เลขเด็ด เลขดัง กาน้อย

ติดตามข้อมูลเว็บทาง Google+ กด
FaceBook สาว ๆ เซ็กซี่

หนีซุกกะเหรี่ยง! ผบ.ตร.เผยอยู่ระหว่างเจรจาส่งตัว “เบนซ์ ท่าทราย”


หนีซุกกะเหรี่ยง! ผบ.ตร.เผยอยู่ระหว่างเจรจาส่งตัว “เบนซ์ ท่าทราย”

คลิกที่ภาพเพื่อดูขนาดใหญ่ขึ้น
หนีซุกกะเหรี่ยง! ผบ.ตร.เผยอยู่ระหว่างเจรจาส่งตัว “เบนซ์ ท่าทราย”

หนีซุกกะเหรี่ยง! ผบ.ตร.เผยอยู่ระหว่างเจรจาส่งตัว “เบนซ์ ท่าทราย”

ASTVผู้จัดการ - ผบ.ตร.เผย “เบนซ์ ท่าทราย” หลบหนีไปอยู่ฝั่งพม่ากับกองกำลังกะเหรี่ยง กำลังเจรจาให้ส่งตัวกลับไทย ปัดที่ออกมาแฉตำรวจรับส่วยต้องฟังหูไว้หู ส่วนผู้บังคับบัญชาก็ต้องตรวจสอบ

       วันนี้ (21 พ.ย.) ที่สำนักงานตำรวจแห่งชาติ พล.ต.อ.สมยศ พุ่มพันธุ์ม่วง ผู้บัญชาการตำรวจแห่งชาติ (ผบ.ตร.) กล่าวถึงความคืบหน้าการติดตามตัว นายอดิศักดิ์ ศรีสะอาด อายุ 26 ปี หรือเบนซ์ ท่าทราย ผู้ต้องหาคดียาเสพติด ที่โพสต์เฟซบุ๊กขู่ฆ่าตำรวจ สภ.ศรีประจันต์ จ.สุพรรณบุรี ขณะนี้อยู่ระหว่างหลบหนีว่า ตนได้มอบหมายให้ตำรวจทุกหน่วยงานที่เกี่ยวข้อง อาทิ บช.ภ.7 บช.ปส. และกองปราบปราม บูรณาการการทำงานในการติดตามตัวนายอดิศร ล่าสุดได้รับรายงานว่านายอดิศรได้หลบหนีไปอยู่ฝั่งประเทศพม่ากับกองกำลังกะเหรี่ยงของ พ.ท.ไชยา ขณะนี้เราพยายามทุกวิถีทางเพื่อให้เขาส่งมอบตัวให้เรา ตรงนี้อยากขอเวลให้ตำรวจทำงานสักระยะ คิดว่าอีกไม่นานจะมีความคืบหน้า ส่วนรายละเอียดเกี่ยวกับเรื่องการเจรจาตนขอไม่ตอบเพราะเป็นเรื่องของการเจรจา

       ผู้สื่อข่าวถามถึงกรณีที่นายอดิศรระบุว่า ที่ผ่านมามีการส่งส่วยให้กับตำรวจ พล.ต.อ.สมยศกล่าวว่า การตรวจสอบเรื่องส่วยยืนยันว่าจะต้องทำ แต่เรื่องนี้ต้องฟังหูไว้หู เพราะคนที่ไม่ถูกกัน อย่างกรณีนี้อีกฝ่ายหนึ่งเป็นคนจับ อีกฝ่ายถูกจับ คนที่ถูกจับคงไม่พูดเรื่องดีๆ ของผู้ที่จับ โดยเฉพาะอย่างยิ่งตำรวจ

       “ตำรวจเหมือนเป็นคนที่ยืนอยู่ตรงกลาง ฝ่ายหนึ่งชอบก็เป็นพวก ขณะที่อีกฝ่ายไม่ชอบก็ด่าเป็นเรื่องธรรมดา เราต้องยอมรับตรงนี้ แต่ถ้าเรื่องดีหรือไม่ดี เราไม่ควรให้คนที่มีผลกระทบเป็นผู้ตัดสิน แต่ต้องให้สังคมตัดสิน ตำรวจทำอะไรให้ยึดความถุกต้อง ทำตามกฎหมายตามหลักฐาน เดี๋ยวความศรัทธาก็กลับมาเอง ตอนมอบนโยบายก็กำชับให้ตำรวจยึดมั่นความถูกต้อง ไม่มีการกลั่นแกล้งให้ร้าย ไม่แบ่งฝักแบ่งฝ่าย ไม่เลือกพวกเขาพวกเรา หากตรงนี้ชัดเจน วันนึงสังคมจะให้ความเชื่อมั่นกับเรา ผมก็รอวันนั้น ถึงแม้จะเป็นโจทย์ที่ยากแต่ก็ต้องทำ” ผบ.ตร.กล่าว

       เมื่อถามย้ำว่า นายอดิศรได้โพสต์เฟซบุ๊กล่าสุดระบุมีมีหลักฐานการจ่ายส่วยทั้งคลิปเสียงและหลักฐานอื่นๆ จะมีการตรวจสอบเรื่องนี้หรือไม่ ผบ.ตร.กล่าวว่า เรื่องนี้ผู้บังคับบัญชาก็ต้องตรวจสอบและดำเนินการตามขั้นตอนอยู่แล้ว เมื่อถามว่าเจ้าตัวมีการติดต่อมอบตัวหรือไม่ พล.ต.อ.สมยศกล่าวเพียงสั้นๆ ว่าเป็นความลับไม่สามารถเปิดเผยได้




 

Create Date : 22 พฤศจิกายน 2557   
Last Update : 22 พฤศจิกายน 2557 10:31:35 น.   
Counter : 1975 Pageviews.  

ชู 3 นิ้ว รำกระตั้ว คั่วป๊อปคอร์น นอนโรงพัก ปรับทัศนคติ!!?

ชู 3 นิ้ว รำกระตั้ว คั่วป๊อปคอร์น นอนโรงพัก ปรับทัศนคติ!!?
"ชูสามนิ้ว หิ้วป๊อปคอร์น เข้าโรงหนัง" "รำกระตั้ว คั่วป๊อปคอร์น นอนดูหนัง" กลายเป็นแคมเปญเดือดแฝงประเด็นการเมืองอันร้อนฉ่าเสียแล้ว เมื่อ “กลุ่มธรรมศาสตร์เสรีเพื่อประชาธิปไตย” ถือโอกาสใช้ภาพยนตร์เรื่อง “The Hunger Games: Mockingjay Part1” เป็นสัญลักษณ์ในการเคลื่อนไหวทางการเมืองจนวุ่นวายไปทั่วบริเวณโรงหนังสกาลา ลามไปจนถึงสยามพารากอน แม้ทางโรงหนังจะยอมเสียรายได้หลายแสน!! ยกเลิกฉายหนังเรื่องนี้ทุกรอบเพื่อตัดปัญหา แต่ดูเหมือนว่าปัญหาจะยังไม่ยอมจบลงเพียงเท่านั้น...




ขอถอนตัว... “เอเพ็กซ์” บอบช้ำเกินพอแล้ว!!
"ชูสามนิ้ว หิ้วป๊อบคอร์น เข้าโรงหนัง... งานนี้มีตั๋วภาพยนตร์เรื่อง The Hunger Games: Mockingjay Part1 วันที่ 20 พฤศจิกายน รอบ 12.00น. ที่โรงภาพยนตร์สกาลา แจกฟรี! เพียงคอมเมนต์ลงในโพสต์นี้ว่า The Capitol ในภาพยนตร์เรื่องดังกล่าว เหมือนกับ Bangkok ในประเทศไทยอย่างไรบ้าง?"

รายละเอียดดังกล่าวคือแคมเปญที่ทาง “กลุ่มธรรมศาสตร์เสรีเพื่อประชาธิปไตย” ประกาศเอาไว้ผ่านหน้าแฟนเพจ “กลุ่มธรรมศาสตร์เสรีเพื่อประชาธิปไตย (LLTD)” ก่อนกิจกรรมดังกล่าวจะเกิดขึ้นเพียง 4 วัน ซึ่งมีผู้คนร่วมสนุกกันจำนวนไม่น้อยเข้ามาคอมเมนต์เปรียบเทียบสถานการณ์ในบ้านเมืองเราว่าสอดคล้องกับความโกลาหลที่เกิดขึ้นในภาพยนตร์มากน้อยแค่ไหน


(โพสต์แคมเปญแฝงการเมือง ต้นเหตุของเรื่องทั้งหมด)



ที่น่าสนใจคือ หลังจากเกิดเหตุการณ์นักศึกษากลุ่ม “ดาวดิน” บุกหน้าเวทีที่ “พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา” นายกรัฐมนตรี เดินทางไปปฏิบัติหน้าที่ และชู 3 นิ้วแสดงอาการต่อต้าน พร้อมโชว์เสื้อที่มีตัวอักษรเขียนว่า “ไม่เอารัฐประหาร” จนเป็นที่มาของวลีฮิตที่นายกฯ ออกมาเปรียบเทียบพฤติกรรมของกลุ่มนักศึกษากลุ่มดังกล่าวว่า "...นึกว่ามาเต้นกระตั้วแทงเสือ..." คนต้นคิดกิจกรรมจึงประกาศบนเฟซบุ๊กอีกครั้งเกี่ยวกับกิจกรรมดังกล่าว ด้วยชื่อแคมเปญที่เปลี่ยนไป โดยเปลี่ยนจาก “ชูสามนิ้ว หิ้วป๊อบคอร์น เข้าโรงหนัง” เป็น "รำกระตั้ว คั่วป๊อบคอร์น นอนดูหนัง" แทน


(กลุ่มดาวดิน เคลื่อนไหวต่อต้านรัฐประหาร)


ถึงแม้ว่าทางโรงหนังสกาลา เจ้าของพื้นที่การจัดกิจกรรมดังกล่าวจะไหวตัวทันในภายหลังว่า กิจกรรมของกลุ่มนักศึกษากลุ่มนี้อาจเป็นเกมการเมือง จึงออกมาประกาศขอยกเลิกการฉายภาพยนตร์ The Hunger Games ในโรงภาพยนตร์เครือเอเพ็กซ์ทันที แต่ก็ดูเหมือนว่าจะรู้ตัวช้าไปเสียแล้ว เจ้าหน้าที่โรงหนังในเครือดังกล่าวบอกเล่าความจริงเกี่ยวกับเหตุการณ์ทั้งหมดผ่านหนังสือพิมพ์หัวสีฉบับหนึ่งเอาไว้ดังนี้

แท้จริงแล้ว แคมเปญที่ทางกลุ่มธรรมศาสตร์เสรีเพื่อประชาธิปไตยจัดขึ้นนั้น ไม่ได้มีการติดต่อทางโรงภาพยนตร์สกาลาเอาไว้ก่อนล่วงหน้า และไม่มีการจัดเสวนาหรือเหมารอบเพื่อดูหนังใดๆ ทั้งนั้น คือปกติแล้วโรงหนังแห่งนี้มี 800 ที่นั่ง แต่มีคนกลุ่มหนึ่งซื้อแบบเหมาไป 200 ที่นั่ง ซึ่งทางโรงมองว่าเป็นเรื่องปกติ เนื่องจากมีการเหมาซื้อแบบนี้เกิดขึ้นอยู่เป็นประจำอยู่แล้ว แต่หลังจากเห็นโพสต์หน้าแฟนเพจของกลุ่มนักศึกษากลุ่มดังกล่าว ทางโรงจึงตัดสินใจถอด The Hunger Games ออกในทันที และจะคืนเงินค่าตั๋วหนังของกลุ่มนักศึกษาดังกล่าวเป็นการตอบแทนที่ยกเลิกรอบหนังดังกล่าว

ถึงแม้ว่าจะต้องสูญรายได้กว่าวันละหลายแสนบาท เนื่องจากภาพยนตร์ดังกล่าวเป็นโปรแกรมยักษ์ ลูกค้าสนใจเยอะ แต่ทางโรงภาพยนตร์ในเครือเอเพ็กซ์ก็พิจารณาเด็ดขาดแล้วว่า ถ้าปล่อยให้ฉายเรื่องนี้ต่อไป ผลที่ได้อาจไม่คุ้มกับการเข้าไปพัวพันเรื่องการเมือง เนื่องจากที่ผ่านมา ทางโรงภาพยนตร์ก็บอบช้ำจากผลกระทบด้านการเมืองมากเกินพอแล้ว



(กลุ่มธรรมศาสตร์เสรีเพื่อประชาธิปไตย บุกชูแคมเปญที่สกาลา)

อย่างไรก็ตาม ทาง “รัฐพล ศุภโสภณ” สมาชิกกลุ่มธรรมศาสตร์เสรีเพื่อประชาธิปไตย เจ้าของแคมเปญ “รำกระตั้ว คั่วป๊อบคอร์น นอนดูหนัง” ได้เปิดเผยต่อสื่อมวลชนบริเวณหน้าโรงภาพยนตร์สกาลาในวันนัดรวมพลว่า ไม่ได้มีเจตนาแอบแฝงเรื่องการเมืองแต่อย่างใด ทั้งยังฝากบอกไปยังรัฐบาลอีกว่าถ้าคิดจะสร้างความปรองดองก็ต้องเชื่อใจอีกฝ่ายก่อน ต้องคุยกันด้วยเหตุและผล พวกเราก็แค่คนธรรมดาที่จัดกิจกรรมดูหนังเท่านั้นเอง อีกทั้งยังได้แสดงความเป็นห่วงกลุ่มนักศึกษามหาวิทยาลัยขอนแก่น (กลุ่มดาวดิน) หลังถูกนำตัวไปที่ค่ายศรีพัชรินทร และมีข่าวว่าอาจถูกปลดจากสถานภาพนักศึกษาด้วย และได้เตรียมใจไว้บ้างแล้วหากจะถูกดำเนินการในแบบเดียวกัน




“ชู 3 นิ้ว” แฝงการเมือง ลามพารากอน
นอกจากความโกลาหลที่เกิดขึ้นทั่วบริเวณโรงภาพยนตร์สกาลา เครือเอเพ็กซ์แล้ว ยังมีความเคลื่อนไหวเพิ่มเติมที่โรงภาพยนตร์พารากอนอีกด้วย โดย “นัชชชา กองอุดม” นักศึกษามหาวิทยาลัยกรุงเทพ ได้เดินทางจากบริเวณโรงภาพยนตร์สกาลาไปยังโรงภาพยนตร์ภายในห้างสรรพสินค้าของทางสยามพารากอน ไปยืนที่บริเวณหน้าป้ายภาพยนตร์เรื่อง The Hunger Games ซึ่งกำลังเป็นประเด็นร้อน จากนั้นโพสท่าถ่ายรูปต่อหน้าสื่อมวลชนด้วยสัญลักษณ์ “ชู 3 นิ้ว” จึงถูกเจ้าหน้าที่ทหารเรียกตัวเพื่อไปปรับทัศนคติในที่สุด


(ความวุ่นวายลามไปถึงพารากอน)

หากใครได้ติดตามข่าวคราวด้านการเมืองอยู่บ้าง จะพอเข้าใจว่าสัญลักษณ์ “ชู 3 นิ้ว” ในบ้านเมืองเรามีนัยความหมายอะไร? เป็นสัญลักษณ์ที่ครั้งหนึ่งมวลชนคนเสื้อแดงเคยเอามาใช้เพื่อต่อต้านเรื่องการเมืองเพื่อแทนความหมายว่า “ชู 3 นิ้ว ต้านรัฐประหาร” โดยระบุว่านิ้วทั้ง 3 ที่ชูขึ้นเป็นตัวแทนเพื่อ “เสรีภาพ เสมอภาค และภราดรภาพ” จนกลายเป็นกระแสแพร่เต็มโลกออนไลน์อยู่พักใหญ่ๆ

กระทั่งฝั่งที่ไม่เห็นด้วยกับพฤติกรรมเหล่านี้ได้ออกมาให้นิยาม “ชู 3 นิ้ว” ในมุมกลับเพื่อแก้เกมโดยระบุว่า นิ้วทั้ง 3 ที่ชูขึ้นจากกลุ่มคนเหล่านี้ เป็นสัญลักษณ์เพื่อประกาศพฤติกรรมฟอนเฟะทั้ง 3 ประการคือ “โกงข้าว ล้มเจ้า เผาเมือง” และวลีเด็ดที่ว่า “Thank You 3 Times”


(ชู 3 นิ้ว กับนัยทางการเมือง)

ลองตัดเรื่องการเมืองทิ้งไปสักครู่แล้วหันมามองความหมายของการ “ชู 3 นิ้ว” ในภาพยนตร์เรื่อง The Hunger Games ว่าจริงๆ แล้วเจ้าของบทประพันธ์ต้องการสื่อสารเรื่องใดเอาไว้กันแน่? การชู 3 นิ้วด้วยมือข้างซ้าย ได้แก่ นิ้วชี้ นิ้วกลาง และนิ้วนาง ในความหมายของตัวเอกในเรื่องอย่าง “ม็อกกิ้งเจย์” หมายถึง “การขอบคุณ การชื่นชม และการบอกลาคนที่รัก” และภายหลังสัญลักษณ์นี้ก็กลายมาเป็นนัยแห่งการปฏิวัติที่เกิดขึ้นในภาพยนตร์เรื่องนี้นี่เอง


(ความหมายที่แท้จริงของการ "ชู 3 นิ้ว" จากหนัง)



เมื่อเรื่องของความบันเทิงกลายมาเป็นประเด็นร้อนแรงพัวพันการเมืองแบบนี้ ทางทีมข่าว ASTVผู้จัดการ Live จึงขอให้ผู้คร่ำหวอดในวงการภาพยนตร์ช่วยวิเคราะห์ปรากฏการณ์ที่เกิดขึ้นครั้งนี้เสียหน่อย “อ.ประวิทย์ แต่งอักษร” นักวิจารณ์ภาพยนตร์ระดับแถวหน้าของเมืองไทย จึงเริ่มแสดงความคิดเห็นผ่านมุมมองของเขาอย่างตรงไปตรงมา

“พูดกันจริงๆ เรื่องหนังมันเป็นเรื่องการเมืองอยู่แล้วครับ มันเป็นเรื่องการเมืองมาแต่ไหนแต่ไรอยู่แล้ว เหมือนกับงานศิลปะหลายๆ อย่างที่สะท้อนด้านการเมืองในมุมมองของศิลปินออกมา อย่างเรื่อง “The Hunger Games” ถ้าเอาไปฉายในประเทศที่ไม่มีบาดแผลอย่างที่เรามีอยู่ ผมว่ามันก็จะเป็นแค่หนังที่พูดถึงเรื่องเสรีภาพ พูดถึงเรื่องที่หนังฮอลลีวูดพูดมาตลอด คือความเป็นอเมริกา เรื่องเสรีภาพ ความเป็นประชาธิปไตย

ถ้าเอาหนังเรื่อง The Hunger Games มาฉายในสภาวะบ้านเมืองปกติ มันก็จะเป็นหนังที่สะท้อนอุดมการณ์เสรีภาพเหมือนกับหนังเรื่องอื่นๆ ที่เคยมีมา นับตั้งแต่เรื่อง Titanic, บัญญัติ 10 ประการ ฯลฯ พูดถึงการเชิดชูเรื่องเสรีภาพ เพียงแต่พอมาฉายในบ้านเรา ในช่วงเวลาที่คำว่า “เสรีภาพ” กลายเป็นประเด็นอ่อนไหวหรือบอบบาง คำนี้เลยกลายเป็นประเด็นร้อนแรงขึ้นมา

และอีกอย่างหนึ่ง ถ้าเกิดได้ดูเรื่อง The Hunger Games ทั้ง 2 ภาคนี้ ซึ่งผมได้ดูแล้ว ก็จะรู้ว่าเนื้อเรื่องมันสามารถเทียบเคียงได้กับสถานการณ์ในปัจจุบัน ระบบเผด็จการในโลกนี้เวลามันเกิดขึ้น มันเหมือนกันไปหมดแหละครับ มันมีวิธีคิด วิธีการปฏิบัติต่อประชาชนคล้ายคลึงกันไปหมด

จากกรณีที่เกิดขึ้นพอจะเป็นภาพสะท้อนเรื่องวงการหนังไทยได้บางส่วนเหมือนกัน ถ้าพูดถึงหนังไทยเอง ตอนนี้เราจะไม่พยายามแตะต้องเรื่องการเมืองโดยตรง คือไม่นำเสนอหนังที่มีประเด็นทางการเมือง แม้ว่าจริงๆ แล้วการไม่เสนอประเด็นทางการเมืองของเขาก็เป็นการแสดงออกทางการเมืองในอีกแง่มุมหนึ่งได้เหมือนกัน”




เห็นใจสกาลา กลืนไม่เข้าคายไม่ออก

(โรงหนังสกาลา เผชิญความวุ่นวายไปด้วยแบบ กลืนไม่เข้าคายไม่ออก)

ประเด็นเดือดที่เกิดขึ้นในครั้งนี้ ฝ่ายที่ตกอยู่ในที่นั่งลำบากมากที่สุดโดยไม่ได้ทำอะไรผิด คงหนีไม่พ้นโรงภาพยนตร์ในเครือเอเพ็กซ์ที่ต้องแบกรับผลกระทบทั้งขึ้นทั้งล่องไปเต็มๆ ลองให้นักวิจารณ์ภาพยนตร์ชื่อดังผู้คร่ำหวอดในวงการแผ่นฟิล์มแนะนำว่าทางโรงหนังจะตัดสินใจอย่างไรจึงจะเกิดผลกระทบน้อยที่สุด อาจารย์ประวิทย์บอกเลยว่า ไม่อยู่ในฐานะที่จะบังอาจแนะนำทางโรงหนังได้ เพราะมองอย่างไรก็มีแต่เสียกับเสีย จึงมีเพียงมุมมองจากความ “เข้าใจ” และ “เห็นใจ” ฝากเอาไว้เท่านั้น

“ผมว่ามันเป็นภาวะกลืนไม่เข้าคลายไม่ออก ในกรณีนี้ ผมชื่นชมโรงหนังในเครือเอเพ็กซ์ในการตัดสินใจในครั้งนี้นะครับ และผมก็ชื่นชมที่เขาเป็นที่พึ่งของคนดูหนังที่ไม่ต้องการดูหนังในเครือมัลติเพล็กซ์ และราคาค่าตั๋วของที่นี่ก็ราคาถูก อย่างน้อยก็ถูกกว่าที่อื่นๆ แถมยังไม่มีความยุ่งยาก ไม่มี Hidden Cost หรือค่าใช้จ่ายซ่อนเร้นเหมือนกับโรงหนังมัลติเพล็กซ์ทั้งหลาย

ส่วนหนึ่งที่คนไปทำกิจกรรมทางการเมืองที่โรงของเอเพ็กซ์ ผมคิดว่าเป็นเพราะทางโรงเขาไม่ยุ่งยากครับ และการที่เขาถูกเลือก ทางโรงหนังก็มีสิทธิที่จะปฏิเสธโดยไม่ฉายไปเลยก็ได้ มันเป็นสิทธิของโรงหนังน่ะครับ แล้วก็เป็นสิทธิของคนดูหนังและคนทำกิจกรรมทางการเมืองด้วยเหมือนกันในการที่จะเห็นด้วยหรือไม่เห็นด้วยกับการกระทำของโรงหนัง ต่างคนก็ต่างมีจุดยืนเป็นของตัวเอง

จะบอกว่าผมก็เข้าใจคนที่จัดกิจกรรมทางการเมืองนะ เขาอาจจะมองว่ามันประจวบเหมาะพอดี เพราะคนที่ทำกิจกรรมทางการเมืองก็จำเป็นต้องมีอะไรบางอย่างในสถานการณ์ที่มันอ่อนไหวแบบนี้เพื่อเรียกร้องความสนใจ มาสะกิดให้คนหันมามอง และเผอิญว่าหนังเรื่อง The Hunger Games มันมีเนื้อหาที่สะกิดประเด็นที่เกี่ยวโยง เพราะฉะนั้น ก็พอจะเข้าใจได้ครับว่าทำไมถึงดึงเรื่องหนังเข้ามาชู ส่วนเรื่องโรงหนังจะมีวิธีการระวังหรือรับมือยังไง บอกยากครับ แต่ผมแค่รู้สึกว่าถ้าคนจัดกิจกรรมกำลังมองหาประเด็นอะไรบางอย่าง นี่เป็นโอกาสที่ดีที่จะขยายความคิดเห็นของตัวเองไปสู่ผู้คน




กรณีที่เกิดขึ้นกับโรงหนังเครือเอเพ็กซ์ครั้งนี้ ผมอยากให้มองอย่างเข้าใจครับ อย่างที่ทราบว่า เขาเป็นคู่กรณีเกี่ยวกับเรื่องการเมืองมาก่อน โรงหนังสยามก็ถูกเผาไปเมื่อ 3-4 ปีที่แล้ว เจ้าของโรงหนังหรือผู้ดำเนินกิจการเขาก็มีสิทธิที่จะเลือกไม่ฉายหนังที่จะดึงให้โรงหนังเข้าไปเกี่ยวข้องกับความขัดแย้งทางการเมืองอีก เพราะในขณะที่คนไม่ได้ดู The Hunger Games ที่โรงในเครือของเอเพ็กซ์ มันก็ไม่ได้แปลว่าจะทำให้คนดูที่อื่นไม่ได้ด้วยนี่ครับ โรงอื่นเขาก็ยังฉายกันตามปกติ ฉะนั้น ผมว่าเรื่องนี้ไม่ใช่เรื่องซีเรียสอะไร แต่ถ้าเกิดมันไม่ได้ฉายเพราะรัฐบาลเป็นคนสั่งห้าม นั่นถึงน่าจะมองว่าเป็นเรื่องที่ไม่เข้าท่า


(ความเจ็บปวดเมื่อครั้งก่อน ยังฝังจำ ไม่ขอแลกคืน)




ถ้าหากเป็นโรงหนังปกติทั่วไปทั้งหลาย ไม่มีประวัติอันเลวร้าย ไม่เคยโดนเผาก็คงไม่เป็นไร แต่โรงหนังเครือเอเพ็กซ์เราก็ทราบอยู่ว่ามันมีเหตุการณ์ตรงนี้อยู่ ฉะนั้น ถ้าคนจะไปต่อว่าเขาที่ขอยกเลิกฉายเพราะกลัวเข้าไปพัวพันในประเด็นทางการเมือง มันก็เป็นสิทธิของแต่ละคนครับ แต่ถ้าลองมองอย่างเข้าใจและรอบด้าน ก็จะเห็นว่าเขาอาจไม่อยู่ในภาวะต้องการเผชิญหน้าแบบไม่ยอมลดราวาศอกให้เป็นปัญหา

ส่วนคนที่มองว่าเขาเลือกที่จะไม่ฉายหนังเพราะเลือกข้างอะไรบางอย่างไปแล้ว อันนี้ผมมองว่ามันเป็นสิทธิที่คนจะตีความได้ครับ การทำอะไรสักอย่างหนึ่งมันต้องติดตามมาพร้อมกับนัยทางการเมืองของตัวเองอยู่แล้ว มันแสดงออกผ่านการกระทำว่าเขาใส่เสื้อสีอะไร ซึ่งจริงๆ แล้วก็ไม่เป็นอะไรนี่ครับ ไม่ว่าจะใส่เสื้อสีอะไร ถ้าเกิดเขาไม่ลุกขึ้นมาทำร้ายร่างกายหรือแสดงออกรุนแรงอย่างที่อารยชนไม่ควรทำ”

(แคมเปญต้นเหตุที่ทำให้สกาลาต้องยอมถอดหนัง ขาดทุนวันละแสน)




ข่าวโดย ASTVผู้จัดการ Live




 

Create Date : 21 พฤศจิกายน 2557   
Last Update : 21 พฤศจิกายน 2557 8:07:30 น.   
Counter : 3788 Pageviews.  

นักศึกษาแห่ให้กำลังใจ อ.ศศิน ปักหลักนอนข้างถนนขอทางเลือกไม่เอาเขื่อนแม่วงก์

นักศึกษาแห่ให้กำลังใจ อ.ศศิน ปักหลักนอนข้างถนนขอทางเลือกไม่เอาเขื่อนแม่วงก์
นักศึกษาจาก มศว. และจุฬาฯ กว่า80คน เดินทางมาให้กำลังใจ อ.ศศิน ที่ปักหลักค้างคืนแสดงจุดยืนคัดค้านสร้างเขื่อนแม่วงก์ บริเวณด้านหน้าสำนักงานแผนทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม (สผ.) กระทรวงทรัพยากรและสิ่งแวดล้อม

       บรรยากาศช่วงค่ำวันที่18พ.ย. นักศึกษาจาก มศว. และจุฬาฯ กว่า80คน เดินทางมาให้กำลังใจ นายศศิน เฉลิมลาภ เลขาธิการมูลนิธิสืบนาคะเสถียรที่ออกมาปักหลัก "ขอทางเลือก.. ไม่เอาเขื่อนแม่วงก์ " ประท้วงคณะกรรมการผู้ชำนาญการพิจารณารายงานวิเคราะห์ผลกระทบสิ่งแวดล้อม (คชก.) ด้วยการนอนค้างคืนอยู่บริเวณด้านหน้าสำนักงานแผนทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม (สผ.) กระทรวงทรัพยากรและสิ่งแวดล้อม เนื่องจากเจ้าตัวมองว่า การจัดทำ EHIA ครั้งนี้ไม่ชอบธรรม และเป็นการทำลายสิ่งแวดล้อม

       ทั้งนี้กลุ่มนักศึกษาได้นั่งฟังบรรยายเรื่องการจัดการน้ำ ก่อนที่นายศศิน จะนำข้อมูลทั้งหมดไปให้เวทีประชุมคณะกรรมการผู้ชำนาญการพิจารณารายงานการวิเคราะห์ผลกระทบสิ่งแวดล้อมด้านแหล่งน้ำ ซึ่งจะประชุมกันในวันที่ 19 พฤศจิกายนนี้ ไว้พิจารณาเพื่อเป็นทางเลือก

       อย่างไรก็ดีมีรายงานสำนักข่าวไทยพีบีเอส อ้างว่าได้ไปสอบถาม รศ.ดร.สุระ พัฒนเกียรติ นักวิชาการด้านสิ่งแวดล้อม อดีตผู้ทรงคุณวุฒิด้านความหลากหลายทางชีวภาพเพียงคนเดียวใน คชก. ที่ถอนตัวก่อนการประชุมพิจารณาให้ความเห็นชอบรายงานผลกระทบ EHIA เขื่อนแม่วงก์ ได้ความว่า องค์ประกอบของ คชก. แต่ละคนเป็นสายพัฒนา ซึ่งจะมีมุมมองในการพิจารณาปัญหาในเชิงกายภาพ ไม่เน้นเรื่องสิ่งแวดล้อมในภาพรวม ทำให้น้ำหนักของการตัดสินใจค่อนข้าง "เห็นชอบ" ในการอนุมัติรายงานผลกระทบนี้ให้ผ่านได้

       นอกจากนี้ยังเห็นว่าน้ำหนักในการศึกษาผลกระทบด้านสิ่งแวดล้อมไม่เพียงพอ และไม่ได้นำข้อมูลจากองค์กรพัฒนาเอกชนหลายองค์กร เช่น มูลนิธิสืบฯ สหภาพนานาชาติเพื่อการอนุรักษ์ธรรมชาติและทรัพยากรธรรมชาติ (IUCN) มาประกอบ จึงเป็นเหตุผลให้ตนถอนตัวออกจาก คชก.

นักศึกษาแห่ให้กำลังใจ อ.ศศิน ปักหลักนอนข้างถนนขอทางเลือกไม่เอาเขื่อนแม่วงก์


นักศึกษาแห่ให้กำลังใจ อ.ศศิน ปักหลักนอนข้างถนนขอทางเลือกไม่เอาเขื่อนแม่วงก์


นักศึกษาแห่ให้กำลังใจ อ.ศศิน ปักหลักนอนข้างถนนขอทางเลือกไม่เอาเขื่อนแม่วงก์


นักศึกษาแห่ให้กำลังใจ อ.ศศิน ปักหลักนอนข้างถนนขอทางเลือกไม่เอาเขื่อนแม่วงก์


นักศึกษาแห่ให้กำลังใจ อ.ศศิน ปักหลักนอนข้างถนนขอทางเลือกไม่เอาเขื่อนแม่วงก์


นักศึกษาแห่ให้กำลังใจ อ.ศศิน ปักหลักนอนข้างถนนขอทางเลือกไม่เอาเขื่อนแม่วงก์


นักศึกษาแห่ให้กำลังใจ อ.ศศิน ปักหลักนอนข้างถนนขอทางเลือกไม่เอาเขื่อนแม่วงก์




 

Create Date : 19 พฤศจิกายน 2557   
Last Update : 19 พฤศจิกายน 2557 7:09:40 น.   
Counter : 1199 Pageviews.  

เตะผู้ต้องหา...ควรออกจากราชการหรือไม่?


เตะผู้ต้องหา...ควรออกจากราชการหรือไม่?

กลายเป็นประเด็นร้อนของสังคมที่อาชญากรรมและความยุติธรรมยังไม่อาจหาสมดุลที่สังคมยอมรับได้ กับกรณีคลิปตำรวจเตะผู้ต้องหาคดีเมาแล้วขับนำไปสู่คำสั่งถูกให้ออกจากราชการโดยพลัน สิ่งนี้กลายเป็นชนวนให้เกิดกระแสคัดค้านคำสั่งดังกล่าว กลายเป็นคำถามสำคัญที่สังคมต้องเลือกว่า บทลงโทษแบบไหนจะเหมาะกับผู้กระทำผิดในสังคมไทย

โทสะของความยุติธรรม

กระแสของโลกออนไลน์เป็นสิ่งที่แพร่กระจายไปได้อย่างรวดเร็ว ยิ่งกับคลิปวิดีโอที่มีดรามาให้เกิดความขัดแย้งเห็นต่างวิพากษ์ถกเถียง ยิ่งส่งผลให้การถกเถียงเป็นไปได้อย่างรวดเร็ว ขับเคลื่อนให้ประเด็นดังกล่าวเป็นข่าวแรงขึ้น กับคลิป ตำรวจเตะผู้ต้องหาคดีเมาแล้วขับก็เช่นกัน หลังจากมีการจัดกุมผู้ต้องหาให้อยู่ในสภาพถูกจับใส่กุญแจมือคนไม่สามารถหนีไปไหนได้ เจ้าหน้าที่ตำรวจนายหนึ่งก็เดินตรงเข้ามาเตะคนร้ายเข้าอย่างจัง กลายเป็นที่วิจารณ์รุนแรงกับท่าทีก้าวร้าวดังกล่าวซึ่งไม่ควรจะเกิดขึ้นกับผู้รักษากฎหมายเสียเอง

ด.ต.ภรเดช เดชโชติ สภ.เมืองนครสวรรค์ คือผู้ที่อยู่ในคลิปดังกล่าว ผู้บังคับบัญชามีคำสั่งให้เขาออกจากราชการแล้ว โดยเขา กล่าวว่า “ผมยอมรับผิดและขอโทษในสิ่งที่ผมได้ทำลงไป ผู้ต้องหาขับรถฝ่าไฟแดงพุ่งชนคนบริสุทธิ์บนท้องถนน มีเด็กนักเรียนบาดเจ็บถึง 3 คน และยังขัดขืนต่อสู้ เป่าแอลกอฮอล์พบสูงถึง 193 มก. ผมเพียงไม่อยากเห็นเหตุการณ์นี้ต้องมาเกิดขึ้นกับเด็กๆ”

ถือเป็นหนึ่งในหลายกรณีที่มีเกิดขึ้นในสังคมไทยกับการที่ตำรวจลงมือทำร้ายผู้ต้องหา นำมาซึ่งข้อวิพากษ์เรื่องความยุติธรรมไทย

ภายหลังเหตุการณ์ดังกล่าว พ่อแม่ของเด็กนักเรียนที่บาดเจ็บได้ออกมาตัดพ้อว่า ไกรสิทธิ์ วรเชษฐ์ ผู้ต้องหาได้ถูกประกันตัวไปแล้ว และไม่เคยมาขอโทษหรือมาเยี่ยมอาการน้องเลย มีแต่ตำรวจชุดจับกุมและตำรวจที่เตะคนเมา มาเยี่ยมและให้กำลังใจ

ทั้งนี้ หลังจากมีคำสั่งให้ออกจากราชการกับเจ้าหน้าที่ตำรวจดังกล่าว ทางเพจ Thailand police story ก็มีการโพสต์ภาพที่มีข้อความว่า “คัดค้านคำสั่งให้ ด.ต.ภรเดช เดชโชติ ออกจากราชการ” พร้อมข้อความแสดงความเห็นบางส่วนว่า

“ในฐานะเพื่อนข้าราชการตำรวจด้วยกัน หลายคนก็เห็นว่าคำสั่งให้ออกจากราชการถือว่ารุนแรงเกินไป ถ้าตกงานแล้วครอบครัวจะอยู่อย่างไร อยากให้ผู้บังคับบัญชาพิจารณาทบทวนใหม่ ใครเห็นด้วยช่วยกันกดไลค์ ลงชื่อเป็นกำลังใจให้ ด.ต.ภรเดช เดชโชติ ด้วยครับ”

แน่นอนว่ามีผู้เข้าแสดงความเห็นกันมากมาย โดยหลายคนเข้ามาให้กำลังใจตำรวจคนดังกล่าวพร้อมทั้งตัดพ้อผู้ที่เห็นต่างว่า หากเหยื่อเป็นลูกหลานของคนเหล่านั้นก็คงทนกับคนร้ายไม่ได้เช่นกัน ประเด็นดังกล่าวกลายเป็นหัวข้อถกเถียงได้ไม่จบสิ้น

ในโลกที่มีกฏหมาย

คำถามมากมายผุดขึ้นจากประเด็นตำรวจเตะผู้ต้องหา ตั้งแต่ความยุติธรรมคืออะไร? ตำรวจทำร้ายคนร้ายได้หรือไม่? ควรอนุญาตให้ทำร้ายเพื่อสั่งสอนเป็นบทเรียนได้จริงหรือ? หรือควรเชื่อในกฎหมายแล้วปล่อยให้บทลงโทษเป็นไปตามที่ระบุไว้ในตัวอักษร แม้จะสิ้นหวังเพียงใดก็ตาม

จากเหตุการณ์ที่เกิดขึ้น พ.ต.ท.ดร.กฤษณพงค์ พูตระกูล ประธานบริหารหลักสูตรอาชญาวิทยาและการบริหารงานยุติธรรม มหาวิทยาลัยรังสิต เผยว่าต้องแยกกรณีนี้ให้ออก ความผิดฐานเมาแล้วขับก็ต้องลงโทษไปตามกระบวนการทางกฎหมาย ขณะที่เจ้าหน้าที่ตำรวจทำร้ายผู้ต้องหาก็ถือเป็นความผิดที่ต้องดำเนินคดีเช่นกัน ต้องแยกขาดจากกัน


“ตำรวจมีหน้าที่พิทักษ์สันติราษฎร์ เป็นผู้รักษากฎหมาย จะละเมิดกฎหมายเสียเองไม่ได้ ตำรวจในยุคใหม่ยุคประชาธิปไตยนั้นจะเน้นหลักๆ อยู่ไม่กี่อย่าง ความเป็นมืออาชีพในปฏิบัติหน้าที่ หลักมนุษยชนที่ไม่สามารถละเมิดได้ การจับกุมผู้คนร้าย แม้เขาจะเป็นคนร้ายจริงๆ แต่ก็ยังมีสิทธิความเป็นมนุษย์ที่ตำรวจไม่สามารถไปละเมิดเขาได้”

ในส่วนของบทลงโทษที่ให้ออกจากราชการนั้น เขาเผยว่า เป็นบทลงโทษขั้นต้นเพื่อสืบสวนหาข้อเท็จจริงของสิ่งที่เกิดขึ้นก่อน ทว่าหลักฐานจากคลิปวิดีโอก็ดูจะเป็นหลักฐานที่มัดตัวเจ้าหน้าที่คนดังกล่าวไว้อย่างแน่นหนาแล้ว สิ่งตามมาคงจะเป็นบทลงโทษที่ต้องว่ากันไปตามกฎหมาย ทำร้ายร่างกายที่มีอัตราโทษเป็นไปตามความเสียหายที่เกิดขึ้น ส่วนหลังจากนั้นเจ้าหน้าที่คนดังกล่าวจะลงกลับมาเข้ารับราชการได้อีกหรือไม่ ขึ้นอยู่กับดุลยพินิจของผู้บังคับบัญชา

“กระแสสังคมที่มองว่า คัดค้านคำสั่งถอดถอนตำรวจคนดังกล่าว ด้านหนึ่งก็สะท้อนถึงความสิ้นหวังในกระบวนการยุติธรรมไทย การบังคับใช้กฎหมายที่ไม่เด็ดขาด แต่อีกด้านหนึ่งการทำแบบนี้ไม่ถูกต้อง มันเท่ากับเป็นการเห็นด้วยว่าเจ้าหน้าที่คนนั้นทำถูกต้องแล้ว ซึ่งตำรวจไม่ควรลุแก่อำนาจ จับผู้ต้องหาได้แล้วยังใช้กำลังทำร้ายอีก แบบนี้ไม่ถูกต้อง”

ประโยคเด็ดที่หลายคนพูดกันคือ คนที่ออกมาพูดไม่เห็นด้วยกับการกระทำของตำรวจก็เพราะเหยื่อไม่ได้เป็นลูกหลานของตนเองมากกว่า เขาเผยว่า การที่สังคมมองว่าควรเปิดโอกาสให้มีการทำแบบนี้มาจากความสะใจเท่านั้น ไม่เป็นไปตามกฎหมายที่มีอยู่

“กฎหมายไม่ได้มีระบุให้ทำได้ดังนั้นมันจึงทำไม่ได้ การทำเพื่อความสะใจไม่ใช่สิ่งที่ถูกต้อง ในยุคดึกดำบรรพ์เราไม่มีกฎหมายมันก็มีการล้างแค้นกันเกิดขึ้น แต่ตอนนี้เรามีกฎหมายแล้ว ถ้ายังให้มีการล้างแค้นกันอีกมันก็ไม่จบไม่สิ้น สุดท้ายแล้วคนร้ายก็มีญาติของเขามีพ่อมีแม่ของเขาเหมือนกัน เราต้องบังคับให้กฎหมายให้เด็ดขาดเพื่อแก้ไขปัญหามากกว่า”

ข่าวโดย ASTV ผู้จัดการ LIVE




 

Create Date : 18 พฤศจิกายน 2557   
Last Update : 18 พฤศจิกายน 2557 7:00:15 น.   
Counter : 1308 Pageviews.  

โศกนาฏกรรมคอนเสิร์ต เมื่อ “บอดี้สแลม” แตะไม่ถึงขอบฟ้า

คลิกที่ภาพเพื่อดูขนาดใหญ่ขึ้น
โศกนาฏกรรมคอนเสิร์ต เมื่อ “บอดี้สแลม” แตะไม่ถึงขอบฟ้า

โศกนาฏกรรมคอนเสิร์ต เมื่อ “บอดี้สแลม” แตะไม่ถึงขอบฟ้า

โศกนาฏกรรมคอนเสิร์ต เมื่อ “บอดี้สแลม” แตะไม่ถึงขอบฟ้า

โศกนาฏกรรมคอนเสิร์ต เมื่อ “บอดี้สแลม” แตะไม่ถึงขอบฟ้า

โศกนาฏกรรมคอนเสิร์ต เมื่อ “บอดี้สแลม” แตะไม่ถึงขอบฟ้า

โศกนาฏกรรมคอนเสิร์ต เมื่อ “บอดี้สแลม” แตะไม่ถึงขอบฟ้า

โศกนาฏกรรมคอนเสิร์ต เมื่อ “บอดี้สแลม” แตะไม่ถึงขอบฟ้า

โศกนาฏกรรมคอนเสิร์ต เมื่อ “บอดี้สแลม” แตะไม่ถึงขอบฟ้า

โศกนาฏกรรมคอนเสิร์ต เมื่อ “บอดี้สแลม” แตะไม่ถึงขอบฟ้า

โศกนาฏกรรมคอนเสิร์ต เมื่อ “บอดี้สแลม” แตะไม่ถึงขอบฟ้า

โศกนาฏกรรมคอนเสิร์ต เมื่อ “บอดี้สแลม” แตะไม่ถึงขอบฟ้า

โศกนาฏกรรมคอนเสิร์ต เมื่อ “บอดี้สแลม” แตะไม่ถึงขอบฟ้า

โศกนาฏกรรมคอนเสิร์ต เมื่อ “บอดี้สแลม” แตะไม่ถึงขอบฟ้า

โศกนาฏกรรมคอนเสิร์ต เมื่อ “บอดี้สแลม” แตะไม่ถึงขอบฟ้า

โศกนาฏกรรมคอนเสิร์ต เมื่อ “บอดี้สแลม” แตะไม่ถึงขอบฟ้า

โศกนาฏกรรมคอนเสิร์ต เมื่อ “บอดี้สแลม” แตะไม่ถึงขอบฟ้า

โศกนาฏกรรมคอนเสิร์ต เมื่อ “บอดี้สแลม” แตะไม่ถึงขอบฟ้า

โศกนาฏกรรมคอนเสิร์ต เมื่อ “บอดี้สแลม” แตะไม่ถึงขอบฟ้า

โศกนาฏกรรมคอนเสิร์ต เมื่อ “บอดี้สแลม” แตะไม่ถึงขอบฟ้า

โศกนาฏกรรมคอนเสิร์ต เมื่อ “บอดี้สแลม” แตะไม่ถึงขอบฟ้า

โศกนาฏกรรมคอนเสิร์ต เมื่อ “บอดี้สแลม” แตะไม่ถึงขอบฟ้า

โศกนาฏกรรมคอนเสิร์ต เมื่อ “บอดี้สแลม” แตะไม่ถึงขอบฟ้า

โศกนาฏกรรมคอนเสิร์ต เมื่อ “บอดี้สแลม” แตะไม่ถึงขอบฟ้า

โศกนาฏกรรมคอนเสิร์ต เมื่อ “บอดี้สแลม” แตะไม่ถึงขอบฟ้า

“มาได้แค่นี้ ก็เกินฝันแล้วครับ”

        “ไม่มีทุกคน...ไม่มีบอดี้สแลม"

        นั่นคือข้อความที่ถูกโพสต์โดย “อาทิวราห์ คงมาลัย” หรือชื่อที่ทุกคนน่าจะคุ้นปากมากกว่า ก็คือ “ตูน บอดี้สแลม” หลังลงจากเวทีเวทีคอนเสิร์ต "ปรากฏการณ์ ดัม-มะ-ชา-ติ" รอบสุดท้าย ที่เพิ่งผ่านพ้นไปที่จังหวัดนครราชสีมา พร้อมกับน้ำตาลูกผู้ชายที่หลั่งไหลออกมาอย่างสุดกลั้น ภายหลังการประกาศยกเลิกทัวร์คอนเสิร์ตในจังหวัดที่เหลือทั้งหมด ท่ามกลางกระแสโจมตีจากบรรดาแฟนคลับ ที่ออกโรงมาขอเงินค่าบัตรคอนเสิร์ตคืน เนื่องจากแฟนคลับส่วนหนึ่งซื้อบัตรไปล่วงหน้าในราคาใบละ 1,500 บาท แต่ในเวลาต่อมา ราคาบัตรกลับลดลงเหลือเพียงใบละ 399 บาทเท่านั้น !! โดยมีเงื่อนไขเกี่ยวกับสปอนเซอร์มาข้องเกี่ยว ขณะที่ผู้ซื้อบัตรราคาเต็มไปก่อนหน้านี้จะได้เพียง Photobook มาเป็นของแถมเท่านั้น

        แต่ถึงจะมีโปรโมชันลด แลก แจก แถม แต่กระนั้นคอนเสิร์ตในฝันของ “บอดี้สแลม” ที่ยกโปรดักชันแบบฟูลสเกล ระดับเดียวกับคอนเสิร์ตในกรุงเทพฯ เพื่อตระเวนเล่นโชว์ไปทั่วประเทศนั้น กลับไม่สามารถ “แตะขอบฟ้า” สมดังความตั้งใจ ด้วยยอดขาดทุนที่ว่ากันว่าไม่ต่ำกว่า 20 ล้านบาท

        โดยจุดเริ่มต้นของ "ปรากฏการณ์ ดัม-มะ-ชา-ติ" นั้น มาจากกระบวนการทางความคิดที่ต้องการปรับเปลี่ยนกลยุทธ์ ให้กับบอดี้สแลม แทนที่จะยืนอยู่กับที่แล้วรอให้คนหลั่งไหลเข้ามาเฉกเช่นเดียวกับคอนเสิร์ตใหญ่ทุกครั้งที่ผ่านมา ก็เริ่มมีความคิดที่จะ
       ดำเนินการจัดโชว์ในรูปแบบของทัวร์คอนเสิร์ต ที่ใช้มาตรฐานการทำโชว์ ทั้งเรื่องของเวที แสง สี เสียงเทียบเท่ากับคอนเสิร์ตในกรุงเทพฯ เพื่อจะได้เข้าถึงคนดูทั่วประเทศได้ครอบคลุมทุกพื้นที่

        และที่ยังคงถกเถียงกันไม่จบไม่สิ้น ก็คือเหตุที่จำต้องยุติคอนเสิร์ตกลางคันนั้น เป็นเพราะบอดี้สแลม “ขาลง” หรือว่าฝันใหญ่เกินตัวกันแน่ !!

        กระนั้นก็มีเหตุผลที่ทางผู้จัดงาน คือ ยุทธนา บุญอ้อม หรือที่รู้จักกันในนาม ป๋าเต๊ด ระบุไว้เพียงสั้นๆ ว่า

        “ทุกคนอยากจะเล่นต่อให้จบ ไม่ได้รู้สึกว่าไม่อยากเล่น ขาดทุนกำไรไม่ใช่เรื่องใหญ่ แต่ต้นทุนมันสูงมาก จนงบประมาณที่เตรียมไว้ไม่พอ เราไม่สามารถเดินต่อไปได้อีกจริงๆ”

        จากนั้นก็ได้รับการชี้แจงเกี่ยวกับตัวเลขคร่าวๆ ของงบประมาณการจัดทัวร์คอนเสิร์ตในครั้งนี้ ซึ่งตกอยู่ที่ประมาณ 120 ล้านบาท ราคาบัตรใบละ 1,500 บาท ถ้าไม่นับรายได้จากสปอนเซอร์ เท่ากับว่าจะต้องขายบัตรให้ได้ 80,000 ใบ หารด้วยจำนวบโชว์ที่ตั้งไว้ในคราวแรก 32 โชว์ นั่นหมายถึงต้องได้คนดูเฉลี่ยโชว์ละ 2,500 คน เท่านั้น ขณะที่จำนวนที่นั่ กำหนดไว้อยู่ที่ 6,000 ที่นั่ง ต่อ 1 โชว์ ตัวเลขที่เกินมา 3,500 ที่นั่ง นั่นคือกำไรล้วนๆ แต่นั่นหมายถึงบัตรจะต้องขายหมดทุกที่นั่ง และทุกโชว์

        ลองนั่งกดเครื่องคิดเลขเล่นๆ ถ้าทุกอย่าง “สวยหรู” อย่างที่วาดหวังไว้ งานนี้จะได้กำไรเเข้ากระเป๋าเหนาะๆ ทั้งสิ้น 168 ล้านบาท

        มองยังไงก็ไม่น่าจะขาดทุน อย่างเลวร้ายที่สุด ก็น่าจะเสมอตัว !!

        แต่เอาเข้าจริงๆ ทุกอย่างไมได้ง่ายอย่างที่คิด เพราะมีเพียง 2 จังหวัด คือกรุงเทพฯและชลบุรีเท่านั้น ที่ได้รับกระแสการตอบรับที่ดี ส่วนจังหวัดอื่นนั้น ต้องเรียกว่าหืดขึ้นคอกันเลยทีเดียว

        นั่นหมายถึงว่าตัวเลขของยอดจำหน่ายอัลบั้มเกินล้านตลับในอัลบั้ม Believe และ Save My Life , ยอดผู้ชมคอนเสิร์ตกว่า 65,000 คน ใน BODYSLAM LIVE IN คราม รวมไปถึงยอดวิวในเว็บไซต์ youtube ของซิงเกิลเพลง “เรือเล็กควรออกจากฝั่ง” ที่ทะลุ 2 ล้านวิว ภายในเวลาไม่ถึง 48 ชั่วโมง ไม่สามารถการันตีได้ว่าการจัดทัวร์คอนเสิร์ตของบอดี้สแลมจะประสบความสำเร็จ

        บอดี้สแลมอาจจะประเมินสถานการณ์ผิดตั้งแต่แรก เพราะคาดการณ์ว่าคนต่างจังหวัดจะต้องแห่แหนมาดูคอนเสิร์ตแบบมืดฟ้ามัวดิน เหมือนคอนเสิร์ต “BODYSLAM LIVE IN คราม” ที่จัดในกรุงเทพฯ แต่ทุกคนคงลืมไปว่าพฤติกรรมของผู้บริโภคระหว่างคนกรุงเทพฯ กับต่างจังหวัดนั้นต่างกันโดยสิ้นเชิง

        ถ้าโปรดักชันจะยิ่งใหญ่ขนาดนี้ อาจจะเลือกเล่นเฉพาะหัวเมืองใหญ่สัก 4-5 จังหวัด ก็น่าจะเพียงพอแล้ว แต่นี่กลับตั้งเป้าจะเล่นถึง 32 จังหวัด มันดูจะฝันใหญ่เกินไปหน่อย !!

        หรือมันอาจจะเร็วเกินไปสำหรับวงบอดี้สแลมกับการตระเวนทัวร์คอนเสิร์ตทั่วประเทศ เพราะ “ความขลัง” ยังมีไม่มากพอ ถ้าทิ้งระยะห่างออกไปอีกซัก 5-10 ปี ไม่แน่ว่าสถานการณ์อาจจะไม่แลวร้ายขนาดนี้ เพราะราคาบัตร 1,500 บาท สำหรับแฟนคลับของวงนี้ ที่ส่วนใหญ่ยังเป็นวัยรุ่นและยิ่งเป็นวัยรุ่นต่างจังหวัดด้วยแล้ว ถือว่าค่อนข้างสูง ถ้าเทียบกับ “กำลังซื้อ”

        ที่สำคัญถ้าจะตั้งราคาบัตรไว้สูงระดับนี้ นั่นหมายถึงบอดี้สแลม จะต้องมีการทิ้งช่วงเวลาเพื่อให้คนกระหายอยากชม ถึงขนาด “ยอม” ที่จะควักกระเป๋าซื้อบัตรราคา 1,500 บาท แต่ที่ผ่านมา บอดี้สแลม ยังคงรับงานจ้างตามสถานบันเทิง ผับ เธค แทบจะทุกเดือน ทั้งบรรดาสาวก และแฟนคลับ ไม่ว่าจะเป็นขาประจำ ขาจร ล้วนแล้วแต่ได้ชมบอดี้สแลม ทั้งร้อง ทั้งเล่นกันเป็นเรื่องปกติ ยิ่งถ้าเป็นคอนเสิร์ตจ้างตามสถานบันเทิง แค่เปิดเหล้าขวดเดียว ก็สามารถเข้าไปชมคอนเสิร์ตของบอดี้สแลมชนิดประชิดติดขอบเวงทีได้แล้ว ที่ไหนเลยจะต้องมาเสียเงินซื้อบัตรใบละ 1,500 บาท ในเมื่ออรรถรสของการโชว์ก็ไม่ได้ยิ่งหย่อนไปกว่ากัน เพลงก็เพลงชุดเดียวกัน แสง สี เสียง อันอลังการตระการตา ใช่ว่าจะจำเป็นสำหรับคนต่างจังหวัด

        ถ้าเทียบกับราคาบัตรของคอนเสิร์ต “เดอะ พาเลซ” รวมศิลปินยุคเรโทร ซึ่งราคาบัตรจำน่ายสูงสุดอยู่ที่ใบละ 4,000 บาท แต่กลุ่มคนดูถือว่ามี “กำลังซื้อ” มากพอ เพราะฉะนั้นเรื่องราคาบัตรอาจจะไม่ใช่ปัญหา แต่อาจจะเป็นเรื่องของจังหวะ และเวลาที่เหมาะสมมากกว่า ที่เป็นปัญหาสำหรับ “ปรากฏการณ์ ดัม-มะ-ชา-ติ" ของบอดี้สแลมในครั้งนี้

        เมื่อบัตรราคาเต็มขายไม่ได้ จึงต้องนำมาพ่วงโปรโมชันกับบรรดาสปอนเซอร์ของงาน จริงอยู่คนดูอาจจะเยอะขึ้น แต่ก็ต้องแลกมากับศรัทธาที่เสื่อมถอย จนกลายเป็นโศกนาฏกรรมครั้งยิ่งใหญ่ของวงการเพลงเมืองไทย ที่จำเป็นต้องประกาศยุติการทัวร์คอนเสิร์ตกลางคัน ขณะที่ดำเนินไปได้ยังไม่ถึงครึ่งทาง

        แม้ครั้งนี้จะ “แตะไม่ถึงขอบฟ้า” แต่วิถีของบอดี้สแลม ยังคงต้องดำเนินต่อไป !!


       ที่มา นิตยสารASTV สุดสัปดาห์ ฉบับที่ 263 15-21 พฤศจิกายน 2557




 

Create Date : 17 พฤศจิกายน 2557   
Last Update : 17 พฤศจิกายน 2557 7:02:48 น.   
Counter : 2046 Pageviews.  

1  2  3  4  5  6  7  8  9  10  11  12  13  14  15  16  17  18  19  20  21  22  23  24  25  26  27  28  29  30  31  32  33  34  35  36  37  38  39  40  41  42  43  44  45  46  47  48  49  50  51  52  53  54  55  56  57  58  59  60  61  62  63  64  65  66  67  68  69  70  71  72  73  74  75  76  77  78  79  80  81  82  83  84  85  86  87  88  89  90  91  92  93  94  95  96  97  98  99  100  101  102  103  104  105  106  107  108  

karnoi
Location :


[Profile ทั้งหมด]

ฝากข้อความหลังไมค์
Rss Feed
Smember
ผู้ติดตามบล็อก : 57 คน [?]




เลขเด็ด เลขดัง กาน้อย






ติดตามข้อมูลของเว็บทาง twitter ได้ที่ @karnoi กด
ติดตามข้อมูลเว็บทาง FaceBook กด







Online Users


[Add karnoi's blog to your web]