happy memories
Group Blog
 
<<
มีนาคม 2556
 12
3456789
10111213141516
17181920212223
24252627282930
31 
 
22 มีนาคม 2556
 
All Blogs
 
มาตรา ๑๑๒ (๕)






บล็อกมาตรา ๑๑๒ (๑)
บล็อกมาตรา ๑๑๒ (๒)
บล็อกมาตรา ๑๑๒ (๓)
บล็อกมาตรา ๑๑๒ (๔)



สิทธิ-เสรีภาพในการ 'ตอบโจทย์'
เปลว สีเงิน


เรื่อง "ตอบโจทย์" นี่ สังเกตว่าจะเป็น "โจทย์" ที่มี "คำตอบ" หลากหลายจนสรุปเป็น "คำตอบสุดท้าย" ยังไม่ได้ ความจริง ทุกอย่างในโลกนี้ "ไม่มีทางตัน" ล้วนมีทางออก-ทางไปทั้งนั้น เพียงแต่ว่ามนุษย์ร่วมสังคมจะยอมรับและยึดถือร่วมกันหรือไม่เท่านั้น

นั่นคือหลัก "เหตุและผล" ผมก็อยากบอกว่า ทุกปัญหา...ล้วนมีเหตุปัจจัยเป็นแดนเกิด ฉะนั้น ถ้าต้องการแก้ปัญหา สิ่งแรกที่ต้องมีก่อน คือสติ จากนั้นค่อย ๆ ค้นหาปัจจัยอันเป็น "ตัวเหตุ" ที่ทำให้เกิดปัญหานั้นให้พบ แล้วก็...แก้ที่ตรงนั้น คือแก้ที่ตัวเหตุ!

อะไรล่ะคือเหตุในเรื่อง "ตอบโจทย์" ที่สร้างความคับข้องให้สังคมไทยขณะนี้?

ในกรณีนี้ ขั้นแรก คุณภิญโญ ไตรสุริยธรรมา ผู้จัด-ดำเนินรายการ และผู้เผยแพร่ คือสถานีโทรทัศน์ไทยพีบีเอส คือ "ตัวเหตุ" ของปัญหาที่เกิด

ส่วนอาจารย์สุลักษณ์ ศิวรักษ์ และอาจารย์สมศักดิ์ เจียมธีรสกุล เป็นเพียงผู้รับเชิญให้มาสนทนาในรายการเรื่อง "สถาบันพระมหากษัตริย์ภายใต้รัฐธรรมนูญ" ถ้าท่านพูดในที่ลับตรงนั้น ไทยพีบีเอสไม่นำเผยแพร่ในที่แจ้งทางจอ ปัญหาก็ไม่เกิด

เอาล่ะ...แล้วถามต่อ การยกประเด็นพระมหากษัตริย์มาสนทนา หรือมาวิพากษ์-วิจารณ์ "ผิดด้วยหรือ...ทำไม่ได้อย่างนั้นหรือ"?

คำตอบคือ ด้วยสิทธิเสรีภาพตามรัฐธรรมนูญ ภายใต้ระบอบประชาธิปไตย...ไม่ผิด และสามารถทำได้ นั่นคือ คุณภิญโญจะเชิญใครมาสนทนาในประเด็นนี้ ได้ทั้งนั้น และไทยพีบีเอสต้องการเผยแพร่ ก็สามารถทำได้ตามต้องการ

แต่การทำได้ด้วย "สิทธิเสรีภาพ" นั้น มีกรอบหรือไม่มีกรอบในการทำ หรือขึ้นชื่อว่าประชาธิปไตย ใครพอใจ-ไม่พอใจ แบบไหน อย่างไร สามารถทำได้ ไร้ขอบเขตจำกัด อย่างนั้นใช่ไหม?

คำตอบคือ...ไม่ใช่!

คำว่าสิทธิเสรีภาพตามระบอบประชาธิปไตยนั้น เหมือนท้องฟ้า-มหาสมุทร กว้างใหญ่ไร้ขอบเขต แต่ยอมรับกันเป็นสากลว่า ในความกว้างเหมือนไร้ขอบเขตนั้น จริง ๆ แล้ว ฟ้าก็มีขอบฟ้า มหาสมุทรก็มีขอบน้ำ!

ฉันใด ก็ฉันนั้น ทุกสิทธิเสรีภาพก็ย่อมมีกรอบ ด้วยหลักประชาธิปไตย เราไม่ชอบให้ใครมาละเมิดสิทธิเรา เช่นเดียวกัน เขาก็ไม่ต้องการให้เราไปละเมิดสิทธิเขา

นั่นคือ เมื่ออยู่รวมเป็นสังคม แต่ละสังคมจะร้อยรัดสิทธิเสรีภาพบนความเป็นมนุษย์ "ต่างจิต-ต่างใจ" ให้ไปในแนวไม่เป็นปฏิปักษ์ต่อกัน บนความคิดต่าง-เห็นต่าง พยายามให้เดินในเส้นทาง "เอาใจเขา-มาใส่ใจเรา" มากกว่า "ยึดแต่ตัวเรา-เอาแต่ใจเราเป็นที่ตั้ง"

เราเรียกสิ่งนั้นว่า วัฒนธรรมองค์กรบ้าง กฎ-กติกาบ้าง ระเบียบปฏิบัติบ้าง ในมหาวิทยาลัยก็มี ในวัดก็มี ในโรงเรียนก็มี ในรัฐสภาก็มี ในพรรคก็มี ในวิทยุ โทรทัศน์ หนังสือพิมพ์ก็มี กระทั่งโจร ก็ยังมีกฎ-กติกาที่เรียกว่า "ธรรมนูญโจร" ร้อยรัดความระยำให้ดูอารยะ

เห็นราง ๆ แล้วใช่ไหมว่า ตามปรัชญาประชาธิปไตย การใช้สิทธิ-เสรีภาพ ใช่ว่า ใครอยากทำอะไร-พูดอะไร ก็สามารถทำได้ตามใจชอบ กระทั่งตามมหาวิทยาลัยที่บางอาจารย์มักอ้าง "ความเปิดกว้างทางวิชาการ" แล้วใช้สถาบันเป็นกระดอง

ชูสิทธิ-เสรีภาพในการวิพากษ์-วิจารณ์ "พูดและทำ" ด้วยละเลยกฎ-กติกา-ระเบียบองค์กร ใช้สิทธิตัวเองไปล่วงล้ำก้ำเกินสิทธิผู้อื่นอย่างริยำ ทั้งที่ตัวเองเป็นผู้สอนทั้งกฎหมาย สอนทั้งประชาธิปไตย

สรุปประเด็น "สิทธิ-เสรีภาพ" ให้กระชับ

- ภาพใหญ่ เรามีรัฐธรรมนูญประเทศ ให้สิทธิเสรีภาพในการแสดงออกตามวิถีทางประชาธิปไตย

- ภาพย่อย เรามีธรรมนูญองค์กร ร้อยรัดเสรีภาพของสมาชิกแต่ละองค์กร เพื่อการใช้เสรีภาพของแต่ละคนอยู่ในกรอบ ไม่ล่วงล้ำก้ำเกินสิทธิเสรีภาพผู้อื่น

อาจมีคำถามต่อว่า อย่างองค์กรสถานีโทรทัศน์ไทยพีบีเอส มีกฎ-ระเบียบ-ทิศทางเป็นกรอบปฏิบัติสำหรับผู้ร่วมงาน และสำหรับเผยแพร่รายการข่าวสารสู่สาธารณะไหม?

คำตอบคือ ต้องมีอยู่แล้ว ยิ่งเป็นสถานีเกิดและอยู่ด้วยเงินหลวง นอกจาก กรอบ-กฎ-ระเบียบแล้ว ยังต้องมี "จิตใต้สำนึก" ควบคุมเนื้องานสู่สาธารณะมากกว่าสถานีโทรทัศน์ "ระบบเอกชน" ขึ้นไปอีกชั้นด้วยซ้ำ

ถ้าเช่นนั้น คุณภิญโญ ผู้จัดตอบโจทย์ และคนบริหารไทยพีบีเอส ผู้เผยแพร่ ใช้สิทธิเสรีภาพภายใต้กรอบกฎ-ระเบียบองค์กร "ด้วยจิตใต้สำนึก" หรือเปล่า?

จะด้วยหรือไม่ด้วย ใครเล่าจะหยั่งถึง "ความจริงในใจ" ของใครได้ แต่ผมสรุปว่า ทั้งคุณภิญโญและผู้บริหารไทยพีบีเอส ใช้สิทธิเสรีภาพและจิตใต้สำนึกในการทำหน้าที่สื่อ "ภายใต้กฎระเบียบองค์กร" ครบถ้วน

เมื่อครบถ้วน ก็มาดูกันต่อ กรอบใหญ่ของประชาธิปไตย มีสิทธิเสรีภาพในการพูด-การทำ แต่การพูด-การทำนั้น มีกรอบย่อยให้ยึดถือด้วย คือ กฎระเบียบของแต่ละองค์กร

ก็มาปรู๊ฟรายการตอบโจทย์ ในประเด็นวิพากษ์สถาบันพระมหากษัตริย์ทั้ง ๕ ตอน โดยเฉพาะ ๒ ตอนหลัง ที่ ส.ศิวรักษ์ กับสมศักดิ์ เจียมธีรสกุล สนทนาร่วมกัน โดยมีคุณภิญโญเป็นผู้ดำเนินรายการ ว่านั่น...เป็นไปตามกรอบใหญ่และกรอบย่อยของการใช้สิทธิเสรีภาพแล้วใช่ไหม?

อ่านคำแถลงคุณภิญโญหลังไทยพีบีเอสระงับการแพร่ภาพตอบโจทย์ตอนที่ ๕ ก็ชัดว่า คุณภิญโญเชื่อมั่นความถูกต้องในสิ่งที่ทำ ว่าทำด้วยสิทธิเสรีภาพของสื่อ เป็นไปตามกรอบใหญ่-กรอบย่อย

ผู้บริหารไทยพีบีเอสก็เช่นกัน หลังสะดุด "ด้วยไม่มั่นใจ" นำไปทบทวนอยู่วัน ก็นำเผยแพร่ต่อ ก็หมายความว่า ทบแล้ว ทวนแล้ว กลั่นแล้ว กรองแล้ว เห็นว่าถูกต้อง เป็นไปตามกรอบใหญ่-กรอบย่อยจึงนำเผยแพร่

ความจริง ไม่ใช่เฉพาะตอนที่ ๕ เป็นตอบโจทย์ทั้ง ๕ ตอน อันว่าด้วยเรื่องวิพากษ์สถาบันพระมหากษัตริย์ ล้วนจัดทำเป็นเทปล่วงหน้า ผู้บริหารไทยพีบีเอสต้องรู้แล้วว่า เชิญใครมาสนทนาบ้าง สนทนาว่าอย่างไรกันบ้าง

โดยเฉพาะคุณสมชัย สุวรรณบรรณ ผอ. เมื่อทราบว่าเชิญอาจารย์สมศักดิ์ อาจารย์ ส.ศิวรักษ์ ด้วยสัญชาตญาณพิเศษสื่อมืออาชีพ ต้องตรวจสอบถึงขั้นใช้ "จิตใต้สำนึก" ทั้งกลั่น-ทั้งกรอง แต่เมื่ออนุญาตเผยแพร่ทั้ง ๕ ตอน ก็แสดงว่า มั่นใจว่าถูกต้อง เป็นไปตามนโยบายและกรอบ-กติกาสถานี

เอาล่ะ...เมื่อว่าถูกต้อง แต่เมื่อมีปัญหาทางสังคมเกิดขึ้น ก็มาพิจารณาดูอีกชั้นว่า ความถูกต้องในการใช้สิทธิเสรีภาพของผู้จัดและผู้เผยแพร่ นั้น.....

๑.ประกอบด้วยความรับผิดชอบหรือไม่?

๒.เจตนาในการกระทำเป็นอย่างไร?

- ความรับผิดชอบ หมายถึง ผลที่ตามมาจากการกระทำนั้นทั้งทางสังคม และทางกฎหมาย
- เจตนาในการทำ หมายถึง ผลที่มุ่งหวังต่อการกระทำ โดยกรรมคือการกระทำนั่นแหละเป็นตัวบอกเจตนา

ทำไม...ในภาวะที่สังคมชาติมีปัญหาสำคัญเร่งด่วน ควรที่คุณภิญโญและไทยพีบีเอสต้องนำมาตอบโจทย์ก่อนมากมายมิใช่หรือ แต่ไม่นำมา กลับนำประเด็นสถาบันที่ไม่เป็นปัญหาสังคมคนส่วนใหญ่ แต่เป็นปัญหาเฉพาะคนจ้องล้มสถาบันขึ้นมา "ล่อเป้า"?

มันเป็นการใช้สิทธิเสรีภาพสื่อถูกต้อง...เพื่อใคร? ในการมุ่งเน้นหยิบประมวลกฎหมายอาญา มาตรา ๑๑๒ อันว่าด้วยความผิดต่อองค์พระมหากษัตริย์ขึ้นมาเป็นเชื้อสนทนาเพื่อการกัดเซาะ แถมเจาะจงเลือกตัวบุคคลที่มีปมเก็บกดเป็นทัศนคติต่อสถาบันมานั่งสนทนา

จะเห็นว่า ตอบโจทย์มี ๕ ตอน แต่เจาะจงให้ "สมศักดิ์ เจียม" ออกจอสนทนาทั้งเดี่ยว ทั้งคู่ ถึง ๓ ตอน ประเด็นนี้ถือเป็นองค์ประกอบในการพิจารณาถึงแง่ "เจตนาในการทำ" ด้วย!

นี่คือประเด็นสังคมชาติอยากให้คุณภิญโญและผู้บริหารไทยพีบีเอส "ตอบโจทย์" เท่าที่ผมรวบรวมได้

พูดกันแฟร์ ๆ ด้านสิทธิเสรีภาพนั้น ไปพลิกรัฐธรรมนูญดูเถอะ "พระมหากษัตริย์" แทบไม่มีสิทธิเสรีภาพอะไรเลย แค่สิทธิจะไปโน่น-มานี่ตามต้องการก็ยังไม่มี พวกเราทุกคนมีมากกว่าด้วยซ้ำ ใครมาด่าว่าเรา เราสามารถพิทักษ์สิทธิ-พิทักษ์เกียรติยศชื่อเสียง-วงศ์ตระกูล ด้วยการฟ้องร้องได้

แต่พระมหากษัตริย์ ไม่มีสิทธินั้นเลย จะฟ้องร้องใครก็ไม่ได้ จะไปตอบโต้ใครก็ไม่ได้ ตกเป็นฝ่าย "ถูกกระทำ" ต้องทนนิ่ง-ทนรับอย่างเดียว!

พระมหากษัตริย์ไม่เคยทำร้ายใคร มีแต่ถูกทำร้ายและถูกทำลายอยู่ฝ่ายเดียว มาตรา ๑๑๒ ก็หาใช่ว่าพระมหากษัตริย์ทรงเขียนขึ้นเอง ประชาธิปไตยนั่นแหละเขียนเป็นเกราะเล็ก ๆ น้อย ๆ พอเป็นพิธีให้สถาบัน แล้วจะยกมาพูดบิดเบือนให้มากมายใหญ่โตกันไปเพื่ออะไร?

ก็รู้นะ...เบื้องหลังเสรีภาพตามประชาธิปไตยปาก มันคือความจัญไรใจ โยกคลอนวันนี้ เพื่อรอจังหวะถอนใน ๑๐-๒๐ ปีวันหน้า ดูแล้วก็เวทนา....พวกสถุลไพร่-ใฝ่สูง.


จากคอลัมน์ "เปลว สีเงิน คนปลายซอย"
นสพ.ไทยโพสต์ ๒๒ มี.ค. ๒๕๕๖








สถาบันในยุค 'New World Order'
เปลว สีเงิน


ผมสงสาร "นายกฯ ยิ่งลักษณ์" ใจจะขาดรอน ๆ กับเสียงอ้อนระคนพ้อที่ลอยมาจากเมืองกีวี "ทำงานมากขนาดนี้ ยังมีข่าวจะเปลี่ยนตัวนายกรัฐมนตรี" ก็นั่นซีนะ...แต่ใครล่ะเปลี่ยนได้ ถ้าไม่ใช่อ้ายปี้ ที่ใกล้มรณสัญญาคนนั้น ก็ขอให้รับรู้ไว้อย่างหนึ่งนะ ถึงจะเปลี่ยนเป็น "ชินวัตร-เยาวภา" ใจถวิลหาของผม ยังหยุดนิ่งอยู่ที่ "ชินวัตร-ยิ่งลักษณ์" หนึ่งนี้...นารีเดียว!

เถอะ...แล้วกลับจากทริป "นิวซีแลนด์-ปาปัวนิวกินี" ถึงไทยวันไหน ผมคนหนึ่งละที่อยากไปคอยให้กำลังใจถึงสนามบิน และถ้าเป็นไปได้ ก็อยากต้อนรับแบบที่พวกเมารีเขาต้อนรับ ให้รู้ถึงความจริงใจ

เห็นบอกว่า ตำแหน่งนายกฯ ที่ได้ทุกวันนี้ เพราะได้รับความไว้วางใจจากประชาชนลงคะแนนเลือกตั้งเข้ามา และมาจากเสียงข้างมากตามระบอบประชาธิปไตย ที่พูดนี่ ถึงพูดแบบตีขลุม แต่ก็จะอนุโลม รู้ตัวเป็นนายกฯ ตามระบอบประชาธิปไตยก็ดีแล้ว

ฉะนั้น ก็ควรรู้ไว้ด้วยว่า คนเป็นนายกฯ ประชาธิปไตยเขาจะไม่หนีประชุมสภาฯ ไม่หนีตอบกระทู้ ไม่หนีอภิปราย และที่สำคัญ เขาจะไม่หลบ-ไม่หลีก-ไม่เลื่อน การแถลงผลงานรัฐบาลประจำปีต่อรัฐสภา

ไหนคุยว่า ทำงานมาก-ทำงานเก่ง แล้วหนีแถลงผลงานทำไม กลัวฝ่ายค้านจับแก้ผ้าโชว์ "ผลงานจริง" กลางรัฐสภาใช่มั้ย หนีจนจะเข้าปีที่ ๒ แต่ปีแรกยังแต่งศพไม่เสร็จ ก็จำไว้...ทีหน้า-ทีหลัง อ้างเป็นนายกฯ อะไรก็ได้ แต่อย่าอ้างเป็น "นายกฯ ประชาธิปไตย"

เพราะนายกฯ ประชาธิปไตย "มงกุฎเกียรติยศ" อยู่ที่การได้ลุกขึ้นยืนซดกลางสภาฯ ไม่ใช่การหนีไป ว.๕ ว.๖ กะใครที่ไหน ก็จำไว้...จะได้ไม่มีใครปล่อยข่าว "เปลี่ยนตัวนายกฯ" บ่อย ๆ!

วันนี้ ผมมีเรื่องเบา ๆ จากคุณ Hollland P. ฟอร์เวิร์ดมาให้อ่าน ก็จะให้ท่านอ่านต่อ อ่านเพื่อให้เกิดปัญญาคิด ไม่ใช่ให้อ่านเพื่อคลั่งพรั่งพรูคำด่าประชันเป็นปัญญาชาติ หลายท่านคงผ่านตาแล้ว แต่อ่านอีกจะได้ซึมเข้าเนื้อ

ประชาชนคือป้อมปราการสุดท้าย โดย ภุมรัตน์ ทักษาดิพงษ์
อดีตผู้อำนวยการ สำนักข่าวกรองแห่งชาติ

นับตั้งแต่ปี ๒๕๕๐ เป็นต้นมา การบ่อนทำลายสถาบันสูงสุดเกิดขึ้นมากผิดปกติ เปิดเผย ไม่เกรงกลัว กลุ่มต่อต้านกษัตริย์ไม่เพียงเคลื่อนไหวในประเทศเท่านั้น แต่ยังไปเคลื่อนไหวในต่างประเทศ โดยเฉพาะในสหรัฐ ด้วยการป้อนชุดข้อมูลที่ดูเหมือนจริง แต่เป็นความเท็จ

ส่วนหนึ่งเป็นผลงานของนักล็อบบี้จากสำนักงานกฎหมายที่มีชื่อเสียง และบริษัทประชาสัมพันธ์ที่ถูกใครบางคนจ้างไว้ ๓ บริษัท บริษัทละ ๑.๑ ล้านเหรียญสหรัฐต่อปี (ประมาณ ๓๐.๓ ล้านบาท) เพื่อไปล็อบบี้สมาชิกรัฐสภาและรัฐบาลอเมริกัน เพื่อผลทางการเมืองของตน

อย่างไรก็ดี ผลข้างเคียงที่เกิดขึ้นคือ เกิดกระแสต่อต้านสถาบันกษัตริย์ในหมู่นักการเมืองอเมริกันมากขึ้นอย่างที่ไม่เคยมีมาก่อน

ฝ่ายที่ต่อต้านสถาบันกษัตริย์ไทยในสหรัฐทวีความเข้มแข็งมากขึ้น มีการสร้างเว็บไซต์ในรูปแบบหลากหลาย เขียนบทความภาษาต่างๆ ซึ่งส่วนใหญ่มาจากข้อเขียนของคนอเมริกัน ๒ คน คนหนึ่ง คือ เจ.เค.แห่งคณะกรรมการวิเทศสัมพันธ์ (Council on Foreign Relations) อันทรงอิทธิพลในสหรัฐ ที่ เจ.เค.ได้เขียนบทความโจมตีสถาบันกษัตริย์ และยกย่องเชิดชูฝ่ายตรงข้ามกษัตริย์สลับกันมาหลายปีแล้ว

อีกคนหนึ่งคือ เอ.เอ็ม.เอ็ม. ที่ยอมรับว่าได้รับการว่าจ้างให้มาทำงานด้านนี้ และเป็นคนที่นำเอาคดีของโจ กอร์ดอน และอำพล ตั้งนพกุล หรือ "อากง" มาเขียนโจมตี ม.๑๑๒ เพื่อให้พาดพิงไปถึงพระมหากษัตริย์ไทย

ในความเป็นจริง คนพวกนี้ไม่ได้มีความรู้อะไรมากมาย แต่ได้รับข้อมูลจากนักประวัติศาสตร์ชาวไทย สายสาธารณรัฐที่คนไทยรู้จักดี

ในกลางปี ๒๕๕๖ นักล็อบบี้พวกนี้วางแผนผลักดันให้มีการอภิปรายเชิงวิชาการในที่ประชุมประจำปีของสมาคมเอเชียศึกษา (Association of Asian Studies) ซึ่งมีคนไทยที่ต่อต้านสถาบันกษัตริย์มีอิทธิพลอยู่

การอภิปรายดังกล่าวมีเป้าหมายมุ่งโจมตีสถาบันกษัตริย์ไทยเป็นการเฉพาะ รวมทั้งมีแผนตีพิมพ์หนังสืออีกเล่มหนึ่ง โดยสำนักพิมพ์มหาวิทยาลัยชั้นนำของสหรัฐที่ผู้เขียนอ้างหลักฐานจากห้องสมุดมหาวิทยาลัย รัฐสภาของสหรัฐ ที่ดูเผิน ๆ แล้วน่าเชื่อถือ หรือเลือกเฉพาะส่วนที่สนับสนุนความคิดของตน เพื่อหาทางทำลายความเชื่อถือพระมหากษัตริย์ไทยองค์ปัจจุบัน

ก่อนหน้านี้ เมื่อปี ๒๕๕๔ ในวาระครบ ๗ รอบ ๘๔ พรรษาของ "พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว" นักล็อบบี้อเมริกันได้ส่งชุดข้อมูลที่ปั้นแต่งขึ้นจนทำให้สมาชิกสภาหลงเชื่อได้ สภาผู้แทนราษฎรสหรัฐพยายามหลีกเลี่ยงไม่ส่งหนังสือถวายพระพรตามที่เคยปฏิบัติมา จนสภาสูงต้องส่งหนังสือถวายพระพรแทน

สะท้อนให้เห็นว่า นักล็อบบี้ยิสต์อเมริกันทำงานให้กับนายจ้างอย่างได้ผล ทำให้รัฐสภาชุดก่อนเข้าใจผิด และต่อต้านสถาบันกษัตริย์ไทยตกทอดมาถึงสภาใหม่ชุดที่ ๑๑๓ ในปัจจุบัน

ไม่เพียงแต่เท่านั้น สถาบันบางแห่งของสหรัฐ เช่น กองทุนแห่งชาติเพื่อประชาธิปไตย(National Endowment for Democracy) ยังจัดสรรเงินงบประมาณของรัฐ คิดเป็นเงินไทยกว่า ๑,๕๐๐ ล้านบาท และอีกโครงการเป็นเงิน ๒๐๐ - ๓๐๐ ล้านบาท ให้กับกลุ่มต่อต้านสถาบันกษัตริย์ ตามที่กลุ่มพวกนี้ร้องขอมา

โดยอ้างว่าเพื่อนำไปใช้ในการให้ความรู้ประชาชนในการพัฒนาประชาธิไตย แต่กลับนำไปสร้างสื่อและเว็บไซต์ ปลุกระดมโฆษณาชวนเชื่อให้คนไทยบางกลุ่มต่อต้านสถาบันสูงสุด

นักล็อบบี้เหล่านี้ได้สร้างข้อมูลขึ้นมาชุดหนึ่งหรือหลายชุด และไปเคลื่อนไหวชักจูง ชี้นำโน้มน้าวให้สมาชิกรัฐสภา และสถาบันอื่นของสหรัฐ เชื่อในวาทกรรมที่ว่า สถาบันสูงสุดเป็นอุปสรรคต่อการพัฒนาประชาธิปไตย, สถาบันทำลายสิทธิมนุษยชน

อ้างว่าปัญหาของเมืองไทยไม่ใช่เรื่องการเมือง แต่เป็นปัญหาการสืบราชสมบัติ เพื่อจะเสนอให้ใครบางคนเป็น "ทางออก" ของชาติ

พวกนี้พยายามป้อนข้อมูลให้รัฐสภาอเมริกันเชื่อว่า "สถาบันไม่สู้แล้ว" เพราะถ้าสถาบันไม่สู้ สหรัฐก็ไม่มีทางเป็นอื่น นอกจากจะยืนข้างฝ่ายที่อยู่ตรงข้ามสถาบัน และเป็นการส่งสัญญาณไปยังประเทศที่มีพระมหากษัตริย์ทรงเป็นประมุข เช่น อังกฤษ ญี่ปุ่น รวมทั้งจีน ที่สนับสนุนสถาบันสูงสุดตลอดมา

หากสหรัฐและประเทศเหล่านี้สรุปว่า ฝ่ายสถาบันแพ้แน่ สหรัฐและประเทศเหล่านี้ ซึ่งคิดถึงผลประโยชน์ของประเทศเขาเป็นสำคัญ ก็ต้องเข้าข้างฝ่ายชนะ

อย่างไรก็ดี ฝ่ายสถาบันส่งสัญญาณมาหลายครั้งแล้วว่า "ยังสู้" และ "ไม่ยอมแพ้" โดยเฉพาะวันเฉลิมพระชนมพรรษา ๕ ธ.ค.๒๕๕๕ ที่ประชาชนชาวไทยไปชุมนุมที่ลานพระบรมรูปอย่างมืดฟ้ามัวดิน เพื่อเข้าเฝ้าฯ ถวายพระพร สะท้อนให้เห็นว่าประชาชนพร้อมที่จะสู้เคียงข้าง

แต่ปรากฏ "แรงเฉื่อย" ในสถาบันทหาร ศาล และรัฐบาล จึงมีแต่ประชาชนเท่านั้นที่จะเป็นกำแพงป้องกันสถาบันสูงสุดของประเทศ ให้พ้นจากการคุกคามจากฝ่ายบ่อนทำลายในและนอกประเทศได้

รัฐบาลชุดก่อนเคยให้ทุนมหาวิทยาลัยดังในอเมริกา อาทิ คอร์แนล วิสคอนซิน เพนซิลเวเนีย ยูซีแอลเอ. จอห์น ฮอปกินส์ วอชิงตัน ดี.ซี. เพื่อสร้าง "ศูนย์ไทยศึกษา" และ "เพื่อนประเทศไทย" เพื่อให้เข้าใจสถาบันกษัตริย์ของไทย

แต่ปรากฏว่าศูนย์เหล่านี้ กลายเป็นกระบอกเสียงเผยแพร่การต่อต้านสถาบันสูงสุดไปหมด และอาจขยายเครือข่ายกว้างขวางมากขึ้น ไปยังออสเตรเลีย ญี่ปุ่น สหภาพยุโรป

ไทยถูกคุกคามด้วยสงครามยุคใหม่ ทั้งสงครามอสมมาตร (Asymmetric Warfare) เช่นการก่อความรุนแรงช่วงเดือน เม.ย. - พ.ค.๒๕๕๓ และสถานการณ์ความรุนแรงใน ๓ จังหวัดชายแดนภาคใต้ สงครามทุน และสงครามไซเบอร์

สงครามทั้งสามนี้มีศูนย์กลางอยู่ที่สหรัฐ แต่มีสนามรบอยู่ทั่วโลก ในไทย สหรัฐต้องการใช้สนามบินอู่ตะเภาเป็น Global Transpark ตอบสนองยุทธศาสตร์ของสหรัฐในภูมิภาคนี้ มีข่าวว่าสหรัฐได้ส่งทหารรับจ้างที่เป็นทหารผ่านศึกแบบแรมโบ้ ที่เรียกว่า "แบล็กวอเตอร์" ประมาณ ๕ - ๖ ชุดมาประจำอยู่ในไทย

โดยแต่ละคนได้รับค่าจ้างปีละ ๑.๑ ล้านเหรียญสหรัฐ เบี้ยเลี้ยงต่างหาก เพื่อใช้ในการปฏิบัติการลับ (Covert Action) ตามนโยบายของสหรัฐ อเมริกาถนัดในเรื่องพวกนี้มาก และประสบความสำเร็จในละตินอเมริกามาแล้ว

อันตรายที่เกิดขึ้นต่อสถาบันพระมหากษัตริย์นั้น เป็นเรื่องจริงและหนักหนา ชาติและสถาบันกำลังเสี่ยงอันตรายอย่างคาดไม่ถึง สิ่งที่เห็นทั้งในไทยและในต่างประเทศเป็นเพียง "ยอดภูเขาน้ำแข็ง" ที่โผล่เหนือน้ำเพียง ๑ ส่วน แต่อีก ๙ ส่วนอยู่ใต้น้ำ

บทความนี้ไม่ต้องการให้คนไทยไปต่อต้านสหรัฐ เพียงแต่ขอให้เพื่อนอย่าปล่อยให้คนมาทำร้ายประเทศชาติและราชบัลลังก์เท่านั้น

ปัญหาของประเทศไทยต้องแก้ด้วยคนไทยเป็นหลัก เราต้องช่วยกันเป็นปราการด่านสุดท้ายในการปกป้องชาติและราชบัลลังก์ให้ต่างชาติได้ตระหนักว่า "สถาบันสูงสุดยังสู้" และคนไทยพร้อมจะสู้เพื่อปกป้องสถาบันสำคัญยิ่งของชาติ.

จบครับ...ไม่พูดเพิ่มเติม แต่ให้ข้อสังเกตไว้นิด ๑ ใน ๒ อเมริกันที่รับจ้างเขียนใส่ร้ายสถาบันที่ชื่อ เจ.เค.แห่งคณะกรรมการวิเทศสัมพันธ์ (Council on Foreign Relations) นั้น

คือองค์กร CFR ที่สมาคมลับกลุ่มทุนยุโรป-สหรัฐก่อตั้ง เพื่อเคลื่อนไหวการเมืองโลกผ่านทาง เศรษฐกิจ-การเมือง-การปกครอง-การเงิน-การศาสนา-ปัญญาชนทุน ด้วยเป้าหมาย "New World Order = จัดระเบียบโลกใหม่"

คุณเปรมศักดิ์ จีระแพทย์ เคยเปิดเผยเรื่องนี้ไว้ ระเบียบโลกใหม่คือ ปรัชญาการปกครองที่มีหลักการย่อ ๆ ว่า

"โลกจะประสบสันติสุขปราศจากการทำสงครามแก่งแย่งทรัพยากรและประชากร รวมทั้งพ้นจากภาวะอดอยากขาดแคลนกันดารอาหาร ก็ด้วยการที่แต่ละประเทศจะต้องสละอำนาจอธิปไตยเอกราช แล้วยอมถูกลดสภาวะลงเป็นเพียงรัฐรัฐหนึ่ง โดยรวมกันเข้าอยู่ภายใต้รัฐบาลเพียงหนึ่งเดียวของโลก"

ทั้งเดโมแครต-รีพับลิกัน ทั้งแบงก์โลก ทั้งไอเอ็มเอฟ ทั้งสหประชาชาติ ทั้งซีไอเอ ทั้งธนาคารกลางสหรัฐที่พิมพ์ดอลลาร์ใช้เองทั้งวัน-ทั้งคืนขณะนี้ เป็นของขบวนการ CFR และใช้เป็นเครื่องมือสู่เป้าหมาย New World Order ทั้งสิ้น

ก็คงพอมองออกใช่มั้ย ด้วยเป้าหมายและด้วยผลประโยชน์ตรงกัน สหรัฐจึงสมาคมกับสถาบัน พร้อมหรี่ตาให้ระบอบทักษิณ ตีความคำตัดสินคดีปราสาทพระวิหารเดือนหน้า ก็คอยดูว่า "ศาลโลก" ใต้อาณัติ CFR จะออกมา "ซ้ำรอยประวัติศาสตร์"....ขนาดไหน?


จากคอลัมน์ "เปลว สีเงิน คนปลายซอย"
นสพ.ไทยโพสต์ ๒๓ มี.ค. ๒๕๕๖








"ประชาชนคือ ป้อมปราการสุดท้าย"
อัญชะลี ไพรีรัก


จนเมื่อหัวข้อสถาบันพระมหากษัตริย์ ถูกหยิบขึ้นมาพูดในรายการตอบโจทย์ ของ ไทยพีบีเอสโดยนายภิญโญ ไตรสุริยธรรมา ที่พา สมศักดื เจียมธีรสกุล ขึ้นจากใต้ดินมาสู่โลกสาธารณะครั้งแรก สังคมไทยก็ถึงจุดระเบิดและไม่ยอมอีกต่อไป

มีคนใกล้ชิดทักษิณ ชินวัตรเล่าว่า “ ทักษิณคิดและเชื่อเสมอว่า สถาบันสูงสุดนั้นล้าหลัง เหมือนระบบ อนาล๊อก และเขาคือระบบดิจิตอล”

เราจะเริ่มกันศุกร์นี้ด้วยเรื่องนี้ เพราะนึกไว้แล้วเชียวว่า กรณีตอบโจทย์ ตอนสถาบันพระมหากษัตริย์ ทางไทยพีบีเอส ต้องสั่นเสทือนสังคมไทยอย่างหนัก จนถึงวันนี้ ไม่มีอะไรที่จะเลวร้ายไปมากกว่านี้อีกแล้ว

ผลที่เกิดขึ้นกระทบไปถึงไทยพีบีเอสถูกบุก ผู้บริหารถูกบีบ พิธีกรลาออก สมศักดิ์ เจียมฯ ถูกถอนหงอก คนไทยทะเลาะกันแทบจะกินเลือดกินเนื้อกันได้ บ้านเมืองร้อนรุ่มไม่หมด ทหารก็ไล่คนคิดต่างออกไป ตำรวจก็เลิ่กลั่ก แต่รัฐบาลยิ่งลักษณ์กลับนิ่งเฉยไม่นำพา

ป่านนี้คนแดนไกลก็หัวเราะเยาะร่วนไปแล้ว ที่เห็นเพื่อนร่วมชาติทะเลาะกัน และสถาบันถูกบั่นทอนครั้งใหญ่เจียนทรุด!!! ซึ่งเวลานี้เกิดปรากฏการณ์วิจารณ์เจ้ากันเมามัน ไม่มีเหตุผล ไม่รู้เหนือรู้ใต้ ไม่รู้ใครเป็นใคร ไม่สนใจฟ้าสูงแผ่นดินต่ำ ไม่นำพาประวัติศาสตร์การต่อสู้สร้างบ้านแปงเมืองของบรรพชน ยินแต่คำว่า ดึงฟ้าต่ำ ทำหินแตก แยกสังคม

เรื่องนี้ต้องย้อนกลับไปสมัยทักษิณ ชินวัตรขึ้นครองเมืองใหม่ๆ เบื้องหลังของเขาล้วนเต็มไปด้วยผู้คนที่มาพร้อมกับความมุ่งมั่น รอยแค้นและรัฐไทยใหม่ ยุคนั้นพูดกันเบาๆว่า คอมมิวนิสต์หลงยุคอาศัยปีกทุนของทักษิณมาล้างแค้น ล้มเจ้า สถาปนารัฐไทยใหม่ และทักษิณคือพาหนะนำไปสู่เป้าหมาย ขณะที่ปลายทางคือ ประธานาธิบดี และสมัยแรกคงไม่พ้น “ทักษิณ”

ในยุคนั้นระบบคอมพิวเตอร์ยังไม่เจริญเท่าวันนี้และ สังคมออนไลน์ยังไม่มี กระนั้นก็ยังเกิดเว็บไซต์จาบจ้วงสถาบันจนได้ ซึ่งร้อนแรงพอทำเนา เรื่องที่ไม่เคยเล่า ไม่เคยพูด ก็เกิดเสียงซุบซิบและเร่งให้เซ็งแซ่ ขบวนการล้มเจ้าเกิดขึ้น ณ จุดนี้ ในเวลานั้น

ทั้งเว็บจีโอซิตี หรือ เว็บมนุษยา ดอท คอม ต่างเต็มไปด้วยเรื่องราวที่ไม่ต่างจากสิ่งที่สมศักดิ์ เจียมธีรสกุล พูดในรายการตอบโจทย์ เนื้อหาส่วนใหญ่คับแคบ วนเวียนมาจากหนังสือเล่มเดียวคือ “กงจักรปีศาจ” เล่มนี้ที่ว่า “ต้องห้าม” แต่ไม่ใช่อื่นใด นอกจาก”เหตุผลรองรับ”แทบไม่มี

ต่อมามีการเปิดเผยว่า สำนักพิมพ์มหาวิทยาลัยเยล คลอดหนังสือที่เขียนโดยพอลเฮนรี่ นักข่าวฝรั่งที่เคยประจำอยู่กรุงเทพ ชื่อ เดอะคิงเนเวอร์สไมล์ หนังสือต้องห้ามเล่มนี้ก็เอาความตอนหนึ่งมาจาก ๑๓ บทของกงจักรปีศาจ

ร่ำลือกันว่า “คนหูกระต่าย” ที่ปรึกษาใหญ่คนแดนไกล เลือกผีโม่แป้งฝรั่งคนนี้มาเขียนเพราะหิ้วง่าย สั่งได้จากร้านเหล้าแถวศาลาแดง คนหูกระต่ายกำหนดบทเดินเรื่องให้เสร็จสรรพ แถมช่วยออกทุน ช่วยนำออกไปพิมพ์ จำได้ว่าเคยประจันหน้ากับคนเขียนที่นิวยอร์ค พบว่าฐานะเขาดีขึ้น ยังอาศัยในวอชิงตันดีซี

ช่วงเวลาที่ทักษิณเรืองอำนาจ บนเวทีพันธมิตรฯที่สวนลุมพินี เป็นผู้เริ่มเปิดฉากแฉขบวนการล้มเจ้า เปิดโปงเว้บไซต์มานุษยา ดอท คอม ที่ทำจากต่างแดน แต่ทุนใหญ่ไหลออกไปจากกรุงเทพ จุดนั้นทำให้คนใกล้ตัวทักษิณสายคอมมิวนิสต์ ถูกเพ่งเล็งมากที่สุด

สุดท้ายทักษิณกับพฤติกรรมที่ตีตนเสมอเจ้าและคำพูดคำที่ลบหลู่ ก็ดันให้เขาเข้าไปรวมกับกลุ่มคอมมิวนิสต์หลงยุค จนเป็นที่มาของ ขบวนการล้มปืน ล้มทุน ล้มเจ้า เพื่อสร้างรัฐไทยใหม่ และเป็นที่มาของเสียงซุบซิบถึงคำว่า ประธานาธิบดี

เมื่อทักษิณถูกประชาชนขับไล่ด้วยเครื่องมือชื่อ รัฐประหาร ตั้งแต่นั้นเป็นต้นมาพบว่าขบวนการล้มเจ้าเริ่มชัดเจนโหมฟืนเร่งไฟ

ในต่างจังหวัดมีการริเริ่มใช้สีแดงของคอมมิวนิสต์มาแบ่งกลุ่มคน คนจน-รากหญ้า ถูกแยกออกจากคนเมืองและเมืองหลวง ให้เป็นคนเสื้อแดงสร้างวาทกรรมอำมาตย์ –ไพร่ สร้างนิยายความเหลื่อมล้ำต่ำสูงไม่เป็นธรรม

มีการจัดตั้งกลุ่ม นปช.ขีดวงล้อมในพื้นที่อ่อนแอ ชักจูงง่ายโดยเฉพาะคนอีสาน คนเหนือ

ผู้คนจำนวนมากถูกปั่นหัว ล้างสมองว่าทักษิณคือคนดี เก่ง ผู้วิเศษที่มาพร้อมกับการเปลี่ยนแปลงพลิกโฉม พลิกฟ้า คว่ำดินวาทกรรมว่า ทักษิณทำได้ทำดีจนคนรักและสุดท้ายโดน “เจ้าอิจฉา”หาเรื่อง”ปฏิวัติ” ไล่ออกนอกประเทศ และโยงเอากรณี “ปรีดี พนมยงค์”มาเทียบเคียงกับทักษิณว่าเหมือนกัน ที่นั่งเดียวกัน ชะตากรรมเดียวกัน ...กงจักรปีศาจเปิดฉากถล่มเจ้าเริ่มที่จุดนี้!!!

ข้อมูลเหล่านี้มาในรูปของ ซีดี ดีวีดี แผ่นพับ ใบปลิว และวิทยุชุมชนโปรยไปทั่วอีสาน-ภาคเหนือ โดยบริวารของคนแดนไกล

ตอนนั้นเกิด “เว็บหมิ่น”ผุดขึ้นมากมายราวดอกเห็ด ปฏิบัติการน้ำหยดลงหิน ทุกวัน ๆ หินกร่อนจนแตก แยกคนออกจากในหลวง เปลี่ยนพสกนิกของพระองค์เป็นประชาชนของผม และเปลี่ยนคนไทยให้เป็นเสื้อแดง และเร่งฟืนโหมไฟใส่แดงทั้งแผ่นดิน กองทัพเหล่านี้มากับท่อน้ำเลี้ยงที่ต่อจากแดนไกล ผ่านเครือข่ายทั้งนักธุรกิจ แม่ค้าเพชร และ นักการเมือง

พลัง นปช.คนเสื้อแดงเกิดขึ้นครั้งแรกที่สนามหลวง มีสหายเก่าจากป่า เช่น หมอเหวง ป้าธิดา วีระ และ ตู่ –เต้น คือดาวจรัสแสงของทักษิณ มีการจัดเวทีปราศรัยทุกคืนด้านหน้าประตูธรรมศาสตร์ ฉากหลังเวทีสะท้อนให้เห็นการจาบจ้วงรุนแรง และแล้ว“ดา ตอร์ปิโด” ก็สะดุดขาตัวเองเมื่อ “ด่าทอ” เกิน “วิจารณ์” การล้ม กม.๑๑๒ เริ่มทำงาน เปิดฉากนักวิชาการ –สื่อ กางเกงในแดง

วิทยุชุมชน และ ทีวีดาวเทียมเสื้อแดงถูกจัดตั้งเกลื่อนไปหมด แต่รัฐบาลขิงแก่ และ ผู้หลักผู้ใหญ่ในแผ่นดินนี้ยุคนั้นก็ยังไม่นำพา

เทคโนโลยี่การสื่อสารที่ก้าวหน้าล้ำสมัยเข้ามารวดเร็ว เครื่องมือเหล่านี้ถูกนำมาใช้บั่นทอนรัฐบาลสุรยุทธพุ่งโจมตีสถาบันสูงสุด ตอกย้ำ - กล่าวหาว่าอยู่เบื้องหลังรัฐประหาร และย้ำคำว่า “อิจฉา” จนติดลม

เมื่อการเลือกตั้งเสร็จสิ้น มีรัฐบาลนอมินี มีสมัคร สุนทรเวช มีสมชาย วงศ์สวัสดิ์ มีการชุมนุม และพันธมิตรคือ อัศวินขี่ม้าขาวของชาวประชา

การชุมนุมของพันธมิตรครั้งที่สองล้มรัฐบาลสมัครและสมชาย จนเกิดรัฐบาลอภิสิทธิ์ การตอบโต้ในรูปแบบเดียวกันก็เริ่มต้นอย่างรวดเร็วจนไม่ทันตั้งตัว ทั้งล้มการประชุมซัมมิท พัทยา สงกรานต์เลือด บ้านเมืองวิกฤตแต่การรับมือก็ยังไม่เข้มแข็ง

เหตุการณ์ซ้ำรอยเดิมในปีถัดมา คราวนี้รัฐบาลอภิสิทธิ์ถึงต้องยุบสภาเมื่อกองทัพเสื้อแดงตั้งเวทีปิดแยกผ่านฟ้า แยกราชประสงค์ โจมตี มุ่งร้าย เลียบค่าย จาบจ้วง ยึดเมือง เผากรุง และ ประกาศ “ปลดรูปที่มีทุกบ้าน” ...ขบวนการล้มเจ้าเดินออกจากป่าเข้าสู่กลางเมืองหลวงด้วยกองทัพเสื้อแดงนำหน้า

การเมืองเปลี่ยนค่ายผลัดมือมาสู่เพื่อไทย ชัยชนะที่นำพานารียิ่งลักษณ์เข้าทำเนียบ ทำให้สังคมไทยในยุคเฟส บุ๊ค– ยูทูบ เริ่มหันมองทักษิณและพวกแดงเต็มตา ข้อมูลล้มเจ้าเกลื่อนสื่อโซเชียลมีเดีย และผู้นำคือ สมศักดิ์ เจียมธีรสกุล แต่ข้อมูลวนเวียนในวงเดิม เว็บหมิ่นเกลื่อน เฟส บุ๊คหมิ่นผุดขึ้นจนพรุนเหมือนตามด แต่รัฐบาลทำเฉยเหมือนตีสองหน้า

ประชาธิปัตย์ไม่เพียงตกเป็นฝ่ายค้าน แต่ยังเป็นจำเลยคดี ๙๘ ศพจากการกระชับพื้นที่ หัวหน้าพรรคและอดีตเลขาธิการพรรค เริ่มตระหนักรู้ถึงพิษสงการสื่อสารเมื่อยามสาย เขาสองคนพาพรรคพวกเดินสายเปิดเวทีผ่าความจริง และ ความจริงที่ไม่ตายกำลังเดินเครื่องจนหนทางกลับบ้านของทักษิณสั้นและแคบลง

เวลา ๑ ปีเศษของยิ่งลักษณ์เต็มไปด้วยปัญหาทุจริตคอรัปชั่นจากนโยบายประชานิยมที่มอมเมาประชาชนให้เคลิบเคลิ้มตกเป็นทาส ขณะเดียวกันกลุ่มล้มเจ้าก็เขยิบขึ้นมามากขึ้น สื่อทันสมัยเข้าถึงประชาชนรวดเร็วและง่ายดายเป็นเครื่องนำสารสกปรกไปถึงทุกคน วิวาทะระหว่างคนรักในหลวงและคนล้มเจ้าเริ่มเดือดแรง และนิติราษฏร์ ล้ม กม.๑๑๒ เริ่มมีเดช พร้อมๆกับการประกาศตัวของสื่อเลือกข้าง และเกิดสื่อสีแดง - สีฟ้า ต่อสู้ชัดเจนด้านข้อมูล

ประเด็นสถาบันสูงสุดถูกการเมืองนำมาใช้อย่างฟุ่มเฟือย แม้คนชังไม่เท่าคนรัก แต่การวิจารณ์เจ้าฟ้าเจ้าแผ่นดินในสื่อออนไลน์จาบจ้วงรุนแรงจนน่ากลัวถ้อยคำหยาบคายมากขึ้นอย่างไม่เคยเกิดขึ้นมาก่อนในประวัติศาสตร์ แรงรักและแรงต้านยันกันรุนแรง แต่ก็แค่ออนไลน์ และ ใต้ดิน

จนเมื่อหัวข้อสถาบันพระมหากษัตริย์ ถูกหยิบขึ้นมาพูดในรายการตอบโจทย์ ของทีวีสาธารณะ ไทยพีบีเอสโดยนายภิญโญ ไตรสุริยธรรมา ที่พา สมศักดื เจียมธีรสกุล อาจารย์สายประวัติศาสตร์จากธรรมศาสตร์ขึ้นจากใต้ดินมาสู่โลกสาธารณะครั้งแรก สังคมไทยก็ถึงจุดระเบิดและไม่ยอมอีกต่อไป

สารพัดม๊อบจึงดาหน้าบุกไทยพีบีเอส กดดัน และบีบคั้นจนพิธีกรลาออก ยุติรายการตอบโจทย์ที่แสลงใจประชาชน ขณะที่ไทยพีบีเอสเริ่มกระบวนการสอบสวนหาความจริงว่า ใครอยู่เบื้องหลัง “ตอบโจทย์” ตอน ล้มเจ้าและทบทวนกันเองว่า ไทยพีบีเอสเป็นสื่อสาธารณะหรือเครื่องมือคนแดงล้มเจ้า ?

คำถามเกิดขึ้นมากมาย สังคมเริ่มถกเถียง เรื่องเหลวไหลไร้หลักฐานก็ถูกหยิบขึ้นมาชำแหละด้วยปากของ อจ สมศักดิ์ เจียมฯต่อไปแม้โดนแรงต้านหนักทั้งซีกทหารและตำรวจ

บ้านเมืองวุ่นวายร้อนเร่าไปหมด ความโกลาหลเกินขึ้นจนเห็นลางหายนะแต่รัฐบาลไม่นำพา กลับเดินหน้ากู้เงินนอกระบบก่อหนี้เกินตัว ยัดเยียดประชานิยมโกหกหาเสียงการเมืองด้วยภาษีประชาชน และ เปิดเกมสกปรกแก้กฎหมายพา “ทักษิณ” จอมโจรปล้นชาติกลับบ้านมาเสวยสุข

นี่คือเหตุที่เกิดคำทำนายของหมอดูชื่อดัง คนคำนวณมิสู้ฟ้าลิขิต เขาถึงกลัวกันนักว่า เมษาฮาวายจะหวนคืนกลับมา ตั้งท่ารับมือกันดี ๆ อย่าให้ซ้ำรอย “บิ๊กบัง” ที่ฉี่ไม่สะเด็ดน้ำแล้วกัน

ม็อบไทยพีบีเอสผ่านไป สารพัดม็อบกำลังตามมา หนึ่งในนั้นคือม็อบการเมืองจากค่ายสหัษวรรษที่จับมือกับกลุ่ม ๑๓ สยามไท เริ่มที่ทวงคืนพระวิหารและทำท่าจะลามเข้ามาทำเนียบรัฐบาล ยินว่าเมษายนนี้ “ร้อนและเดือด”

หายนะของประเทศกำลังรออยู่เบื้องหน้ากับการก่อหนี้-บิดเบือนความจริง-ทุจริตเงินประชาชน และ ล้มสถาบันฯ

การผ่าตัดเพื่อรักษาประเทศไทยต้องเร่งลงมือ มิเช่นนั้นบ้านเกิดเมืองนอนของเราไม่พ้น “ชิบหาย” อย่างแน่นอนมิต้องสงสัย

ยุคนี้สมัยนี้...ทหารก็ของเขา -ตำรวจไม่ต้องพูดถึง -ข้าราชการพึ่งอะไรไม่ได้ สิ่งเหลืออยู่สุดท้ายคือ “ประชาชน”

เราเป็นเจ้าของประเทศนี้ร่วมกันมีหุ้นส่วนเท่าๆกัน ถ้าเราไม่รับผิดชอบกับบ้านนี้เมืองนี้ตอนนี้ แล้วเราจะทำกันเมื่อไร อย่าถือว่าธุระไม่ใช่ อย่าแชเชือน จงเก็บความกลัวแปรเป็นความกล้า เดินออกมาพร้อมๆกันและตะโกนบอกทักษิณ –ยิ่งลักษณ์ –เยาวภาว่า “พอกันที”แต่รู้ไหม? “เสียงเดียวไม่พอ – ต้องหลายเสียงประสาน”

ถ้ากลัวอย่าทำ ถ้ากล้าต้องเริ่มแล้วหากช้ากว่านี้สุดท้ายเราอาจไม่เหลืออะไรเลยแม้แต่ “ร่มเกล้า” ของเราเผ่าไทย


จากคอลัมน์ "เล่าหลังไมค์"
นสพ.แนวหน้า ๒๒ มี.ค. ๒๕๕๖








"ตอบโจทย์ : ยังมีคนไทยใจรักชาติรักสถาบันฯ จริงหรือ"
รศ.ประพันธ์พงศ์ เวชชาชีวะ


ความจริงไม่อยากเขียนเรื่องเกี่ยวกับสถาบันพระมหากษัตริย์ เพราะมีความคิดอยู่เสมอว่าสถาบันพระมหากษัตริย์เป็นของสูง สำหรับตัวผู้เขียนและคนในสกุล “เวชชาชีวะ” เพราะพวกเราได้รับพระมหากรุณาธิคุณจากพระบาทสมเด็กพระมงกุฎเกล้าเจ้าอยู่หัวพระราชทานนามสกุล

โดยเฉพาะอย่างยิ่งสำหรับตัวผู้เขียนเติบโตและได้รับการศึกษาจากโรงเรียนวชิราวุธวิทยาลัย และจุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย

โรงเรียนวชิราวุธมีบทเพลงประจำโรงเรียนที่ไม่เคยลืมเลย แม้เวลาล่วงเลยมากว่าเกือบ 60ปีแล้วก็ตามว่า “...รู้รักชาติ ศาสน์ กษัตริย์ เป็นฉัตรชัย ...”

แต่สิ่งที่ทำให้ต้องเขียนบทความนี้ ก็เพราะเมื่อคืนวันที่ ๑๘ มีนาคมนี้ โดยไม่ตั้งใจได้เปิดโทรทัศน์สถานี Thai PBS รายการ”ตอบโจทย์” ซึ่งมีผู้ร่วมรายการ คือ นายสุลักษณ์ ศิวรักษ์ ผู้ที่อ้างตัวว่าจงรักภักดี กับนายสมศักดิ์ เจียมธีรสกุล อาจารย์มหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์

ผู้เขียนไม่มีความอดทนพอที่จะฟังจนจบ เพราะสิ่งที่ผู้สนทนาทั้งสองกล่าวถึงสถาบันพระมหากษัตริย์ ทั้งคู่อ้างว่า เพื่อรักษาสถาบัน และต้องการเปลี่ยนแปลงบทบาทของสถาบัน แต่กลับกลายเป็นว่า ทั้งสองมีความเหมือนกันคือ ไม่พอใจในสถานภาพของสถาบันในปัจจุบัน

แต่คนหนึ่ง คือ นายสมศักดิ์ ต้องการให้เกิดการเปลี่ยนแปลงในปัจจุบัน ขณะที่นายสุลักษณ์ ต้องการเปลี่ยนแปลงเช่นกัน แต่ค่อยๆเปลี่ยนไม่ใช่ทำในปัจจุบัน แต่ผลก็เหมือนกันต่างฝ่ายต่างยกเหตุผลทางประวัติศาสตร์สมัยจอมพล สฤษดิ์ ธนะรัชต์ บ้าง สถาบันพระมหากษัตริย์ของต่างประเทศ เช่น อังกฤษ และประเทศในกลุ่มสแกนดิเนเวีย คือ เดนมาร์ก สวีเดน และนอรเวย์บ้าง

โดยเฉพาะนายสุลักษณ์ ได้กล่าวถึงสถาบันกษัตริย์ประเทศสวีเดน ซึ่งผู้เขียนได้มีโอกาสไปเรียนจบปริญญาโททางสังคมศาสตร์ด้วยทุนส่วนตัว สิ่งที่นายสุลักษณ์ กล่าวอ้างเป็นความจริงเพียงบางส่วนเท่านั้น กล่าวคือ ประมาณปี ค.ศ. ๑๙๔๖ ได้มีการวิพากษ์วิจารณ์เรื่องสถาบันกษัตริย์ทำนองว่าล้าสมัยและมีการออกเสียงประชามติว่าประเทศสวีเดนจะเป็นสาธารณรัฐหรือมีพระมหากษัตริย์ ผลปรากฏว่าสถาบันกษัตริย์ของสวีเดนยังคงอยู่ต่อไป ตราบเท่าที่พระมหากษัตริย์ในขณะนั้น มีองค์รัชทายาทสืบต่อราชบัลลังค์

ปัญหาเรื่องสถาบันพระมหากษัตริย์ของประเทศสวีเดนก็คงดำรงอยู่จนทุกวันนี้ รวมทั้งประเทศนอรเวย์ และประเทศเดนมาร์ก ด้วย

อย่างไรก็ดี สถาบันพระมหากษัตริย์ของประเทศในยุโรปจะมีความแตกต่างกว่าของประเทศไทย เนื่องจากขนบธรรมเนียมประเพณีอาจแตกต่างกัน แต่พระมหากษัตริย์ของประเทศเหล่านี้คล้ายกับของเราก็คือ พระมหากษัตริย์มีพระมหากรุณาธิคุณต่อประชาชนของประเทศนั้นๆ เพราะพระมหากษัตริย์ที่กล่าวถึงและพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวของเราไม่เคยทอดทิ้งประชาชนเลย

สถาบันกษัตริย์มิได้เป็นอุปสรรคในการปกครองระบอบประชาธิปไตย โดยเฉพาะสถาบันกษัตริย์ในกลุ่มสแกนดิเนเวีย ภายหลังสงครามโลกครั้งที่ ๒ เคยมีบางคนบางกลุ่มเหมือนกับคนไทยที่สนทนาในรายการตอบโจทย์ เมื่อวันที่ ๑๘ นี้ และยิ่งกว่านั้นในสวีเดนมีการออกเสียงประชามตินั่นเป็นอดีต แต่ปัจจุบันประชาชนในประเทศเหล่านั้น กลับยกย่องเชิดชูกษัตริย์ของเขา และเมื่อครั้งที่พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวภูมิพลอดุลยเดชมหาราชและสมเด็จพระราชินี เสด็จเยือนประเทศสวีเดนทำให้เมื่อคนสวีเดนพบคนไทยอื่น ๆ รวมทั้งผู้เขียนได้แสดงความชื่นชมในสองพระองค์อย่างเห็นได้ชัด

สุดท้ายนี้ ความจริงอยากเล่าเรื่อง สถาบันพระมหากษัตริย์ของประเทศในกลุ่มสแกนดิเนเวียเพื่อให้ผู้อ่านเข้าใจว่า มิได้เป็นไปตามที่นายสุลักษณ์ ศิวรักษ์ ได้กล่าวในการสนทนากับ นายสมศักดิ์ เจียมธีรสกุล

และอยากจะบอกว่าสิ่งที่ทั้งสองคนสนทนาในเมื่อคืนนั้น ทำให้ผู้เขียนไม่อาจทนฟังได้ และเข้าใจว่าคนไทยที่มีหัวใจรักชาติก็คงรับไม่ได้เช่นกัน


จากนสพ.แนวหน้า ๒๑ มี.ค. ๒๕๕๖


















"สมคบคิดล้มล้างสถาบันกษัตริย์ไทย ?"
เฉลิมชัย ยอดมาลัย


การมีเสรีภาพนั้นเป็นของที่ดีอย่างยิ่ง แต่เมื่อจะใช้ จำเป็นจะต้องใช้ด้วยความระมัดระวัง และความรับผิดชอบ มิให้ล่วงละเมิดเสรีภาพของผู้อื่นที่เขามีอยู่เท่าเทียมกัน ทั้งมิให้กระทบกระเทือนถึงสวัสดิภาพ และความเป็นปรกติสุขของส่วนรวมด้วย..... (พระบรมราโชวาท ของพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว พระราชทานแก่ผู้บังคับบัญชาลูกเสือ เมื่อวันที่ ๙ กรกฎาคม ๒๕๑๔)

จำเป็นต้องยืนยันอย่างหนักแน่นว่าพระเจ้าอยู่หัวของไทยนั้น มิเคยทรงขัดขวางหรือกีดกั้นสิทธิเสรีภาพ และอิสรภาพของประชาชนไทยแม้แต่น้อย แต่ตรงกันข้าม คนไทยบางกลุ่มในบางยุคบางสมัยกลับพยายามใช้อำนาจรัฐที่ยึดครองอยู่ในมือเพื่อริดรอนพระราชอำนาจ และจำกัดสิทธิเสรีภาพของพระเจ้าอยู่หัว

เหตุการณ์ดังกล่าวข้างต้นนี้ เกิดขึ้นมาแล้วอย่างชัดเจนในสมัยที่อำนาจการเมืองไทยตกอยู่ภายใต้อำนาจของคณะราษฎร์ และในยุครัฐบาล ป.พิบูลสงคราม แต่ในที่สุดกลุ่มอำนาจการเมืองดังกล่าวก็ไม่สามารถล้มล้างสถาบันพระมหากษัตริย์ไทยได้ดังใจปรารถนา เพราะประชาชนไทยส่วนใหญ่ไม่ยินยอม เพราะไม่มีหลักฐานว่าสถาบันพระมหากษัตริย์มีความบกพร่องหรือเลวร้าย แต่กลับเป็นคุณต่อสังคมไทยอย่างอเนกอนันต์มากกว่า

แต่ถึงกระนั้น ในระยะต่อ ๆ มา สถาบันพระมหากษัตริย์ไทยก็ยังคงถูกท้าทาย และคุกคามเสมอมาจากกลุ่มที่ต้องการล้มล้างสถาบันฯ นี้อย่างต่อเนื่อง จนกระทั่งถึงยุคที่ทักษิณ ชินวัตร ขึ้นมาครองอำนาจการเมืองได้แบบเบ็ดเสร็จ ก็ปรากฎว่ากระแสการจาบจ้วงล่วงละเมิดสถาบันพระมหากษัตริย์ก็กลับรุนแรงมากยิ่งขึ้น โดยผ่านรูปแบบต่าง ๆ นานา โดยเฉพาะอย่างยิ่งการกล่าววาจาจาบจ้วงหมิ่นพระบรมเดชานุภาพในการชุมนุมของคนเสื้อแดง ณ ท้องสนามหลวง และบนเวทีปลุกระดมทางการเมืองต่าง ๆ อีกหลายกรรมหลายวาระ แต่ที่น่าสนใจมากที่สุดก็คือการจงใจหมิ่นพระบรมเดชานุภาพผ่านระบบการสื่อสารในโลกอินเตอร์เน็ต รวมถึงสื่อฯ ชนิดต่าง ๆ ภายใต้การควบคุมของกลุ่มคนที่นิยมระบอบทักษิณ

ข้อสังเกตประการสำคัญอีกข้อที่มองข้ามมิได้ คือ มีกลุ่มคนที่สังคมยกย่องว่าเป็นนักวิชาการในสถาบันอุดมศึกษาของรัฐจำนวนหนึ่งซึ่งมีเพียงไม่กี่คน รวมถึงกลุ่มคนที่เรียกตัวเองว่ากลุ่มหัวก้าวหน้า จงใจแอบอ้างความเป็นวิชาการ เพื่อกล่าวจาบจ้วงล่วงละเมิดพระมหากษัตริย์ไทยตลอดเวลา ตัวอย่างของคนกลุ่มนี้คือ ใจ อึ๊งภากรณ์ กลุ่มมหาวิทยาลัยเที่ยงคืน และกลุ่มคณะนิติราษฎร์ รวมถึงนักเขียนบางคนในหนังสือฟ้าเดียวกัน และบางบทความในเว็บไซต์ประชาไท ส่วนกรณีล่าสุด สถานีโทรทัศน์ไทยพีบีเอส โดยเฉพาะรายการตอบโจทย์ฯ ที่ผลิตรายการโดยความร่วมมือของบุคคลภายนอกกับเจ้าหน้าที่ของไทยพีบีเอส ก็กำลังถูกสาธารณชนตั้งข้อสังเกตว่าอาจนำเสนอรายการที่เข้าข่ายจงใจจาบจ้วงล่วงละเมิดสถาบันพระมหากษัตริย์ไทย

สิ่งที่กล่าวมาข้างต้น จะเข้าข่ายทฤษฎีสมคบคิดเพื่อล้มล้างสถาบันพระมหากษัตริย์ไทยหรือไม่ เป็นสิ่งที่กลุ่มผู้สมคบคิดต้องรู้อยู่แก่ใจเป็นอย่างดี แต่ผู้สมคบคิดมีสิทธิ์อ้างว่า การตั้งคำถามต่อสถาบันพระมหากษัตริย์เป็นสิ่งที่ทำได้ เพราะเป็นสิทธิเสรีภาพขั้นพื้นฐานตามระบอบประชาธิปไตย ขอยืนยันว่า ผู้สมคบคิดมีเสรีภาพโดยสมบูรณ์ในการคิด-ถาม-แสดงออก แต่จงรู้ไว้ด้วยว่า ประชาชนไทยไม่มีวันยอมให้กลุ่มผู้สมคบคิดอ้างเสรีภาพเพื่อล้มล้างสถาบันพระมหากษัตริย์อย่างแน่นอน


จากนสพ.แนวหน้า ๒๓ มี.ค. ๒๕๕๖


บีจีจากคุณเนยสีฟ้า ไลน์จากคุณญามี่

Free TextEditor





Create Date : 22 มีนาคม 2556
Last Update : 23 มีนาคม 2556 8:37:54 น. 0 comments
Counter : 3670 Pageviews.

haiku
Location :


[ดู Profile ทั้งหมด]

ฝากข้อความหลังไมค์
Rss Feed
Smember
ผู้ติดตามบล็อก : 161 คน [?]




New Comments
Friends' blogs
[Add haiku's blog to your web]
Links
 

 Pantip.com | PantipMarket.com | Pantown.com | © 2004 BlogGang.com allrights reserved.