คลื่นอ่าวไทยถล่ม 5 หมู่บ้านในอำเภอหัวไทร 350 ครัวเรือนวิกฤต
นครศรีธรรมราช - คลื่นถล่ม 5 หมู่บ้านในอำเภอหัวไทร 350 ครัวเรือนวิกฤต อำเภอชงประกาศเป็นพื้นที่ภัยพิบัติ ด้านเจ้าหน้าที่แขวงการทางนครศรีธรรมราช เข้ากู้ซากขยะ และทรายจากทะเลที่ถูกคลื่นซัดขึ้นมากีดขวางผิวจราจรเพื่อเปิดเส้นทางจราจร ขณะที่ความเสียหายจากการกัดเซาะอย่างรุนแรงขยายวงกว้างมากขึ้น | วันนี้ (18 ธ.ค.) ผู้สื่อข่าวรายงานว่า สภาพของคลื่นลมมรสุมพัดเข้าสู่จังหวัดนครศรีธรรมราช ที่ทวีกำลังแรงมากขึ้นพัดเข้าถล่มแนวกันคลื่นก่อนที่จะม้วนสูงสาดเข้าปะทะต่อบ้านเรือนประชาชนที่อาศัยอยู่ในบ้านหน้าศาล ตำบลหน้าสตน อำเภอหัวไทร จังหวัดนครศรีธรรมราช จนหลายครอบครัวต้องปิดบ้าน และอพยพตัวเองไปอาศัยยังบ้านญาติ ขณะที่มัสยิดต้องปิดประตูลงชั่วคราวไม่มีการละหมาดประจำวัน เนื่องจากถูกคลื่นซัดเข้าไปในอาคารมัสยิด | นายสุเมธ ช้างชนะ ปลัดอำเภอหัวหน้าฝ่ายความมั่นคง อำเภอหัวไทร ระบุว่า คลื่นได้ทวีกำลังแรงมากขึ้นเรื่อยๆ โดยมีประชาชนใน 5 หมู่บ้าน คือ หมู่ที่ 3, 6, 7, 8, 9 รวม 350 ครัวเรือน กำลังส่งผลกระทบ ซึ่งต่างได้เฝ้าระวังถึงความรุนแรง ขณะที่หลายครอบครัวได้อพยพตัวเองไปหลบยังบ้านญาติก่อนเนื่องจากไม่สามารถอาศัยอยู่ในบ้านตนเองได้ และล่าสุดนั้น ได้รายงานไปยังจังหวัดแล้วเพื่อขออนุมัติประกาศเป็นพื้นที่ภัยพิบัติ | โดยความรุนแรงของมรสุมที่ทำให้คลื่นริมชายฝั่งนครศรีธรรมราช มีกำลังแรง และสูงมากขึ้นพัดเข้าซัดบริเวณชายฝั่ง ส่งผลให้ชาวประมงต้องนำเรือหนีออกจากแนวคลื่นเพื่อป้องกันความเสียหาย ขณะเดียวกัน แนวคลื่นยังเข้าปะทะบริเวณบ้านหน้าโกฏิ ตำบลขนาบนาค อำเภอปากพนังอย่างรุนแรง เจ้าหน้าที่ต้องตัดกระแสไฟฟ้าแรงสูงเนื่องจากคลื่นได้ม้วนตัวสูงกว่าเสาไฟฟ้าและปะทะกับแนวสายส่งอยู่ตลอดเวลา ทำให้เกิดความเสี่ยงสูง | ส่วนเจ้าหน้าที่แขวงการทางนครศรีธรรมราช ใช่กำลังคน และเครื่องจักรเข้าเก็บกวาดซากขยะจากท้องทะเล รวมทั้งทรายจำนวนมากที่ถูกคลื่นซัดมากองอยู่บนผิวจราจรระยะทางกว่า 1 กิโลเมตร เพื่อเปิดทางเส้นทางจราจรหลังจากต้องปิดการจราจรบางช่วงเพราะน้ำทะเลท่วมสูง ขณะที่คลื่นได้กัดเซาะแนวถนนจนพังทลายหลายจุด โดยคาดว่าหากยังไม่เร่งเสริมป้องกันการกัดเซาะถนนเส้นนี้จะถูกตัดขาดในไม่ช้า เนื่องจากยังต้องเจอมรสุมอีกหลายระลอก | | | | | | | | |
Create Date : 18 ธันวาคม 2557 |
| |
|
Last Update : 18 ธันวาคม 2557 22:39:29 น. |
| |
Counter : 2143 Pageviews. |
| |
|
|
|
ทะลวงดรามา "เอดส์" เปิดข้อเท็จจริงที่คุณต้องรู้
เรื้อรังมานานกว่า 1 เดือน กรณีปัญหาที่พักอาศัยของผู้ป่วยเอดส์จากมูลนิธิกระท่อมพระสิริในหมู่บ้านหนองปรือ จ.ชลบุรี ล่าสุดมีมติจากชาวบ้านให้ผู้ป่วยเอดส์กว่า 40 ชีวิตออกจากพื้นที่ เหตุหวั่นปัญหาการติดเชื้อ เนื่องจากไม่มีระบบป้องกันที่เป็นสัดส่วน แถมยังกระทบเศรษฐกิจในชุมชน กลายเป็นเรื่องเศร้าที่ตามมาด้วยกระแสดรามาหลายมุมมอง ทั้งความใจร้าย ความเห็นใจ และความเข้าใจถึงเหตุผลของการกระทำดังกล่าว พร้อมเปิดข้อเท็จจริงที่คุณต้องรู้เกี่ยวกับความเข้าใจเรื่อง "เอดส์" เป็น 'เอดส์' ต้องอยู่ส่วนเอดส์! เรื่องความรังเกียจเดียดฉันท์ 'ผู้ป่วยเอดส์' เสียงดังขึ้นมาอีกครั้ง เมื่อกลุ่มชาวบ้านหมู่ 3 ต.หนองปรือ อ.บางละมุง จ.ชลบุรี เข้าร้องเรียนต่อทางเทศบาลเมืองหนองปรือ เพื่อให้ยกเลิกการพักอาศัยของกลุ่มผู้ป่วยเอดส์ระยะสุดท้าย 48 คน ที่เข้ามาพำนักอยู่ในมูลนิธิกระท่อมพระสิริ กลางชุมชนดังกล่าว เพราะสร้างความไม่สบายให้แก่ชาวบ้าน พร้อมกับหวั่นว่าอาจมีปัญหาเรื่องการติดเชื้อในหมู่เยาวชน อีกทั้งยังส่งผลกระทบให้ห้องพัก และอพาร์ตเมนต์ถูกยกเลิกการพักอาศัยจากผู้เช่า ทำให้ได้รับความเดือดร้อน | กระทั่งล่าสุด ภายหลังจากการประชุม โดยมีชาวบ้านในพื้นที่เข้าร่วมกว่า 150 คน พร้อมผู้สังเกตการณ์ กลุ่มผู้ป่วย เจ้าหน้าที่จากมูลนิธิกระท่อมพระสิริ เทศบาลเมืองหนองปรือ ศูนย์วิจัยเอดส์พัทยา รวมทั้งชาวบ้านและผู้ให้กำลังใจอีกจำนวนหนึ่ง ได้จัดให้มีการลงคะแนนประชามติ ผลปรากฏว่า ชาวบ้านส่วนใหญ่ไม่ต้องการให้ผู้ป่วยเอดส์พำนักอยู่ในชุมชน 131 เสียง ต้องการให้อยู่ต่อไป 30 เสียง ส่งผลให้ทางมูลนิธิฯ ต้องดำเนินการจัดหาพื้นที่ใหม่เพื่อย้ายผู้ป่วยออกจากชุมชน เรื่องนี้ นายกเทศมนตรีเทศบาลเมืองหนองปรือ บอกว่า เป็นเรื่องละเอียดอ่อนมาก แม้จะพยายามอธิบายถึงโรคให้ชุมชนทราบ แต่ส่วนใหญ่ก็ยังรู้สึกไม่สบายใจ เมื่อประชามติออกมาก็ต้องดำเนินการไปตามเสียงส่วนใหญ่ โดยทางเทศบาลรับปากว่าจะไปจัดหาที่ดินแปลงใหม่ที่ห่างไกลจากชุมชนให้แก่ทางมูลนิธิฯ เพื่อย้ายไปจัดตั้ง ซึ่งคาดว่าน่าจะใช้เวลาประมาณ 6-8 เดือน ส่วนประธานชุมชนหลังเนินอย่าง วิเชียร เวฬุวัน เปิดใจว่า ไม่ได้รู้สึกรังเกียจผู้ป่วยเอดส์ แต่คงอยู่ร่วมกันไม่ได้เพราะเป็นเรื่องของความรู้สึก อีกทั้งการเข้ามาของผู้ป่วยก็ส่งผลกระทบต่อเศรษฐกิจชุมชนโดยรวม โดยเฉพาะผู้ประกอบการห้องเช่าที่ได้รับผลกระทบเป็นอย่างมาก เนื่องจากชาวบ้านหลายรายนำที่ดินไปกู้เงินจากธนาคารเพื่อมาทำห้องเช่า แต่พอผู้ป่วยเข้ามาผู้เช่าก็ยกเลิกการเข้าพัก จึงทำให้ส่งผลต่ออาชีพทำกิน "ส่วนตัวจะรู้สึกเห็นใจผู้ป่วยเช่นกัน แต่อยากให้ไปหาพื้นที่บำบัดใหม่ที่ไกลจากแหล่งชุมชน และหากมีการเคลื่อนย้ายชุมชนก็พร้อมบริจาคเงินเพื่อสนับสนุน" ประธานชุมชนหลังเนิน บอก หลากทัศนะ 'ใจร้าย-เห็นใจ-เข้าใจ' ทันทีที่มติออกมาเป็นเอกฉันท์ให้ผู้ป่วยเอดส์ 48 ชีวิตออกจากพื้นที่ในหมู่บ้านหนองปรือ เกิดกระแสวิพากษ์วิจารณ์หลายมุมมองขึ้นในโลกออนไลน์ ทั้งความเห็นที่มองว่าใจร้าย เห็นใจ และเข้าใจถึงเหตุผลของชาวบ้าน | "ถ้าผู้สนับสนุน ผู้ลงมติขับไล่ หรือญาติพี่น้อง คนที่เขารัก เกิดพลาดพลั้งติดเอชไอวีขึ้นมาก็คงถูกไล่เหมือนหมูเหมือนหมาแบบนี้เช่นกัน ปากก็บอกเห็นใจ แต่เป็นเรื่องละเอียดอ่อนต่อความรู้สึก เก็บคำพูดสวยๆ ไว้เถอะถ้าไม่คิดทำความเข้าใจ ไม่เปิดใจรับฟังเหตุผล ถ้าโรคเอดส์มันติดกันง่ายเหมือนหวัด เหมือนอีโบลาก็ว่าไปอย่าง" "คนที่ไม่รู้อิโหน่อิเหน่ แล้วติดมา ก็น่าเห็นใจ เช่น ภรรยาที่ติดจากสามี ลูกที่ติดจากแม่ แต่พวกสำส่อนนี่ไม่น่าเห็นใจเลย" "เป็นสิ่งหนึ่งที่ทำให้เห็นว่าในแต่ละเรื่องเราควรให้การศึกษาไปให้ถึงก่อนที่จะใช้ประชาธิปไตยหรือเปล่าครับ" Vazzup "มันไม่ใช่ว่าชุมชนไม่เข้าใจ แต่มันกระทบต่อชีวิตความเป็นอยู่ของเขา การที่มูลนิธิย้ายไปอยู่ในที่โล่งกว้างเป็นส่วนตัวก็เป็นเรื่องดี ถึงมันไม่ใช่โรคติดต่อที่ติดต่อได้ง่าย แต่มันก็สามารถแพร่กระจายได้ ผมเห็นด้วยว่าให้ย้ายที่ไปครับ ใครไม่เห็นด้วย ให้เขาย้ายไปอยู่ข้างบ้านคุณเลยครับ" "ชาวบ้านไม่ได้รังเกียจคนเป็นเอดส์ แต่เขาได้รับผลกระทบ ค้าขายไม่ได้ อพาร์ตเมนต์ บ้านเช่า ไม่มีแขกเข้าพัก แล้วจะเอาอะไรกิน ทางแก้ไขฝ่ายสาธารณสุขต้องเข้าไปจัดการระบบป้องกัน เอดส์ติดต่อยากก็จริง แต่โรคอื่นๆ ที่ต่อเนื่องตามมาล่ะ เช่น วัณโรค (TB) ไอกรน ใครจะรับประกันว่าไม่มี ถ้าไม่ป้องกัน ชุมชนก็อยู่ไม่ได้" ปัญหาไม่เกิด ถ้ามูลนิธิฯ พูดให้เคลียร์ นอกจากความเห็นในข้างต้น บางความเห็นยังมองต่างออกไปว่า ปัญหานี้จะไม่เกิดขึ้น ถ้าทางมูลนิธิฯ แจ้งให้ทางหมู่บ้านทราบก่อน สอดรับกับข้อมูลของ วิญญู ดำริห์ ผู้ช่วยที่ปรึกษาประธานชุมชน ที่ก่อนหน้านี้เคยย้อนพูดถึงที่มาที่ไปของเหตุการณ์นี้ให้ ทีมข่าว ASTVผู้จัดการ Live ฟังว่า ทางมูลนิธิฯ แจ้งว่าจะมาเปิดเป็นโรงเรียนสอนดนตรี ซึ่งก็รู้สึกดี แต่ปรากฏว่า พอย้ายเข้ามาอยู่กลับเป็นผู้ป่วยเอดส์ ทำให้รู้สึกไม่สบายใจ เพราะมูลนิธิดังกล่าวไม่มีรั้วรอบขอบชิด ปล่อยปละละเลยให้ผู้ป่วยเดินออกไปซื้อของกินของใช้ปะปนกับชาวบ้าน นอกจากนี้ ยังไม่มีระบบป้องกันสาธารณูปโภค ส่งผลให้ชาวบ้านส่วนใหญ่เกรงว่าผู้ป่วยอาจจะนำโรคมาติดต่อเด็กในหมู่บ้าน อีกทั้งผู้พักอาศัยตามห้องเช่า ต่างพากันทยอยออก เนื่องจากไม่อยากอยู่ในพื้นที่ ทำให้ได้รับความเดือดร้อน ซึ่งใจจริงแล้วก็ไม่ได้รังเกียจ เพียงแต่รู้สึกไม่สบายใจ และควรหาหนทางโยกย้ายไปพื้นที่เหมาะสมกว่าที่เป็นอยู่ ตรงกันกับคำให้การของ วิเชียร ประธานชุมชนหลังเนิน วัย 27 ปี และบุญเลิศ เมฆจันทร์ วัย 64 ปี พวกเขาบอกว่า คนในชุมชนสนับสนุนโครงการที่ทางมูลนิธินี้จัดขึ้นเสมอมา โดยก่อนหน้าดำเนินโครงการเกี่ยวกับการฝึกอาชีพ และสอนภาษาอังกฤษ รวมถึงสอนดนตรีให้แก่เด็กๆ ในชุมชน แต่หลังจากมูลนิธินำผู้ป่วยติดเชื้อเอชไอวีเข้ามาพักอาศัยเป็นจำนวนมาก โดยไม่ได้ปรึกษาคนในชุมชน และไม่มีการจัดระบบสาธารณูปโภคให้ดี แถมมีการปล่อยน้ำเสียออกมาจากสถานที่ดังกล่าว ทำให้คนในหมู่บ้านเริ่มทนไม่ได้จนเกิดการต่อต้าน เมื่อถามไปยัง จารุวรรณ บุญสร้าง ในฐานะผู้ดูแลผู้ป่วยเอดส์ของมูลนิธิกระท่อมพระสิริ เธอเผยว่า เดิมทีมูลนิธิตั้งอยู่ที่หมู่บ้านทุ่งกลมตันหมัน อ.บางละมุง แต่ตอนหลังงบประมาณหมด จึงได้ติดต่อเช่าที่ดินเปล่าตรงผืนนี้ โดยใช้งบประมาณที่เมืองพัทยา อุดหนุนให้ปีละ 380,000 บาท และเงินบริจาคจากองค์กรต่างประเทศ และผู้ใจบุญสมทบ จัดสร้างที่พักสำหรับผู้ป่วยมาได้ 5-6 เดือนแล้ว แต่หลังจากอยู่ได้ไม่นานก็ได้รับการต่อต้านจากชาวบ้านใกล้เคียง ขอให้มูลนิธิย้ายไปอยู่ที่อื่น ส่วนตัวรู้สึกเสียใจ พร้อมเข้าใจความรู้สึกของชาวบ้าน และผลกระทบที่ตามมา เอดส์ รู้เร็ว รักษาได้ แต่อยู่ยาก! ต้องยอมรับว่า ตั้งแต่ปี พ.ศ.2548 ที่เริ่มมีการรักษาเอชไอวี/เอดส์ ด้วยยาต้านไวรัสในระบบหลักประกันสุขภาพ ยังคงมีอัตราการเสียชีวิตของคนที่ติดเชื้อฯ อยู่ประมาณปีละ 20,000 คน เรื่องนี้ นิมิตร์ เทียนอุดม ผู้อำนวยการมูลนิธิเข้าถึงเอดส์ เคยให้สัมภาษณ์ไว้ในงาน "เอดส์ รู้เร็ว รักษาได้" ว่า ถ้าคนที่ติดเชื้อฯ ได้รับการรักษาเร็ว ตามมาตรฐานและดูแลสุขภาพตัวเองอย่างต่อเนื่อง ก็จะไม่มีใครเสียชีวิตจากโรคฉวยโอกาส "แต่ปัญหาคือ ไม่มีใครเป็นเจ้าภาพหลัก หรือหน่วยงานรัฐยังไม่ได้รณรงค์ หรือเชิญชวนให้คนตื่นตัว ให้คนเข้าถึงการรักษา เลยเป็นภารกิจของภาคประชาสังคม เพื่อลดอัตราการตายจากเอดส์ให้ได้" นายนิมิตร์บอก ส่วนอีกหนึ่งช่องว่างที่สำคัญก็คือ เมื่อผู้ติดเชื้อฯ เข้าสู่การรักษาแล้ว เขามีร่างกายแข็งแรง มีชีวิตได้เหมือนเดิม แต่พอไปเจอกับโจทย์ใหญ่คือ ถูกรังเกียจจากการอยู่ร่วมกันในชุมชน หรือการสมัครงาน เช่น สถานประกอบการตรวจเลือดหาเชื้อเอชไอวีก่อนเข้าทำงาน ตรวจเลือดประจำปี หรือสถานศึกษาไม่ให้เด็กที่ติดเชื้อฯ เรียนหนังสือ ดังนั้นมันจะมีประโยชน์อะไร ถ้าทุ่มเทให้กับการรักษา แต่คนกว่า 200,000 คนเมื่อเข้าสู่การรักษาแล้ว กลับไม่ได้รับโอกาสที่จะมีชีวิตเหมือนคนทั่วไป "ทั้งๆ ที่เขาก็แข็งแรงแล้ว ถ้าเขามีงานทำ หรือได้เรียนหนังสือ เขาก็พร้อมที่จะรับผิดชอบตัวเอง เราจึงต้องส่งเสียงดังๆ ให้เห็นว่าเราอยู่ร่วมกันได้ ผู้ติดเชื้อฯ ก็ต้องการโอกาสที่เหมือนกับคนอื่น ไม่ใช่กีดกันด้วยผลของการติดเชื้อฯ" ผู้อำนวยการมูลนิธิเข้าถึงเอดส์ขยายความ พร้อมกับขอความเป็นธรรมให้แก่ผู้ป่วยเอดส์ เช่นเดียวกับ อภิวัฒน์ กวางแก้ว ประธานเครือข่ายผู้ติดเชื้อฯ เขาต้องการเห็นมาตรฐานการรักษาที่ไม่เลือกปฏิบัติ ไม่ว่ากับใคร ไม่ว่าจะเป็นแรงงานข้ามชาติ หรือคนไร้สถานะทางกฎหมาย ซึ่งการดูแลรักษาเอชไอวี/เอดส์ ต้องเป็นระบบที่มีมาตรฐานเดียว ดูแลทุกคนอย่างเสมอภาคและเท่าเทียมกัน เพราะตอนนี้ไม่ว่าผู้ติดเชื้อฯ จะมีระดับภูมิต้านทาน (CD4) เท่าไรก็สามารถเริ่มรักษาด้วยยาต้านไวรัสได้เลย ไม่ต้องรอให้ป่วยก่อน "เอดส์" ติดยาก แม้แต่โรคแทรกซ้อนก็ยังยาก! | ดังนั้น อีกหนึ่งเรื่องสำคัญที่ต้องเร่งแก้ปัญหาก็คือ ภูมิความรู้ความเข้าใจโรคเอดส์ของคนไทย รวมไปถึงทัศนคติที่ไม่ดีกับผู้ติดเชื้อเอชไอวี โดยเฉพาะทัศนคติที่ว่า โรคเอดส์เป็นแล้วต้องตาย หรือผู้ที่ติดเชื้อเป็นคนไม่ดี ทว่าในความจริงแล้วพฤติกรรมที่นำไปสู่การติดเชื้อ แม้คนดีหรือคนที่ไม่รู้เรื่องก็สามารถติดเชื้อได้ เช่น แม่บ้านติดเชื้อจากสามีสุดที่รัก หรือแม้กระทั่งติดไปถึงตัวลูกในครรภ์ นี่คือองค์ความรู้ที่ทีมข่าวขอย้ำให้เข้าใจตรงกันอีกครั้ง เริ่มจากความเข้าใจในความหมายของคำว่า "ผู้ติดเชื้อเอดส์" กับ 'ผู้ป่วยเอดส์' กันก่อน เรื่องนี้ ผู้อำนวยการมูลนิธิเข้าถึงเอดส์ ให้ความรู้ว่า ถ้าเป็น 'ผู้ติดเชื้อ' คือผู้ที่มีเชื้อเอชไอวีอยู่ในร่างกาย โดยสภาพทั่วไปของร่างกายจะเหมือนกับผู้ปกติที่เดินๆ กันอยู่ เพียงแต่เขามีเชื้อไวรัสอยู่ในร่างกายเท่านั้นเอง และคนที่เป็นผู้ติดเชื้อแบบนี้ก็อาจจะมีที่รู้ว่าตัวเองติดเชื้อหรือแบบที่ไม่รู้ว่าตัวเองติดเชื้อก็ได้ ซึ่งในสังคมเราตอนนี้ คาดว่าจะมีอยู่ประมาณ 300,000 คน ส่วน 'ผู้ป่วยเอดส์' หมายความว่าเขามีเชื้อเอชไอวีอยู่ในร่างกาย แล้วไม่ได้รับการรักษาหรือว่าไม่รู้ตัวเองติดเชื้อจนกระทั่งป่วย ป่วยด้วยโรคฉวยโอกาสต่างๆ นานาที่อาจจะเกิดขึ้นกับผู้ติดเชื้อ ไม่ว่าจะเป็นเยื่อหุ้มสมองอักเสบ, วัณโรค คนเหล่านี้ที่เป็นผู้ป่วยเอดส์เขาควรจะได้รับการรักษา และถ้าได้รับการรักษาแล้ว จะสามารถกลับกลายมาเป็นผู้ติดเชื้อเหมือนคนทั่วไปได้ ด้านการติดโรคที่หลายคนกลัวๆ กันนั้น ผู้คลุกคลีอยู่กับการทำงานด้านเอดส์ท่านนี้ บอกว่า ไม่มีทางติดแน่นอน หรือถ้ามีก็มีความเสี่ยงน้อยมาก อาจจะต้องลงทุนเอาเลือดเอาหนองของผู้ป่วยมาสัมผัสกับแผลของตัวเองโดยตรงอย่างตั้งใจทำจริงๆ ถึงจะติดต่อไปสู่อีกคนได้ หรือถ้าจะติดต้องไปมีเพศสัมพันธ์กับคนที่นอนป่วยอยู่โดยที่ไม่ใช่ถุงยางอนามัยเท่านั้น สรุปง่ายๆ ก็คือ เชื้อเอชไอวีสามารถติดต่อโดยช่องทางสำคัญ 3 ช่องทาง ดังนี้ 1. ทางเลือด 2. ทางน้ำหลั่ง (น้ำจากช่องคลอดหรือน้ำอสุจิ) 3. ทางน้ำนม โดยการแพร่กระจายเชื้อจากแม่สู่ลูกหลังคลอดผ่านทางน้ำนม แต่ไม่ติดต่อสู่คนจากพฤติกรรมดังต่อไปนี้ คือ การรับประทานอาหารร่วมกัน โดยสารยานพาหนะด้วยกัน พูดคุย สัมผัส หรือโอบกอดกัน การใช้โทรศัพท์ร่วมกัน ว่ายน้ำในสระหรือคลองเดียวกัน ทำงานร่วมกัน อยู่บ้านเดียวกัน รวมไปถึงการถูกกัดโดยยุงหรือแมลงตัวเดียวกัน "ภาวะแทรกซ้อนอย่างวัณโรค (TB) ถ้าผู้ติดเชื้อเอชไอวีเข้าสู่การรักษาแล้ว เชื้อนั้นจะไม่สามารถแพร่กระจายไปให้คนอื่นได้ ดังนั้นต้องทำให้ทุกคนที่ติดเชื้อเอชไอวีเข้าสู่การรักษา พอเริ่มรักษาไป 2 อาทิตย์แล้ว TB จะไม่แพร่กระจาย แล้วอีกอย่าง ไม่ได้ติดกันง่ายๆ ซึ่งการไอ จาม มันต้องให้เสมหะที่อยู่ในคอกระเด็นออกมาแล้วสูดเข้าไปทันที แบบนั้นถึงจะติดต่อกันได้ แล้วถามว่าทำไมถึงระบาดเยอะ เพราะบ้านเราอยู่ในเขตชุกชุม คนที่มีความเสี่ยงคือ เด็กเล็ก ตามมาด้วยผู้สูงอายุ และผู้ติดเชื้อเอชไอวี ส่วนคนทั่วไป โอกาสเป็นน้อยมาก เพราะเชื้อ TB ที่มีอยู่แล้วในตัวเรา มันถูกภูมิคุ้มกันของร่างกายกดทับไว้ หรือได้รับวัคซีนตั้งแต่เล็กๆ ส่วนโรคผิวหนังจากผู้ป่วย ถ้าคุณไม่ไปใช้สิ่งของร่วมกัน มันก็ไม่ติดครับ โดยเฉพาะโรคหิด ดังนั้นเราถึงอยู่ร่วมกันกับพวกเขาได้ตามปกติ เพราะโดยวิสัยให้ใช้ผ้าเช็ดตัวร่วมกับคนอื่น คุณจะใช้ไหม ก็ไม่ใช้ เมื่อไม่ใช้ คุณก็ไม่ติด ถ้าดูแลรักษาความสะอาดเป็นอย่างดีทั้งผู้ป่วย และตัวเรา รับรองว่าไม่มีปัญหาเรื่องติดเชื้ออย่างแน่นอน" ผู้อำนวยการมูลนิธิเข้าถึงเอดส์ เสริม ปฏิเสธไม่ได้ว่า โรคเอดส์ เป็นเรื่องละเอียดอ่อน และเฉพาะตัว ถ้ามองอีกมุมหนึ่งก็น่าจะเตือนใจคนในสังคมได้เป็นอย่างดี เพราะในสังคมที่เปิดกว้างแบบนี้ ไม่มีทางรู้ได้เลยว่าใครติดเชื้อ หรือไม่ติดเชื้อบ้าง หากไม่แน่ใจ ต้องป้องกันทุกครั้งขณะมีเพศสัมพันธ์ แต่ถ้าเกิดพลั้งพลาดติดเชื้อจนกลายเป็นผู้ป่วยเอดส์ ควรรีบพาตัวเองเข้าสู่การรักษาโดยด่วน เพราะนอกจากจะรักษาด้านร่างกายแล้ว ยังต้องฟิตหัวใจเพื่อเตรียมรับกับโลกแห่งความเป็นจริงที่มีทั้งด้านบวก และด้านลบไปพร้อมๆ กันด้วย ข่าวโดย ASTV ผู้จัดการLive |
Create Date : 17 ธันวาคม 2557 |
| |
|
Last Update : 17 ธันวาคม 2557 8:11:57 น. |
| |
Counter : 1643 Pageviews. |
| |
|
|
|
วัยว้าวุ่น.. ผิดต้องยอมรับผิด 'ครู' ลงโทษไม่ได้เชียวหรือ?
ภาพการลงโทษนักเรียนโรงเรียนหญิงล้วนชื่อดังย่านสุขุมวิท ถูกลงโทษด้วยการคลานเข่ากับพื้นคอนกรีต ระยะทางกว่า 100 เมตร จนเปิดแผลถลอกที่หัวเข่า ด้วยความผิดที่พวกเธอมาโรงเรียนสาย ตกเป็นประเด็นวิพากษ์วิจารณ์หลังถูกนำมาแชร์บนโลกโซเชียลฯ โดยมีทั้งผู้เห็นด้วยกับวิธีการทำโทษนักเรียนเพื่อเติบโตเป็นผู้ใหญ่ที่ดีต่อไปในอนาคต และผู้มีลงมติว่าการตัดสินใจของครูในครั้งนี้เป็นเรื่องที่กระทำเกินกว่าเหตุ เพราะนักเรียนจำนวนไม่น้อยได้รับบาดแผลจากการคลานเข่าบนพื้นคอนกรีต ซึ่งภาพกลุ่มนักเรียนหญิงที่ถูกลงโทษด้วยวิธีคลานเข่า ถูกแชร์ผ่านแฮชแท็ก #snfact ในสังคมทวิตเตอร์ พร้อมข้อความทวงถามความชอบธรรมจากครูอาจารย์และสังคม คนมาสายๆ บางทีก็มักจะเป็นคนเดิมๆ ซะส่วนใหญ่ เรียกได้ว่า 'สายแล้วสายอีกสายตลอดชาติ' (เคยเป็นหนึ่งในกลุ่มนี้มาก่อนเลยทราบข้อเท็จจริงดี) มีน้อยมากจริงๆ ที่เกิดเหตุสุดวิสัยแล้ววันนั้นบังเอิญมาสายพอดี พวกบ้านไกล รถติด นี่ไม่ใช่เหตุผลที่ดีนะ รู้ว่าบ้านไกล รู้ว่ารถติดก็ออกให้เช้าขึ้นสิ ตื่นสายอีก ไม่ใช่ข้ออ้างที่ดีเลย "หนักหน่อยบางคนพ่อแม่ตื่นสาย ทำให้ตัวเองมาสาย พอครูเรียกพ่อแม่มาคุย ก็มาด่าครูอีก เอาเข้าไป แล้วอีกหน่อยลูกคุณจะเป็นอย่างไรเนี่ย เพราะต่อไปอ้างเหตุผลแบบนี้ที่ทำงานเขาก็ไม่รับฟังหรอกนะครับ ครูอาจจะควรถามเหตุผลเด็กบางคนที่ไม่เคยมีประวัติสายมาก่อนมากกว่า ถ้าดูแล้วจำเป็นจริงก็อาจจะอนุโลมให้สักครั้ง "ส่วนการลงโทษก็ไม่ได้รุนแรงอะไรนะ เพราะเอาจริงๆว่า เด็กแทบไม่ได้รู้สึกอะไรกับการลงโทษแบบนี้ (รู้สึกในที่นี้หมายถึง สำนึกต่อความผิดของตนเอง) แต่ที่รู้สึกคือ ห่วงสภาพตัวเองกลัวเข่าไม่เนียน ไม่สวย แล้วก็ด่าครูหยาบๆคายๆ ถึงขั้นสวนลุมมาเองก็มีที่ลงโทษตัวเอง แค่นั้นแหละ ความคิดเห็นจากผู้ใช้งานโซเชียลมีเดีย นามแฝง กลมลายส์ ตรงกันข้ามกับความคิดเห็นทางแฟนเพจชื่อดัง Drama-addict ตัดทอนข้อความบางส่วน ความว่า โรงเรียนแห่งหนึ่ง ซึ่งเป็นโรงเรียนหญิงล้วน ทำโทษนักเรียนที่มาสาย โดยให้คลานเข่าบนพื้นคอนกรีตหน้าโรงเรียน เด็กนักเรียนก็คลานเข่าทั้งๆ ที่ใส่กระโปรงจนเข่าเป็นแผลถลอกไปตามๆ กัน คนในกระทู้ก็เถียงกันรัวๆ มีคนเข้าข้างครู บอกว่าเด็กมันมาสาย ครูทำโทษแบบนี้ก็สมควรแล้ว สงสัยไอ้พวกนี้ไม่รู้จักคำว่า ลงโทษรุนแรงเกินกว่าที่ควร ถ้ามาโรงเรียนสายแล้วครูเอาปืนเป่ากบาลสมองไหลตายห่าคาที่ ไอ้พวกนี้มันจะยังเข้าข้างครูมั้ยวะ ถ้าจะลงโทษด้วยการคลานเข่าอะไรนี่ ก็ควรทำบนพื้นที่สะอาดหน่อย อย่าง พื้นหินขัด หินอ่อน ในอาคารเรียน การบังคับให้เด็กคลานเข่าบนพื้นคอนกรีตที่มีเศษหิน ดิน ทราย ขี้หมา ขี้แมว เต็มไปหมด จนเข่าเด็กเป็นแผลเนี่ย มันอาจทำให้เกิดแผลติดเชื้อและเป็นอันตรายได้ในภายหลัง เหตุการณ์ดังกล่าว เกิดขึ้นเมื่อวันที่ 12 ธ.ค. ที่ผ่านมา ตามข้อมูลจากฝั่งนักเรียนเปิดเผยว่า ทางโรเงเรียนมีการปรับเวลาเข้าแถว จาก 7.45 น. เป็นเวลา 7.30 น. ขณะที่ย่านอโศก สุขุมวิท เป็นที่ทราบกันดีว่ามีการจราจรติดขัด การเปลี่ยนเวลาเข้าแถวให้เร็วขึ้นจึงส่งผลให้นักเรียนนับร้อยรายมามาสาย และถูกการลงโทษด้วยวิธีการคลานเข่าดังที่ตกเป็นข่าว ในเวลาถัดมา ครูผู้ตกเป็นจำเลยของเหตุการณ์ในครั้งนี้ ซึ่งตำรงตำแหน่งเป็นอาจารย์ฝ่ายปกครองของโรงเรียนดังกล่าว เปิดใจผ่านสื่อมวลชนว่า การคลานเข่าในภาพเป็นการลงโทษนักเรียนที่มาโรงเรียนสายจริง และเป็นครั้งแรกที่ลงโทษด้วยวิธีการนี้ เพราะที่ผ่านมาใช้วิธีอื่นๆ ทั้งให้นักเรียนเขียนเรียงความหรือเก็บขยะก็ไม่ได้ผล ขณะที่นักเรียนก็มาสายเพิ่มขึ้นเรื่อยๆ จึงเปลี่ยนการลงโทษด้วยการเข้าแถวเรียงคลานเข่าเป็นระยะประมาณ 60 เมตร เท่านั้น ส่วนภาพรอยถลอกบริเวณหัวเขาของนักเรียน อาจารย์บอกว่าเพราะนักเรียนบางคนใส่กระโปร่งสั้น บางคนมีน้ำหนักตัวมาก เมื่อคลานเข่าจึงเกิดรอยช้ำอย่างที่เห็น ซึ่งได้เรียกนักเรียนที่มีแผลถลอกเข้ามาคุยเป็นที่เรียบร้อยแล้ว โดยนักเรียนยอมรับผิดว่าตัวเองตื่นสายทำให้มาโรงเรียนไม่ทัน ยอมรับผิดจะจดจำเหตุการณ์นี้ไว้เป็นบทเรียน เพื่อจะได้ไม่มาสายอีก อย่างไรก็ตาม ทางโรงเรียนต้องดูแลนักเรียนหลายพันคน การลงโทษกรณีนักเรียนก็เพื่อสร้างคนดีสู่สังคม
............... ข่าวโดย Astv ผู้จัดการ Live | | |
Create Date : 15 ธันวาคม 2557 |
| |
|
Last Update : 15 ธันวาคม 2557 8:48:25 น. |
| |
Counter : 1295 Pageviews. |
| |
|
|
|
ขึ้นค่า 'แท็กซี่' เพิ่มภาระประชาชน บริการเฮงซวย ที่รัฐแก้ไม่ตก!?
หลังการ 'ปรับราคาแท็กซี่มิเตอร์' ครั้งใหญ่ ตามติดด้วยกระแสวิจารณ์ของประชาชนจำนวนมาก เพราะดูจะขัดแย้งกับเรื่องการบริการที่ติดลบของแท็กซี่เมืองไทย รวมถึงข้ออ้างในการปฏิเสธผู้โดยสารต่างๆ นานา ทว่า การปรับราคาค่าโดยสารครั้งนี้ แก้ปัญหาได้ตรงจุดอย่างที่ภาครัฐตั้งเป้าไว้หรือไม่ หรือเป็นแนวทางเพิ่มค่าครองชีพประชาชนเพียงอย่างเดียว การปรับขึ้นราคาแท็กซี่ครั้งนี้ กรมการขนส่งทางบกรับลูกจากกระทรวงคมนาคมเป็นที่เรียบร้อย ออกประกาศในราชกิจจานุเบกษา เมื่อวันที่ 12 ธ.ค. ที่ผ่านมา โดยคาดหวังว่าการปรับราคาจะช่วยกระตุ้นการบริการที่ดีของแท็กซี่สู่ประชาชนมากยิ่งขึ้น ทั้งยังออกกฎกำราบแท็กซี่ที่ปฏิเสธผู้โดยสาร เพิ่มเจ้าหน้าที่ตรวจสอบพฤติกรรมคนขับ ฯลฯ เขตปลอด แท็กซี่ห่วยๆ ประเด็นเรื่องแท็กซี่ไทย(บางส่วน) ที่มอบประสบการณ์ยอดแย่แก่ประชาชน เป็นปัญหาที่คั่งค้างมาเนินนาน กลายเป็นหนึ่งในระบบโดยสารสาธารณะภายใต้การกำกับดูแลของภาครัฐที่มีคะแนนติดลบ ในที่สุดหน่วยงานที่ดูแลรับผิดชอบก็แสดงบทบาทต่อสังคม พยายามปรับเปลี่ยนคำติเป็นคำชมสร้างบริการแท็กซี่ที่ดีเพื่อประชาชน ด้าน จิรุตม์ วิศาลจิตร รองอธิบดีกรมการขนส่งทางบก ให้สัมภาษณ์ผ่านสื่อมวลชนความว่า หลังมีการอนุมัติขึ้นราคาค่าโดยสารของแท็กซี่ ทางกรมฯ จะเข้มงวดตรวจสอบแท็กซี่ที่ฝ่าฝืนกฎหมาย ทั้งนี้ จะนำมาตรการปรับเงิน พักใช้-เพิกถอนใบอนุญาตมาดำเนินการกับแท็กซี่ที่กระทำผิด แบ่งฐานความผิดออกเป็น 2 กลุ่ม คือ กลุ่มความผิดทั่วไป เช่น ไม่ใช้มิเตอร์คิดค่าโดยสาร, กิริยาวาจาไม่สุภาพ ปฏิเสธไม่รับผู้โดยสาร, ไม่ส่งยังปลายทางที่ตกลงกันไว้ ฯลฯ หากพบการกระทำผิด ครั้งที่ 1 ปรับไม่เกิน 1,000 บาท ครั้งที่ 2 ปรับ 1,000 บาท พักใช้ใบอนุญาตขับรถ 7 วัน และหากกระทำผิดข้อหาเดียวกันเป็น ครั้งที่ 3 ในช่วงระยะเวลา 1 เดือน จะถูกปรับ 1,000 บาท และเพิกถอนใบอนุญาตขับรถ สำหรับกลุ่มความผิดร้ายแรง ได้แก่ ผู้ขับรถยนต์สาธารณะเสพหรือเมาสุรา หรือเสพยาเสพติดให้โทษ เสพวัตถุที่ออกฤทธิ์ต่อจิตและประสาท รวมทั้งขับรถในขณะหย่อนความสามารถ หรือกระทำความผิดทางอาญา หากพบการกระทำผิดมีโทษตั้งแต่พักใช้จนถึงยกเลิกเพิกถอนใบอนุญาตทันที โดยอัตราค่าโดยสารแท็กซี่ใหม่ สาระสำคัญมีรายละเอียดดังนี้ ระยะทาง 1 กิโลเมตรแรก 35 บาท ระยะทางเกินกว่า 1 กิโลเมตรถึงกิโลเมตรที่ 10 กิโลเมตรละ 5.50 บาท ระยะทางเกินกว่า 10 กิโลเมตรถึงกิโลเมตรที่ 20 กิโลเมตรละ 6.50 บาท ระยะทางเกินกว่า 20 กิโลเมตรถึงกิโลเมตรที่ 40 กิโลเมตรละ 7.50 บาท ระยะทางเกินกว่า 40 กิโลเมตรถึงกิโลเมตรที่ 60 กิโลเมตรละ 8 บาทปฎิ ระยะทางเกินกว่า 60 กิโลเมตรถึงกิโลเมตรที่ 80 กิโลเมตรละ 9 บาท ระยะทางเกินกว่า 80 กิโลเมตรขึ้นไป กิโลเมตรละ 10.50 บาท กรณีรถไม่สามารถเคลื่อนที่หรือเดินรถต่อไปได้เกินกว่า 7 กิโลเมตรต่อชั่วโมง อัตรานาทีละ 2 บาท โดยมีผลบังคับใช้ตั้งแต่วันที่ 3 ธ.ค. เป็นต้นไป แต่ในทางปฏิบัติแท็กซี่ยังไม่สามารถปรับขึ้นมิเตอรได้ทันที เพราะต้องผ่านกระบวนการตรวจสอบจากทางกรมการขนทางบกก่อน นั่นเท่ากับว่าอัตราใหม่จะยืดเวลาเริ่มใช้ได้จริงในช่วงเดือนมกราคมปีหน้า อย่างไรก็ตามหากประชาชนพบเห็นแท็กซี่คันไหนทำผิด สามารถร้องเรียนได้ที่เบอร์ 1584 แค่ราคาคุย หรือเปล่า? พิจารณาในเชิงปฏิบัติ การขึ้นราคาค่าโดยสารรถแท็กซี่รวมทั้งนำกฎระเบียบมาควบคุมดูแลแท็กซี่เพื่อไม่ให้ปฏิเสธเส้นทางผู้โดยสาร รศ.ดร.ธวัชชัย เหล่าศิริหงษ์ทอง ผู้อำนวยการศูนย์วิจัยและพัฒนาการจราจรและขนส่ง มหาวิทยาลัยเทคโนโลยีพระจอไมได้มเกล้าธนบุรี มองว่าหนึ่งในแนวทางแก้ไขโดยใช้อำนาจรัฐกำกับดูแล แต่ไม่ใช่การแก้ปัญหาที่ยั้งยืน ในทางปฏิบัติ ผมว่าแก้ปัญหาได้ส่วนหนึ่งแต่ไม่ใช่ทั้งหมด เพราะผมคิดว่าสาเหตุที่คนขับรถแท็กซี่ปฏิเสธผู้โดยสารไม่ใช่เรื่องต้นทุนอย่างเดียว ขยายภาพให้เห็นกันชัดๆ นะครับ อย่างเช่น มีแท็กซี่จำนวนมากไปจอดตามแหล่งท่องเที่ยวเจอคนไทยไม่รับ จะรับแต่ฝรั่ง มันสะท้อนว่าพวกเขาไม่ได้คิดค่าโดยสารตามมิเตอร์ หรือเหตุผลของแท็กซี่ที่ไม่ถูกใจประชาชน หนึ่งในนั้นคือการปฏิเสธผู้โดยสาร การปรับอัตราค่าแท็กซี่ก็จะช่วยได้บางส่วนมันไม่ช่วยได้ทั้งหมด สมมุติเราเป็นไข้หวัดสายพันธุ์ใหม่ การกินยามันไม่ได้ช่วยให้หายเลย เช่นเดียวกัน เรื่องนี้ยังต้องมีการปฏิรูปอีกหลายขั้นตอนไปสู่จุดสมดุลตัวใหม่ ทีมข่าวฯ สอบถามในประเด็นที่กรมการขนส่งฯ จะเพิ่มกำลังสายตรวจคอยสอดส่องการให้บริการประชาชนหลังมีการมีการปรับราคาค่าโดยสารในส่วนนี้จะเป็นเครื่องมือคอยกำกับดูแลแท็กซี่ได้มากน้อยเพียงใด รศ.ดร.ธวัชชัย วิเคราะห์ว่า สามารถช่วยได้เพียงส่วนหนึ่งในพื้นที่ที่สายตรวจเข้าถึงเพียงเท่านั้น ซึ่งเป็นเรื่องง่ายมากเมื่ออยู่ในพื้นที่ลับตาสายตรวจแท็กซี่บางส่วนก็จะมีพฤติกรรมแบบเดิม มันไม่ได้ตอบโจทย์ประเทศไทย ว่าเรามีแท็กซี่เพื่ออะไร เรามีแท็กซี่เพื่อทำให้คนสามารถทำให้คนสามารถเดินทางโดยไม่ใช้รถส่วนตัว เพราะฉะนั้นหากเรากลับไปย้อนดูหลักการพื้นฐานมันก็หมายความว่า เราสร้างกฎกติกามาเพื่อควบคุมแท็กซี่ทำให้การที่ประชาชนพึงพอใจ แต่ว่าสิ่งที่เกิดขึ้นในปัจจุบันประชาชนไม่ได้รู้สึกว่าแท็กซี่คือทางเลือกในการเดินทางที่เหมาะสม รศ.ดร.ธวัชชัย สะท้อนถึงการแก้ปัญหาเรื่องแท็กซี่ในส่วนของการปรับเพิ่มราคาเพื่อหวังเพิ่มคุณภาพ และการนำกฎหมายเข้ามากำกับดูแล อย่างไรก็ตาม การปรับขึ้นราคาค่าโดยสารประชาชนเป็นฝ่ายเสียประโยชน์อย่างเลี่ยงไม่ได้ กล่าวคือผู้โดยสารอาจจะมีบางส่วนอาจต่อต้านในลักษณะของไม่ใช่บริการแท็กซี่ก็ได้ แต่เป็นเพียงระยะสั้นเท่านั้น สักพักประชาชนจำยอมเกิดการยอมรับในการปรับขึ้นราคาแท็กซี่ครั้งนี้ ยกตัวอย่างเช่น ดอนเมืองโทลล์เวย์ขึ้นค่าทางด่วนจาก 60 บาท เป็น 100 บาท ประชาชนเกิดการต่อต้านไม่ใช้ทางด่วนไป 1 เดือน แต่ด้วยความลำบากจึงจำเป็นต้องกลับมาใช้ มันไม่ได้เป็นการแก้ปัญหาที่ดี แต่ด้วยอำนาจรัฐที่เป็นอยู่ เขาทำให้มันเกิดขึ้นแบบนี้ได้ แต่ผมว่ามันผิดยุคผิดสมัย สมัยนี้ประเทศไทยกำลังอยู่ในขั้นตอนของการปฏิรูป การเปลี่ยนแปลง ซึ่งไม่ใช่แบบนี้ประชาชนมองไปที่รถเมล์ก็ไม่ไหวไม่ชอบ มองไปที่รถตู้ก็ไม่ไหวไม่ชอบ อย่างนี้มันไม่ใช่ไม่เป็นสภาวะสมดุล กลายๆ ว่าเหล่านี้เป็นการแก้ปัญหาที่ปลายเหตุ แท็กซี่(ไม่)สมควรโดนด่า สาเหตุที่คนไทยต่างมีประสบการณ์แย่ๆ ในการใช้บริการแท็กซี่มิเตอร์ รู้สึกขุ่นข้องหมองใจไม่พอใจในการใช้โดยสารสาธารณะดังกล่าว รศ.ดร.ธวัชชัย อธิบาย หากพิจารณาแล้วไม่ใช่ความผิดของผู้ให้บริการแท็กซี่เสียทั้งหมด เพราะนั่นเป็นผลพวงจากความล้มเหลวของการจัดการระบบโดยสารสาธารณะ โดยมีกรมการขนส่งทางบกเป็นหน่วยงานที่ดูแลรับผิดชอบโดยตรง หากระบบโดยสารสาธารณะประเภทต่างๆ ในประเทศไทย เช่น รถประจำทาง, รถไฟฟ้า ฯลฯ มีเสถียรภาพในแง่การบริการ สามารถอำนวยความสะดวกในการเดินทางได้ ประชาชนจะเป็นผู้เลือกใช้บริการโดยแทบไม่ต้องพึ่งพาบริการแท็กซี่มิเตอร์ก็เป็นได้ ทว่า ในสังคมปัจจุบันมิได้เป็นเช่นนั้น ระบบโดยสารสาธารณะต่างๆ ยังไม่เอื้อประโยชน์แกประชาชน รศ.ดร.ธวัชชัย กล่าวถึงแนวทางจัดระเบียบแท็กซี่เมืองไทย โดยต้องปฏิรูประบบโดยสารสาธารณะทั้งระบบ ซึ่งการที่หน่วยงานรัฐฯ ออกกฎระเบียบมาบังคับใช้ให้แท็กซี่อยู่ในกรอบเป็นเพียงแนวทางแก้ปัญหาที่ปลายเหตุ อาจจะได้ผลในระยะสั้นๆ แต่ในระยะยาวนั้นหน่วยงานที่เกี่ยวข้องต้องเร่งพิจารณากันใหม่ ไม่ใช่เพียงทำตามหน้าที่ให้จบๆ ไป แต่ต้องคิดการณ์ใหญ่ ปฎิรูประบบโดยสารสาธารณาเดินหน้าประเทศไทยตามแนวทางของรัฐบาลชุดปัจจุบัน ภาพรวมเราต้องมองว่าแท็กซี่เป็นส่วนหนึ่งของระบบขนส่งสาธารณะ รัฐบาลควรพยายามพัฒนารถโดยสารประจำทางเพื่อเป็นทางเลือกหลักของประชาชน เหมือนเป็นการการันตีว่าประชาชนสามารถเดินทางไปตรงไหนก็ได้ด้วยรถโดยสารประจำทาง เท่ากับว่า การเอื้ออำนวยความสะดวกในระบบโดยสารสาธารณะ ถือเป็นแนวทางปฏิรูปที่ภาครัฐต้องทบทวบและเร่งปฏิบัติ ซึ่งเป็นหน้าที่ของกรมการขนส่งฯ ที่ต้องกลับไปพิจารณาตัวเองในเรื่องการจัดการระบบโดยสารสาธารณะ วางแผนเพื่อยกระดับการเดินทางเพื่อตอบสนองต่อประชาชน
....................... ข่าวโดย Astv ผู้จัดการ Live |
Create Date : 15 ธันวาคม 2557 |
| |
|
Last Update : 15 ธันวาคม 2557 8:42:46 น. |
| |
Counter : 1470 Pageviews. |
| |
|
|
|
| |