Group Blog
 
<<
มีนาคม 2552
1234567
891011121314
15161718192021
22232425262728
293031 
 
19 มีนาคม 2552
 
All Blogs
 

ศิลปะการป้องกันโรคมะเร็งกระเพาะด้วยตนเอง



โรคมะเร็งกระเพาะอาหาร
โรคมะเร็งที่เกี่ยวข้องกับระบบการย่อยอาหารการกิน ที่เป็นกันมากในหมู่ชาวเอเชีย
หลังสงครามโลกครั้งที่สองหรือเพียงประมาณ 50 ปีที่ผ่านมา
สาเหตุหนึ่งมาจากการเปลี่ยนเมนูอาหารการกินของคนเอเชียที่ละทิ้งอาหารแบบพื้นบ้าน
หันมานิยมอาหารสมัยใหม่ที่เต็มไปด้วยการสังเคราะห์และอิทธิพลของเครื่องปรุงรสมากมาย
โดยเฉพาะอย่างยิ่งผงชูรสและน้ำตาลทรายขาว ซึ่งไม่เคยเป็นอาหารประจำวันของบรรพชนในอดีต

เคล็ดลับสำคัญของสาเหตุสำคัญของการนำไปสู่การเกิดโรคระบบย่อยอาหาร ก็คือ
คนเรามักไม่ชอบเคี้ยวอาหารให้ได้รับการคลุกเคล้ากินน้ำลาย การรับประทานอาหารเร็ว ไม่เคี้ยวให้ละเอียด
เป็นสาเหตุหลักขั้นต้นที่มนุษย์ทำลายวงจรกระบวนการย่อยสลายอาหารที่ธรรมชาติได้วางระบบอย่างเป็นขั้นตอน
ที่คนเรามองข้าม สภาวะความเป็นกรด-ด่างของน้ำย่อยตามจุดต่างๆ ของสายพานการลำเลียงอาหารจากปากสู่
กระพาะสู่ลำไส้ มีการควบคุมอัตโนมัติ โดยต่อมต่างๆ ที่หลั่งสารเพื่อช่วยให้ง่ายต่อการดูดซึมในลำไส้
น้ำตาลทรายที่มีปริมาณสูงกลายเป็นกลูโคสกระจายเข้าสู่เส้นเลือดเร็วเกินไปก่อนจะถึงกระเพาะ
ทำให้น้ำย่อยด่างที่หลั่งมาเพื่อย่อยอาหารรสหวานต้องมากเกินล้นลำไส้ ก็เพราะน้ำตาลไม่ได้เป็นน้ำตาลเชิงซ้อนที่
ร่างกายควรจะได้รับ ในขณะเดียวกัน ก่อให้เกิดอาการเลือดโลหิตจาง เพราะอาหารและเครื่องดื่มเป็นของเหลว
มากเกิน อาหารก็ได้รับการบดให้ป่นจนละเอียดจนกระเพาะไม่จำเป็นต้องย่อยก็แตกสลาย

ไอศกรีม โซดา แป้ง สุรา เบียร์ เครื่องดื่มชูกำลัง รวมทั้งยาเภสัชภัณฑ์ต่างๆ ซึ่งล้วนแต่เป็นปัจจัยหยิน
เป็นกรดอย่างสูงที่เกินความสามารถของร่างกายจะขจัด หรือนำไปใช้งานให้เป็นประโยชน์ต่อร่างกายได้

ในขณะเดียวกัน อาหารประเภทเนื้อสัตว์ที่เพิ่มปริมาณการบริโภคของคนเมืองในยุคปัจจุบัน
อาหารรสจัดพร้อมกับนม เนย และผลิตภัณฑ์ไขมันจากสัตว์กลายเป็นอาหารหลักในชีวิตประจำวัน
เป็นการเพิ่มภาระการย่อยและน้ำย่อยให้ทำงานหนักขึ้นทุกวัน

กระเพาะอาหารคนเรานั้น ทำงานสัมพันธ์ทั้งระบบควบคู่กับม้าม ตับ ตับอ่อน และถุงน้ำดีด้วย
จากสถิติของผู้ป่วยโรคมะเร็ง ในกระเพาะกล่าวว่า เมื่อใดเกิดโรคมะเร็งในกระเพาะ
เราอาจทราบสาเหตุของโรคได้ โดยวินิจฉัยจากตำแหน่งของกระเพาะ เช่น
ถ้าเป็นแผลหรือมีอการผิดปกติส่วนบนใกล้ปากทางเข้าช่วงต้น
สาเหตุเป็นปัจจัยหยินมากเกินจากอาหารที่รสหวาน น้ำตาล สารปรุงรส ผงชูรส สารกันบูดหรือสารตัวเร่งในอาหารสัตว์
หากส่วนกลางกระเพาะ สาเหตุมักมาจากแอลกอฮอล์ สุรา เบียร์
และหากมีอาการผิดปกติในส่วนล่างสุด หรือปลายกระเพาะ ใกล้ลำไส้มักเกิดจากปัจจัยหยาง
อาการหนักเช่น เนื้อสัตว์ ไขมันสัตว์ ไส้กรอก หมูแฮมที่มีรสเค็มรวมอยู่ด้วย

วิธีการตรวจเช็กสุขภาพตนเองเกี่ยวกับสุขภาพของกระเพาะให้ สังเกตริมฝีปากส่วนบนใต้ปลายจมูก
โดยแพทย์จีนถือว่าสภาพปากกับระบบย่อยอาหารสะท้อนอาการซึ่งกันและกัน
ริมฝีปากล่างสะท้อนสภาพลำไส้เล็ก และปลายคางลำไส้ใหญ่ เมื่อใดที่บริเวณปากมีอาการ ผิดปกติ มีสิว มีแผล
ผิวหนังแตกง่าย ริมฝีปากบวม หรือบางครั้งมีสีคล้ำหรือเขียวผิดปกติ แสดงว่า
เป็นอาการของสภาพความเป็นกรดสูงในระบบย่อยอาหาร อันเนื่องจากการรับประทานอาหารที่อบแห้ง
เนื้อย่างย่อยยาก บวกกับน้ำผลไม้ ผลิตภัณฑ์ไข่ไก่ นม เนย ไขมันสูง ผลักดันให้กระเพาะมีอาการผุพองภายในเป็น
แผลจากรสจัด และความเป็นกรดแรง ฝี สิว ฝ้า บริเวณปากใกล้จมูก เป็นบริเวณที่เราควรหมั่นสังเกตอาการผิดปกติ
และควรระลึกถึงการป้องกัน โดยการลดหรือเลี่ยงอาหารประเภทที่ได้กล่าวมาแล้ว

ทั้งนี้ยังรวมไปถึงอาการผิดปกติของลิ้นในปาก หากมีสีผิดปกติ
สีแดงคล้ำแสดงว่า ภายในอักเสบกระเพาะอาจเป็นแผล สีขาว เหลือง แสดงว่ามีไขมัน อุดตันในกระเพาะลำไส้สูง
รวมทั้งเป็นเสลดหรือเมือกข้นแข็งเกาะเป็นคราบบริเวณกระเพาะ
สีน้ำเงินหรือม่วง แสดงว่ามีปริมาณน้ำตาลที่เป็นกรดอยู่สูง น้ำอัดลม สุรา เบียร์ ยาเม็ด
สารสังเคราะห์สะสมในร่างกายมากเกิน
ถ้าลิ้นพองมีอาการเป็นเม็ดเล็กๆ กระจายเป็นผื่นตามลิ้น รูปร่างคล้ายดอกเห็ด แสดงว่าภายในร้อนอักเสบเป็นแผล
ทำให้เกิดอาการอาเจียน อาหารไม่ย่อยบ่อย กระเพาะอ่อนแอ


อาหารที่ควรหลีกเลี่ยงของคนที่สงสัยเป็นโรคกระเพาะ ก็คือ
ผลไม้ น้ำผลไม้คั้น เพราะผลไม้มีน้ำตาลเป็นกรดสูง ไม่ผ่านไฟเป็นของเหลว
เป็นหยินทำให้ร่างกายเย็นเกิน ผลไม้ประเภทแตง ควรงดเด็ดขาด

ในขณะเดียวกัน อาหารทะเล กุ้ง หอย ปู ปลาก็ควรงด อาหารทะเลสดให้งดเด็ดขาด เพราะจัดว่าหยินมาก
อาหารทะเลสัตว์ในทะเลล้วนสะสมพลังหยินจากทะเลสูง

ถั่วต่างๆ ที่มีไขมันสูงควรเลี่ยง และควรงดที่สุดคือ เม็ดมะม่วงหิมพานต์ย่อยยาก ไขมันสูง

วิธีป้องกันตนเองคือ เพิ่มปริมาณข้าวกล้องมากขึ้น
เวลารับประทานหมั่นเตือนตัวเองให้เคี้ยวคำละอย่างน้อย 50 ครั้งขึ้นไป ก่อนจะกลืนเสมอ
และสิ่งที่ควรจำใส่ใจต้องไม่รับประทานอาหารหนักก่อนนอนหรือกลางคืนดึก
ก่อนนอน 3 ชม.ควรงดอาหารทุกชนิด และวิธีที่ควรปฏิบัติก็คือการอดอาหารเมื่อรู้สึกกระเพาะผิดปกติ
หากเราให้ความสนใจกับกระเพาะมากขึ้น เราอาจจะสามารถหลีกเลี่ยงโรคภัยที่จะตามมาภายหลังได้
โดยการป้องกัน โดยความไม่ประมาทและพึงระลึกเสมอว่า
เราควรบริโภคอาหารที่เป็นประโยชน์ต่อสุขภาพระยะยาวมากกว่าการเลือกรับประทาน แค่เฉพาะความอร่อยเท่านั้น


ระบบย่อยอาหาร กระเพาะอาหาร
ระบบการย่อยอาหารถือเป็นระบบหนึ่งที่มีความสำคัญต่อร่างกายที่มีลักษณะเป็นอวัยวะกลวงทั้งระบบที่เริ่มต้นจาก
ปากลงสู่ปลายทวาร โดยมีศูนย์กลางอยู่ที่กระเพาะอาหารที่มีตำแหน่งใหญ่อยู่กลางลำตัวของคนเรา
ระบบย่อยอาหารนี้แต่เดิมเคยเป็นส่วนหยางที่อยู่ลึกภายในศูนย์กลางของมดลูกในช่วงเราเป็นทารก
แต่เมื่อหลังจากคลอดแล้ว ระบบย่อยอาหารล่างนี้กลับกลายเป็นอวัยวะหยินที่อยู่ด้านหน้าของลำตัว
โดยทางกลับกันกับกระดูกไขสันหลัง

ดังนั้น ทั้งสองระบบคู่นี้จึงทำงานเชื่อมโยง และสัมพันธ์กันและเป็นคู่ขนานกันทั่วตัว
ในขณะที่ส่วนบนของสมองเป็นลักษณะลำไส้ขดแน่นเหมือนกับส่วนย่อของลำไส้ใต้ กระเพาะอาหารส่วนล่าง
อาจกล่าวได้ว่า สมองคือลำไส้ ส่วนบนในศีรษะ และลำไส้เล็กส่วนล่างก็คือ สมองในการย่อยสารอาหารหนัก
สมองย่อยคลื่นอาหารที่เป็นความนึกคิด แพทย์จีนให้ความสำคัญต่อกระเพาะ เพราะตั้งอยู่ใกล้บริเวณ ขี่ ไฮ่ หรือ
ทะเลศูนย์กลางของพลังภายใน ญี่ปุ่นเรียก ฮาร่า หน้าท้องควรอบอุ่นอยู่เสมอ
การขัดเข็มขัดหรือคาดผ้าขาวม้า ถือเป็นการปกป้องร่างกายสุขภาพไว้ระดับหนึ่ง ในขณะเดียวกัน
ระบบย่อยอาหาร ก็สัมพันธ์เชื่อมโยงทำงานควบคู่กับระบบหายใจ ปอด หัวใจ ที่เป็นผู้ควบคุมการหมุนเวียนโลหิต
และย่อยอาหารประเภทอากาศ ลมหรือพลังลมปราณที่ทำหน้า ที่ขับดันเลือดไปเลี้ยงทั่วร่างกาย

เมื่อทุกครั้งที่เราอ้าปากรับประทานอาหารเข้าสู่ปาก ฟันเคี้ยวขึ้นลง เป็นการเริ่มการทำงานของเครื่องยนต์
โดยมีฟันที่มีระบบเส้นประสาท เชื่อมโยงกับสมองและกระดูกสันหลัง
ทุกครั้งที่เราเคี้ยวอาหารเป็นการเปิด ปิดจังหวะของลูกสูบ วาล์วเครื่องยนต์ที่กระตุ้นการทำงานทุกอวัยวะทั่วร่างกาย
น้ำลายมีค่าเป็นความกรด-ด่างที่ PH 7.2 หรือเป็นด่างเล็กน้อย
การเคี้ยวคลุกน้ำลายจึงเป็นการเคลือบสารอาหารก่อนลงสู่กระเพาะให้มีค่าเป็นด่าง เมื่ออาหารที่ผ่านน้ำลายเป็นด่าง
ทำให้สภาวะในกระเพาะเป็นด่างแล้ว ปลายส่วนล่างกระเพาะเชื่อมต่อลำไส้เล็ก จะมีอาการหดตัวปิดปากท่อโดย
อัตโนมัติ เพราะรองรับการเป็นกรดจากน้ำย่อยที่ไหลออกจากกระเพาะซึ่งเต็มไปด้วยต่อมน้ำย่อยเล็กๆ กว่า 30
ล้านต่อม ที่ผลิตน้ำย่อย 2 ชนิดคือ เปปซิน (หยาง) ซึ่งผลิตและกลั่นเรียกต่อมก๊าซตริก
(Gastric Gland) ส่วนน้ำย่อยมีประเภทหนึ่งคือกรดไฮโดรคลอริก (หยิน)ที่มีสภาพความเป็น
กรดสูงกว่า ผลิตโดยต่อมรูปสามเหลี่ยมซึ่งหนาแน่นอยู่ตอนบนของกระเพาะอาหารมีความเป็นกรด ถึง pH1.5
น้ำย่อยในกระเพาะจึงมีธรรมชาติเป็นกรดกับด่างสลับกันไปมา
เพื่อปรับดุลอาหารให้เหมาะสมกับการสกัดเป็นวัตถุดิบสร้างเม็ดเลือดในลำไส้ ต่อไป จึงเห็นได้ว่าระบบย่อยอาหาร
เป็นการวางระบบกรด-ด่าง หยิน-หยาง โดยธรรมชาติไว้อย่างเหมาะสมจากปาก น้ำลายเป็นด่าง (หยาง)
ลงสู่กระเพาะ น้ำย่อยเป็นกรด (หยิน) ต่อมาตับอ่อนผลิตน้ำย่อยเป็นด่าง (หยาง) เพื่อปรับดุลแต่ย่อยสลาย
ละลายไขมันก่อนจะลงไปสู่ลำไส้เล็กที่มีน้ำย่อยหลั่งออกมาเป็นกรด หลังจากอาหารจากกระเพาะเปลี่ยนสภาวะกรด
-ด่างคลุกเคล้าจนสลายได้ที่เส้นรากฝอยในลำไส้เล็กก็จะดูดซึมผ่านเข้าสู่ลำไส้สู่กระบวนการผลิตเม็ดเลือดแดง

จะเห็นได้ว่า ระบบย่อยอาหารนั้นถูกควบคุมโดยธรรมชาติของสภาวะความเป็น กรด-ด่างที่พอเหมาะ
เมื่อใดอาหารเป็นกรด ปลายท่อจากกระเพาะสู่ลำไส้ก็จะเปิดโดยอัตโนมัติ และปิดเมื่อสภาวะกลับเป็นด่างอีก
อาหารพวกแป้งจะย่อยในปากโดยน้ำลาย อาหารจำพวกเนื้อสัตว์ โปรตีน จะถูกย่อยในกระเพาะที่เป็นกรด
ส่วนอาหารประเภทไขมันจะใช้เวลาย่อยนานที่สุด และการย่อยเกิดขึ้นในลำไส้เล็ก

ดังนั้น อาหารแต่ละชนิดจะใช้เวลาในการบดย่อยในร่างกายช้าหรือเร็ว ตามแต่เมนูอาหาร
เมื่อใดที่เรารับประทานอาหารมากเกิน รับประทานเนื้อมาก หากไม่ได้รับการย่อยที่เหมาะสม
จะก่อให้เกิดเชื้อแบคทีเรีย พยาธิ และจุลินทรีย์ที่เป็นสาเหตุนำไปสู่การเกิดโรคได้ในที่สุด

อาการที่แสดงถึงอาจมีพยาธิในลำไส้คือ
1. อ่อนเพลียง่าย เหนื่อยอ่อนไม่มีเรี่ยวแรง
2. รู้สึกหิวบ่อย ชอบทานจุกจิก ไม่ค่อยจะรู้สึกอิ่ม
3. บางครั้งอาจนำไปสู่การมีอาการเลือดโลหิตจาง
4. มีอาการอารมณ์เสียบ่อย โมโหร้าย ชอบร้องตะโกน
5. บางคนมีอาการชอบกัดเล็บ และจะเกิดอาการเล็บหยาบแตกเป็นคลื่น
6. บางครั้งมีสีเหลืองบริเวณขอบตาขาวใกล้ดั้งจมูกมักแสดงว่า มีพยาธิในลำไส้
7. สังเกตจากอุจจาระมักจะกลิ่นแรง เพราะความเป็นกรดสูง วิธีแก้การมีพยาธิในลำไส้คือ
ให้นำข้าวสารดิบมาตำให้แหลกเกือบละเอียด และนำมาเคี้ยวเปล่าๆ กับน้ำลายเวลาหิวจัด
พร้อมกับดื่มน้ำชาควบคู่กันไป จะช่วยขับพยาธิออกมาโดยเร็ว


โดย สายัณห์ เล็กอุทัย
ที่มา ผู้จัดการ




 

Create Date : 19 มีนาคม 2552
2 comments
Last Update : 19 มีนาคม 2552 12:47:40 น.
Counter : 912 Pageviews.

 

very good things for every person in the world.thank you.

 

โดย: dong-buriram IP: 125.26.109.66 20 กันยายน 2552 7:17:11 น.  

 

ขอบคุณมากได้รับความรู้มากจริง ข้าพเจ้าเป็นคนหนึ่งที่สงสัยตนเอง เพราะชอบปวดท้องเป็นประจำ ได้อ่านแล้วมีประโยชน์มากจ้ะ

 

โดย: เพื่อน มติ IP: 113.53.88.132 17 ธันวาคม 2553 20:01:53 น.  

ชื่อ :
Comment :
  *ใช้ code html ตกแต่งข้อความได้เฉพาะสมาชิก
 


ทุกคนไม่ได้รู้ทุกสิ่ง
Location :


[ดู Profile ทั้งหมด]

ฝากข้อความหลังไมค์
Rss Feed
Smember
ผู้ติดตามบล็อก : 200 คน [?]




Friends' blogs
[Add ทุกคนไม่ได้รู้ทุกสิ่ง's blog to your web]
Links
 

 Pantip.com | PantipMarket.com | Pantown.com | © 2004 BlogGang.com allrights reserved.