► ►►..เป็ ด ส วร ร ค์ ไ ล ฟ์ อิ น เ ข า วั ง ปี 2 ต อ น ที่ 3 (ปั้น ดิ นให้ เป็ น ด าว )..◄ ◄◄
หลังจากพิชิตยอดสุดท้ายของเขาวัง ซึ่งมีอยู่ทั้งหมด 3 ยอดแล้วนั้น
เราทั้งสามชีวิต ก็ประชุมกันและมีมติว่า นี่มันก้ใกล้เวลาสามทุ่มแล้วนะ
ซึ่งสามทุ่ม เป็นเวลาที่ทางเจ้าหน้าที่จะจุดพลุให้เราทั้งสามดู
ที่จริงเขาก็ให้คนอื่นดูด้วยน่ะแหละ ดูกันหลายๆคน สนุกดี
ปะรกอบกับได้ตกปากรับคำแม่ค้าขายข้าวแช่ชาววังไว้ที่ร้านขายขนมโบราณ
ว่าจะลงไปชิมข้าวแช่ชาววังให้จงได้
แม่ค้าปรามาสว่า จริงเร้อ เห็นพูดแบบนี้หลายคนแล้ว
เห็นลงมาทีไร ก็หลังจุดพลุเสร็จ แล้วก็เลยกลับลงเขากันไปเลย
ไม่เห็นกลับมาซักคน
ซึ่งมานึกอีกที นี่อาจจะเป็นกลยุทธ์ทางการตลาดของแม่ค้าก็ได้
ที่ทำให้เรารู้สึกผิด เหมือนขับรถชนหมาแล้วไม่ยอมลงไปดู หากไม่ยอมลงมากินข้าวแช่ตามที่รับปากไว้
ภาพเจดีย์ขาว ตรงยอดเขาที่ 2
.
.
.
.
ตลอดทางเดินลง เราก็จะเห็นคบไฟที่ใช้น้ำมันก๊าซจุดอยู่ตลอดทาง
สลับกับเสียงดนตรีไทยลอยมาลอยไปอยู่ในอากาศ
เสียงโฆษกในงานกล่าวถึงของลับของดีของเด่นในจังหวัดเพชรบุรี
บางจังหวะก็จะมีศิลปินพื้นบ้านมาเล่ามาสนทนาถึงของดีเมืองเพชรให้เราฟัง
เป็นบรรยากาศงานวัดเท่ห์ แบบที่คนที่อยู่ในเมือง นานๆจะได้เห็นที
.
.
.
.
ถึงแล้ว ร้านข้าวแช่ชาววัง
ช้อนที่ใช้ แม่ค้าบอกว่า ต้องเป็นช้อนทองเหลืองเท่านั้นซึ่งทุกวันนี้ หาซื้อยากมากแล้ว
แถมยังโดนแอบจิ๊กไปทุกปีๆ
ที่ต้องจิ๊ก เพราะขอซื้อแล้วแม่ค้าไม่ขาย
ที่ไม่ขาย เพราะมันหายากแล้วนั่นเอง
.
.
.
.
แม่ค้าท่านนี้ ตัวจริงของเธอ จริงๆแล้วเป็นคุณครู
เธอได้แนะนำให้คนที่ไม่ใช่ชาววังอย่างเรารู้ว่า
วิธีกินข้าวแช่แบบชาววังนั้น เขาไม่เอาช้อนตักเครื่องเคียงลงไปคลุกในข้าวแบบนั้นหรอกนะ
ควรจะตักกับเข้าไปเคี้ยวก่อน แล้วซดข้าวแช่ตามทีหลัง
ช้าไปแล้ว
เรายึดแนวพระสายธุดงค์ ทุกอย่างรวมกัน แล้วเข้าไปในท้องเราเลย
เรารีบไปดูพลุ จะได้เซ็ตกล้อง ขออินดี้ไม่เป็นชาววังละกัน
เขาเอาอะไรใส่ในน้ำแช่ข้าวก้ไม่ทราบ ลืมชื่อมันละ
กลิ่นหอมเย็นๆ แปลกๆ
ซดเข้าไปอีกแรก นึกถึงอีเย็นทาสในเรือนเบี้ยขึ้นมายังไงไม่รู้
ซดหมดถ้วย อร่อยเหาะแบบอินดี้
นึกภูมิใจในตัวเองเล็กๆ คิดว่าอย่างน้อยก็กินแบบชาววังได้ไม่ต่ำกว่า 20 เปอร์เซ็นแน่ๆ
นอกนั้น ฉันแบบพระ
ปนกัน
ดีไม่ดีอาจจะได้บุญด้วยนะ
.
.
.
.
ข้างทางมีคนขายของแบบแนวๆ
ไมมีเวลาดู เพราะพลุใกล้จะจุดเต็มที
ถ้าเป็นงานแต่งก็ได้ยินเสียงแห่ขันหมากกันมาแล้วว่างั้นเถอะ
.
.
.
.
คุณครูแม่ค้าบอกว่า จุดที่ถ่ายพลุได้ดีที่สุด คือต้องลงรถรางไป แล้วเดินไปตรงสนามกีฬา
คงไม่ทันละ ไว้ปีหน้าแล้วกัน
.
.
.
.
เดินลงมาราวๆสามสิบเมตร ที่เป็นป้อมปืนตรงทางขึ้นป้อมแรก
เรากะจะถ่ายพลุมันตรงนี้แหละ
คนบรรยายในงาน ก็บรรยายถึงพลุชุดต่างๆที่กำลังจะจุดขึ้น
ว่ามีความหมายอะไรบ้าง
บอกตรงๆ นาทีนั้นไม่ได้สนใจอะไร ไม่ได้ตั้งใจฟัง
กำลังกางขากล้อง กำลังจะเซ็ตกล้องเป็นชัตเตอร์ Bแบบที่ได้อ่านมา
60Dมีชัตเตอร์Bให้ใช้ ถ่ายพลุสบายแฮเลย ในใจคิดไปอย่างนั้น
และแล้ว ยังไม่ทันจะตั้งเสร็จ
ไม่มีการนับถอยหลังให้ตั้งตัว
พลุนัดแรกก็แตกปุ๊ ขึ้นบนฟ้า
.
.
.
.
ตามมาอีกเป็นหลายสิบหลายร้อยนัด
ไม่รู้จะทำอย่างไร
เลยกดไม่ยั้ง ด้วยความเร็วในการถ่ายภาพต่อเนื่องของ 60D ที่ 5.3 ภาพต่อวินาที
ได้ยินแต่เสียงชัตเตอร์ดัง แชะๆๆๆ
.
.
.
.
ปุ๋งงง
.
.
.
.
ผ่างงงงงง
.
.
.
.
เสียงพลุสงบลง
คนเริ่มลงจากเขา
ไฟจะปิดตอนเที่ยงคืน
แต่การแสดงต่างๆ จะเลิกราวๆ 4 ทุ่ม
คืนนี้ตั้งใจจะไปนอนแถวนี้ พรุ่งนี้มีโปรแกรมจะไปสวนผึ้งกัน
พี่แตนอยากไปถ่ายรูปกับแกะ
ใครบางคนเพิ่งมาถึงหลังจากเสียงพลุนัดแรกดังขึ้น
ใครที่ว่าคือพี่หนุ่ยนั่นเอง
นัดพี่หนุ่ยที่ตีนเขา
รอพี่หนุ่ยที่ตีนเขา
ลาไปด้วยภาพหลอดไฟ
มาร่วมกันรำลึกถึงโทมัส อัลวาเอดิสัน ชายหัวหนวกผู้คิดค้นเปียโนกันเถอะ
ลงนาม
เป็ดสวรรค์
พบกันใหม่ ตอนใหม่ ขำจัง ไดอารี่จริง เขียนโดนใจ อย่าลืม
การแข่งขันทำให้เราพัฒนาครับ แต่อย่าจริงจังกับมันมาก เอาหนุกๆก็พอ เนอะ
Create Date : 28 เมษายน 2555 |
|
48 comments |
Last Update : 28 เมษายน 2555 1:21:07 น. |
Counter : 1855 Pageviews. |
|
|
|
รอโหลดภาพอันใหญ่โตมโหระทึก
แต่ก็ไม่เห็นอ่ะ เน็ทอืดมั่ก ๆ
พรุ่งนี้แวะมาดูใหม่จ้า
...
ฝันเดนะก๊าฟเพ่ ^^