งหมด ๑๐ องค์ วาดโดยศิลปินที่มีชื่อเสียงของประเทศ แต่ละองค์งดงามมาก ๆ อัญเชิญมาให้เพื่อน ๆ ชมกันค่ะ
แพรว ฉบับพิเศษ ตุลามหาราช ๒ ราชันสถิตนิจนิรันดร์ ปกอ่อน พิมพ์ ๕ สีด้วยเทคนิคพิเศษเมทิลไลท์ เนื้อในพิมพ์ ๔ สี จำนวนกว่า ๒๐๐ หน้า ราคา ๒๕๙ บาท เนื้อในพิมพ์สี่สี พิมพ์ด้วยกระดาษกระดาษอาร์ต รายได้ส่วนหนึ่งสมทบทุนซื้ออุปกรณ์การแพทย์โรงพยาบาลศิริราชและโรงพยาบาลจุฬาลงกรณ์ แพรว ฉบับพิเศษ ตุลามหาราช ๒ ราชันสถิตนิจนิรันดร์
ด้วยสำนึกในพระมหากรุณาธิคุณเป็นล้นพ้น นิตยสารแพรวจึงจัดทำฉบับพิเศษร้อยเรียงเรื่องราวคู่ขนานของสองมหาราช พระบาทสมเด็จพระจุลจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว รัชกาลที่ ๕ และ พระบาทสมเด็จพระปรมินทรมหาภูมิพลอดุลยเดชบรมนาถบพิตร รัชกาลที่ ๙ โดยได้นักประวัติศาสตร์ คุณไกรฤกษ์ นานา เป็นที่ปรึกษาทั้งเรื่องข้อมูลและภาพพิเศษหาชมได้ยาก ตุลามหาราช ๒ ราชันสถิตนิจนิรันดร์ จึงทรงคุณค่าสำหรับการเก็บสะสมและเป็นบันทึกเพื่อบอกเล่าให้คนรุ่นต่อ ๆ ไปได้รับรู้ถึงความยิ่งใหญ่ของพระมหากษัตริย์ไทยทั้งสองพระองค์
ที่สำคัญแพรวฉบับพิเศษนี้ยังรวบรวมพระบรมฉายาลักษณ์หาดูยาก ควรค่าแก่การเก็บรักษา และส่งมอบเป็นของขวัญแก่คนที่คุณรัก
ความจงรักภักดีและสำนักในพระมหากรุณาธิคุณอันหาที่สุดมิได้นี้จะสถิตอยู่ในใจไทยทั้งปวงตลอดกาล
ข้อมูลจาก naiin.com ศูยน์หนังสือม.เกษตร
|
"จำแขนขาด สู่ถิ่นกาขาว สู่ชาววิไล" ศิลปิน ศาสตราจารย์ปรีชา เถาทอง เทคนิค สีอะคริลิกบนผ้าใบ
จากคำทำนายในสมัยกรุงศรีอยุธยาได้กล่าวถึงแผ่นดินกรุงรัตนโกสินทร์ไว้ทุกรัชกาล แต่ที่ผมจำได้ขึ้นใจคือ ในรัชสมัยของ พระบาทสมเด็จพระจุลจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว เป็นยุคจำแขนขาด พระองค์ท่านต้องรักษาร่างกายไว้ แม้จะต้องเสียตรังกานู ไทรบุรี และปลิศ ให้อังกฤษ ดีกว่าเสียทั้งประเทศ ผมเทิดทูนและศรัทธาพระองค์ท่านมาก
ส่วนในรัชสมัยของ พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว รัชกาลที่ ๙ เป็นยุคถิ่นกาขาว หมายถึง โดยปกติกาจะสีดำ แต่เราไม่ภูมิใจในความดำของเรา จึงนำสีขาวมาย้อมตัว สะท้อนให้เห็นถึงคนไทยที่ไม่รู้จักรักษาวัฒนธรรมความเป็นไทย ตั้งแต่ทรงครองราชย์ พระองค์เสด็จพระราชดำเนินไปทั่วทุกภาคของประเทศ เพื่อค้นหาว่าคนไทยมีทุกข์อะไรบ้าง จึงเกิดโครงการในพระราชดำริ ๔,๐๐๐ กว่าโครงการเพื่อแก้ทุกข์ให้ประชาชน
ผมวาดภาพนี้ในคืน ๒๓ ตุลาคม พ.ศ. ๒๕๖๐ ก่อนได้รับการติดต่อจากนิตยสาร แพรว ผมเกิดความคิดว่า เดือนตุลาคมถือได้ว่าเป็นเดือนมหาวิปโยค เพราะพระมหากษัตริย์ทั้งสองพระองค์ที่คนไทยรักและเทิดทูนเสด็จสวรรคตในเดือนนี้ จึงเป็นเหตุปัจจัยทำให้ผมวาดภาพนี้ขึ้นมา
จะเห็นได้ว่าพระพักตร์ของทั้งสองพระองค์ชัดเจน แต่พระวรกายดูเลือนราง สื่อถึงพระองค์ท่านไม่ได้อยู่กับพวกเราแล้ว มีเพียงภาพลักษณ์พิมพ์ใจที่หลงเหลืออยู่
|
"กลางคืนทรงเป็นพระจันทร์ กลางวันทรงเป็นพระอาทิตย์ ศิลปิน อาจารย์ชูศักดิ์ วิษณุคำรณ เทคนิค สีอะคริลิกทองคำเปลวบนผ้าใบลินิน
ด้วยความระลึกถึงทั้งสองพระองคืที่ทรงอุทิศทั้งพระชนม์ชีพให้ประเทศไทย จึงตั้งใจสื่อพระพักตร์ออกมาในรูปแบบของเหรียญกษาปณ์ แสดงถึงความยิ่งใหญ่ เคารพเทิดทูน
ผมอย่ากให้คนไทยได้ทราบว่าทั้งสองพระองค์ทรงตั้งพระราชปณิธานเพื่อแผ่นดินไทยไว้อย่างไร แล้วทรงทำตามพระราชปณิธานนั้นจริง ๆ
พระบาทสมเด็จพระจุลจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว ทรงตั้งพระราชปณิธานเมื่อ ๑๐๐ กว่าปีที่แล้วว่า
"เราตั้งใจอธิษฐานว่า เราจะทำการอย่างเต็มกำลัง อย่างที่สุดที่จะให้กรุงสยามเป็นประเทศอันหนึ่ง ซึ่งมีอิสรภาพและความเจริญ" แล้ววันนี้ประเทศไทยก็มีอิสรภาพและความเจริญอย่างแท้จริง
ส่วน พระบาทสมเด็จพระปรมินทรมหาภูมิพลอดุลยเดช บรมนาถบพิตร เคยมีพระบรมราโชวาทครั้งหนึ่งว่า
"ให้คนดีได้ปกครองบ้านเมือง และควบคุมคนไม่ดีไม่ให้มีอำนาจ"
ภาพสะท้อนถึงตอนกลางวันและกลางคืน เพราะทั้งสองพระองค์ทรงดูแลประเทศไทยและราษฎรตลอดเวลา อีกทั้งพระอาทิตย์และพระจันทร์ไม่เคยห่างหายไปจากสายตามนุษย์ไม่ว่าจะอยู่ที่ไหน สื่อว่าทั้งสองพระองค์ก็ไม่เคยหายไปจากใจคนไทยเช่นกัน
|
พระคู่ฟ้า คู่แผ่นดิน" ศิลปิน อาจารย์ธีระวัฒน์ คะนะมะ เทคนิค สีอะคริลิกบนกระดาษ
เดือนตุลาคมถือได้ว่าเป็นเดือนแห่งความโศกเศร้าเสียใจของคนไทย ตั้งแต่เมื่อเราทราบข่าวการเสด็จสวรรคตของ พระบาทสมเด็จพระปรมินทรมหาภูมิพลอดุลยเดช บรมนาถบพิตร วันที่ ๑๓ ตุลาคน พ.ศ. ๒๕๕๘ จนถึงวันนี้พวกเราก็ยังไม่คลายความเศร้าและเสียใจ เช่นเดียวกับเมื่อครั้ง พระบาทสมเด็จพระจุลจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว เสด็จสวรรคตในวันที่ ๒๓ ตุลาคม พ.ศ. ๒๔๕๓ ทั้งสองพระองค์ทรงเป็นมิ่งขวัญและนำพาประเทศของเราให้เจริญรุดหน้านานาประเทศ ทำให้พสกนิกรระลึกถึงพระองค์่ท่านเสมอ
ผมจึงได้รับเกียรติจากนิตยสาร แพรว วาดภาพเพื่อระลึกถึงพระองค์่าน โดยเขียนรูปทั้งสองพระองค์ซ้อนกันอยู่ เพื่อสื่อให้รู้ว่าพระองค์ยังอยู่ในใจคนไทยเสมอ แม้เสด็จสวรรคตแล้วก็ตาม โดยล้อมรอบทั้งสองพระองค์ด้วยดวงประทีป แม้จะริบหรี่ลง แต่ยังคงส่องสว่างอยู่ตลอดเวลา ด้านหลังปล่อยเป็นพื้นขาวให้ดูสะอาด และตั้งใจให้สีที่วาดพระพักตร์ของทั้งสองพระองค์เป็นสีขาวดำ สีซีเปีย เพื่อให้ดูว่าเป็นภาพเก่า รางเลือน แต่ยังคงชัดเจนและแจ่มใสในใจของพวกเราคนไทยเสมอ
|
"ทวิปิยะองค์" ศิลปิน อาจารย์สุรเดช แก้วท่าไม้ เทคนิค สีอะคริลิกและทองบนผ้าใบ
ผมตั้งใจเขียนพระบรมสาทิสลักาณ์ทั้งสองพระองค์อยู่ในภาพเดียว คิดด้วยความเป็นเหตุเป็นผลในฐานะพสกนิกรของพระองค์ว่า อยากให้หลานอยู่กับปู่ที่รักและเป็นหลานรักของปู่ จึงเขียนภาพ พระบาทสมเด็จพระปรมินทรมหาภูมิพลอดุลยเดช บรมนาถบพิตร ขณะทรงพระเยาว์ ส่วนพระบรมสาทิสลักษณ์ของ พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว รัชกาลที่ ๕ ผมเลือกพระบรมฉายาลักษณ์ที่ทรงฉายพระรูปกับ พระบาทสมเด็จพระมงกุฎเกล้าเจ้าอยู่หัว โดยเปลี่ยนมาเป็น พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว รัชกาลที่ ๙ แทน ซึ่งเป็นพระบรมฉายาลักษณ์ขณะที่ สมเด็จพระเจ้าพี่นางเธอ เจ้าฟ้ากัลยาณิวัฒนา กรมหลวงนราธิวาสราชนครินทร์ ทรงกอดพระองค์อยู่ โดย พระบาทสมเด็จพระจ้าอยู่หัว รัชกาลที่ ๙ ทรงถือเรือจำลองแทนความเจริญรุ่งเรือง และได้มีการปรับเปลี่ยนแสงเงาให้มีความกลมกลืนมากยิ่งขื้น
สำหรับการจัดองค์ประกอบ มีการนำภาพดอกกุหลาบที่ พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว รัชกาลที่ ๙ ซึ่งเป็นสัญญลักษณ์ของความรักความผูกพัน และส่วนตัวผมชอบงานแบบอาร์ตนูโว จึงนำมาผสมผสานกัน โดยเขียนฉากหลังเป็นสีทอง แสดงถึงความศรัทธาที่มีต่อพระมหากษัตริย์ทั้งสองพระองค์
ผมอยากเป็นนักกวีหรือนักเขียนเก่ง ๆ ที่จะสรรหาถ้อยคำมาเทิดทูนพระองค์ท่าน สิ่งที่ผมสามารถทำได้ดีคือเขียนภาพในรูปแบบของตนเอง ซึ่งอาจไม่สมบูรณ์ที่สุด แต่ผมทำอย่างดีที่สุด เพราะ พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวทั้งสองพระองค์ทรงยิ่งใหญ่ในใจของคนไทยตลอดมาและตลอดไป
|
"ด้วยสายพระเนตรที่ทอดยาวไปสู่ลูหลานไทย" ศิลปิน อาจารย์ธนฤทธิ์ ทิพย์วารี เทคนิค สีน้ำมันบนผ้าลินิน
ผมวาดภาพนี้ในฐานะพสกนิกรไทยคนหนึ่งที่รู้สึกต่อทั้งสองพระองค์ ด้วยสองพระพักตร์ที่เชื่อมโยงไปในทางเดียวกัน และด้วยสายพระเนตรทอดไกลออกไปยังสิ่งเดียวกัน ในความหมายของผมคือ ทรงคิดถึงและทรงห่วงใยในความอยู่ดีกินดีของพสกนิกรของพระองค์เสมอ ซึ่งสิ่งที่พระองค์ท่านพระราชทานแก่พวกเราคือ เสรีภาพ ความพอเพียง ความสามัคคี ให้รู้จักใช้ความดีในการดำรงชีวิต
ภาพนี้ผมได้อิทธิพลมาจากอาร์ตนูโว ศิลปะที่นำการดีไซน์เข้ามาประกอบ คือถ้าดูห่าง ๆ จะเห็นถึงประกายพระบารมีของทั้งสองพระองค์เปรียบดั่งเทพ แต่พอเข้ามาดูใกล้ ๆ เราจะเข้าใจทันทีว่าพระองค์ท่านคือมนุษย์ แต่ทำไมทรงทำเพื่อประเทศได้มากมายขนาดนี้ ผมต้องการเสนอทั้งสองสาระนี้ไว้ในภาพเดียว
|
"สองพระองค์ทรงสถิตในดวงใจไทยนิรันดร์ ศิลปิน รองศาสตราจารย์ไพรวัลย์ ดาเกลี้ยง เทคนิค สีอะคริลิกบนผ้าลินิน
จุดเริ่มต้นผมคิดถึงความรัก เพราะคนจะดำรงชีวิตได้ด้วยความรัก ถือว่าเป็นสิ่งที่ยิ่งใหญ่ที่สุด ทำให้เกิดสิ่งดี ๆ ขึ้นมาในโลกนี้ ผมรู้สึกได้ว่าทั้งสองพระองค์เป็นพระโพธิสัตว์ ทรงเกิดมาช่วยเหลือประชาชนที่ทุกข์ยากลำบากให้อยู่อย่างร่มเย็นเป็นสุขโดยไม่เลือกที่รักมักที่ชัง
แม้ทั้งสองพระองค์จะเสด็จสวรรคตแล้ว แต่ความรักและความดีของพระองค์ยังคงอยู่ในจิตวิญญาณของเรา ผมจึงถ่ายทอดให้พระองค์อยู่ท่ามกลางดอกกุหลาบ แทนค่าความรักที่บริสุทธิ์และงดงาม
|
"สองพระมหากษัตริย์จอมทัพไทย" ศิลปิน อาจารย์กิตติ พลศักดิ์ขวา เทคนิค สีน้ำมันบนผ้าลินิน
ด้วยทั้งสองพระองค์ได้รับการถวายพระราชสมัญญาว่า "มหาราช" และทรงดำรงตำแหน่งจอมทัพไทย จึงอยากเขียนภาพทั้งสองพระองค์ในฉลองพระองค์เต็มยศ เนื่องจากทรงอยู่ในสองช่วงเวลาที่แตกต่างกัน โดย สมเด็จพระปิยมหาราช ประทับเบื้องหลัง หมายถึงช่วงเวลาที่ผ่านมาแล้ว และ พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว รัชกาลที่ ๙ ประทับเบื้องหน้า ด้วยภาพที่ทรงหันพระพักตร์ด้านข้าง ทำให้เขียนออกมายากมาก เพราะจะผลักระยะอย่างไรให้ดูลึกดูตื้น จะวาดอย่างไรได้รู้สึกได้ถึงพระบารมีและสมพระเกียรติทั้งสองพระองค์
เรียกได้ว่าเป็นภาพเหมือนที่รู้สึกได้ โดยให้ภาพอธิบายได้ด้วยตัวของภาพเอง เล่าผ่านพระราชอิริยาบทและพระเนตรของทั้งสองพระองค์
|
"มหาราชัน" ศิลปิน อาจารย์สุวิทย์ ใจป้อม เทคนิค สีน้ำมันบนผ้าใบ
คอนเซ็ปต์ของภาพนี้คือ ความแตกต่างที่ยิ่งใหญ่ในยุคสมัย พระบาทสมเด็จพระจุลจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว และ พระบาทสมเด็จพระปรมินทรมหาภูมิพลอดุลยเดช บรมนาถบพิตร แต่รวมอยู่ในภาพเดียวกัน เหมือนกับทั้งสองพระองค์กำลังทรงฉายพระรูปร่วมกัน
ทั้งสองพระองค์มีพระปรีชาสามารถที่แตกต่างกัน พระบาทสมเด็จพระจุลจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว ทรงบูรณาการให้ประเทศสยามเป็นที่รู้จักในต่างประเทศ ส่วน พระบาทสมเด็จพระปรมินทรมหาภูมิพลอดุลยเดช บรมนาถบพิตร ทรงงานโดยไม่รู้สึกท้อต่อความลำบาก เพื่อให้ประชาชนอยู่ดีกินดี ไม่รู้จะหาคำพูดใดบรรยายสิ่งที่ทั้งสองพระองค์ทรงทำให้ประเทศไทยได้ ผมในฐานะคนทำงานศิลปะ อยากเห็นภาพทั้งสองพระองค์อย่างนี้ และอยากตามรอยเบื้องพระยุคลบาทช่วยเหลือประเทศชาติ ผมจึงใช้วิธีของตนเองในการบันทึกภาพประวัติศาสตร์ให้คนไทยได้รำลึกถึงพระองค์ท่านตลอดเวลา
|
"สองมหาราชในดวงใจ" ศิลปิน อาจารย์ประทีป คชบัว เทคนิค สีน้ำมันบนผ้าใบ
พระบาทสมเด็จพระจุลจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว และ พระบาทสมเด็จพระปรมินทรมหาภูมิพลอดุลยเดช บรมนาถบพิตร ทรงเป็นพระมหากษัตริย์ที่ผมประทับใจ ผมเลือกว่าทั้งสองพระองค์ขณะมีพระชนมพรรษา ๒๐ พรรษาต้น ๆ เป็นช่วงวัยหนุ่มที่ทรงมีพลังและพระพักตร์เปล่งประกายงดงาม แต่เนื่องจากพระบรมฉายาลักษณ์ต้นฉบับของทั้งสองพระองค์เป็นขาวดำ ฉลอ พระองค์ก็เป็นสีขาวดำ จึงต้องแปลงน้ำหนักพระพักตร์ แปลงขาวดำเป็นสี อีกทั้งเรื่องของแสงเงา ซึ่งพระบรมฉายาลักษณ์ต้นฉบับแสงมาคนละด้านกัน จึงต้องพยายามกลบแสงและทำให้กลมกลืนที่สุด ถือว่าเป็นเรื่องที่ค่อนข้างยาก
สุดท้าย เพื่อความสมบูรณ์ของภาพ ผมได้วาดพระปรมาภิไธยย่อของทั้งสองพระองค์ "จปร" และ "ภปร" ไว้ด้านบนด้วย
|
"๒ รัชสมัย สถิตกลางใจ ตราบนิรันดร์" ศิลปิน อาจารย์วัชระ กล้าค้าขาย เทคนิค สีชอล์คบนกระดาษ
ผมจำลองความรู้สึกเหมือนเป็นช่วงเวลาที่มีวโรกาสครั้งสำคัญของพระองค์ท่าน อย่างการฉลองสิริราชสมบัติ ซึ่งจะมีการออกแบบเหรียญกษาปณ์ที่ระลึก โดยเป็นเหรียญทอง เปรียบว่าทั้งสองแผ่นดินเป็นยุคทองของประเทศไทย เพราะ พระบาทสมเด็จพระจุลจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว ทรงวางรากฐานของประเทศทั้งหมด ไม่ว่าจะเป็นการเมือง การปกครอง การศึกษา ส่วน พระบาทสมเด็จพระปรมินทรมหาภูมิพลอดุลยเดช บรมนาถบพิตร ทรงนำรากฐานที่พระอัยกาทรงทำไว้มาสานต่อในเรื่องความเป็นอยู่และปากท้องของประชาชน ผมวาดพระองค์่ท่านให้เห็นความต่างอย่างชัดเจนระหว่างพระอัยการและพระราชนัดดา
พระบรมฉายาลักษณ์ พระบาทสมเด็จพระจุลจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว ขณะเสด็จฯ เยือนต่างประเทศงดงามทั้งหมด จึงวาดพระองค์ท่านช่วงนั้น ส่วนพระพักตร์ พระบาทสมเด็จพระปรมินทรมหาภูมิพลอดุลยเดช บรมนาถบพิตร ทรงมีความเป็นอัตลักษณ์พิเศษไม่เหมือนใคร คนเขียนภาพจะทราบดี
|
ปกหลัง
บีจีจากคุณญามี่ กรอบจากคุณ Hawaii_Havaii และ คุณ KungHangGerman
Create Date : 18 พฤศจิกายน 2561 |
Last Update : 11 ตุลาคม 2562 19:42:52 น. |
|
0 comments
|
Counter : 3908 Pageviews. |
|
|
|
ผู้โหวตบล็อกนี้... |
คุณสองแผ่นดิน, คุณSweet_pills, คุณฟ้าใสวันใหม่, คุณหอมกร, คุณบาบิบูเบะ...แปลงกายเป็นบูริน, คุณสาวไกด์ใจซื่อ, คุณภาวิดา คนบ้านป่า, คุณtuk-tuk@korat, คุณกะว่าก๋า, คุณสันตะวาใบข้าว, คุณJinnyTent, คุณวลีลักษณา, คุณmastana, คุณอาจารย์สุวิมล, คุณTui Laksi, คุณtoor36, คุณmambymam, คุณสายหมอกและก้อนเมฆ, คุณที่เห็นและเป็นมา, คุณอุ้มสี, คุณเนินน้ำ, คุณThe Kop Civil, คุณมยุรธุชบูรพา, คุณชีริว, คุณmariabamboo, คุณตะลีกีปัส, คุณล้งเล้งลัลล้า, คุณก้นกะลา, คุณALDI, คุณผีเสื้อยิปซี, คุณInsignia_Museum, คุณkae+aoe, คุณจอมใจจอมมโน, คุณเริงฤดีนะ, คุณRinsa Yoyolive, คุณ**mp5**, คุณlovereason, คุณเกศสุริยง, คุณmoresaw, คุณไวน์กับสายน้ำ, คุณญามี่, คุณnewyorknurse |
|
|