สามทุ่มกว่าๆของคืนวันที่4เมษาอันทึบทึม
มนุษย์ชาวไทยสามคน นั่งอยู่บนรถของอาสาสมัครกู้ภัยประจำจังหวัดเพชรบุรี
มาชั่วครู่ชั่วยามหนึ่งแล้ว
นั่งรอชาวไทยอีกคนที่กำลังเดินอยู่บนเขา
มนุษย์ชาวไทยพี่หนุ่ย ผู้หลงทางสามรอบวันเดียว กำลังลงมาจากเขา
นั่งดูผู้คนมากมาย หลั่งไหลลงมาจากบนภูเขา
พากันลงเขา หลังจากสิ้นเสียงพลุนัดสุดท้าย คล้ายเป็นสัญาณบอกว่าหมดเวลาสนุกกันแล้ว
ความจริงสามทุ่มสำหรับงานวัด ยังไม่ดึก น่าจะซักสี่ทุ่มถึงค่อยจุดยังทัน
แต่ให้เดาเอา เขาคงอยากให้คนลงมาซื้อของที่ร้านกาชาดข้างล่างบ้างล่ะมั้ง
เผื่อเก็บร้านเก็บของนั่นนี่อีก เดี๋ยวจะไม่ได้นอนกัน
.
.
.
.
นั่งอยู่ตรงนั้น จนมีช้างตัวเล็กๆมา 2 เชือก
นั่งจนช้างมา เพราะเรานั่ง ช้างเลยมารึไง??
ไม่หรอกคงเป็นควาญช้างนั่นแหละ ที่พาช้างมา
เดาเอาว่า ควาญช้าง อาจจะมาจากคำเต็มๆว่า รังควานช้าง
คงมาจากอาการที่ขี่อยู่บนคอช้าง จนถ้าเราเป็นช้าง เราคงรำคาญควาญน่าดู
คงอยากจะฉกให้ดิ้นตายซะให้เข็ด
ควาญช้างมาพร้อมอ้อย เอามาขายให้คนที่ลงมาจากเขา
คนที่ลงมาจากเขาบางคนชวนกันดู วี้ดว้าย บอกว่าลิงเขาวังตัวใหญ่จัง
สงสัยจะเมาควันตะเกียง
ปีที่แล้ว จำได้ว่าช้างตัวใหญ่กว่านี้ ปีนี้มันตัวเล็กลง
อากาศคงร้อนมั้ง
นอกจากช้างแล้ว ก็ยังมีคน
คนมาถ่ายภาพคู่กับดอกไม้และป้ายตรงทางขึ้น
เราสามคนนั่งดูคนยิ้มให้กล้อง คนฟันเกก็ยังยิ้ม น่ารักจัง
ไม่นานนัก มนุษย์ชาวไทยพี่หนุ่ยก็มา
มนุษย์ชาวไทยสี่คน ก็พากันไปหาที่หลับที่นอน
.
.
.
.
แรกเดิมเดิมที่ตั้งใจว่าจะพากันไปนอนที่สวนผึ้ง ราชบุรี
แต่มาคิดอีกที กว่าจะถึงสวนผึ้งเราทั้งหลายอาจจะหลับในไปสามตลบซะก่อนก็เป็นได้
ดังนั้น หาที่นอนที่เมืองเพชรนี่แหละ ง่ายดี
เวลาราวสี่ทุ่มกว่า พากันเดินไปเอารถที่ฝากหลวงพ่อไว้ที่วัด
ปีนี้ฝากรถฟรีล่ะมั้ง เดาเอาว่าอย่างนั้น เพราะไม่เห็นมีตู้บริจาคให้หย่อนเหมือนปีก่อน
เดินหาอยู่หลายรอบ เลยทำมึนแบบว่าดึกแล้ว งง
แล้วรถขับออกมาเลย จะบาปไหมก็ไม่รู้
พี่หนุ่ยจอดรถไว้ตีนเขาอีกด้าน หลังจากแยกกันตรงทางขึ้น ก็โทรหากันตลอด
ไม่ได้พิศวาสอะไรกันมากมาย แต่พี่หนุ่ยหลงทาง
ณ ตอนนี้ ถนนหนทางดูเยอะเกินไปแล้วสำหรับเธอ
แต่ในที่สุด พี่หนุ่ยก็ฝ่าฟันขับสวนเส้นทางวันเวย์มาเจอเราจนได้
น่าชื่นชมในความกล้าหาญของเธอเป็นอย่างยิ่ง
ออกมาจากวัดหลวงพ่อตรงตีนเขา
ขับมาตามถนนราวสองร้อยเมตร พี่หนุ่ยก็โทรมา
บอกว่ายังอยู่หน้าวัด และถามว่ารถพี่แตนสีอะไร ใช่คันดำๆที่ออกไปเมื่อครู่รึเปล่า?
หลงกันอีกแล้ว
ขับหากันอยู่นานสองนาน สุดท้ายก็เจอกัน แทบอยากกระโดดกอด
ขับตามกันมาแบบกระชั้นชิด เป็นห่วงทุกฝีก้าว
ที่พักในตัวเมือง ไม่มี
มุ่งหน้าไปยังหาดเจ้าสำราญ
.
.
.
.
แวะเซเว่นตรงหน้าหาด ถามน้องคนนึงว่าที่พักแถวนี้ ตรงไหนดี
น้องบอกว่า บ้านพักตากอากาศของทหารสิพี่ ดี เปิดตลอด24 มีทหารถือปืนเฝ้าด้วย
เราตกลงว่าจะไปพักที่นี่ เพราะขามาที่หาดเห็นป้ายทางเข้าอยู่วับๆแวมๆ
ป้ายอยู่ขวามือ เราทุกคนจำได้
เราขับออกไปหาป้ายที่ว่า
จำได้ว่ามันอยู่ก่อนจะถึงหาด ไม่กี่สิบเมตร
ขับไปเรื่อย ท่ามกลางความดึกดื่นที่ใกล้จะเที่ยงคืนเต็มที
ขับมาไกล สี่ห้ากิโล ชักจะไกลเกินไปละ
ป้ายนั้นหายไปแล้ว
ใครเอาป้ายไปไหน?
อาการป้ายหายเป็นลักษณะเบื้องต้นของการหลงทาง
ขับไปมาอยู่นานพอควร ในที่สุดก็ถอดใจ
นี่อาจจะเป็นเวรกรรมที่หาตู้หย่อนค่าจอดรถในวัดไม่เจอก็ได้
ขับไปเรื่อยๆดีกว่า เจอที่ไหนที่ยังมีห้องว่าง เราจะนอนมันตรงนั้น
ป้ายโรงแรมม่านรูดเปิดไฟส่องสว่างยั่วยวนชวนเราที่กำลังง่วงให้ไปพัก
เราทั้งหลายกลั้นใจไม่ไปพักที่นั่น เพราะบรรยายกาศคงไม่สงบเงียบซักเท่าไหร่
ตามประสาม่านรูด
.
.
.
.
ในที่สุดขับไปขับมา ก็มาเจอห้องว่างที่ซันไรส์วิลล์
เหลือหลังสุดท้าย ราคา 1600 บาท
ถึงที่นั่นตอนเที่ยงคืน ไม่เป็นไร เขาใจดีคิดราคาเดียวกัน
ป้าคนนึงนุ่งกางเกงเจเจออกมาเปิดประตูให้ ทักทายด้วยรอยยิ้ม คงคล้ายๆเวลคัมดริ้งมั้ง
ได้ที่นอนกันแล้ว ดีใจเป็นที่สุด
.
.
.
.
นอกจากนี้เรายังพบว่า บ้านพักตากอากาศของกองทัพบก มันก็อยู่ข้างๆกันนั่นเอง
เสียดายที่เต็มหมด
ว่าแต่ที่พักตากอากาศของกองทัพนี่ สร้างขึ้นมาเพื่อให้คนมาพักโดยเฉพาะหรือไร?
กองทัพบกมาทำธุรกิจท่องเที่ยวแล้วรึ?
สงสัยอยู่นิดๆ
.
.
.
.
คืนนี้พระจันทร์ทรงกลด
ออกไปดูพระจันทร์และทะเลกลางดึก
โดนกัดเลือดสาด ยุงเยอะ ยุงทะเลมีมากมายเหลือเกิน
คาดว่าจะมาจากท่อระบายน้ำแถวรีสอร์ทย่านนี้
ควรจะกำจัดกันหน่อยก็ดีเนาะ
.
.
.
.
นอนตอนตีสาม
ตื่นมาตอนตีสี่ตีห้า มนุษย์พี่หนุ่ยยังนั่งทำงานเงอะๆงะๆ
คนอะไร ไม่หลับไม่นอน
ลากันไปด้วยภาพนี้
ตอนหน้าจบทริปละ
ลงนาม
เป็ดสวรรค์
ขำจัง ไดอารี่จริง เขียนโดนใจ อย่าลืม
การแข่งขันทำให้เราพัฒนาครับ แต่อย่าจริงจังกับมันมาก
เอาหนุกๆก็พอ เนอะ