เลขเด็ด เลขดัง กาน้อย

ติดตามข้อมูลเว็บทาง Google+ กด
FaceBook สาว ๆ เซ็กซี่

พบแล้ว! ชิ้นส่วนศพครูสอนภาษาญี่ปุ่นที่หายตัวไป

คลิกที่ภาพเพื่อดูขนาดใหญ่ขึ้น
 พบแล้ว! ชิ้นส่วนศพครูสอนภาษาญี่ปุ่นที่หายตัวไป

ตำรวจนำชุดประดาน้ำลงค้นหาร่างของครูสอนภาษาชาวญี่ปุ่นในคลองย่านบางบ่อ หลังเพื่อนสาวคนสนิทและสามี โชเฟอร์แท็กซี่ สารภาพว่าลงมือฆ่า ก่อนหั่นศพใส่กระสอบปุ๋ยทิ้งลงคลอง ล่าสุดพบชิ้นส่วนศีรษะ-อวัยวะภายใน

       วานนี้(21 ต.ค.)เมื่อเวลา 20.30 น. พล.ต.ท.เรืองศักดิ์ จริตเอก รักษาราชการแทน รองผู้บัญชาการตำรวจแห่งชาติ(รรท.รอง ผบ.ตร.) พร้อม พล.ต.ต.ศรีวราห์ รังสิพราหมณกุล รรท.ผบช.น. พ.ต.อ.สมบัติ มิลินทจินดา รรท.ผกก.สส.บช.น. พล.ต.ต.ธนา ชูวงศ์ รรท.ผบก.ภ.จว.สมุทรปราการ พ.ต.อ.ยงยุทธ เดชะรัฐ รองผบก.พร้อมนักประดาน้ำ ตำรวจจาก บช.น. ตำรวจภ.จว.สมุทรปราการ และมูลนิธิร่วมกตัญญู เข้าตรวจค้นบริเวณคลองนางทิ้ง ซอยนวมินทร์ 16 ต.บางบ่อ อ.บางบ่อ จ.สมุทรปราการ

       พล.ต.ต.ศรีวราห์ กล่าวว่า ได้นำชุดประดาน้ำลงดำหาชิ้นส่วนของนายโยชิโนริ ชิมาโตะ อายุ 79 ปีอาจารย์ญี่ปุ่นที่หายตัวไป ตามคำให้การของ นายสมชาย แก้วบางยาง สามี นางพรชนก ไชยะปะ หญิงสาวคนสนิท โดยให้การรับสารภาพว่า เมื่อวันที่ 21 ก.ย.ที่ผ่านมาหลังพานายโยชิโนริ ซึ่งมีอาการสะลึมสะลือ หลังไปพบแพทย์ที่รพ.บางนา 2 กลับไปบ้านพักใน หมู่บ้านออร์คิด ต.บางเสาธง อ.บางเสาธง จ.สมุทรปราการ แล้วก็ได้ร่วมมือกับนางพรชนกลงมือฆ่านายโยชิโนริ ก่อนหั่นร่างออกเป็นส่วนๆ แบ่งใส่ถุงและใส่ทรายไว้ก้นถุงเพื่อถ่วงน้ำหนักเวลาทิ้งลงน้ำจะได้ไม่ลอย หลังจากนั้นจึงนำถุงทั้ง 4 ถุง ไปทิ้งลงคลองนางทิ้ง ต.บางบ่อ อ.บางบ่อ เพื่ออำพรางศพโดยขณะนี้พบถุงใส่ดินขนาดกลาง 2 ถุงแล้วเมื่อเปิดตรวจสอบพบว่าเป็นชิ้นส่วนอวัยวะภายในซึ่งคาดว่าเป็นลำไส้และอีก 1 ถุงเป็นชิ้นส่วนของศีรษะและมือ หลังจากนี้จะต้องให้ญาติของนายโยชิโนริ มายืนยันศพอีกครั้งว่าใช่หรือไม่ รวมถึงส่งชิ้นเนื้อที่พบไปตรวจหาดีเอ็นเอด้วย ส่วนนายสมชายและนางพรชนก ขณะนี้ตำรวจตั้งข้อหา ฆ่าผู้อื่นโดยไตร่ตรองไว้ก่อน

       เบื้องต้นมีรายงานว่า นักประดาน้ำยังคงค้นหาถุงปุ๋ยที่เหลือซึ่งคาดว่าจะเป็นช่วงลำตัว แขน และขาถึงแม้ว่ากระแสน้ำด้านล่างจะไหลแรงก็ตาม และอาจจะใช้เวลาค้นหาทั้งคืนจนกว่าจะพบ




 

Create Date : 22 ตุลาคม 2557   
Last Update : 22 ตุลาคม 2557 8:28:19 น.   
Counter : 1113 Pageviews.  

'ก๊าซไข่เน่า..เหม็นคลุ้ง' เรื่องใกล้ตัว ภัยเงียบในห้างฯ


'ก๊าซไข่เน่า..เหม็นคลุ้ง' เรื่องใกล้ตัว ภัยเงียบในห้างฯ

คลิกที่ภาพเพื่อดูขนาดใหญ่ขึ้น
'ก๊าซไข่เน่า..เหม็นคลุ้ง' เรื่องใกล้ตัว ภัยเงียบในห้างฯ

'ก๊าซไข่เน่า..เหม็นคลุ้ง' เรื่องใกล้ตัว ภัยเงียบในห้างฯ

'ก๊าซไข่เน่า..เหม็นคลุ้ง' เรื่องใกล้ตัว ภัยเงียบในห้างฯ

'ก๊าซไข่เน่า..เหม็นคลุ้ง' เรื่องใกล้ตัว ภัยเงียบในห้างฯ

'ก๊าซไข่เน่า..เหม็นคลุ้ง' เรื่องใกล้ตัว ภัยเงียบในห้างฯ

'ก๊าซไข่เน่า..เหม็นคลุ้ง' เรื่องใกล้ตัว ภัยเงียบในห้างฯ

มลพิษทางอากาศ 'ก๊าซไข่เน่า' หรือ 'ก๊าซไนโตรเจนซัลไฟด์' ภัยเงียบบ่อนทำลายสุขภาวะคนเมือง ล่าสุด ประเด็นปัญหาลุกลามจากลุ่มผู้ค้าในห้างสรรพสินค้าแห่งหนึ่งที่เพิ่งเปิดให้บริการได้ไม่นาน บริเวณสยามสแควร์ ซึ่งได้รับผลกระทบโดยตรงจากก๊าซไข่เน่าที่ส่งกลิ่นเหม็นฟุ้งบริเวณโซนที่ตนเปิดร้าน บั่นทอนสุขภาพยังไม่พอ ทรัพย์สินยังได้รับความเสียหายไปด้วย

งานนี้กรมอนามัยเข้าตรวจวัดค่าก๊าซไข่เน่าพบความเข้มข้นสูงตั้งแต่ 10 - 83 ppm ซึ่งเกินกว่ามาตรฐานความปลอดภัย อย่างไรก็ตาม กลิ่นเหม็นของก๊าซไข่เน่ายังเจือปนในอากาศของห้างดังหลายแห่ง ซึ่งเป็นผลพวงมาจากการจัดการระบบบำบัดน้ำเสียที่ไม่ได้เรื่อง

สำหรับ ก๊าซไข่เน่า นั้นเจือปนในน้ำเสีย น้ำเน่า และสิ่งโสโครก อาการฉียบพลันหากได้รับสารพิษคือ คลื่นไส้ หายใจขัดต่อเนื่องจากการขาดออกซิเจน หมดสติ และอาจถึงตายได้ถ้ามีความเข้มข้นสูง (ที่มา : ศูนย์ข้อมูลพิษวิทยา)

กรณีศึกษา ห้างดังกลางกรุง
“วันนี้ผมมีเรื่องของห้างสรรพสินค้าสยามสแควร์วันจะมาแชร์ให้เพื่อนๆ ฟัง ถึงปัญหาที่เกิดขึ้นตั้งแต่เริ่มเปิดห้างจนถึงปัจจุบัน รวมถึงการเอารัดเอาเปรียบของห้างกับทางผู้เช่า และสิ่งที่สำคัญที่สุดก็คือเรื่องมลพิษของห้าง ทั้งกลิ่นที่เกิดจากการก่อสร้างตกแต่ง กลิ่นจากห้องน้ำ (ปัสสาวะและอุจจาระ) กลิ่นขยะ กลิ่นอาหารบนชั้น 4-5 ครับ ซึ่งกลิ่นดังกล่าวเมื่อรวมตัวกันจะทำให้เกิดเป็นก๊าซไข่เน่า หรือ ก๊าซไฮโดรเจนซัลไฟด์ และสารเคมีจากการก่อสร้างตกแต่งภายในห้างที่ไม่ได้มีการควบคุมที่ดี ส่งผลให้สารเคมีตกค้างอยู่ในอาคารและถูกปล่อยมาตามระบบปรับอากาศส่งผลให้ของต่างๆ และอุปกรณ์ภายในร้านได้รับความเสียหาย” ข้อความจากกระทู้ : ห้างสยามสแควร์วัน มลพิษและการบริหารงานสุดแย่ของห้าง (//pantip.com/topic/32734560) โดยเนื้อหายังระบุต่อ ความว่า

“ห้างนี้เปิดให้บริการตั้งแต่ 5 มิถุนายน 2557 ที่ผ่านมา โดยได้มีการเร่งรัดให้ผู้ประกอบการเข้าไปเปิดร้าน โดยบังคับว่าหากไม่เปิดตามกำหนดในวันที่ดังกล่าว จะริบสิทธิคืน และเมื่อผู้ประกอบการทั้งหลาย เริ่มทะยอยเปิดร้าน ตั้งแต่วันที่ 5 มิถุนายน 2557 ปรากฎพบว่าทางห้างยังตบแต่งไม่แล้วเสร็จ ยังมีร้านอีกจำนวนมากที่ยังไม่ได้ตบแต่งหรืออยู่ในระหว่างตบแต่ง ทำให้เกิดฝุ่นละออง และมลพิษทางอากาศ ทางเสียงซึ่งมีการตัด อ็อกเชื่อม อยู่ตลอดเวลาทั้งในเวลาทำการและนอกเวลาทำการของห้าง

ประกอบกับการก่อสร้างที่ไม่ได้มาตราฐาน และระบบบำบัดและระบบกรองอากาศที่ไม่มีประสิทธิภาพ ส่งผลให้ในชั้นใต้ดินและชั้น 1 ของห้างมีกลิ่นเหม็นออกมาทางท่อแอร์ตั้งแต่ห้างเปิดให้บริการจนถึงปัจจุบัน ทางกลุ่มผู้เช่าได้ยื่นจดหมายร้องเรียนเกี่ยวกับเรื่องนี้มาแล้ว 5 ครั้ง แต่ก็ไม่มีฝ่ายใดออกมาช่วยแก้ปัญหาดังกล่าวตลอด 5 เดือนที่ผ่าน
มา

เมื่อวันที่ 29 กันยายน 2557 ที่ผ่านมา กทม. โดยกรมอนามัย ได้เข้ามาตรวจวัดค่ามลพิษภายในอาคาร ผลการตรวจสรุปได้ว่าในตัวอาคารมีก๊าซไข่เน่า หรือ ก๊าซไนโตรเจนซัลไฟด์ สูงตั้งแต่ 10 - 83 ppm เปรียบเทียบกับการวัดค่าภายนอกอาคารที่วัดได้ไม่ถึง 4 ppm นอกจากนี้ ทางเจ้าหน้าที่กรมอนามัยยังแจ้งอีกว่าไม่ควรจะมีก๊าซไข่เน่าภายในอาคาร

ผลพวงจากมลภาวะภายในอาคารส่งผลกระทบต่อ หนึ่ง-ลูกค้าที่มาเดินในอาคาร เจ้าของร้านค้าที่มาขายของในอาคารนี้ มีหลายคนป่วยเกี่ยวกับระบบทางเดินหายใจ เนื่องจาก ต้องสูดดม กลิ่น และมลพิษในอาคารมาเป็นเวลา 5 เดือน โดยไม่มีการแก้ไขใดๆ สอง-สิ่งของอุปกรณ์ ที่อยู่ภายในอาคารได้รับความเสียหาย (สิ่งของที่ลักษณะเป็นโลหะ แปรสภาพดำคล้ำ)”

ทีมข่าว Astv ผู้จัดการ Live ต่อสายตรงไปยังผู้ที่มีหน้าที่ดูแลห้างดัง รลินทร ลาโฮรี ผู้จัดการทั่วไป ศูนย์การค้าสยามสแควร์วัน เปิดเผยว่า ทราบเรื่องร้องเรียนของทางผู้ค้าและกำลังเร่งปรับแก้ในส่วนที่เป็นปัญหา ส่วนเรื่องของก๊าซที่ทำให้เกิดกลิ่นภายในอาคาร ในเรื่องของกลิ่นนั้นทางเราก็มีการปรับปรุงระบบการบำบัดน้ำเสียให้ดียิ่งขึ้นอยู่ก่อนหน้าที่จะมีการร้องเรียนแล้ว คาดว่ามีผู้มาใช้บริการส่วนกลางห้องน้ำเยอะจึงส่งผลเป็นปัญหา ทำให้ระบบบำบัดน้ำเสียทำงานไม่เต็มประสิทธิภาพไม่สมบูรณ์ ขณะนี้อยู่ในช่วงดำเนินการแก้ไข และทำความเข้าใจแก่ผู้ค้า ซึ่งจะมีการเยียวยาให้ความช่วยเหลือต่อไป

สิ่งแวดล้อมเรื่องที่ต้องสำนึก
นักวิชาการด้านวิศวกรรมสิ่งแวดล้อมท่านหนึ่ง เปิดเผยว่า ประเด็นปัญหาเรื่องก๊าซไข่เน่าไม่ใช่เรื่องใหม่ในสังคมไทย และไม่ได้มีเพียงห้างดังที่ตกเป็นข่าวเพียงห้างเดียวที่เผชิญปัญหานี้ แน่นอนห้างสรรพสินค้าใหญ่น้อยที่ตั้งอยู่เกลื่อนกลาดก็มีสามารถประสบปัญหากลิ่นก๊าซไข่เน่าได้เช่นเดียวกันหากบริหารไม่ดี

อย่างไรก็ตาม ในการออกแบบห้างสรรพสินค้า ว่าด้วยข้อบังคับทางกฎหมายก็มีมาตรการควบคุมดูแลเรื่องปัญหาด้านมลพิษที่อาจเกิดขึ้นไว้อยู่แล้ว เขาอธิบายถึงสาเหตุที่ทำให้เกิดก๊าซไข่เน่า กระทั่งส่งผลกระทบต่อประชาชน

อธิบายสั้นๆ ก็คือ “ของเสียที่มาจากอาคารมีปัญหาเรื่องการย่อยสลาย จึงเกิดปัญหาเรื่องกลิ่น” ซึ่งสาเหตุมาจากระบบบำบัดน้ำเสียของศูนย์การค้า การบำบัดน้ำเสียในระบบแรกต้องใช้อากาศ เมื่อของเสียจำพวก ปัสสาวะ อุจจาระ หรืออาจมีเศษอาหารร่วมด้วย และจะมีการเติมอากาศเข้าไปในขั้นสุดท้ายอีกที

ในบางสถานที่อาจออกแบบไม่ครบวงจร ทำให้กระบวนการย่อยสลายก่อให้เกิดก๊าซไข่เน่าขึ้นมา รวมทั้งเกิดก๊าซมีเทนร่วมด้วย ฉะนั้น มันมีปัญหา 2 อย่าง ก๊าซไข่เน่าทำให้เกิดปัญหาเรื่องกลิ่นเหม็น มีเทน ทำให้ติดไฟ เพราะอย่างนั้นบางที่ต้องระวังด้วย ท่ออาจจะเกิดการระเบิดขึ้นมาได้

อย่างไรก็ตาม อาจไม่ใช่ความความผิดพลาดจากการออกแบบระบบท่อเสียทั้งหมด ทั้งนี้อาจพ่วงในเรื่องของความผิดพลาดทางเทคนิคด้วย นักวิชาการด้านวิศวกรรมสิ่งแวดล้อม กล่าวว่า เหตุก๊าซไข่เน่าส่งกลิ่นเหม็นฟุ้งในห้างสรรพสินค้านั้นเป็นเรื่องที่ทุกฝ่ายต้องร่วมมือร่วมใจกันแก้ไข โดยเฉพาะผู้บริหารห้างต้องมีจิตสำนึกสาธารณะมีความรับผิดชอบต่อสังคม มีการตรวจสอบในประเด็นดังกล่าวอย่างต่อเนื่อง และเป็นไปตามมาตรการทางกฎหมาย ซึ่งหน่วยงานที่ดูแลรับผิดชอบเองต้องเด็ดขาดต่อประเด็นปัญหาดังกล่าวด้วย ไม่ใช่ละเลยตรวจสอบ ตักเตือน แล้วสุดท้ายก็ปล่อยผ่าน

เขาเปิดเผยว่ายังมีอีกหลายห้างที่มีปัญหาเรื่องก๊าซไข่เน่าเข้มข้มสูงเกินกว่ามาตรฐาน ซึ่งเป็นโจทย์ที่ทางผู้บริหารต้องกำกับดูแลเพื่อประโยชน์ต่อสาธารณะ สอบถามในเรื่องการลงทุนระบบบำบัดน้ำเสียนั้นไม่ได้มีราคาแพงจนต้องหลบเลี่ยง ประเด็นนี้จึงเป็นเรื่องของสามัญสำนึกล้วนๆ ตามกฎหมายมีข้อบังคับในเรื่องการออกแบบส่วนนี้อยู่แล้ว แต่ในสถานการณ์จริงหลายแห่งมีปัญหา ตรงนี้ก็ต้องมีมาตรการตรวจสอบควบคุมเข้ามาอีกทีหนึ่ง เพื่อเป็นการกำกับดูแลให้ภาคธุรกิจรับผิดชอบต่อสังคม

ต้องออกแบบเพื่อสังคม
ในส่วนของการออกแบบห้างสรรพสินค้านั้นผสานระหว่างสถาปัตยกรรมและวิศกรรมศาสตร์ อย่างไรก็ตาม กลิ่นฟุ้งของก๊าซไขเน่านั้นเป็นผลพวงมากจากการออกแบบทางด้านสถาปัตยกรรมด้วยหรือเปล่า พิชัย วงศ์ไวศยวรรณ นายกสมาคมสถาปนิกสยาม เปิดเผยว่า วิธีการออกแบบสามารถบริหารจัดการได้ “การออกแบบทำงานร่วมกันระหว่างสถาปนิกกับวิศวกร ขอบเขตการออกของสถาปนิกเราไม่ได้มีการดูแลระบบ เรื่องของการถ่ายเทอากาศเราต้องทำงานร่วมกับวิศวกร ลักษณะอาคารแบบนี้ก็มาวางระบบร่วมกัน การระบายอากาศออกทางไหน มีผลกับการออกแบบอาคารโดยรวมอย่างไร แน่นอนการออกแบบที่ไม่ดีก็มีผลกระทบต่อผู้คนที่เดินผ่านไปมา"

กรณีของห้างดังที่ตกเป็นข่าวเรื่องมลพิษทางอากาศ ยังถูกวิจารณ์ในเรื่องการออกแบบที่ไม่เหมาะสมกับเมืองไทยอย่างหนาหู รลินทร ผู้จัดการฯ ของศูนย์การค้าดัง เปิดเผยแนวคิดการออกแบบว่า การออกแบบจะนำคอนเสปจากสยามสแควร์เดิมเป็นสตรีทช้อปปิ้ง การออกแบบเปิดโล่งคอนเซ็ปต์ถนนคนเดินในแนวตั้ง การออกกแบบให้ถ่ายเทอากาศ ลดโลกร้อน ประหยัดพลังงาน

แต่ก็ถูกประชาชนวิจารณ์เป็นห้างที่อากาศอบอ้าวไม่ถ่ายเทเอาเสียเลย ซ้ำร้ายความที่ด้านบนเปิดโล่งพอถึงเวลาฝนฟ้าคะนองก็ส่งผลให้น้ำไหลนองไปทั่วบริเวณซึ่งเป็นอันตรายก่อการเดินเท้าของประชาชน

ด้าน พิชัย กล่าวว่า คอมเพล็กซ์มอลล์ที่ผสานระหว่างอินดอร์กับเอาต์ดอร์เป็นการออกแบบที่เหมาะสมกับสภาพอากาศประเทศไทย ส่วนในเรื่องสภาพอากาศหากมีฝนก็ต้องยอมรับไปโดยปริยายว่าไม่สามารถคุ้มฝนได้ สิ่งสำคัญคือการบริหารจัดการเมื่อออกแบบอย่างนี้แล้วสามารถบริหารจัดการปัญหาที่อาจเกิดขึ้นได้หรือไม่อย่างไร

ประเด็นปัญหาเรื่องก๊าซไข่เน่าในอาคารเหล่านี้ไม่ใช่เรื่องใหม่ในสังคมไทย แต่ใช่ว่าทุกตึกทุกอาคารจะประสบปัญหานี้

“ก๊าซไข่เน่าสัมพันธ์กับระบบบำบัดน้ำเสีย ถ้าตำแหน่งนั้นมีความสัมพันธ์กับระบบบำบัดน้ำเสียอยู่ กลิ่นมันจึงลอยมา ผู้ออกแบบงานระบบต้องมีการออกแบบระบายอากาศที่ดี”

อย่างไรก็ตาม ประเด็นปัญหาที่เกิดขึ้นเป็นสิ่งที่ผู้เกี่ยวข้องและรับผิดชอบดูแลต้องร่วมมือกันตรวจสอบและแก้ไขอย่างเร่งด่วน

…..................................
เรื่องโดย ทีมข่าว Astv ผู้จัดการ Live




 

Create Date : 21 ตุลาคม 2557   
Last Update : 21 ตุลาคม 2557 8:23:54 น.   
Counter : 2060 Pageviews.  

“เทสโก้ โลตัส” จวก “สื่อนอก” เต้าข่าวขายกิจการ !

“เทสโก้ โลตัส” จวก “สื่อนอก” เต้าข่าวขายกิจการ !
ASTVผู้จัดการรายวัน - ตามที่มีข่าวลือแพร่กระจายบนสื่อออนไลน์เมื่อช่วงเย็นวันศุกร์ที่ 17 ต.ค.ที่ผ่านมาว่า นายเดฟ ลูว์อิส ซีอีโอ “เทสโก้” ประเทศอังกฤษ มีแผนขายกิจการในประเทศอังกฤษ ประเทศไทย และประเทศอื่น ๆ เพื่อกอบกู้กิจการที่มีการดำเนินธุรกิจมายาวนานถึง 95 ปี ให้รอดพ้นจากวิกฤติครั้งร้ายแรงที่สุด ทั้งๆ ที่เป็นบริษัทค้าปลีกใหญ่อันดับ 3 ของโลก เนื่องจากมียอดขายตกต่ำลงจนถึงขั้นจำเป็นต้องระดมเงินมากยิ่งขึ้น เพื่อนำมาใช้รับมือกับหนี้สินและยอดขาดดุลเงินบำนาญที่พุ่งสูงขึ้น รวมถึงเป็นการพิจารณาเรื่องต้นทุนของแผนฟื้นฟูยอดขายด้วยนั้น

“เทสโก้ โลตัส” จวก “สื่อนอก” เต้าข่าวขายกิจการ !
“สลิลลา สีหพันธุ์” รองประธานกรรมการฝ่ายกิจการบรรษัท บริษัท เอก-ชัย ดิสทริบิวชั่น ซิสเทม จำกัด (แฟ้มภาพ)
       นางสาวสลิลลา สีหพันธุ์ รองประธานกรรมการฝ่ายกิจการบรรษัท บริษัท เอก-ชัย ดิสทริบิวชั่น ซิสเทม จำกัด ผู้บริหารค้าปลีกเครือข่าย “เทสโก้ โลตัส” ในประเทศไทย เปิดเผยถึงกรณีดังกล่าวว่า ไม่มีมูลความจริงแม้แต่น้อย แต่เกิดขึ้นจากการวิเคราะห์ส่วนตัวของ ผู้สื่อข่าว สำนักข่าวต่างประเทศแห่งหนึ่ง ที่พิจารณาจากผลประกอบการของ “เทสโก้” ประเทศอังกฤษ ซึ่งต่ำกว่าปีที่ผ่านมาเนื่องจากได้รับผลกระทบจากสถานการณ์เศรษฐกิจโลก

       “ดิฉันขอยืนยันว่า นายเดฟ ลูว์อิส ซีอีโอเทสโก้ ประเทศอังกฤษ ยังไม่เคยให้สัมภาษณ์แก่สื่อมวลชนรายใดถึงเรื่องดังกล่าวเพราะไม่มีนโยบายขายกิจการในประเทศใดทั้งสิ้น การเผยแพร่ข้อมูลข่าวสารดังกล่าวของผู้สื่อข่าวรายนั้นจึงส่งผลกระทบในวงกว้างแก่การดำเนินธุรกิจของกลุ่มเทสโก้ในหลายๆ ประเทศ โดยเฉพาะในเรื่องขวัญและกำลังใจของพนักงาน รวมถึงความเชื่อมั่นของผู้บริโภคและผู้ถือหุ้น”

       นางสาวสลิลลา กล่าวเพิ่มเติมว่า ส่วนกระแสข่าวลือเรื่อง นายวอร์เร็น บัฟเฟตต์ มหาเศรษฐีและนักลงทุนชื่อก้องโลกชาวอเมริกัน ตัดสินใจขายหุ้นของ “เทสโก้” ที่ถือครองไว้จำนวนมากกว่า 245 ล้านหุ้นว่า หากเรื่องดังกล่าวเป็นความจริงก็ต้องถือเป็นเรื่องปรกติของวงการหุ้นที่มีการซื้อมาขายไปเพื่อการหวังผลกำไรเท่านั้น โดยไม่เกี่ยวข้องกับผลการดำเนินงานของ “เทสโก้” แต่อย่างใด

       “ในทันทีที่มีข่าวลือดังกล่าวเผยแพร่ในประเทศไทย เรายังไม่มีนโยบายแก้ข่าวตั้งแต่แรก เพราะเห็นว่าเป็นเรื่องที่ไม่มีมูลความจริง แต่เมื่อเวลาผ่านไปเพียงไม่กี่ชั่วโมงกลับมีข่าวกระจายอย่างรวดเร็วในสังคมโซเชียลมีเดีย จนมีการพูดกันแบบปากต่อปากในวงกว้างและลุกลามมากขึ้น จึงจำเป็นต้องชี้แจงความจริงให้ปรากฏต่อสังคม” นางสาวสลิลลา กล่าวในที่สุด

       ผู้สื่อข่าวรายงานเพิ่มเติมว่า รายงานข่าวดังกล่าวเป็นผลงานของ Kate Holton, Simon Jessop และ James Davey แห่ง สำนักข่าวรอยเตอร์ ที่เผยแพร่ทาง //uk.mobile.reuters.com/article/idUKKCN0I525G20141016?irpc=932 ซึ่งต่อมามีการเผยแพร่อย่างสะพัดบนเว็บไซต์ต่างๆ ทั้งต่างประเทศและในประเทศไทย อาทิ พันทิปดอทคอม ตลอดจนเว็บไซต์สื่อออนไลน์ค่ายต่างๆ จนมีผู้ร่วมแสดงความคิดเห็นเป็นจำนวนมากทั้งในเชิงเห็นด้วยและไม่เห็นด้วย รวมถึงมีการวิพากษ์วิจารณ์ว่ามีกลุ่มธุรกิจยักษ์ใหญ่หลายรายให้ความสนใจในการซื้อกิจการ “เทสโก้ โลตัส” ในประเทศไทย ทั้งเครือเจริญโภคภัณฑ์ เครือสหพัฒนพิบูล กลุ่มไทยเบฟ กลุ่มเซ็นทรัล กลุ่มบุญรอดฯ และอื่นๆ เป็นต้น

“เทสโก้ โลตัส” จวก “สื่อนอก” เต้าข่าวขายกิจการ !




 

Create Date : 18 ตุลาคม 2557   
Last Update : 18 ตุลาคม 2557 11:40:11 น.   
Counter : 2049 Pageviews.  

“คดีเกาะเต่า” ชาติพังไม่ว่า แต่เสียหน้าไม่ได้!

คลิกที่ภาพเพื่อดูขนาดใหญ่ขึ้น
 “คดีเกาะเต่า” ชาติพังไม่ว่า แต่เสียหน้าไม่ได้!
พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา

 “คดีเกาะเต่า” ชาติพังไม่ว่า แต่เสียหน้าไม่ได้!
นายเดวิด มิลเลอร์ และนางสาวฮันนาห์ วิเทอริดจ์ นักท่องเที่ยวชาวอังกฤษถูกฆ่าเสียชีวิตที่เกาะเต่า จ.สุราษฎร์ธานี

ASTV ผู้จัดการสุดสัปดาห์ - ครบหนึ่งเดือนเต็มแล้วที่นายเดวิด มิลเลอร์ และนางสาวฮันนาห์ วิเทอริดจ์ นักท่องเที่ยวชาวอังกฤษถูกฆ่าเสียชีวิตอย่างเหี้ยมโหดที่บริเวณหาดทรายรี เกาะเต่า จ.สุราษฎร์ธานี จนกลายเป็นคดีสะเทือนขวัญระดับโลก แม้ตอนหลังตำรวจไทยจะจับผู้ต้องหาชาวพม่าได้สองราย โดยอ้างว่าเป็นผู้ร้ายตัวจริง แต่กระแสสังคมยังสงสัยว่าผู้ต้องสงสัยที่จับได้เป็นคนร้ายตัวจริงหรือเป็น “แพะ” กันแน่

       โดยเฉพาะเมื่อมีปฏิกิริยาจากทางฝั่งผู้สูญเสียคือรัฐบาลอังกฤษ และผู้ต้องสงสัยคือรัฐบาลพม่า ซึ่งต้องถือว่า ไม่ใช่เรื่องที่จะเกิดขึ้นให้เห็นได้ง่ายๆ

อังกฤษและพม่าร้องขอความเป็นธรรม

       ทั้งนี้ ผู้ต้องสงสัยสองแรงงานพม่าที่ตำรวจไทยยืนยันว่าไม่ใช่แพะแน่นอนนั้น เป็นพนักงานบาร์วัย 21 ปี ชื่อนายซอลิน หรือโซเรน และนายเวพิว หรือนายวิน โดยทั้งคู่ถูกตั้งข้อหาร่วมกันฆ่า ร่วมกันข่มขืน และชิงทรัพย์

       ภายหลังตำรวจจับตัวผู้ต้องหาสองราย ท่ามกลางกระแสข่าวลือสงสัยว่าเป็นการจับแพะหรือไม่นั้น ฝ่ายรัฐบาลพม่าก็ได้มีการเรียกร้องความยุติธรรมให้แก่ผู้ต้องหาชาวพม่า โดย “เต็ง เส่ง” ประธานาธิบดีพม่า ได้ร้องขอคำรับรองต่อ พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา ที่มีโอกาสไปเยือนพม่าในวันที่ 9- 10 ต.ค. ที่ผ่านมา เพื่อเป็นสักขีพยานลงนาม MOU เมืองพี่เมืองน้องระหว่างไทยกับพม่า 3 เมือง ว่าการสืบสวนจะดำเนินไปอย่าง “บริสุทธิ์และยุติธรรม” ต่อชาวพม่า 2 คน ที่ถูกตั้งข้อหาฆาตกรรมนักท่องเที่ยวชาวอังกฤษ

       ส่วนรัฐบาลอังกฤษก็ได้มีท่าทีกังวลใจต่อการดำเนินคดีของตำรวจไทยเช่นกัน ซึ่งในช่วงต้นสัปดาห์ที่ผ่านมา กระทรวงการต่างประเทศอังกฤษได้เชิญอุปทูตไทยมาพบเพื่อขอทราบความคืบหน้าต่อคดีนี้ โดย ฮิวโก สไวร์ รัฐมนตรีช่วยว่าการกระทรวงการต่างประเทศอังกฤษ ได้แจ้งให้ ณัฐวัฒน์ กฤษณามระ อัครราชทูตไทยประจำกรุงลอนดอน ปฏิบัติราชการแทนเอกอัครราชทูต ทราบว่า อังกฤษกำลังมีความ “กังวลอย่างแท้จริง” ต่อวิธีการที่เจ้าหน้าที่ผู้มีอำนาจรับผิดชอบของไทยใช้รับมือจัดการกับคดีดังกล่าว โดยเขากล่าวว่าเป็นเรื่องสำคัญยิ่งที่จะต้องดำเนินการสืบสวนด้วยวิธีที่ “เป็นธรรมและโปร่งใส” และทางรัฐบาลอังกฤษพร้อมส่งเจ้าหน้าที่เข้าให้ความช่วยเหลือด้านการสืบสวนกับตำรวจไทย

       จะว่าไปแล้ว ท่าทีของอังกฤษในการเชิญอุปทูตไทยเข้าพบนั้น ก็แสดงให้เห็นแล้วว่าเป็นวิธีการกดดันด้านความสัมพันธ์ระหว่างประเทศอย่างหนึ่ง กล่าวคือ อังกฤษต้องการแสดงให้เห็นว่ารัฐบาลอังกฤษเอาจริงเอาจังในคดีบนเกาะเต่าและต้องการให้รัฐบาลไทยดำเนินคดีนี้อย่างโปร่งใสที่สุด

แต่ดูว่าพล.อ. ประยุทธ์จะมองว่าการที่อังกฤษ “เรียกตัว” ทูตไทยเข้าพบนั้น เป็นแค่เรื่อง “ขอความร่วมมือให้ชี้แจง” ถึงเรื่องที่เกิดขึ้น ไม่ใช่เรื่องใหญ่แต่อย่างใด ทั้งที่ความจริงแล้วการที่แต่ละประเทศจะเรียกตัวทูตอีกฝ่ายเข้าพบนั้นไม่ใช่แค่เรื่องเล็กๆ หากแต่เป็นเรื่องใหญ่และเป็นเรื่องที่ไม่ได้เกิดขึ้นง่ายๆ นัก!

       ทั้งนี้ พล.อ.ประยุทธ์ ได้สัมภาษณ์กับสื่อถึงเรื่องนี้ว่าไม่ได้เป็นการเรียกอุปทูตไทยไป แต่เป็นการขอความร่วมมือให้ชี้แจง โดยระบุว่าอีกฝ่ายไม่ได้ติดใจอะไร เพียงแต่เขาขอเวลาทำใจ เพราะตำรวจจับผู้ต้องหาได้เร็ว จากเดิมที่ดูแล้วไม่น่าจะจับได้เพราะมีคนจำนวนมาก แต่เมื่อเจ้าหน้าที่อธิบายขั้นตอน ทางอังกฤษก็รับได้ ส่วนประเด็นที่อังกฤษต้องการมีส่วนร่วมในกระบวนตรวจสอบนั้น พล.อ. ประยุทธ์ยังกล่าวว่าอังกฤษสามารถเข้ามาในลักษณะของการสังเกตการณ์ แต่ไม่สามารถมาร่วมในกระบวนการสอบสวน เนื่องจากต้องให้เกียรติกับคนของเรา เพราะเราก็ให้เกียรติคนของเขา แต่หากมีข้อสงสัยอะไร ก็สามารถเคลียร์ให้ได้

       นอกจากนั้น พล.อ.ประยุทธ์ ยังออกมาฉะ “สื่อไทย” ว่าเป็นเหตุทำให้ต่างชาติไม่ไว้ใจ เพราะเขาติดตามโซเชียลมีเดียอยู่ โดยบอกว่าตนเองเดินทางไปพม่าก็ไม่เห็นเขาจะพูดอะไรมากมาย เรื่องคำว่า “ขอความเป็นธรรม” ถือเป็นเรื่องปกติที่เขาจะต้องฝากดูแล ไม่ได้หมายความว่าไม่ไว้ใจกระบวนการของไทย

เชื่อว่านาทีนี้ ไม่มีใครเข้าใจพล.อ.ประยุทธ์ ได้ว่าคิดและกำลังทำอะไรอยู่!

       เพราะดูเหมือนว่าพล.อ.ประยุทธ์ จะประเมินคำร้องขอความเป็นธรรมจากประธานาธิบดีพม่าว่าเป็นเรื่องธรรมดาสามัญ ทั้งที่คดีนี้เป็นเรื่องใหญ่ เมื่อมีการเรียกร้องระดับผู้นำด้วยกัน นั่นย่อมกลายเป็นเรื่องความสัมพันธ์ระหว่างประเทศแล้ว อีกทั้งการที่อีกฝ่ายจะมา “ขอความเป็นธรรม” จากอีกประเทศนั้นไม่ใช่เรื่องที่สมควรมองข้าม และคิดว่าเป็นเรื่องปกติแต่อย่างใด

       นอกจากนั้นแล้ว หาก พล.อ.ประยุทธ์มองว่าการที่อังกฤษเรียกทูตไทยเข้าพบนั้นเป็น “เรื่องเล็ก” จริงๆ นั้น แสดงว่าพล.อ. ประยุทธ์ยังมองเกมการเมืองระหว่างประเทศยังไม่ขาด!

       แต่เชื่อว่าการที่พล.อ.ประยุทธ์ ต้องออกมาแสดงท่าทีเหมือนว่าการขอความเป็นธรรมจากประธานาธิบดีพม่า หรือการที่อังกฤษเรียกทูตไทยเข้าพบไม่ใช่เรื่องใหญ่ เนื่องจากเป็นเรื่องของ “ศักดิ์ศรีค้ำคอ” อยู่
       กล่าวคือ การที่อังกฤษแสดงท่าทีไม่เชื่อมั่นตำรวจไทยด้วยการใช้นโยบายทางการทูต เรียกทูตไทยเข้าพบและขอคำชี้แจงเรื่องคดีเกาะเต่านั้น อีกทางหนึ่งก็เป็นการบ่งบอกว่าอังกฤษไม่เชื่อมั่นในการทำงานของรัฐบาลไทยหรือ คสช. เนื่อ
       งจากตอนนี้การทำงานของตำรวจไทย ก็เท่ากับผลงานของรัฐบาลไทย!
       หรือการที่ประธานาธิบดีพม่าต้องออกมาเรียกร้องขอความเป็นธรรมจากไทย มองอีกด้านก็เหมือนพม่าต้องการบอกว่าตอนนี้ “ไม่มีความเป็นธรรม”ในคดีเกาะเต่า

       นี่เองจึงอาจเป็นสาเหตุที่ พล.อ.ประยุทธ์แสดงท่าทีประหนึ่งว่าเรื่องนี้ “ไม่มีอะไร” รวมถึงต้องแสดงท่าทีเชื่อมั่นในตำรวจไทยเสมอมา ทั้งที่ความจริงแล้ว พล.อ.ประยุทธ์คงลืมไปว่าการ “สร้างความเชื่อมั่น” ให้แก่นานาชาติ น่าจะสำคัญกว่า “การสร้างภาพ” เป็นไหนๆ เพราะเมื่อไหร่ที่ต่างชาติมองว่าประเทศไทยไร้น้ำยาในการคลี่คลายคดีเกาะเต่า เมื่อนั้นความน่าเชื่อถือของประเทศไทยก็จะลดลง และแน่นอนว่าเครดิตของ คสช. หรือรัฐบาลไทยก็จะย่อยยับอย่างแน่นอน

งง ประยุทธ์สั่งคัดนักท่องเที่ยว?

       หลังเกิดคดีสังหารนักท่องเที่ยวชาวอังกฤษจนฉาวโฉ่ไปทั่วโลก พล.อ.ประยุทธ์ ได้ออกมาระบุให้กระทรวงท่องเที่ยวฯ คัดนักท่องเที่ยวในเชิงคุณภาพด้วย โดยบอกว่าไม่ใช่เอาจำนวนนักท่องเที่ยวเป็นตัววัดอย่างเดียว แต่ต้องเอาคุณภาพนักท่องเที่ยวเป็นตัววัดด้วย

       “เรื่องนักท่องเที่ยวนั้นจำเป็นต้องควบคุมให้อยู่ในกรอบของกฎหมาย ไม่ได้หมายความว่าจำกัดนักท่องเที่ยว นักท่องเที่ยวมากก็ดี แต่ถ้ามีมากแล้วมีคุณภาพด้วยก็จะดีขึ้น ไม่ใช่ดูถูกนักท่องเที่ยว ผมต้องการให้คนมาเที่ยวเยอะ แต่ถ้าพื้นที่ไหนมีนักท่องเที่ยวเข้าเยอะ แล้วไม่สามารถให้บริการได้เพียงพอเขาจะกลับมาด่าเรา ซึ่งบางสถานที่ท่องเที่ยวจะไปจำกัดนักท่องเที่ยวยาก เช่น กรุงเทพมหานคร ก็อยากจะมาเที่ยววัดพระแก้ว เพราะเป็นสัญลักษณ์ประเทศไทย” พล.อ. ประยุทธ์ กล่าว

       สร้างความงุนงงไม่น้อยว่า “คุณภาพนักท่องเที่ยว” มาเกี่ยวข้องกับคดีเกาะเต่าได้อย่างไร จริงอยู่ว่าการคัดคุณภาพนักท่องเที่ยว ถือเป็นเรื่องดีสำหรับประเทศไทย แต่ตอนนี้เรื่องที่สมควรดำเนินการเป็นอันดับแรกน่าจะเป็นมาตรการหาวิธีการสอบสวนที่เป็นยุติธรรม โปร่งใส และตรวจสอบได้มากกว่า!

       ที่หนักไปกว่านั้นคือ แม้ที่ผ่านมาตำรวจไทยจะออกมายืนยันซ้ำแล้วซ้ำเล่าว่า ผู้ต้องหาชาวพม่าไม่ได้ได้กลับคำให้การตามที่เคยเป็นข่าว ทั้งมีการระบุเพิ่มเติมว่า การถอนคำให้การของผู้ต้องหาจะไม่ส่งผลกระทบต่อการตัดสินใจตั้งข้อหา แต่ล่าสุดดูเหมือนว่าตำรวจไทยจะฉาวโฉ่ไปทั่วโลกอีกแล้ว กล่าวคือเมื่อวันที่ 16 ต.ค. ที่ผ่านมา สื่อพม่าตีข่าวครึกโครมว่ารัฐบาลพม่าเร่งช่วยเหลือญาติของสองผู้ต้องสงสัยคดีสังหารนักท่องเที่ยวอังกฤษบนเกาะเต่าให้ได้รับหนังสือเดินทาง และวีซ่าเข้าไทยเพื่อเยี่ยมผู้ต้องหา หลังจากล่าสุดสองผู้ต้องหาอ้างว่าจำใจต้องรับสารภาพเพราะถูกตำรวจไทยซ้อม!

       โดยรัฐมนตรีว่าการกระทรวงกิจการรัฐยะไข่ อู ซอ เอ หม่อง (U Zaw Aye Maung) กล่าวในการเปิดแถลงข่าวที่สำนักงานเครือข่ายสื่อมวลชนพม่าในย่างกุ้งว่า รัฐบาลพม่าได้ช่วยเหลือญาติผู้ต้องหาพม่าเชื้อสายยะไข่ให้ได้รับพาสปอร์ตและวีซ่าเข้าไทย “ในขณะนี้ญาติทั้งหมดของผู้ต้องหาคดีเกาะเต่าอยู่ที่กองหนังสือเดินทางต่างประเทศพม่า และทันทีที่พวกเขาได้รับหนังสือเดินทางและวีซ่า คนเหล่านั้นจะเดินทางไปยังไทยทันที”

       และตอกย้ำหนักเข้าไปอีกเมื่อพ่อแม่ของแรงงานพม่าออกมาให้สัมภาษณ์บีบีซี สื่ออังกฤษว่า "คดีนี้มีการจัดฉากให้ลูกชายดิฉันกลายเป็นแพะรับบาป" เพราะเขาไม่ดื่มเหล้า และไม่เคยก่อเหตุรุนแรงมาก่อน และเธอยังแนะนำลูกชายของเธอให้บอกกับตำรวจด้วยว่า เขาไม่ผิด

       มยินต์ ตาน แม่ของ วิน กล่าวว่า เธอเลี้ยงลูกของเธอด้วยความลำบากแสนเข็ญ และตอนนี้ชีวิตของเขาถูกทำลาย

ข่าวนี้ถือว่าฉีกหน้าตำรวจไทยอย่างสิ้นเชิง...

       แม้ตอนนี้ไม่มีใครรู้ว่าข้อเท็จจริงเป็นอย่างไร สองแรงงานพม่าเป็นคนร้ายตัวจริงหรือไม่? ตำรวจจับแพะหรือเปล่า ? แต่เชื่อว่าตอนนี้ตำรวจไทยและพล.อ.ประยุทธ์จำเป็นต้องทำการบ้านอย่างหนัก เพื่อพิสูจน์ข้อเท็จจริงและคลี่คลายคดีนี้ให้โปร่งใสที่สุด เพื่อกอบกู้ศักดิ์ศรีตำรวจไทยและสร้างความน่าเชื่อถือให้แก่รัฐบาลไทย

       หากไม่สามารถคลี่คลายคดีนี้ได้ ก็น่ากลัวว่านโยบายเมืองพี่เมืองน้องระหว่างไทยกับพม่าจะเป็นหมัน รวมถึงจะกระทบต่อความสัมพันธ์ระหว่างประเทศทั้งพม่าและอังกฤษแน่นอน

ดังนั้น งานนี้ พล.อ.ประยุทธ์ ต้องเลือกว่าจะยอม “เสียหน้า” หรือจะยอมให้ “ชาติพัง”




 

Create Date : 18 ตุลาคม 2557   
Last Update : 18 ตุลาคม 2557 11:37:23 น.   
Counter : 1273 Pageviews.  

หวยโคตรแพง! ชีวิตรันทดของผู้ค้าสลากฯ...ราคาพุ่ง-ถูกรีดไถรายวัน


หวยโคตรแพง! ชีวิตรันทดของผู้ค้าสลากฯ...ราคาพุ่ง-ถูกรีดไถรายวัน

คลิกที่ภาพเพื่อดูขนาดใหญ่ขึ้น
หวยโคตรแพง! ชีวิตรันทดของผู้ค้าสลากฯ...ราคาพุ่ง-ถูกรีดไถรายวัน

หวยโคตรแพง! ชีวิตรันทดของผู้ค้าสลากฯ...ราคาพุ่ง-ถูกรีดไถรายวัน

หวยโคตรแพง! ชีวิตรันทดของผู้ค้าสลากฯ...ราคาพุ่ง-ถูกรีดไถรายวัน

หวยโคตรแพง! ชีวิตรันทดของผู้ค้าสลากฯ...ราคาพุ่ง-ถูกรีดไถรายวัน

หวยโคตรแพง! ชีวิตรันทดของผู้ค้าสลากฯ...ราคาพุ่ง-ถูกรีดไถรายวัน

หลังจากนโยบายควบคุมราคาหวยของ คสช. จากเดิมที่กลไกตลาดทำงานในแบบเฉพาะตัว ทุกแผงทุกร้านต้องจำหน่ายในราคา 80 บาท กลายเป็นนโยบายในฝันของคอหวย ทว่าปัญหานี้กลับไม่ใช่เรื่องง่ายนักหลังจากผ่านไปหลายเดือนทีมข่าว ASTV ผู้จัดการ LIVE ลงสำรวจราคาหวยจากพ่อค้าแม่ขายหน้ากองสลากกลับพบว่า ราคารับซื้อต้นทุนนั้นกลับพุ่งทะยานขึ้นมากที่สุดในรอบปี!

ราคาพุ่งสูงสุดในรอบปี

หลังจากคณะรักษาความสงบแห่งชาติได้มีนโยบายควบคุมราคาหวยซึ่งเต็มไปด้วยเสียงทักท้วงจากผู้ค้ารายย่อยที่ไม่สามารถควบคุมราคาตามเกณฑ์ที่กำหนดได้ เนื่องจากราคาทุนที่รับมานั้นก็สูงกว่าราคา 80 บาทอยู่แล้ว

รากของปัญหาที่ในวงการหวยรู้กันดีว่า มีผู้กุมอำนาจได้รับโควตาราคาโดยตรงจากรัฐบาลที่ 74 บาท กระทั่งมีการผ่านมือคนกลางสู่ตลาดในราคาสูงถึง 92-95 บาท

แน่นอนความหวังอันน้อยนิดของผู้ค้ารายย่อยคือ ให้คสช.ใช้อำนาจเด็ดขาดในการจัดการ 5 เสืออภิสิทธิชนให้หมอบราบคาบแก้ว ทว่าการณ์กลับไม่เป็นเช่นนั้น เมื่อผ่านไปเพียงเดือนเดียวที่ราคารับตกลงมาอยู่ที่ 78 บาท หลังจากนั้นราคาก็ดีดกลับ และพุ่งสูงสุดในงวดที่ผ่านมา

“เปิดมางวดนี้ 98 บาทครับ สูงสุดในรอบปีเลยก็ว่าได้” เชียง ซาพรหม ผู้ค้าสลากทั้งแบบส่งและแบบปลีกที่ค้าขายมาร่วม 10 ปี เอ่ยพร้อมกล่าวเพิ่มเติมว่า การค้าขายในช่วงเดือนนี้ถือเป็นช่วงที่ลำบากเป็นอย่างมาก นอกจากผู้ซื้อที่เบาบางลง ขายได้ยากขึ้น ราคาที่รับมายังมีต้นทุนที่สูงที่สุดในรอบปีอีกด้วย

ท่ามกลางบรรยากาศการซื้อขายที่คึกคักในการถกเถียงราคา แต่ก็ซบเซาในตัวผลกำไร แผงค้าหลายแผงตัดสินใจตัดราคาตัวเองลง จึงไม่แปลกหากจะเห็นตัวเลข 80 บาทบนบางแผงด้วยเพราะเวลาก็ล่วงเลยมาถึงวันที่ 15 แล้ว อีกเพียงวันเดียวหวยเหล่านี้ก็จะหมดค่าในสายตานักเล่นหวย ปรากฏการณ์ลดราคาเกิดขึ้นเป็นวงรอบเป็นเรื่องปกติ ทว่าสิ่งที่ไม่ปกติคือความคึกคักที่ยังหลงเหลือ พร้อมสลากที่ยังคงวางกองอยู่บนหน้าแผง เหลือมากอย่างไม่เคยเป็นมาก่อน

“ควบคุมไม่ได้หรอก เป็นไปไม่ได้ มาก็แพงแล้ว คือราคาของสลากมันก็แล้วแต่วันนะ แต่เปิดมางวดนี้มัน 98 บาทแล้วน่ะ ผมบอกเลยราคาต่ำสุดที่ได้มันคืองวดแรกหลังจากที่ออกข่าว 78 บาท แต่ทำได้งวดเดียวเท่านั้น”

ทั้งนี้ ในส่วนของการบีบราคาหน้าแผงให้ต้องขายถูกลงนั้นสำหรับเขาแล้วไม่เจอมาตรการดังกล่าวแต่อย่างใด ก่อนเผยว่า ยิ่งมีการควบคุมดูจะยิ่งทำให้ราคาที่ได้มาแพงขึ้น

งวดที่กำลังขายอยู่ตอนนี้ เขามองสลากที่เหลืออยู่พร้อมทั้งราคาที่ขายเป็นชุดเฉลี่ยใบละ 85 บาท เป็นราคาที่ขาดทุนแต่ก็ต้องจำยอมเพราะใกล้ถึงวันหวยออกแล้ว

“รวยแล้วงวดนี้ขาดทุนแน่นอนครับ จะให้แก้ไขปัญหาน่ะเหรอ ผมว่าเราคาดหวังอะไรไม่ได้แล้วมั้ง เพราะทำอะไรไม่ได้แล้วนี่ มันก็ต้องตามตลาด ตามกลไกตลาดของมัน ซื้อมาแพงก็ต้องขายแพงขึ้นไป มันไม่ได้เหมือนขายปากกาที่จะมาตรฐานเดียวกันหมด มันมีเลขสวย เลขดังไม่ดัง เลขไม่นิยมก็ขายไม่ออก เลขไม่นิยมก็เสียใบละ 60 ยังขายเลย เลข 00 คนก็ไม่เล่น ไม่ซื้อกัน”

เปิดช่องตำรวจรีดไถ

หลังจากเรื่องดังกล่าวเป็นนโยบายระดับชาติ กลายเป็นข่าวครึกโครมขึ้นมา สิ่งหนึ่งที่เกิดขึ้นคือมาตรการในการจับกุมผู้ที่ละเมิดกฎเกณฑ์ที่ตั้งไว้ ในช่วงตลาดคึกคักของวันที่ 15 แม้จะเป็นวันท้ายๆของการขายหวย แต่ร้านในย่านกองสลากถือเป็นร้านแหล่งรวมต้นสายของผู้ค้าขายหวยรายเล็กรายน้อยทั่วประเทศก็ยังคงเต็มไปด้วยความคึกคักของการต่อรองราคา ราคาหน้าแผงที่ค่อยๆลดลง ตัวดีตัวเด็ดที่ราคายังเหยียบ 100 ก็ยังรอนักลงทุนมาซื้อไปกักเก็งกำไร
การค้าขายยังคงเป็นไปตามกลไกตลาดแบบเดิม ทว่าวันนี้พวกเขากลับไม่ได้กำไรอย่างเคย เมื่อราคาต้นทุนบีบตัวสูงจนเกินกว่าจะขายต่อให้แก่ผู้บริโภคทั่วไปได้

วนิดา กระชับกลาง ผู้ค้าส่ง - ปลีกสลากฯ ที่ค้าขายอยู่ในย่านกองสลากมานานกว่า 30 ปี เผยว่า ตนเองและครอบครัวยึดอาชีพค้าขายสลากมาโดยตลอด และไม่เคยได้รับโควตาที่หลายคนเล่าลือกันแม้จะยื่นไปนับ 100 ครั้งแล้วก็ตาม

“ซื้อมาต้นทุน 98 บาท ขาดทุน ก็ต้องรับสภาพ เราต้องรับเอง ไม่รู้จะให้ช่วยอะไรแล้ว ต้นทุน 980 ขาย 900 กำไรมันก็ช่วงต้นๆ งวดบ้าง แต่คงขาดทุนอยู่แล้วละ บอกเลยยิ่งทำยิ่งเละ”

ในส่วนของการแก้ปัญหาเรื่องราคานั้นเธอมองว่า อยากให้ปล่อยไปตามตลาดเดิม พร้อมวอนให้ผู้คนทั่วไปเห็นใจผู้ค้าซื้อต้องแบกรับทุนจากโครงสร้างการขายสลากที่รัฐบาลไม่ได้แบกรับความเสี่ยงจากสลากที่เหลือไว้เลย แต่เป็นผู้ค้าทั้งนั้นที่แบกรับหากมีสลากเลขไม่สวยก็ต้องเก็บไว้ ไม่มีการซื้อคืนแต่อย่างใด

“กระแสข้างนอกอยากได้ใบละ 90 อยากได้ราคาถูกๆ มันเป็นไปไม่ได้หรอก ในเมื่อต้นทุนเขามาสูงเราก็ต้องขายไปตามราคา ได้ใบละ 10 บาท บางทีมันก็อยู่ไม่ได้หรอก เหมือนอย่างพวกนี้ ต้นทุน 1,400 ชุดใหญ่ ต้องมานั่งขาย 1,200 ก็มี คืออย่าเรียกร้องว่า 90 อย่างเดียว เพราะลอตเตอรี่มันอยู่ราคาไหนก็ราคานั้น ถ้าเขาไม่ปรับเปลี่ยนแบบพวกโควตาน่ะ”

ทว่า อีกสิ่งที่เกิดขึ้นหลังจากมีการจัดระเบียบหวย เธอเผยว่า คือการจับปรับเมื่อพบผู้ค้าเกินราคาที่กำหนดแบบเปิดกฎหมายจัดการซึ่งระบุไว้ว่าให้ผู้ค้าสลากห้ามค้าเกินราคา 80 บาท

“ตอนนี้คสช.ประกาศขอความร่วมมือให้อยู่ที่ราคา 100 บาท คนขายแพงเกินก็มีโดนตำรวจจับบ้าง แต่เราขาย 100 บาทกลับโดนจับ เพราะในกฎหมายมันเขียนให้ขายราคาต่ำกว่านั้น ตอนนี้มันเหมือนมากลั่นแกล้งกันมากกว่า แต่ปรับ 500 บาทยังไม่พอ ยังมายึดสลากเราไปด้วย”

โดยเหตุการณ์ดังกล่าวพึ่งเกิดขึ้นกับเธอไม่นาน และมีเกิดขึ้นหลายครั้งแล้ว ราวกับมาตรการที่เกิดขึ้นกลายเป็นช่องทางในการหากินของตำรวจในพื้นที่

“ตำรวจเข้ามาแล้วก็พูดว่า อยากซื้อสลากฯ ราคาถูก ซึ่งเราเองขายอยู่ 100 บาท มันก็ตามราคาที่คสช.ขอไว้แล้ว กลายเป็นตำรวจมาจับแล้วซึ่งตามปกติแต่ปรับ 500 ก็จบ แต่เรากลับถูกยึดสลากไปเป็นของกลางด้วย ซึ่งมันไม่ใช่ไง เราก็เอาเรื่องนี้ไปร้องทหาร เขาก็บอกให้ไปเอาคืน ถ้าไม่ให้ก็แจ้งความกลับในข้อหายักยอกทรัพย์”

เธอตั้งคำถามกับเจตนาของเจ้าหน้าที่ตำรวจในการปฏิบัติหน้าที่โดยไม่เข้าใจถึงสถานการณ์ที่เกิดขึ้น ทั้งนี้ในช่วงของทหารนั้น ก็มีการลงมาดูราคาหวยสัปดาห์ละครั้ง

“ทหารเขาก็เข้ามาดู เราขายราคา100 บาท เขาก็บอก เออ! อย่าให้เกินร้อยนะ คือไม่มีมาจับ งงเหมือนกัน มีแต่ตำรวจมาจับ ยึดหวยอีก เมื่อ 2 วันก่อนทหารก็มาดู บอกขอความร่วมมือหน่อยนะ เขาก็ไม่ว่าอะไร เขาเข้าใจ ก็เดินกลับไป มากัน 4 - 5 คน หวยมันก็มีราคาของมันน่ะ”

ควรปล่อยราคาตามตลาด

หญิงวัยกลายคน (ขอสงวนชื่อ-สกุล) ผู้ค้าสลากฯ บริเวณสี่แยกคอกวัว เปิดเผยว่าครอบครัวทำธุรกิจขายสลากฯ มานานแล้ว ซึ่งตนก็เข้ามาสานต่อเป็นรุ่นที่ 2 ซึ่งความพยามเข้ามาควบคุมราคาของสลากฯ ส่งผลกระทบต่อผู้ค้าสลากฯ ไปตามๆ กัน การที่รัฐฯ มาตรึงราคาสลากไว้ที่ 80 บาท มาบีบบังคับผู้ค้าที่อยู่ปลายทางมันไม่ใช่เรื่องที่ถูกต้อง เมื่อต้นทางต้นทุนสลากมาราคาสูง ราคาที่เราขายออกก็ต้องสูงขึ้นเป็นธรรมดา ถ้าไม่เช่นโชคดีหน่อยก็ได้เท่าทุน หรือไม่ก็จำเป็นต้องขายขาดทุน

“ต้องขายหมด แบบขาดทุนก็มี หมดแบบได้กำไรก็มี” เธอ เปิดเผยถึงวิธีการขายสลาก โดยยึดหลักว่าจะไม่เก็บไว้เอง ซื้อมาแล้วต้องขายไปให้หมด โดยเชื่อเสมอมาว่า “เลขเด็ดมันไม่จริงหรอก เด็ดจริงเฉพาะเวลาที่หาซื้อ แต่เวลาออกมันไม่ใช่ หวยมันคือการเสี่ยงโชค เราไม่ใช่คนเล่นหวย เราต้องขายให้หมด ขาดทุนก็ยอม เพราะว่าเราเป็นคนไม่มีโชค”

สังเกตเห็นว่าแต่ละร้านบริเวณนี้ ราคาขายปลีกต่างกันตั้งแต่ 80 - 100 บาท ซึ่งร้านเธอขายปลีกใบละ 90 บาท ส่วนเหตุผลนั้นเธอเปิดเผยว่า จะตั้งราคาสูงไม่ได้แล้วต้องขายราคาต่ำกว่าทุน ราคานี้ก็ขาดทุนวันละ 7 บาท จะให้ต่ำกว่านี้ก็ไม่ได้หรอก พร้อมฝากถึงผู้ที่เกี่ยวข้องให้พิจารณา

“อย่ามาใช้กฎหมายบังคับการขายสลากให้มาก ขอให้มีราคาลอยตัวมีขึ้นมาลง อย่ามาบังคับว่าคุณจะต้องขายราคานี้นะ พูดจริงๆ ลอตเตอรี่มันก็ไม่ใช่ของจำเป็นอะไร ไม่ได้เป็นของอุปโภคบริโภคที่จำเป็น ไม่กินไม่ใช้จะอยู่ไม่ได้ คุณอย่าไปยุ่งกับมันเลยดีกว่า ถ้าไปยุ่งกับมันคุณก็ไม่มีศักยภาพไปบังคับต้นน้ำแต่มาบังคับปลายน้ำมันก็ยากนัก”

ถามถึงเรื่องกำไรขาดทุน เธอบอกว่าแล้วแต่การลงทุน คือภาพรวมผู้ค้ารายใหญ่นั้นยังมีกำไรอยู่ ร้านไหนลงทุนเยอะเปอร์เซ็นต์กำไรก็ย่อมมากกว่าร้านเล็กๆ

ทางด้านของ เฮียเม้ง ผู้ค้ารายย่อยอีกรายเผยว่า ตัวเลขงวดนี้มีเลขเด็ดคือ 96 ซึ่งที่เชียงใหม่มีราคาสูงถึง 200 บาทเข้าไปแล้ว ราคาหวยที่ออกมาในปัจจุบันนั้น นอกจากไม่เหลือกำไรแล้ว เขาบอกได้คำเดียวว่า เจ๊ง!

“เจ๊งเลยครับ ยับเยิน ก็ต้องหาถูกๆ เพิ่มแล้วเอาไปปล่อย มันเป็นไปตามกลไกตลาด ตอนนี้ผ่านมาถึงวันนี้หวยยังขายไม่ออก ก็เรียกว่าหวยมันน็อก ราคามันก็ตก เราก็มาตามซื้อแล้วรีบไปปล่อย”

ในส่วนของมาตรการช่วยเหลือนั้น เขาเห็นสอดคล้องกับผู้ค้าหวยรายอื่นว่า ช่วยไม่ได้และไม่จำเป็นต้องช่วย

“มันช่วยไม่ได้หรอกครับ เรื่องคุม อย่าคุมเลยครับ ถึงคุมผมก็ไม่ฟัง เพราะฟังก็ไม่มีกำไร คงต้องให้เขาไปซื้อแล้วมาขายเองถึงจะรู้”

..

จากเดิมที่กลไกตลาดทำงานกระทั่งผู้บริโภครู้สึกเดือดร้อน มาถึงวันนี้พ่อค้าแม่ขายหลายคนถูกเอารัดเอาเปรียบโดยไม่รู้ตัว ท้ายที่สุดก็ส่งผลกระทบถึงผู้ค้าปลายทาง ราคาที่พุ่งขึ้นสูง เลขเด็ดที่ความต้องการตลาดร้อนแรงขึ้น ท้ายที่สุดแล้ว หวยก็เป็นการเสี่ยงโชคอย่างหนึ่ง และการเสี่ยงโชคก็เป็นสิ่งที่แทบจะควบคุมไม่ได้!
ข่าวโดย ASTV ผู้จัดการ LIVE




 

Create Date : 16 ตุลาคม 2557   
Last Update : 16 ตุลาคม 2557 8:15:42 น.   
Counter : 1207 Pageviews.  

1  2  3  4  5  6  7  8  9  10  11  12  13  14  15  16  17  18  19  20  21  22  23  24  25  26  27  28  29  30  31  32  33  34  35  36  37  38  39  40  41  42  43  44  45  46  47  48  49  50  51  52  53  54  55  56  57  58  59  60  61  62  63  64  65  66  67  68  69  70  71  72  73  74  75  76  77  78  79  80  81  82  83  84  85  86  87  88  89  90  91  92  93  94  95  96  97  98  99  100  101  102  103  104  105  106  107  108  

karnoi
Location :


[Profile ทั้งหมด]

ฝากข้อความหลังไมค์
Rss Feed
Smember
ผู้ติดตามบล็อก : 57 คน [?]




เลขเด็ด เลขดัง กาน้อย






ติดตามข้อมูลของเว็บทาง twitter ได้ที่ @karnoi กด
ติดตามข้อมูลเว็บทาง FaceBook กด







Online Users


[Add karnoi's blog to your web]