เลขเด็ด เลขดัง กาน้อย

ติดตามข้อมูลเว็บทาง Google+ กด
FaceBook สาว ๆ เซ็กซี่

แฉเส้นทาง “ไอ้คำ” ค้า “ขนมนรก” อีกหนึ่งความร่ำรวยก่อนเป็นพระดัง



ทีมข่าวพิเศษของ “ASTVผู้จัดการ” ลงพื้นที่จังหวัดศรีสะเกษ และพื้นที่ใกล้เคียงเพื่อตอบปัญหาของสังคมในประเด็นต่างๆ เกี่ยวกับบุคคลที่อ้างตัวว่าเป็น “หลวงปู่เณรคำ ฉัตติโก” และได้พบแง่มุมใหม่ๆ ที่คาดไม่ถึง โดยจะนำเสนอเรื่องราวทั้งหมดอย่างต่อเนื่อง

เจาะเส้นทางค้า “ขนมนรก” กับ “พ.ท.ยี่เซ” อีกเส้นทางหนึ่งที่สร้างความร่ำรวยให้แก่ “ไอ้คำ” ก่อนที่จะผันตัวเองไปเป็นพระดัง พระอริยะอุปโลกน์ปั้นเรื่องราวหลอกลวงสูบเงิน สูบทองจากญาติโยม แล้วนำเงินจากขบวนการค้าขนมนรกมาฟอกเข้าในระบบบัญชี ก่อนปล่อยให้ลูกสมุนที่เป็นศิษย์รับช่วงทำต่อ เชื่อ “ไอ้คำ” มีระดับบิ๊กหนุนหลัง

“8 ฐานความผิด” ที่นายธาริต เพ็งดิษฐ์ อธิบดีกรมสอบสวนคดีพิเศษ (ดีเอสไอ) นายนพรัตน์ เบญจวัฒนานันท์ ผอ.สำนักพระพุทธศาสนาแห่งชาติ (พศ.) นายภิญโญ จอมผา นักสืบสวนสอบสวนสำนักงานป้องกันและปราบปรามการฟอกเงิน (ปปง.) นพ.วรวีร์ ไวยวุฒิ ผอ.สำนักตรวจพิสูจน์ทางชีววิทยา สถาบันนิติวิทยาศาสตร์ พร้อมด้วยตัวแทนสำนักงานคณะกรรมการป้องกันและปราบปรามยาเสพติด (ป.ป.ส.) และกองปราบปราม ให้ดำเนินคดี 8 ข้อหาแก่พระวิรพล ฉัตติโก หรือหลวงปู่เณรคำ

ประกอบด้วย 1.การใช้สื่อสารสนเทศลงโฆษณาอันเป็นเท็จ น่าจะก่อให้เกิดความเสียหายต่อสาธารณชน ถือเป็นความผิดตาม พ.ร.บ.คอมพิวเตอร์ มาตรา 14 เกี่ยวกับการนำเข้าข้อมูลอันเป็นเท็จ เนื่องจากมีการอ้างว่าได้เข้าเฝ้าพระอินทร์ ซึ่งพระอินทร์ สั่งให้สร้างพระแก้วมรกตองค์ใหญ่ ดีเอสไอวิเคราะห์เห็นว่าความผิดสำเร็จแล้ว

       2.กรณีการกระทำชำเราเด็กหญิง และพรากผู้เยาว์ ซึ่งเป็นความผิดอาญามาตรา 277 และมาตรา 317 วรรคสาม

       3.กรณีที่หลวงปู่เณรคำกับพวกมีพฤติกรรมหลบเลี่ยงภาษีรถหรู เบื้องต้นพบรถต้องสงสัย 9 คัน มีทั้งยี่ห้อบีเอ็มดับเบิลยู, มินิคูเปอร์, นิสสันรุ่นซิโซโร่ เชื่อว่าน่าจะมีการนำออกไปยังประเทศเพื่อนบ้าน และรถเบนซ์อีกจำนวนหนึ่งที่ซื้อใน จ.อุบลราชธานี

4.กรณีเสพยาเสพติดให้โทษ

       5.การแสดง และใช้วุฒิการศึกษาเท็จว่าจบด็อกเตอร์จากมหาวิทยาลัยสันติภาพโลก โดยเข้าข่ายความผิดตาม พ.ร.บ.สถาบันอุดมศึกษา

       6.คดีฆ่าคนตายโดยประมาทจากการขับรถชนคนตาย

       7.ความผิดฐานฟอกเงินกรณีการเบียดบังเงินบริจาคไปซื้อทรัพย์สินและนำเงินไปฝากในต่างประเทศ และ 8.การอวดอุตริ อภินิหาร โดยหลังจากดีเอสไอรับเป็นคดีพิเศษแล้วจะประสานกองปราบฯ ให้ส่งสำนวนที่สืบสวนมาอยู่ในความรับผิดชอบของดีเอสไอ นั้น

ในความผิดที่ 4 คือ “กรณีเสพยาเสพติดให้โทษ” นั้นถือได้ว่า มีความสำคัญอย่างยิ่งที่เจ้าหน้าที่ดังกล่าวข้างต้นจะมองข้ามไม่ได้เด็ดขาด เพราะแท้ที่จริงนายวิรพล สุขผล หรือ “ไอ้คำ” คนนี้มันร่ำรวยมาได้เพราะมันขาย “ขนมนรก” ซึ่งมันไม่ได่ร่ำรวยมาจากแรงศรัทธากันที่ไหนเลย

แฉ “บักคำ” ค้าขนมนรกจนร่ำรวย

       แหล่งข่าวระดับสูงเจ้าหน้าที่ท่านหนึ่ง เปิดเผยถึงเส้นทางความร่ำรวยของ นายวิรพล ชุมพล หรือ “ไอ้คำ” ว่า ความจริงนั้นไอ้คำ ไม่ได้ร่ำรวยมาจากแรงศรัทธามหาศาลที่ไอ้คำ และทีมงานอุปโลกน์สร้างขึ้นมาตบตาหลอกลวงญาติโยม และประชาชน การสร้างภาพเรียกแรงศรัทธานั้นเป็นเพียงส่วนประกอบในการ “ฟอกเงิน” จากการค้า “ขนมนรก” ก็คือยาเสพติดเกือบจะทั้งสิ้น โดยอุปโลกน์ตัวเลขขึ้นมาว่า มีญาติโยมถวายเงินให้ครั้งละจำนวนมาก 20 ล้านบาทบ้าง 30 ล้านบาทบ้าง หรือ 50 ล้านบาทบ้าง รวมทั้งการแต่งตัวเลขยอดทอดกฐิน ผ้าป่าสามัคคีจาก 1 ล้านบาท เป็น 10 ล้านบาท จาก 10 ล้านบาท เป็น 100 ล้านบาท มาเป็นภาพลวงตาบังหน้าในการฟอกเงินจากการค้า “ขนมนรก” เท่านั้น

       สำหรับเส้นทางการค้า “ขนมนรก” ของ ไอ้คำ แหล่งข่าวคนเดียวกันคนนี้บอกว่า ไอ้คำ มันทำมานานแล้ว ก่อนที่มันจะกลายมาเป็นพระดัง พระอริยะเสียอีก ซึ่งหลังจากที่มันสร้างภาพตัวมันจนดังแล้ว ค้าขนมนรกจนรวยแล้ว มันก็เริ่มวางมือแล้วให้ลูกสมุนที่เป็นลูกษ์ของมันรับช่วงทำต่อโดยมันเป็นนายทุนให้ แต่ก็ต้องแบ่งปันผลประโยชน์ให้แก่มัน

โดยไอ้คำ มันค้าขนมอยู่ 2 ประเภทคือ ขนม “ตราสิงห์เหยียบโลก” กับ “น้ำแข็ง” หรือ “ไอซ์” ส่วน “ขนมเม็ด” นั้นมันไม่ทำ มันจะให้ลูกศิษย์ทำ ซึ่งที่ผ่านมา เจ้าหน้าที่สำนักงานปราบปรามยาเสพติดสหรัฐอเมริกา (ดีอีเอ) ก็เคยจับตามันอยู่ แต่ไม่สามารถทำอะไรกลุ่มขบวนการนี้ได้ เช่นเดียวกับเจ้าหน้าที่สำนักงานคณะกรรมการป้องกันและปราบปรามยาเสพติด (ป.ป.ส.) ของไทย ซึ่งก็ทำอะไรมันไม่ได้เช่นกัน

       สำหรับขนมนรก ที่ ไอ้คำ มันค้านั้น จะถูกลำเลียงมาจากทางภาคเหนือของไทยผ่านมาทางประเทศเพื่อนบ้าน โดยขนมนรกทั้งหมด ทั้ง “ตราสิงห์เหยียบโลก” กับ “น้ำแข็ง” ฝ่าย พ.ท.ยี่เซ อดีตสมุนคนสำคัญของขุนส่า เป็นฝ่ายจัดหามาให้ โดยลักลอบลำเลียงมาจากทางภาคเหนือของไทย ลงไปยังประเทศเพื่อนบ้านทาง จ.อุบลราชธานี และ จ.มุกดาหาร

       ส่วนสาเหตุที่มันไม่ยอมลำเลียงผ่านมาทางภาคเหนือ เพราะเส้นทางนั้น “เจ้าที่มันแรง” มันก็เลยต้องเอามาเข้าเส้นทางนี้ เพราะเส้นทางภาคเหนือเขามีเจ้าที่เดิมเขาอยู่

แฉ “พ.ท.ยี่เซ” จัดหาขนมนรกให้ไอ้คำ

       สำหรับการลำเลียงจะทำกันในหลายรูปแบบเป็นขบวนการใหญ่ โดยจะทำการเป็นลักษณะล็อตใหญ่ด้วยการซุกมาในท่อนซุง โดยอาจจะใช้วิธีการผ่าไม้ซุงแล้วยัดขนมลงไปแล้วนำมาพักไว้ที่ทางตอนใต้ของประเทศเพื่อนบ้าน ซึ่งเมื่อก่อนนั้นจะมีการชักลากไม้ซุงเข้ามาเป็นจำนวนมาก ทั้งจากประเทศกัมพูชา และลาว แล้วมาผ่านขบวนการด่านศุลกากรเข้ามาทางด้าน จ.อุบลราชธานี และ จ.มุกดาหาร แต่ส่วนใหญ่ไม้ซุงจะเข้าทางด้าน จ.อุบลราชธานี มากกว่า

       โดยไม้ซุงทั้งหมดจะมาเป็นท่อนๆ มีทั้งแบบชักลากผ่านรถชักลากขนาดใหญ่ ส่วนหนึ่งก็เป็นท่อนซุงเหมือนกันแต่จะตัดสั้นแล้วขนใส่ตู้คอนเทนเนอร์มา โดยมีการใส่ปะปนกันมา โดยนำเข้ามาทีละมากๆ ทำให้เจ้าหน้าที่ตรวจจับกันได้ยาก เพราะเจ้าหน้าที่ไม่รู้ว่าท่อนไหนแอบซุกยานรกเข้ามา เพราะการนำเข้ามามีจำนวนมาก เป็นตู้ๆ อีกทั้งไม้ซุงนี้ก็เป้นไม้ระหว่างชาติ หน่วยงาน ดีอีเอ ของอเมริกา และเจ้าหน้าที่ของไทยมีการเฝ้าจับตามานานแล้ว แต่มันไม่ได้หลักฐานชัดเจน เพราะการจะตรวจยึดนั้นมันต้องผ่าออกมาดู สำหรับไม้ซุงพวกนี้จะมีการนำลงเรือปลายทางอยู่ที่กลุ่มประเทศละตินอเมริกา

“ไอ้คำ มันค้าขนมนรก กับ พ.ท.ยี่เซ มานานกว่า 10 ปีแล้ว โดยจะไปซื้อขนมนรกมาจากกลุ่มสมุนของ พ.ท.ยี่เซ ที่เป็นพวกจีนฮ่อ ซึ่งกลุ่มพวกจีนฮ่อนี้จะเข้ามาบริเวณชายแดนประเทศเพื่อนบ้านของเราในลักษณะพ่อค้าไม้จากภาคเหนือ มาทำไม้อยู่ทางตอนใต้ประเทศเพื่อนของเรา แล้วนำไม้เข้ามาในประเทศไทย ผ่านด่านศุลกากรอย่างถูกต้องแล้วก็นำลงเรือส่งออกพื้นที่เป้าหมาย โดยผ่านออกทางอ่าวไทย” แหล่งข่าวผู้นี้ระบุ

       แหล่งข่าวคนเดียวกันนี้เปิดเผยต่อว่า กลุ่มขบวนการจีนฮ่อ ลูกสมุน พ.ท.ยี่เซ ที่ค้าขนมนรกมาในคราบของพ่อค้าไม้นี้จะมีการลักลอบลำเลียงยาเสพติดมาครั้งละจำนวนมาก ซึ่ง ไอ้คำ มันจะไปซื้อมาจากพ่อค้าพวกนี้ โดยจะมีการค้าขายกันเป็นล็อตๆ ครั้งละ 100 กิโลกรัม 200 กิโลกรัม 300 กิโลกรัม หรือ 500 กิโลกรัม โดยไอ้คำ มันจะข้ามไปซื้อในฝั่งประเทศเพื่อนบ้านเอง จากนั้นจะใช้วิธีการลำเลียงเข้ามายังฝั่งไทยปลายทางประเทศกลุ่มละตินอเมริกา

       ส่วน ไอ้คำ จะซื้อขนมนรกจากพวกพ่อค้าจอมปลอมค้าไม้นี้ราคาเท่าไรพวกมันไม่สน แต่ต้องซื้อของมันครั้งละมากๆ จากนั้น ไอ้คำ มันจะนำไปขายต่อในราคาเท่าไรก็แล้วแต่ ซึ่งเมื่อไอ้คำ มันซื้อมาแล้วก็จะนำเข้าไทยในรูปแบบต่างๆ ที่ไม่สามารถจับมันได้ โดยเข้ามาทาง อ.เขมราช และทางช่องเม็ก โดยผ่านด่านศุลกากรที่เขมราช และช่องเม็ก แต่ช่วงนี้ไม่มีแล้ว แต่ถ้าเราย้อนหลังกลับไปเมื่อประมาณ 10 ปีที่แล้ว มันจะเข้ามาทางนี้คือทาง อ.เขมราช และทางช่องเม็ก

“สำหรับขนมนรก ตราสิงห์เหยียบโลก กับ น้ำแข็ง นี้ ในพื้นที่นี้ไม่นิยมเล่นกันคือไม่มีการค้าร่วม ไม่เหมือนขนมเม็ด แต่ขนมเม็ดผมจะไม่พูด เพราะไอ้คำ มันไม่เล่นขนมเม็ดมันเล่นของใหญ่ ครั้งเดียวรวย เมื่อไม่พอก็ค้าอีก โดยนำส่งไปยังกลุ่มประเทศละตินอเมริกา ส่วนหนึ่งก็เข้ายุโรป แต่ไปในรูปของไม้ซุงคือ การค้าไม้ โดยจะมีคนระดับเจ้าพ่อใหญ่ทางโน้นคอยรับช่วงต่อ” แหล่งข่าวเผย

หลังร่ำรวยแล้วก็นำเงินมาฟอกเข้าระบบ

       พร้อมกับเปิดเผยอีกว่า หลังจากที่ไอ้คำ มันทำจนร่ำรวยแล้ว มาช่วงหลังมันไม่ทำแล้ว เพราะมันอิ่มตัว รวยแล้ว และเมื่อรวยแล้วมันก็เอาเงินจากการค้าขนมนรกนี้เข้าสู่ขบวนการฟอกเงิน เอาเงินของมันเข้าสู่ระบบ ส่วนการค้าขนมนรกจะปล่อยให้เป็นหน้าที่ของลูกศิษย์ หรือลูกสมุนมันทำ โดยมันเป็นนายทุนให้ แต่กลุ่มลูกศิษย์มันทำแต่ขนมเม็ด แต่ต้องส่งเงินส่งปันผลให้แก่มัน จนกระทั่งมาช่วงหลังเรื่องเริ่มฉาว ข่าวเริ่มดัง เจ้าหน้าที่เริ่มเข้ามาจับตา ไอ้คำ เริ่มมีปัญหา คนพวกนี้ก็เริ่มแตก กลุ่มลูกศิษย์ที่ไหวตัวทันก็ดีดตัวออกห่าง เอาตัวรอดไว้ก่อน

       สำหรับขบวนการฟอกเงินนั้นมีหลายรูปแบบ รูปแบบที่เห็นกันอยู่ในขณะนี้ก็คือ รูปแบบการบริจาคเงิน ที่มีการอุปโลกน์ตัวเลขการบริจาคเงินเป็นจำนวนมากๆ แล้วนำเงินเข้าสู่ระบบบัญชีธนาคาร และการนำเงินเข้าสู่กระบวนการของธนาคารในรูปแบบโยมถวายเงินจำนวนมากๆ ถวายทองคำ และแหวนเพชรจำนวนมากๆ รวมทั้งการสร้างวัด สร้างบ้านให้พ่อแม่ สร้างมูลนิธิขนาดใหญ่ การซื้อรถยนต์หรูจำนวนหลายคัน โดยเฉพาะรถยนต์เบนช์กว่า 20 คัน เป็นเงินร่วม 100 ล้านบาท และเช่าเหมาลำเครื่องบิน เป็นต้น ซึ่งเป็นในรูปแบบของการฟอกเงินทั้งสิ้น

“ทุกอย่างพูดง่ายๆ เงินมาใต้ดิน เหมือนกับทักษิณ ที่มันเอาไปฟอก แต่ว่ามันไม่ได้เล่นหุ้น ไม่ได้เล่นอะไรทั้งสิ้น มันก็ผ่านขบวนการ โดยมีขบวนการจัดการ มีทีมงานมีหลายทีม แล้วแต่มันจะให้ใครไปทำอะไร ซึ่งทีมของมันมีครบหมด”

       แหล่งข่าวคนเดียวกันยังเปิดเผยต่อด้วยว่า จากการตรวจสอบของเจ้าหน้าที่ตำรวจกองปราบปราม เจ้าหน้าที่ ปปง. รวมทั้งเจ้าหน้าที่ ป.ป.ส.ในช่วงนี้จะพบว่า ไอ้คำ มันมีเงินหมุนเวียนอยู่ในบัญชีกว่า 40 บัญชี มีเงินประมาณ 200 ล้านบาท แต่จำนวนนี้มันน้อยไป ความจริงมันมีเงินอยู่มากกว่านี้ โดยมีบัญชีอยู่ในต่างประเทศอีกถึง 2 บัญชีใหญ่ ซึ่งขณะนี้เจ้าหน้าที่กำลังตรวจสอบอยู่

       แต่อย่างไรก็ตาม แม้มันจะมีบัญชีเงินอยู่ในต่างประเทศถึง 2 บัญชีใหญ่ แต่มันก็จะโดนกฎหมายฟอกเงินอย่างเดียวจะไม่โดนเรื่องการค้าขนมนรก เพราะตราบใดถ้าเจ้าหน้าที่หาหลักฐานไม่ได้ก็จะทำอะไรไอ้คำมันไม่ได้ ทำได้แค่ยึดเงิน ดำเนินคดีฟอกเงิน แต่นำสืบไปถึงเรื่องของขนมนรกไม่ได้ ส่วนเงินใน 2 บัญชีนั้น เชื่อว่าตอนนี้ไอ้คำ มันคงโยกไปมากแล้ว

เจ้าหน้าที่ ป.ป.ส.และ ปปง.รู้นานแล้ว

"...สำหรับข้อมูลทั้งหมดตอนนี้อยู่ในมือของเจ้าหน้าที่ ป.ป.ส.หมดแล้ว และถือเป็นข้อมูลหลักที่เจ้าหน้าที่ทั้งกองปราบปราม และ ปปง.เข้าไปในพื้นที่ จ.อุบลราชธานี และ จ.ศรีสะเกษ เพื่อหาข้อมูลเล่นงานไอ้คำ ความจริงเรื่องนี้มันฉาวมานานแล้ว และเจ้าหน้าที่ก็รู้มานานแล้วด้วย แต่ทำอะไรมันไม่ได้ ซึ่ง ปปง.ที่ลงมาตรวจสอบข้อมูลการเงินในพื้นที่ก็ได้ข้อมูลมาจาก ป.ป.ส. โดยอาศัยเงื่อนไขในการเข้ามาตรวจสอบเส้นทางการเงินบริจาค แต่แท้จริงแล้วมาตรวจสอบเรื่องของขนมนรก หรือยาเสพติด โดยอ้างว่ามาตรวจสอบเส้นทางบริจาคเงิน ไอ้คำ แต่ไม่ได้พูดว่ามาตรวจสอบเส้นทางยาเสพติด โดยเอาเงื่อนไขมาโยงว่าเงินบริจาคที่ไอ้คำได้มานั้น ได้มาอย่างไรบ้าง มาเส้นไหน ไปเส้นไหน..."

       ถามว่าก่อนหน้านี้ ปปง.รู้ไหม รู้แต่ทำอะไรไม่ได้ มันไม่รู้จะเอาเงื่อนไขไหนมาเล่นไอ้คำ มัน เพราะไอ้คำ มันก็ฉลาดพอตัว มันเที่ยวกระโดดเกาะคนโน้นที คนนี้ที หมายถึงผู้หลักผู้ใหญ่ในบ้านเมือง นักนักการเมือง รัฐมนตรี เจ้าหน้าที่ระดับสูง จึงทำให้ ปปง.เข้าไม่ถึงตัว พอได้จังหวะนี้จึงกระโดดเข้าใส่โดยอ้างมาตรวจสอบเส้นทางเงินบริจาค แต่จริงๆ แล้ว พูดกันตรงๆ ก็คือ “กูจะมาตรวจสอบเส้นทางเงินมึงเรื่องยาเสพติดนี้แหละไอ้คำ”

“อย่างที่บอกตั้งแต่แรกแล้วว่า ไอ้คำ มันรวยได้เพราะมันขายขนมนรก มันมาจากแรงศรัทธากันที่ไหน มันมาจากการขายขนมนรก ความที่มันมาแตก เป็นเรื่องราวขึ้นมาทำให้มันซวย ก็เพราะความที่มันอยากมีอยากโชว์ของมันนั่นแหละ ประกอบกับความเป็นเด็กบ้านนอกคอกนาของมันที่ไม่เคยมีเงินมากๆ พอมันมีเงินมากๆ ก็อยากแอ็กชัน อวดโน่นอวดนี่ เรื่องมันจึงแตกออกมา” แหล่งข่าวผู้นี้กล่าว

       พร้อมกับฟันธงว่า ไอ้คำ จะไม่กลับมาประเทศไทยอย่างแน่นอน และมันจะต้องหลบหนีเข้าไปอยู่ในประเทศที่มีความปลอดภัยที่สุดสำหรับมัน และจะต้องมีผู้ให้ที่พักพิงแก่มัน เพราะถ้าดูตามอายุแล้วไอ้คำ อายุแค่ 34-35 ปี มันโตมาได้ถึงขนาดนี้ก็ถือว่าไม่ธรรมดา

       และไม่ธรรมดาเข้าไปใหญ่กับเรื่องที่มันสามารถเข้าไปทำธุรกิจค้าขนมนรกกับ พ.ท.ยี่เซ อดีตสมุนคนสำคัญของขุนส่า จนร่ำรวยเช่นนี้เพราะการที่ใครก็ตามจะเข้าไปหา และทำธุรกิจกับ พ.ท.ยี่เซ ได้มันไม่ใช่ของง่าย ดังนั้น จึงเชื่อว่าจะต้องมีคนที่ใหญ่ และสำคัญมากที่ พ.ท.ยี่เช ให้ความนับถือ และไว้ใจ ถ้าไม่เช่นนั้นไอ้คำ มันจะไม่สามารถเข้าไปทำการค้ากับ พ.ท.ยี่เซ ได้เลย ยิ่งไปกว่านั้น จะต้องมีคนที่อยู่เบื้องหลังมันที่ถือว่ายิ่งใหญ่อีกคนหนึ่งในกลุ่มประเทศละตินอเมริกา เพราะถ้าไม่เช่นนั้นมันก็จะไม่สามารถทำการค้าส่งขนมนรกมาขายในแถบนี้ได้แน่

“ผมขอฟันธงว่า มันไม่กลับมาแน่นอน ไอ้คำ”

       อย่างไรก็ตาม ต้องรอดูว่า วันนี้ (12 ก.ค.) ซึ่งเป็นวันที่ทุกฝ่ายขีดเส้นตายของ “เณรคำ” บทสรุปจะเป็นอย่างไร ทั้งคณะสงฆ์จังหวัดอุบลราชธานี ซึ่งเรียกให้พระวิรพล มารายงานตัว รวมทั้งเจ้าคณะจังหวัดศรีสะเกษ นอกจากนี้ ดีเอสไอก็จะบุกค้นรังเณรคำในจังหวัดอุบลราชธานีอีกหลายจุดด้วย

//www.manager.co.th/Local/ViewNews.aspx?NewsID=9560000084298




 

Create Date : 14 กรกฎาคม 2556   
Last Update : 14 กรกฎาคม 2556 20:31:28 น.   
Counter : 2297 Pageviews.  

แฉอีก! "เณรคำ" แอบสร้างพระแก้วมรกตอีกเพียบ พศ.ทำหนังสือถึง ศ.ภ.ต.ประสาน กต.ถอนพาสปอร์ต



พศ. เตรียมส่งหนังสือย้ำ รก.เจ้าคณะใหญ่ธรรมยุตจัดการ “เณรคำ” 15 ก.ค.นี้ พร้อมส่งไปยัง “พระพรหมเวที” ในฐานะประธาน ศ.ต.ภ.ประสาน กต.ถอนพาสปอร์ตด้วย ขณะที่กรมศิลป์ แฉ! “เณรคำ” ไม่ได้สร้างพระแก้วมรกต องค์เดียวยังมีอีกเพียบ

       วันนี้ (13 ก.ค.) นายนพรัตน์ เบญจวัฒนานันท์ ผู้อำนวยการสำนักงานพระพุทธศาสนาแห่งชาติ(พศ.) กล่าวว่า หลังจากที่ทางเจ้าคณะจังหวัดอุลบราชธานี ฝ่ายธรรมยุต และเจ้าอาวาสวัดใต้พระเจ้าใหญ่องค์ตื้อ มีแถลงการณ์ขับหลวงปู่เณรคำ ออกจากวัดแล้วนั้น ทางสำนักงานพระพุทธศาสนาฯ จะนำหนังสือแถลงการณ์ของเจ้าคณะจังหวัดอุบลราชานี ฝ่ายธรรมยุต แนบไปในหนังสือที่จะส่งไปยังสมเด็จพระวันรัต รักษาการเจ้าคณะใหญ่คณะธรรมยุต เพื่อแจ้งขอให้มีการดำเนินการในเรื่องดังกล่าวอีกรอบ เนื่องจากทางเจ้าคณะจังหวัดอุบลราชธานี ฝ่ายธรรมยุต ได้มีคำสั่งออกมาแล้ว โดยจะมีการส่งหนังสือดังกล่าวไปในวันที่ 15 ก.ค.นี้ ขณะเดียวกันในเรื่องการถอนหนังสือเดินทางของหลวงปู่เณรคำนั้น จะมีการส่งหนังสือแจ้งไปยัง พระพรหมเวที เจ้าอาวาสวัดไตรมิตรวิทยาราม กรรมการมหาเถรสมาคม ในฐานะประธานคณะกรรมการศูนย์ควบคุมการไปต่างประเทศสำหรับพระภิกษุสามเณร (ศ.ต.ภ.) เพื่อแจ้งให้ทราบก่อนที่จะมีการทำหนังสือแจ้งไปยังกระทรวงการต่างประเทศเพื่อให้ดำเนินการถอนพาสปอร์ตของหลวงปู่เณรคำทันทีในวันที่ 15 ก.ค.เช่นกัน

       ส่วนกรณีที่ขณะนี้ยังมีกลุ่มลูกศิษย์หลวงปู่เณรคำเดินทางไปร้องเรียนยังหน่วยงานต่างๆเพื่อขอความเป็นธรรมให้กับหลวงปู่เณรคำนั้น ถือว่าเป็นการร้องเรียนที่ไม่ถูกต้องตามกฎหมาย เพราะการที่มาอ้างชื่อว่าเป็นตัวแทนของหลวงปู่เณรคำ แต่เวลาไปร้องเรียนกลับไม่มีหนังสือมอบอำนาจจากหลวงปู่เณรคำแต่อย่างใด ทั้งนี้ สำหรับความคืบหน้าในการตรวจสอบวัดสาขาของวัดป่าขันติธรรมนั้น พบว่ามีมากกว่า 10 แห่ง ที่จะกำชับให้สำนักงานพระพุทธศาสนาจังหวัด (พศจ.) ต้องมีการตรวจอย่างละเอียดในทุกเรื่อง เพราะวัดป่าขันติธรรม ยังไม่ได้มีการตั้งเป็นวัดที่ถูกต้องตามกฎหมาย ดังนั้นการตั้งวัดสาขา ไม่ว่าจะเป็นที่พักสงฆ์ หรือสำนักปฏิบัติธรรม จึงถือว่าไม่ถูกต้องตามกฎหมายด้วย ประกอบกับเมื่อมีการไปตั้งอยู่ในพื้นที่ใดแล้วไม่แจ้งเจ้าคณะผู้ปกครองในพื้นที่นั้นๆ แต่กลับมีการทำกิจกรรมต่างๆ เช่น ปฏิบัติธรรม มีพระสงฆ์เข้าไปอาศัยอยู่ ก็ถือว่ามีความผิดแล้ว นอกจากนี้ยังจะให้ทางพศจ.ตรวจสอบด้วยว่าสถานที่ต่างๆที่ระบุว่าเป็นวัดสาขาของวัดป่าขันติธรรม มีการทำธุรกรรมทางการเงินด้วยหรือไม่

แฉ! "เณรคำ" แอบสร้างพระแก้วมรกตจำลองอีกเพียบ

       ด้าน นายขจร มุกมีค่า ผู้อำนวยการสำนักศิลปากรที่ 11 อุบลราชธานี เปิดเผยว่า ขณะนี้ ได้ทำข้อสรุปประเด็นการตรวจสอบการก่อสร้างพระแก้วมรกตจำลองที่สำนักสงฆ์ป่าขันติธรรม เพิ่มเติม หลังจากสำรวจเบื้องต้นคาดว่าวัสดุที่ก่อสร้างจะเป็นหินชนิดหนึ่ง ส่วนจะเห็นหยกหรือไม่ต้องรอผลการตรวจสอบโดยใช้เทคนิควิธีทางวิทยาศาสตร์จากสถาบันอุดมศึกษาในจ.อุบลราชธานีก่อน คาดว่าจะใช้เวลาในการตรวจสอบประมาณ 1 สัปดาห์

       อย่างไรก็ตาม ขณะนี้ตนได้จัดทำรายงานรายละเอียดทั้งหมดเสนอไปยังนายสหวัฒน์ แน่นหนา อธิบดีกรมศิลปากร เบื้องต้นสามารถจำแนกพระแก้วมรกตจำลองที่สร้างในสำนักสงฆ์ป่าขันติธรรมไม่ได้มีเฉพาะองค์เดียว แต่จากการตรวจสอบมีทั้งหมด 3 ขนาด ได้แก่ 1. พระแก้วมรกตจำลององค์ใหญ่ที่มีการกล่าวอ้างว่าใหญ่ที่สุดในโลก 1องค์ 2. องค์ขนาดกลาง คือ ที่อยู่ด้านหน้าองค์ใหญ่ ตรงพื้นราบ 3 องค์ กับที่อยู่ในบริเวณสำนักสงฆ์ป่าขันติธรรมอีกจำนวนหนึ่ง ขณะนี้ยังไม่สามารถนับได้ว่ามีกี่องค์ แต่พบแม่พิมพ์ตั้งอยู่ใกล้ๆด้วย 3. องค์ขนาดเล็ก 4 องค์ ประกอบด้วย องค์ทรงเครื่องฤดูร้อน ประดิษฐานในบุษบก1 องค์ และอีก 3 องค์ ทรงเครื่องแต่ละฤดู ตั้งไว้ให้คนมาคอยทำบุญ โดยจะมีบาตร เจาะรูที่ฝา ไว้ให้ใส่เงิน ส่วนพระแก้วมรกตจำลองแต่ละองค์มีขนาดเท่าไหร่คงจะต้องเข้าไปตรวจสอบอีกครั้ง


//www.manager.co.th/QOL/ViewNews.aspx?NewsID=9560000085776




 

Create Date : 13 กรกฎาคม 2556   
Last Update : 13 กรกฎาคม 2556 20:33:48 น.   
Counter : 1862 Pageviews.  

พระสงฆ์แห่ยื่นหลักฐานเอาผิด “เณรคำ” โกงเงินบริจาค-ทองคำ


พระสงฆ์ 40 รูป แห่มอบหลักฐานให้พนักงานสอบสวนกองปราบปราม เร่งดำเนินคดีกับ “พระเณรคำ” ยันมีขบวนการฉ้อโกงเงินบริจาค-ทองคำใช้สร้างพระแก้วมรกต 9,000 กิโลกรัม



วันนี้ (12 ก.ค.) เมื่อเวลา 13.00 น. นายสงกรานต์ อัจฉริยะทรัพย์ ประธานเครือข่ายต่อต้านการบ่อนทำลายชาติ ศาสนา พระมหากษัตริย์ ได้พา พระธีรธนัชณฤทธา เสาวภาคโชติรส อายุ 46 ปี ประธานสำนักปฏิบัติธรรมพุทธชยันตี ตั้งอยู่ในพื้นที่แขวงศาลาธรรมสพน์ เขตทวีวัฒนา กทม.พร้อมพระสงฆ์ 40 รูป เดินทางเข้าพบ พ.ต.อ.ประสพโชค พร้อมมูล รอง ผบก.ป. พ.ต.ท.เอกพงษ์ พลมณี รอง ผกก.3บก.ป.เพื่อมอบหลักฐานเพิ่มเติมต่อพนักงานสอบสวน ในการพิจารณาดำเนินคดีกับ “เณรคำ ฉัตติโก” หรือ พระวิรพล สุขผล อายุ 34 ปี ประธานสำนักสงฆ์ขันติธรรม จ.ศรีสะเกษ

       นายสงกรานต์ กล่าวว่า ตามที่ตนได้เปิดรับข้อมูลต่างๆ จากทั้งพระภิกษุ และประชาชนทั่วไปที่เข้าไปเกี่ยวข้องกับหลวงปู่เณรคำ ได้มีผู้เสียหายซึ่งเป็นผู้ใกล้ชิดกับ “เณรคำ” นำส่งเอกสารต่างๆ มาให้ตนเพื่อใช้เป็นหลักฐานเอาผิด โดยตนตรวจสอบเบื้องต้นพบว่ามีมูลที่เกี่ยวข้องกับการดำเนินคดีในความผิดฐานฉ้อโกงประชาชนได้ ในวันเดียวกันนี้ตนจึงนำมามอบให้พนักงานสอบสวน บก.ป.เรื่องนี้จึงยืนยันว่ามีการกระทำเป็นขบวนการ เช่น ทองคำที่ใช้ในการทำเครื่องทรงพระแก้วมรกต 3 ฤดูกาลๆ ละ 3,000 กิโลกรัม รวมเป็นน้ำหนักทองคำ 9,000 กิโลกรัม นอกจากนี้ยังมีการใช้ชื่อวัดป่าขันติธรรม ทั้งที่ทราบดีอยู่แล้วว่ายังไม่ได้ขออนุญาตจดทะเบียนเป็นวัด รวมทั้งการใช้ชื่อมูลนิธิส่งเสริมคุณธรรม เปิดรับบริจาคจากพุทธศาสนิกชน

       นายสงกรานต์ กล่าวต่อว่า จากการตรวจสอบเอกสารแผ่นพับที่ตนได้รับมาเป็นการเปิดรับบริจาคเงินร่วมสร้างตึกสงฆ์อาพาธและผู้ป่วยใน รพ.ร้อยเอ็ด เมื่อปี 2554 ซึ่งมีการระบุถึงยอดเงินบริจาคตั้งแต่ 100,000 บาทขึ้นไป จะมีการขอพระราชทานเครื่องราชอิสริยาภรณ์ตามระเบียบสำนักนายกรัฐมนตรี โดยผู้ที่บริจาคเงิน 100,000 บาทขึ้นไป ได้รับเหรียญเงินดิเรกคุณาภรณ์, 200,000 บาทขึ้นไป ได้รับเหรียญทองดิเรกคุณาภรณ์, 500,000 บาทขึ้นไป ได้เบญจมดิเรกคุณาภรณ์, 1,500,000 บาทขึ้นไป ได้จตุตถดิเรกคุณาภรณ์, 6,000,000 บาทขึ้นไป ได้ตติยดิเรกคุณาภรณ์, 14,000,000 บาทขึ้นไป ได้ทุติยดิเรกคุณาภรณ์ และ 30,000,000 บาทขึ้นไป ได้ปฐมดิเรกคุณาภรณ์

       นายสงกรานต์ กล่าวอีกว่า สำหรับอีกกรณีที่ตนได้รับข้อมูลมาด้วย คือ การจัดสร้าง “เทวดารุ่นเณรคำ” ราคาเช่าองค์ละ 10,000 บาท จัดสร้างทั้งหมด 10,000 องค์ มีลายเซ็นของหลวงปู่เณรคำ โดยมีเอกสารใบประกาศและใบจอง รวมทั้งมีการออกใบเสร็จรับเงิน และใบอนุโมทนาบัตรในนามวัดป่าขันติธรรม โดยตนจะตรวจสอบเรื่องร้องเรียนต่างๆ เหล่านี้ต่อไป ทั้งนี้ เชื่อว่าน่าจะยังมีอีกหลายเรื่อง ที่ทำในนามของวัดป่าขันติธรรม ซึ่งเป็นการแสดงข้อความอันเป็นเท็จ และในวันเดียวกันนี้ ทางผู้เสียหายรายใหญ่ที่เป็นผู้ใกล้ชิดกับ “เณรคำ” จะทยอยเดินทางเข้าให้ข้อมูลกับพนักงานสอบสวน

       “สำหรับผู้เสียหายรายใหญ่ที่ติดต่อผ่านมาที่ผม และนำเอกสารหลักฐานต่างๆ มาให้นั้น ได้ให้ข้อมูลในเบื้องต้นว่า เหตุที่หลงเชื่อ “เณรคำ” เป็นเพราะเข้าใจว่าวัดป่าขันติธรรม ได้จดทะเบียนเป็นวัดอย่างถูกต้องตามกฎหมายแล้ว และได้บริจาคเงินโดยสุจริตใจ แต่กลับมาทราบภายหลังว่าทางหลวงปู่เณรคำ ไม่ได้นำเงินไปใช้ตามวัตถุประสงค์ในการสร้างพระแก้วมรกต เพียงอย่างเดียว โดยชั้นล่างมีการสร้างห้องทำงานตรงบริเวณฐานชุกชี เหมือนเป็นอาคารที่มีองค์พระครอบอยู่” นายสงกรานต์ กล่าว

       นายสงกรานต์ กล่าวด้วยว่า ในส่วนของพระธีรธนัชณฤทธา ประธานสำนักปฏิบัติธรรมพุทธชยันตี และพระสงฆ์ 40 รูป ที่มาร่วมแถลงข่าวในครั้งนี้ ได้นำเอกสารหลักฐานเพิ่มเติมกรณีที่ถูก “เณรคำ” หลอกลวงว่าจะหาเงินจำนวน 55 ล้านบาท มาจัดซื้อที่ดินเพื่อสร้างวัดพุทธชยันตี ให้ และเป็นการแสดงออกเพื่อปกป้องพระพุทธศาสนา ส่วนผลกระทบที่เกิดขึ้นแล้วหลังจากทางพระธีรธนัชณฤทธา ได้วางเงินมัดจำ 5 แสนบาท กับทางธนาคาร เพื่อทำสัญญาซื้อที่ดินในการสร้างวัดดังกล่าว และกำลังจะถูกไล่ที่เพราะไม่ได้นำเงินมาจ่ายในส่วนที่เหลือภายใน 2 เดือนตามสัญญา โดยมีหนังสือจากทางเจ้าของกรรมสิทธิ์ที่ดินแจ้งมาแล้ว

       ขณะที่ พระธีรธนัชณฤทธา กล่าวว่า อาตมาต้องขอพึ่งทางตำรวจ บก.ป.และขอให้ทำคดีให้ถึงที่สุด ส่วนกรณีความเสียหายที่เกิดกับสำนักปฏิบัติธรรมพุทธชยันตี นั้น ขณะนี้ก็กำลังจะถูกไล่ที่แล้วเพราะไม่ได้นำเงินส่วนที่เหลือมาจ่ายตามสัญญา

       ด้าน พ.ต.อ.ประสพโชค กล่าวว่า ทางพนักงานสอบสวนยืนยันว่า จะสืบสวนสอบสวนในกรณีการร้องเรียนดังกล่าวต่อไป โดยจะบูรณาการการทำงานร่วมกับหน่วยงานต่างๆ ที่เกี่ยวข้อง และอยากฝากให้ผู้เสียหายที่เคยถูก “หลวงปู่เณรคำ” หลอกลวง หรือเคยบริจาคเงินให้กับสำนักสงฆ์ขันติธรรม เข้าให้ข้อมูลกับพนักงานสอบสวนเพื่อรวบรวมเป็นหลักฐานในการพิจารณาออกหมายจับ “เณรคำ” ในความผิดฐานฉ้อโกงประชาชน และความผิดอื่น ซึ่งข้อมูลและผู้แจ้งนั้น ทางเราจะปกปิดเป็นความลับ ส่วนกรณีที่กรมสอบสวนคดีพิเศษ (ดีเอสไอ) รับเรื่องนี้เป็นคดีพิเศษนั้น เท่าที่ทราบเป็นเพียงกรณีความผิดตาม พ.ร.บ.คอมพิวเตอร์ แต่ในส่วนอื่นๆ ยังไม่มีการพิจารณา อย่างไรก็ตาม หากที่สุดแล้วทางดีเอสไอ จะรับเรื่องนี้ไว้ดำเนินการเองทั้งหมด ทางพนักงานสอบสวนก็พร้อมให้ความร่วมมือโอนสำนวนคดีไปให้ดีเอสไอ แต่ยืนยันว่าทางพนักงานสอบสวนยังคงเดินหน้ารวบรวมพยานหลักฐานต่างๆ ต่อไป อย่างรอบคอบรัดกุมที่สุด ก่อนจะพิจารณาขออนุมัติศาลออกหมายจับ “หลวงปู่เณรคำ” ต่อไป

       ส่วน พ.ต.ท.เอกพงษ์ กล่าวว่า ในวันเดียวกันนี้ พนักงานสอบสวน กก.3 บก.ป.จะเดินทางไปสอบปากคำหญิงสาวที่อ้างว่ามีเพศสัมพันธ์กับ “หลวงปู่เณรคำ” ตั้งแต่อายุ 14 ปี หลังจากก่อนหน้านี้ได้เดินทางไปเพื่อจะสอบปากคำมาแล้วครั้งหนึ่งแต่ไม่พบตัว นอกจากนี้ก็จะให้พนักงานสอบสวนเข้าพบเจ้าคณะจังหวัด กรณีการปลด “เณรคำ” ออกจากสังกัด ซึ่งจะขาดจากสภาพความเป็นพระสงฆ์ เพราะไม่มีสังกัด

       พ.ต.ท.เอกพงษ์ กล่าวอีกว่า นอกจากนี้ก็จะมีการตรวจสอบกรณีของพลอย ที่พบจากการเข้าตรวจค้นบ้านพักที่ จ.อุบลราชธานี ซึ่งขณะนี้มีผู้เสียหายที่เป็นผู้ค้าพลอย ในพื้นที่ อ.แม่สอด จ.เชียงราย 3-4 ราย ที่ทราบข่าว ประสงค์จะเดินทางเข้าแจ้งความที่ บก.ป.แล้ว หลังจากถูกหลวงปู่เณรคำ หลอกลวงซื้อพลอยดังกล่าวไป แต่ยังไม่ได้รับเงิน รวมมูลค่าประมาณ 20 ล้านบาท โดยส่วนนี้ได้มอบหมายพนักงานสอบสวนไปรับพลอยทั้งหมดกลับมาที่ บก.ป.เพื่อให้ผู้เสียหายได้ตรวจสอบว่าส่วนไหนมีใครเป็นเจ้าของบ้าง

       วันเดียวกัน นายสุขุม วงประสิทธิ ประธานเครือข่ายบ้านวิมุตติธรรม ได้ไปยื่นหนังสือขอความเป็นธรรม ให้พิสูจน์ภาพปริศนาและการตรวจดีเอ็นเอ เพื่อใช้ในการพิจารณาขับ “หลวงปู่เณรคำ” ต่อสมเด็จพระญาณสังวรสมเด็จพระสังฆราช สกลมหาสังฆปริณายก โดยมีพระสุทธิสาระเมธี ผู้ช่วยเจ้าอาวาสวัดบวรนิเวศ เป็นตัวแทนรับมอบหนังสือดังกล่าว

       นายสุขุม กล่าวว่า มาวันนี้เพื่อขอให้การพิจารณาของคณะสงฆ์ยึดหลักธรรมวินัยของสงฆ์อย่างเคร่งครัดและขอความเป็นธรรม ขณะนี้ตนเองมีหลักฐานที่สำคัญว่า บุคคลในรูปภาพที่มีรูปร่างคล้ายหลวงปู่เณรคำ คือ อดีตพระสุริ ซึ่งเป็นน้องชายของหลวงปู่เณรคำเอง และทางเจ้าคณะจังหวัดอุบลราชธานีได้แนะนำให้คุณสุริ ออกมายอมรับและรับผิดกับประชาชน เพื่อไม่ให้หลวงปู่เณรคำต้องเดือดร้อน ส่วนในกรณีที่มีการประชุมให้ขับหลวงปู่เณรคำออกจากสังกัดนั้น ถ้ามีการขับออกจากสังกัดจริง ตนก็บอกได้ว่าเวลานี้ท่านมีสังกัดแล้วมีการเตรียมไว้เรียบร้อยแล้ว เป็นวัดในต่างประเทศ

       “สำหรับกรณีสีกากับลูกแจ้งความเอาผิดเณรคำ ในข้อหาข่มขืนกระทำชำเราโดยทำการฟ้องเองนั้น คิดว่าทางอัยการอาจจะไม่สั่งฟ้องก็ได้ เพราะไม่มีหลักฐานอะไรที่ชัดเจนน่าเชื่อถือเลย เพราะตามหลักสากลถึงจะยืนยันว่าเป็นพ่อลูกกัน การตรวจพิสูจน์ดีเอ็นเอ ต้องตรวจจากพ่อแม่เท่านั้นไม่ใช่ตรวจจากตัวปู่หรือย่า ส่วนเหตุผลที่หลวงปู่เณรคำยังไม่เดินทางกลับในขณะนี้ เพราะรอดูกระบวนการยุติธรรม



//www.manager.co.th/Crime/ViewNews.aspx?NewsID=9560000085485




 

Create Date : 12 กรกฎาคม 2556   
Last Update : 12 กรกฎาคม 2556 21:26:28 น.   
Counter : 1985 Pageviews.  

“หลวงปู่พุทธะอิสระ” จี้สอบแก๊งปั้นอรหันต์ “นายคำ” ลวงโลก


ปูดรถ 35 คัน “เณรคำ” หอบเงินสดซื้อรถอีกมูลค่ากว่า 28 ล้าน-หลวงปู่พุทธะอิสระร้องดีเอสไอสอบ ดร.สนอง พร้อมพวก 3 คน ปั้นอรหันต์นายคำขึ้นมาเมื่อ 10 ปีที่แล้ว ชี้เป็นขบวนการปล้นสะดมทำลายพุทธศาสนรนา ระบุไม่มั่นใจต่อกระบวนการตุลาการของคณะสงฆ์

       วันนี้ (11 ก.ค.) ที่กรมสอบสวนคดีพิเศษ (ดีเอสไอ) พระสุวิทย์ ธีรธัมโม หรือหลวงปู่พุทธะอิสระ เจ้าอาวาสวัดอ้อน้อย อ.กำแพงแสน จ.นครปฐม เข้าพบนายธาริต เพ็งดิษฐ์ อธิบดีดีเอสไอ เพื่อร้องทุกข์กล่าวโทษให้ดำเนินคดีเจ้าคณะปกครองภาค 10 เจ้าคณะปกครองจังหวัดศรีสะเกษ เจ้าคณะปกครองอำเภอกันทรลักษ์ เจ้าคณะปกครองตำบลยาง เจ้าคณะปกครองจังหวัดอุบลราชธานี เจ้าคณะปกครองอำเภอเมืองอุบลราชธานี และเจ้าคณะปกครองตำบลในเมือง รวม 7 รูป โดยกล่าวหาละเว้นการปฎิบัติหน้าที่ไม่ตรวจสอบการตั้งสำนักสงฆ์ของหลวงปู่เณรคำ และไม่เร่งรัดดำเนินการให้หลวงปู่เณรคำปาราชิกพ้นจากการเป็นสงฆ์ นอกจากนี้ยังร้องทุกข์กล่าวโทษนายสนอง วรอุไร นายสุขุม วงประสิทธิ์ และพระภูมินทร์ ภูรปัญโญ อ้างสนับสนุนหลวงปู่เณรคำให้มีการฉ้อโกงประชาชน เบื้องต้นดีเอสไอรับเรื่องไว้ตรวจสอบข้อเท็จจริง พร้อมนิมนต์พระสุวิทย์ ธีรธัมโม เข้าให้การกับพนักงานสอบสวนคดีพิเศษ สำนักคดีความมั่นคง ดีเอสไอ ในทันที

       พระสุวิทย์ ธีรธัมโม หรือหลวงปู่พุทธะอิสระ เจ้าอาวาสวัดอ้อน้อย กล่าวว่า ได้ยื่นหนังสือต่อนายธาริต เพื่อกล่าวโทษ ดร.สนอง วรอุไร กับพวก รวม 3 คน ที่ปั้นอรหันต์นายคำขึ้นมาตั้งแต่สิบกว่าปีที่แล้วทำให้ก่อกำเนิดอรหันต์จอมปลอมลวงโลกจนเดือดร้อนต่อพระพุทธศาสนา ขอให้ดีเอสไอไปสืบค้นตามข้อมูลที่ให้ พร้อมร้องทุกข์กล่าวโทษต่อเจ้าคณะปกครอง ซึ่งน่าจะเข้าหลักคดีอาญาที่ว่าด้วยรับของโจรและประพฤติผิดหลักการปกครองของเจ้าหน้าที่ของรัฐ มีหลักฐานพร้อม และรับราชสักการระของนายคำมาตลอด 10 ปี หมายถึงเจ้าคณะภาค 10 เจ้าคณะจังหวัดศรีสะเกษ และเจ้าคณะจังหวัดอุบลราชธานี เจ้าคณะอำเภอ เจ้าคณะตำบลที่ที่พักสงฆ์ของนายคำตั้งอยู่ ที่ผ่านมาได้ละเว้นต่อการปฏิบัติหน้าที่ เพราะนายคำได้ติดป้ายว่าเป็นสำนักสงฆ์ ทั้งที่ไม่มีสิทธิใช้ได้เพียงที่พักสงฆ์ แต่ไม่มีการดำเนินการ ทำให้ประชาชนเข้าใจผิดว่าเป็นวัดจึงบริจาค ทั้งที่มีเจ้าคณะปกครองได้เข้าออกแต่ไม่มีการให้ปลดป้าย ทั้งที่บางแห่งถูกสั่งปลดป้ายที่บอกว่าเป็นวัดโดยไม่ได้รับอนุญาตเพียง 1-2 สัปดาห์ จึงกล่าวหาว่าช่วยเหลือและปกป้องมาตลอดทั้งที่ความผิดปรากฏชัดก็ไม่ทำอะไร ตามพระธรรมวินัยนายคำต้องปาราชิกตั้งแต่กล่าวอวดอุตริแล้ว มีปาราชิกข้ออื่นอีกมาก ยังดึงเกมช่วยเหลือกระทบต่อพระพุทธศาสนา ถ้าทำตั้งแต่สัปดาห์แรก ยึดหลักพระธรรมวินัยจะหยุดความเสียหายได้

       เจ้าอาวาสวัดอ้อน้อยกล่าวอีกว่า ตามพระวินัยนายคำไม่มีสิทธิ์ใช้คำว่าพระเณรนำหน้า เพราะในพระวินัยข้อหนึ่งกล่าวชัดว่าภิกษุอยู่ในที่ลับตากับหญิงสองต่อสอง มีบุคคลควรเชื่อได้มากล่าวโจทย์โดยด้วยอาบัติอะไรก็ให้ปรับตามอาบัตินั้น ก็กล่าวโจทย์ไปว่าเป็นอาบัติปาราชิก เพราะภาพเห็นชัดและก่อนหน้านี้คนที่ใกล้ชิดทราบดีว่าเค้าได้เสพเมถุนมาเนื่องๆ มีชื่อของพระเลขาฯ ที่มีน้องคนหนึ่งที่เป็นเหยื่อของนายคำ หรือเอามาให้นายคำได้เสพเมถุณ พระองค์นี้ก็ยังติดต่อรับใช้ถือเป็นพระเลขาฯ ก็มีชื่อเป็นหลักฐานที่นำมามอบให้ดีเอสไอ เขาทำกันมาเป็นสิบปี เรื่องนี้พูดมาหลายปีแต่ไม่มีใครเชื่อ หาว่าอิจฉาตาร้อน แต่จริงแล้วมันปล้นสะดมทำลายศาสนา ที่จริงถ้าเกิดขึ้นใหม่ๆ แล้วคณะสงฆ์จัดการตั้งแต่สัปดาห์สองสัปดาห์ คงไม่เยิ่นเย้อถึงขนาดนี้ แต่เพราะคณะสงฆ์ยังเห็นดีเห็นงามกับรากที่เขาทำให้ เจ้าคณะปกครองยังชื่นชม ขนาดว่าคำกล่าวว่าพระชั่วๆ ยังมีคนไหว้ ดีกว่าพระดีๆ แล้วไม่มีคนไหว้

       พระสุวิทย์ ธีรธัมโม กล่าวอีกว่า แม้เมื่อวานยังมีการพูดในลักษณะมีการนำเอานายคำไปเทียบกับพระพุทธเจ้า ไม่น่าเชื่อจะออกจากปากผู้ใหญ่เจ้าคณะปกครอง จึงไม่มั่นใจต่อกระบวนการตุลาการของคณะสงฆ์ ทั้งนี้ยังมีพระรูปอื่นอีกที่มีพฤติกรรมที่น่ารังเกียจ ตราบใดที่ยังละเลยอีกไม่นานคงได้ยินข่าวแถวสมุทรสาคร และนครปฐม คงมีข่าวเกี่ยวกับรถหรู เจ้าคณะปกครองยังละเลย ก็จะเกิดนายคำ 2, 3, 4, 5 ทำลายบั่นทอนศรัทธาชาวบ้าน สิ้นหวังต่อการนับถือพระพุทธศาสนา วันนี้จึงมาให้ข้อมูลดีเอสไอลงไปตรวจสอบเรื่องตามกฎหมายคณะสงฆ์ ตั้งแต่ละเมิดอาบัติด้วยการปกปิดอาบัติชั่วหยาบ ผิดจรรยาพระสังฆาธิการ และถือว่าบกพร่องหน้าที่อย่างร้ายแรง ละเว้นหน้าที่ และรับของโจร ที่อาตมาวิเคราะห์ได้ว่าเจ้าคณะปกครองตามลำดับชั้นตั้งแต่เจ้าคณะภาพ 10 ธรรมยุทธ จนถึงเจ้าคณะตำบลในถิ่นที่นายคำอาศัยอยู่ มีความบกพร่อง และผิดวินัยจึงประมวลมาพร้อมหลักฐาน จึงให้ดีเอสไอเพื่อหวังว่าไปสืบค้นและยึดคืนสมบัติของคนเหล่านั้นเอากลับมาสู่สาธารณะหรือศาสนาส่วนกลาง หรือคืนให้กับเจ้าทุกข์ อาตมาร้องทุกข์กล่าวโทษถึงบุคคลหรือกลุ่มนิติบุคคลที่ปั่นนายคำมาด้วย

       นายธาริต เพ็งดิษฐ์ อธิบดีดีเอสไอ กล่าวว่า หลังจากดีเอสไอสอบสวนพบหลวงปู่เณรคำ ซื้อรถเบนซ์ 22 คัน มูลค่ากว่า 95 ล้านบาท จากเบนซ์อุบลราชธานี ล่าสุดวันนี้ตนได้รับผลการตรวจสอบล่าสุดจาก พ.ต.ท.กรวัชร์ ปานประภากร ผบ.สำนักปฏิบัติการคดีพิเศษภาค ดีเอสไอ ว่าดีเอสไอได้พบรถยนต์หลายยี่ห้อของหลวงปู่เณรคำเพิ่มอีก 35 คัน มูลค่ากว่า 28 ล้านบาท เป็นการซื้อรถด้วยเงินสดมาจากหลายแหล่งในชื่อของหลวงปู่เณรคำ ส่วนจะใช้เงินอะไร เอาไปไหน ไปแจกใคร หรือมีพฤติการณ์ฟอกเงินหรือไม่ดี ดีเอสไอกำลังตรวจสอบ เราได้บัญชีจากลูกศิษย์ที่เป็นผู้ดำเนินการไปซื้อรถ กำลังสอบว่าซื้อมาจากไหน ราคาเท่าไหร่ ไปอยู่กับใคร โอนไปอย่างไร ส่วนคนที่รับรถจากหลวงปู่เณรคำ ต้องพิจารณาเป็นรายกรณี เช่น หากเณรคำนำรถไปบริจาคให้วัดซึ่งมีความจำเป็นต้องใช้ยานพาหนะหรือไม่มีหรือมีไม่เพียงพอ ทางงวัดก็รับไว้โดยสุจริต เอามาใช้ในกิจกรรมของสงฆ์ ไม่ใช่เอามาเป็นเครื่องประดับ เราต้องเข้าใจทางวัดที่รับไม่น่ามีอะไรผิด ต้องดูบริบทเป็นเรื่องๆ จะเหมาหมดไปกล่าวหาว่า ใครรับรถไว้ผิดหมดคงไม่ได้ ต้องให้ความเป็นธรรมกับทุกฝ่าย

       อธิบดีดีเอสไอกล่าวอีกว่า ส่วนข้อมูลลับที่หลวงปู่อิสระให้ท่านขอไม่ให้เปิดเผย เราจะปรึกษากับ พศ.จะไม่ทำอะไรพลการ โดยจะทำรอบคอบ ชั้นนี้เป็นเพียงการกล่าวหา ส่วนการตรวจดีเอ็นเอของพ่อแม่เณรคำ เจ้าหน้าที่กำลังหาวิธีดำเนินการต้องได้รับความเห็นชอบจากศาลด้วย แต่ได้ญาติใกล้ชิดของหลวงปู่เณรคำมาตรวจดีเอ็นเอแล้ว ส่วนพ่อแม่หลวงปู่เณรคำบังคับตรวจดีเอ็นเอตามกฎหมายบังคับไม่ได้ แต่ดีเอสไอจะหาวิธีให้ผลการตรวจดีเอ็นเอออกมาให้ได้ ส่วนกรณีมีข่าวหลวงปู่เณรคำ หลบหนีไปสหรัฐอเมริกา พ.ต.ท.พงษ์อินทร์ อินทรขาว ผบ.สำนักคดีความมั่นคง ดีเอสไอ ได้หารือกับ พ.ต.อ.ทรงศักดิ์ รักษ์สกุล ผบ.สำนักกิจการต่างประเทศและคดีอาชญากรรมระหว่างประเทศ ดีเอสไอ ว่ากรณีเหล่านี้จะติดตามประสานงานกับต่างประเทศอย่างไร คงได้แนวทางปฎิบัติระหว่างประเทศต่อไป

       นายธาริตกล่าวอีกว่า ส่วนการจะออกหมายจับ เรา 5 หน่วยงาน ประสงค์จะให้หลวงปู่เณรคำพ้นจากความเป็นพระก่อน คิดว่าเราเลือกวิธีการที่สุดมันไม่ได้ฉุกเฉินขนาดนั้นเพราะไปอยู่เมืองนอกแล้วจึงไม่ฉุกเฉินต้องรีบจับเพื่อไม่ให้หลบหนีออกนอกประเทศ การขอหมายจับพระเป็นสิ่งที่เราไม่พึงปฎิบัติ ต้องสอบถามจากสำนักงานพระพุทธศาสนา (พศ.) ตนไม่อยากก้าวล่วง ดีเอสไอทำอย่างเต็มที่โดยแจ้ง พศ.ให้ดำเนินการให้หลวงปู่เณรคำพ้นสภาพ อย่างไรก็ตาม แต่เรามีเวลาในการรอว่าแค่ไหน แต่ละประเทศมีอำนาจอธิปไตย การจะไปใช้อำนาจไปสอบไปจับข้ามประเทศทำไม่ได้ ต้องขอความร่วมมือในนิติต่างๆ ตามขั้นตอน เรื่องนี้ไม่ได้ทำงานล่าช้า ส่วนความผิดที่เราตั้ง 8 ประการ ก็เป็นการตั้งเบื้องต้นต้องหาพยานหลักฐานมาสนนับสนุนให้เพียงพอการแจ้งข้อกล่าวหาและการส่งสำนวนฟ้องต่อัยการ ต้องใช้เวลา

       อธิบดีดีเอสไอกล่าวอีกว่า ส่วนกรณีมีกระแสข่าวว่ากองปราบปรามเตรียมออกหมายจับหลวงปู่เณรคำ หลังถูกกล่าวหาว่ากระทำผิดทางอาญานั้น สามารถดำเนินอาญาได้หลายหน่วย แต่เพื่อไม่ให้เกิดความซ้ำซ้อน กฎหมายดีเอสไอจึงเขียนไว้ว่าถ้าเป็นคดีพิเศษแล้ว ดีเอสไอต้องแจ้งให้หน่วยอื่นทราบเพื่อจะได้ส่งสำนวนการสอบสวนให้ดีเอสไอภายใน 3 วัน ทั้งนี้ตนไม่แน่ใจว่าหัวหน้าพนักงานสอบสวนคดีพิเศษได้มีหนังสือแจ้งกองปราบฯ หรือยัง ระหว่างนี้ถ้ากองปราบเห็นว่าไปทำอะไรจะเป็นประโยชน์ กับคดีกองปราบทำก็ไม่เสียหาย เป็นการเสริมซึ่งกันละกันสุดท้ายความรับผิดชอบจะมาอยู่ดีเอสไอ เป็นการช่วยการทำงาน

       พ.ต.ท.กรวัชร์ ปานประภากร ผบ.สำนักปฏิบัติการคดีพิเศษภาค ดีเอสไอ กล่าวว่า ดีเอสไอได้ข้อมูลว่ามีลูกศิษย์หลวงปู่เณรคำคนหนึ่งเป็นผู้รับหน้าที่ซื้อรถให้พระองค์รูปดังกล่าว ดีเอสไอจึงลงพื้นที่สืบสวนจนเจอตัว จากการสอบสวนเบื้องต้นพยานคนดังกล่าวให้การว่าเป็นผู้จัดซื้อรถยนต์ 35 คัน ด้วยเงินสดประมาณ 28 ล้านบาทให้หลวงปู่เณรคำ โดยหลวงปู่เณรคำจะเป็นคนกำหนดรุ่นว่าให้ซื้อรถยนต์รุ่นไหนเอาออปชันอะไรบ้าง ก่อนที่พยานจะดำเนินการจัดซื้อให้ทั้งหมดของรถล็อตนี้ จากนั้นได้นำรถไปจดทะเบียนกับขนส่งและมีการนำรถล็อตนี้ไปแจกทั้งหมด ดีเอสไอกำลังสอบสวนรายละเอียดจากพยานคนดังกล่าวว่าไปซื้อรถที่ใด วันเวลาใดบ้าง ส่วนพยานคนดังกล่าวเกรงเรื่องความปลอดภัยจึงไม่อยากเปิดเผยตัว สำหรับการซื้อรถเบนซ์ของหลวงปู่เณรคำที่ตรวจพบครั้งแรก 22 คัน มูลค่า 95 ล้านบาท และรถล็อตนี้อีก 35 คัน มูลค่า 28 ล้านบาท ตนยังไม่ทราบว่าจริงๆ แล้วหลวงปู่เณรคำมีเจตนาอะไรกันแน่ ยังหาสาเหตุไม่ได้ว่าเป็นการสร้างภาพหรือทำไปทำไม หรือเป็นการนำเงินบริจาคมาจัดซื้อรถเป็นล็อตๆ แล้วขายออกไปหรือไม่ ดีเอสไอขอเวลาตรวจสอบอีกระยะ

       สำหรับผลการตรวจสอบรถยนต์ของหลวงปู่เณรคำ ของสำนักคดีปฏิบัติการคดีพิเศษภาค ดีเอสไอ ในวันที่ 2 จำนวน 35 คัน รวมมูลค่ากว่า 28 ล้านบาท ประกอบด้วย รถเก๋งโตโยต้า คัมรี่ ราคา 1,370,000 บาท รถโตโยต้าฟอร์จูนเนอร์ ราคา 1,400,000 บาท รถโตโยต้า คราวน์ ราคา 1,100,000 บาท รถกระบะโตโยต้า วีโก้ตอนเดียว ราคา 780,000 บาท รถเก๋งมาสด้า 2 ราคา 600,000 บาท รถเก๋งมาสด้า 3 ราคา 900,000 บาท รถกระบะอีซูซุ 4 ประตู ราคา 600,000 บาท รถอีซูซุ แอดแวนเจอร์ ราคา 600,000 บาท รถวอลโว่ ลิมูซีน ราคา 600,000 บาท รถกระบะโตโยต้า ดี 4 ดี ราคา 550,000 บาท รถเก๋งโตโยต้าคัมรี่ ไฮบริด ราคา 1,640,000 บาท รถอีซูซุ มิวเซเว่น ราคา 900,000 บาท รถเก๋งโตโยต้า ยาริส จำนวน 2 คัน ราคาคันละ 650,000 บาท รถโตโยต้า ยาริส จี ราคา 720,000 บาท รถนิสสัน มาร์ช ราคา 650,000 บาท รถเก๋งฮอนด้า ซีวิค จำนวน 4 คัน ราคาคันละ 600,000 บาท รถฟอร์ด เอสเคป จำนวน 4 คัน ราคาคันละ 650,000 บาท รถเก๋งฮอนด้าแอคคอร์ด ราคา 1,300,000 บาท รถพ่วง ราคา 500,000 บาท รถโตโยต้าไจยา ราคา 300,000 บาท รถทัวร์กาชาดตกแต่ง ราคา 650,000 บาท รถฮอนด้าแจ๊ซ ราคา 330,000 บาท รถกอล์ฟไฟฟ้า อีวีไอ 4 ที่นั่ง ราคา 350,000 บาท รถโตโยต้าแลนด์ครุยเซอร์ ราคา 1,450,000บาท รถเบนซ์ลิมูซีน ราคา 2,400,000 บาท รถเก๋งโตโยต้า วีออส ราคา 550,000 บาท และรถฟอร์ด เอสเคป ราคา 650,000 บาท




//www.manager.co.th/Crime/ViewNews.aspx?NewsID=9560000084955




 

Create Date : 11 กรกฎาคม 2556   
Last Update : 11 กรกฎาคม 2556 22:51:34 น.   
Counter : 2187 Pageviews.  

แฉ“ไอ้คำ”หนีหมายจับ ซุกบ้านส่วนตัวในอเมริกา

บ้านส่วนตัวของ"เณรคำ"ที่เมือง เลค เอลซินอร์ รัฐแคลิฟอร์เนีย - ภาพจากเว็บ luangpunenkham.com
แฉ“เณรคำ” รีบเผ่นจากฝรั่งเศสเข้าอเมริกา หลังจากวัดในแดนน้ำหอมไม่เอาด้วยแล้ว และต้องรีบเข้าสหรัฐฯ ก่อนมีหมายจับจากทางการไทย เชื่อเข้าซุกหัวในบ้านพักที่จอมลวงโลกเป็นเจ้าของเองในแคลิฟอร์เนีย คาด หากดีเอสไอออกหมายจับคดียาเสพติด “ไอ้คำ”ไม่รอดแน่

       เมื่อเวลาประมาณ 10.00 น. วันนี้ (10 ก.ค.) ตามเวลาในประเทศไทย เว็บไซต์A Little Buddha.com ได้รายงานเปิดโปงสาเหตุที่ นายวิรพล สุขผล หรือ “เณรคำ” เดินทางออกจากประเทศฝรั่งเศสไปยังสหรัฐอเมริกา ตั้งแต่วันที่ 9 ก.ค.ที่ผ่านมา ว่า เนื่องจากวัดโพธิญาณราม เมืองตวกหน่ง ประเทศฝรั่งเศส ซึ่งมีพระครูภาวนาวรธรรมวิเทศ (ปานขาว) พระชาวลาว สัญชาติฝรั่งเศส เป็นเจ้าอาวาส เป็นวัดที่แม้จะไม่สังกัด แต่ก็ใกล้ชิดกับวัดสระเกศ ของสมเด็จพระพุฒาจารย์ ประธานคณะผู้ปฏิบัติหน้าที่สมเด็จพระสังฆราช ซึ่งหากเณรคำยังพักอาศัยอยู่ที่วัดดังกล่าวย่อมจะเกิดความกดดันอย่างแรงต่อพระปานขาว ในฐานะผู้ให้ที่พักพิงแก่เณรคำ อันมีผลกระทบกับภาพพจน์ของวัดสระเกศได้ ถ้าไม่เชิญเณรคำออกจากวัด พระปานขาวก็อาจจะเจอปัญหาใหญ่กับตัวเองถึงกับเหยียบวัดสระเกศไม่ได้ ดังนั้น เมื่อถึงคราวต้องเอาตัวรอด พระปานขาวก็จำเป็นต้องให้เณรคำออกจากวัด ซึ่งเมื่อวัดโพธิญาณรามไม่เอาแล้ว ก็หมดที่อาศัยในฝรั่งเศส เพราะเณรคำเข้าฝรั่งเศสได้ด้วยคำเชิญของพระปานขาว

       สำหรับสาเหตุที่เณรคำเลือกที่จะเดินทางไปที่สหรัฐอเมริกา เนื่องจากเณรคำมีบ้านส่วนตัวอยู่ที่รัฐแคลิฟอร์เนีย ดังนั้น จึงมีสิทธิ์เต็มที่ในการอยู่อาศัย โดยไม่ต้องอาศัยบ้านใครหลบซ่อน แถมเณรคำยังคงมีสาวกในรัฐแคลิฟอร์เนียอยู่อีกจำนวนหนึ่ง ซึ่งสามารถเป็นที่พึ่งพิงได้เพราะเคยเกื้อกูลกันมาก่อน

       ทั้งนี้เว็บไซต์ A Little Buddha.com ยังได้แสดงหลักฐานเป็น Grand Deed หรือ โฉนดที่ดิน บ้านเลขที่ 32140 ออร์เตกา ไฮเวย์ เมืองเลก เอลซินอร์ (Lake Elsinore) มลรัฐแคลิฟอร์เนีย ที่มีชื่อนายวีรพล สุขผล เป็นเจ้าของ

       เว็บไซต์ A Little Buddha.com ระบุว่า เณรคำต้องรีบเดินทางเข้าสหรัฐฯ ก่อนที่ทางการไทยจะมีหมายจับจากศาล ซึ่งขณะนี้ยังเป็นเพียงแค่ข่าวยังไม่เป็นคดีความ หรือเป็นเพียงคดีทางสงฆ์เท่านั้น ส่วนคดีทางบ้านเมืองยังมีอีกหลายขั้นตอนหรืออีกหลายวัน แต่หากช้าไปกว่านี้อาจจะถูกกักตัวที่ด่านตรวจคนเข้าเมืองได้ ถ้ามีหมายศาลจากเมืองไทยในภายหลังแล้วจะทำอย่างไรก็ค่อยว่ากันต่อไป

       อย่างไรก็ตาม หากดีเอสไอขอหมายจับต่อศาลตามฐานความผิดของเณรคำ 8 ข้อ มีเรื่องยาเสพติดอยู่ด้วย เณรคำก็มีโอกาสที่จะถูกจับส่งกลับเมืองไทย แต่ถ้าหลุดเรื่องยาเสพติด เณรคำก็จะเป็นอิสระในสหรัฐอเมริกา เพราะข้อหาทางศาสนาเป็นข้อยกเว้นในระเบียบการขอตัวผู้ร้ายข้ามแดน

       อนึ่ง เมื่อวันที่ 9 ก.ค.ที่ผ่านมา กรมสอบสวนคดีพิเศษ(ดีเอสไอ) ได้ประชุมร่วมกับ 5 หน่วยงาน ประกอบด้วย สำนักพระพุทธศาสนาแห่งชาติ (พศ.) สำนักงานป้องกันและปราบปรามการฟอกเงิน(ปปง.) สำนักตรวจพิสูจน์ทางชีววิทยา สถาบันนิติวิทยาศาสตร์ ตัวแทนสำนักงานคณะกรรมการป้องกันและปราบปรามยาเสพติด (ป.ป.ส.) และตำรวจกองปราบปราม เพื่อหารือถึงการการกระทำความผิดของเณรคำ ซึ่งมีมติว่า เณรคำเข้าข่ายการกระทำความผิดตามกฎหมาย 8 ฐานความผิด โดยฐานความผิดที่ 1 ใช้สื่อสารสนเทศหรือเว็บไซต์ โฆษณาข้อความเป็นเท็จ อันก่อให้เกิดความเสียหายต่อสาธารณชนตาม พ.ร.บ.คอมพิวเตอร์ มาตรา 14 ที่มีการอวดอ้างว่าไปเข้าเฝ้าพระอินทร์ และพระอินทร์มอบหมายให้สร้างพระแก้วมรกตองค์ใหญ่ด้วยทอง 9,000 กก.และอะไรอีกต่างๆ นานา ความผิดที่ 2 กระทำชำเราเด็กหญิง รวมไปถึงการพรากผู้เยาว์ ความผิดที่ 3 หลีกเลี่ยงภาษีศุลกากรกรณีรถหรู โดยมีรถต้องสงสัยอยู่ 9 คัน ความผิดที่ 4 กรณีเสพยาเสพติดให้โทษ ความผิดที่ 5 แสดงและใช้หลักฐานวุฒิการศึกษาเป็นเท็จ ที่อ้างว่าจบปริญญาเอกจากมหาวิทยาลัยสันติภาพโลก ความผิดที่ 6 ฆ่าคนตายโดยประมาท กรณีขับรถชนคนตาย ความผิดที่ 7 ฟอกเงิน กรณีเบียดบังเงินที่ได้จากการบริจาคไปซื้อทรัพย์สินต่างๆ ทั้งบ้าน รถยนต์ ที่ดิน เครื่องงบิน และการใช้ใจอย่างสุรุ่ยสุร่าย รวมถึงการที่อาจจะมีการนำเงินไปฝากที่ต่างประเทศ และความผิดที่ 8 ความผิดทางธรรมตาม พ.ร.บ.คณะสงฆ์ คือ การอวดอุตริ อภินิหารต่างๆ

แกรนด์ ดีด หรือโฉนดที่ดิน แสดงชื่อเจ้าของ - ภาพจาก //www.alittlebuddha.com




ที่ตั้งบ้านพักเณรคำในแคลิฟอร์เนีย - ภาพจาก //www.alittlebuddha.com


บ้านพักส่วนตัวที่เมืองเลค เอลซินอร์ ซึ่งตั้งชื่อว่า "ป่าขันติธรรม" - ภาพจากเว็บ luangpunenkham.com


ภาพเณรคำถ่ายกับรถเบนซ์อันอื้อฉาว ที่บ้านพักในเมืองเลค เอลซินอร์ เมื่อเดือนเมษายน 2554 - ภาพจากเว็บ luangpunenkham.com


กลุ่มผู้สนับสนุนเณรคำในแคลิฟอร์เนีย (ที่ 3 จากซ้าย นางศรีวงศ์ อาญาสิทธิ์ เจ้าของหนังสือพิมพ์ข่าวสดยูเอสเอ ซึ่งเป็นผู้มีชื่อเสียงในสังคมแอลเอ ก็เป็นหนึ่งในผู้อุปถัมภ์เณรคำด้วย) - ข้อมูลจาก //www.alittlebuddha.com


หนังสือเดินทางของเณรคำ ซึ่งระบุอายุวีซ่าเข้าสหรัฐอเมริกาแบบ Multiply ถึงวันที่ 3 พฤษภาคม 2020 (พ.ศ.2563) - ภาพจาก //www.alittlebuddha.com




หนังสือนิมนต์เณรคำและผู้ติดตาม ไปร่วมงานวันวิสาขบูชาโลก ที่กรุงปารีส ประเทศฝรั่งเศส โดยพระครูภาวนาวรธรรมวิเทศ (ปานขาว) เจ้าอาวาสวัดโพธิญาณราม เมืองตวกหนง ประเทศฝรั่งเศส - ภาพจาก //www.alittlebuddha.com

//www.manager.co.th/Politics/ViewNews.aspx?NewsID=9560000084461




 

Create Date : 10 กรกฎาคม 2556   
Last Update : 10 กรกฎาคม 2556 20:52:35 น.   
Counter : 2485 Pageviews.  

1  2  3  4  5  6  7  8  9  10  11  12  13  14  15  16  17  18  19  20  21  22  23  24  25  26  27  28  29  30  31  32  33  34  35  36  37  38  39  40  41  42  43  44  45  46  47  48  49  50  51  52  53  54  55  56  57  58  59  60  61  62  63  64  65  66  67  68  69  70  71  72  73  74  75  76  77  78  79  80  81  82  83  84  85  86  87  88  89  90  91  92  93  94  95  96  97  98  99  100  101  102  103  104  105  106  107  108  

karnoi
Location :


[Profile ทั้งหมด]

ฝากข้อความหลังไมค์
Rss Feed
Smember
ผู้ติดตามบล็อก : 57 คน [?]




เลขเด็ด เลขดัง กาน้อย






ติดตามข้อมูลของเว็บทาง twitter ได้ที่ @karnoi กด
ติดตามข้อมูลเว็บทาง FaceBook กด







Online Users


[Add karnoi's blog to your web]