โรคอีสุกอีใสและการป้องกัน
อีสุกอีใสเป็นโรคที่ติดต่อได้ง่าย เกิดจากเชื้อไวรัสที่มีชื่อว่า ไวรัสวาริเซลลา เป็นเชื้อไวรัสชนิดเดียวกับที่ทำให้เกิดงูสวัด อาการของเด็กที่เป็นจะมีไข้ต่ำ อ่อนเพลียและเบื่ออาหาร ส่วนผู้ใหญ่มักจะมีไข้สูง มีอาการปวดเมื่อยตามเนื้อตัวคล้ายเป็นไข้หวัด และจะมีผื่นขึ้นพร้อมๆ กับวันที่เริ่มมีไข้ หรือ 1 วันหลังมีไข้ โดยในระยะแรกจะเป็นผื่นแดงราบก่อน ต่อมาจะกลายเป็นตุ่มนูน มีน้ำใสๆ และคัน ต่อมาอีก 2-3 วันก็จะตกสะเก็ด ผื่นและตุ่มเหล่านี้จะขึ้นตามไรผมก่อนแล้วกระจายไปตามใบหน้าและลำตัว แผ่นหลัง บางคนจะมีตุ่มขึ้นในช่องปากทำให้ปากและลิ้นเปื่อย จะเกิดอาการเจ็บคอ บางคนอาจไม่มีไข้ มีเพียงผื่นและตุ่มขึ้นเท่านั้น ผื่นจะขึ้นมากที่สุดที่ใบหน้าและลำตัว เด็กวัยรุ่นและผู้ใหญ่มักจะมีอาการรุนแรงและมีตุ่มขึ้นมากกว่าเด็ก โดยทั่วไปผื่นหายได้โดยไม่มีแผลเป็น ยกเว้นมีเชื้อแบคทีเรียมาแทรกซ้อน เนื่องจากผื่นและตุ่มที่ขึ้นนี้จะค่อยๆขึ้นทีละระลอก ไม่ขึ้นพร้อมกันทั่วร่างกาย บางทีจะขึ้นเป็นผื่นแดงราบ บางทีขึ้นเป็นตุ่มน้ำใสๆ บางทีขึ้นเป็นตุ่มกลัดหนอง และบางทีเริ่มตกสะเก็ด จึงทำให้คนสมัยก่อนเรียกโรคนี้ว่า อีสุกอีใส โรคนี้เมื่อหายแล้วมักจะมีเชื้อหลบอยู่ที่ปมประสาท ซึ่งอาจจะออกมาเป็น งูสวัดในภายหลังได้ โรคอีสุกอีใสติดต่อโดยการสัมผัสถูกตุ่มน้ำโดยตรงหรือ สัมผัสถูกของใช้ เช่น แก้วน้ำ ผ้าเช็ดหน้า ผ้าเช็ดตัว ผ้าห่ม ที่นอน ที่เปื้อนสิ่งคัดหลั่งจากตุ่มน้ำของคนที่เป็นอีสุกอีใสหรืองูสวัด หรือสูดหายใจเอาละอองของตุ่มน้ำ ผ่านเข้าทางเยื่อเมือก โรคนี้มีระยะฟักตัว โดยผู้ป่วยจะมีอาการของโรคภายหลังรับเชื้อ 10-20 วัน
โดยทั่วไป โรคนี้มักจะระบาดในช่วงปลายฤดูหนาวถึงต้นฤดูร้อนเช่นเดียวกับหัด แต่ก็พบได้ประปรายตลอดทั้งปี โดยมากจะพบในกลุ่มเด็กอายุระหว่าง 5-12 ปี รองลงมาจะเป็นกลุ่มเด็กอายุ 1-4 ปี กลุ่มวัยรุ่น และวัยหนุ่มสาวตามลำดับ การดูแลรักษา โรคอีสุกอีใสอาจแบ่งได้เป็น 2 ส่วน คือ
1. การดูแลทั่วไป โรคอีสุกอีใสเป็นโรคที่ไม่รุนแรง เนื่องจากเป็นโรคที่หายเองได้ โดยอาจจะมีไข้อยู่เพียงไม่กี่วัน ส่วนตุ่มจะตกสะเก็ดและค่อยๆหายใน 1-3 สัปดาห์ ผู้ป่วยจึงควรพักผ่อน และดื่มน้ำมากๆ ถ้ามีไข้สูงใช้ยา พาราเซตามอล เพื่อลดไข้ได้ ไม่ควรใช้ แอสไพริน เพราะอาจทำให้เกิดอาการแทรกซ้อนทางสมองและตับ ทำให้ถึงตายได้ ผู้ป่วยควรอาบน้ำและใช้สบู่ฟอกผิวหนังให้สะอาด การใช้น้ำสะอาดหรือ น้ำเกลือประคบจะช่วยทำให้รู้สึกสบายตัวขึ้น ควรตัดเล็บมือให้สั้นและหลีกเลี่ยงการแกะเกา เพราะอาจทำให้ติดเชื้อได้ ในรายที่คันมากๆ อาจให้ยาแก้คัน เช่น คลอเฟนิรามีน ช่วยลดอาการคันได้
ข้อควรระวังคือการดูแลในผู้ใหญ่ ซึ่งอาจจะมีอาการรุนแรงกว่า เช่น เป็นไข้หรือ แผลมีการติดเชื้อหรือมีอาการคันรุนแรง หรือมีโรคแทรกซ้อนอื่นๆ เช่น อาการปอดบวมจาก เชื้อไวรัส ควรอยู่ในความดูแลอย่างใกล้ชิดของแพทย์เพื่อความปลอดภัย 2. การรักษาแบบเจาะจง คือการใช้ยาต้านเชื้อไวรัสอีสุกอีใส ซึ่งควรจะให้ในระยะเวลา 24-48 ชั่วโมง หลังมีผื่นขึ้น ซึ่งเชื่อว่าการที่สามารถให้ยาได้ทันและมีปริมาณพอเพียง ในช่วงนี้สามารถทำให้การตกสะเก็ดของแผล ระยะเวลาของโรคสั้นลง การทำให้แผลตกสะเก็ดเร็วขึ้น ทำให้โอกาสการเกิดแผลติดเชื้อหรือแผลที่ลึกมากน้อยลง ดังนั้น แผลเป็นแบบหลุมก็น้อยลงด้วย อย่างไรก็ตามยาในกลุ่มนี้ก็มีราคาแพงมาก การพิจารณาเลือกใช้ยากลุ่มนี้ จึงควรอยู่ในดุลยพินิจของแพทย์และของผู้ป่วย
สิ่งที่สำคัญที่สุดคือ การดูและผิวในระยะ ที่มีผื่นอย่างถูกต้อง เช่น ทำความสะอาดแผลให้ปราศจากสิ่งสกปรกหรือ ป้องกันการแทรกซ้อนของเชื้อแบคทีเรีย ผู้ป่วยสามารถกินยาเขียววันละ 3 ครั้ง ๆละ 7 ถึง 10 เม็ด
ในผู้ป่วยกลุ่มนี้อาการแทรกซ้อนที่พบบ่อย คือ การติดเชื้อแบคทีเรียแทรกซ้อนบนผิวหนัง ทำให้กลายเป็นหนองและมีแผลเป็นตามมา ในบางรายเชื้อแบคทีเรียที่แทรกซ้อนอาจกระจายเข้าในกระแสเลือดทำให้เกิดภาวะโลหิตเป็นพิษและปอดบวมได้ ในผู้ใหญ่ที่มีภูมิต้านทานต่ำ เช่นได้รับยารักษามะเร็ง หรือ สเตอรอยด์ เชื้ออาจจะกระจายไปยังอวัยวะภายในเช่น สมอง ปอด ตับ ได้ จึงต้องระมัดระวังมากขึ้นในผู้ป่วยเหล่านี้
เราสามารถป้องกันการเป็นโรคอีสุกอีใสได้โดยไม่คลุกคลีกับผู้ป่วย ควรแยกผู้ป่วยออกต่างหาก ไม่ใช้ข้าวของปะปนกัน เพื่อป้องกันการติดต่อ โดยระยะแพร่เชื้อจะเริ่มตั้งแต่ 24 ชม.แรกที่ผื่นขึ้นไปจนถึงระยะ ที่ผื่นหรือตุ่มแห้งหมด ซึ่งใช้เวลาประมาณ 6-7 วัน นอกจากนี้ควรพักผ่อนให้เพียงพอและดื่มน้ำมากๆ ด้วยค่ะ สมัยก่อนมีความเชื่อว่าโรคอีสุกอีใสเป็นโรคที่จะเกิดขึ้นกับทุกๆ คน ในช่วงหนึ่งช่วงใดของชีวิต เช่นเดียวกับหัด แต่เดี๋ยวนี้มีวัคซีนป้องกันโรคอีสุกอีใสที่ได้รับการยอมรับอย่างแพร่หลายในหลายๆ ประเทศ เช่น สหรัฐอเมริกาและ ญี่ปุ่น ในประเทศไทย วัคซีนนี้มีราคาค่อนข้างสูง และพบว่าครึ่งหนึ่งของอีสุกอีใสเป็นในเด็กอายุต่ำกว่า 10 ปี ซึ่งมักมีอาการไม่รุนแรง จึงยังไม่กำหนดให้เป็นวัคซีนที่บังคับฉีดในเด็กไทย
แต่มีข้อแนะนำ สำหรับเด็กไทยที่อายุอยู่ในช่วง 10-12 ปี ถ้ายังไม่เคยเป็นอีสุกอีใสมาก่อน ก็น่าจะได้รับการฉีดวัคซีนป้องกันโรคอีสุกอีใส โดยการฉีดวัคซีนเพียงเข็มเดียว แต่สำหรับผู้ที่มีอายุตั้งแต่ 13 ปีขึ้นไปต้องได้รับวัคซีน 2 เข็มใน ระยะห่าง 4-8 สัปดาห์ จึงเพียงพอที่จะกระตุ้นให้สร้างภูมิต้านทานได้สูงพอที่จะป้องกันโรค ส่วนผู้ที่เคยเป็นอีสุกอีใสมาแล้ว จะมีภูมิต้านทานตามธรรมชาติอยู่แล้วไม่ต้องฉีดวัคซีนอีก โรคอีสุกอีใสกัน แม้จะเป็นโรคที่ไม่รุนแรงและหายเองได้ แต่ก็ควรป้องกันภาวะแทรกซ้อน ตามวิธีที่แนะนำนะค่ะ
ผศ. ดร. นิภาวรรณ สามารถกิจ
แหล่งอ้างอิง สุรเกียรติ อาชานานุภาพ. อีสุกอีใส. นิตยสารหมอชาวบ้าน ปีที่ 25 ฉบับที่ 296.
Create Date : 18 มีนาคม 2552 |
|
7 comments |
Last Update : 18 มีนาคม 2552 15:11:00 น. |
Counter : 4676 Pageviews. |
|
|
|