เลขเด็ด เลขดัง กาน้อย

ติดตามข้อมูลเว็บทาง Google+ กด
FaceBook สาว ๆ เซ็กซี่

จีนเอาเรื่องหนัก! ผู้โดยสารฯ สาดน้ำร้อนพนักงานต้อนรับบนเครื่องบินไทย

จีนเอาเรื่องหนัก! ผู้โดยสารฯ สาดน้ำร้อนพนักงานต้อนรับบนเครื่องบินไทย
ชายหนุ่มจีน (ซ้าย) นักท่องเที่ยวจีนที่เป็นผู้ต้องหาทำร้ายร่างกายพนักงานต้อนรับบนเครื่องบินแอร์เอเชีย (ขวา) (ภาพเซาท์ไชน่า มอร์นิงโพสต์)
เอเจนซี - สื่อจีนรายงาน (14 ธ.ค.) ว่าทางการจีนให้คำมั่นดำเนินคดีและลงโทษสถานหนัก ผู้โดยสารจีนที่สาดน้ำร้อนใส่พนักงานต้อนรับบนเครื่องบิน และก่อความวุ่นวายจนเป็นเหตุให้เครื่องบินเที่ยวบิน FD9101 สายการบินแอร์เอเชีย ระหว่างกรุงเทพฯไปยังนครหนันจิง (หรือนานกิง) ต้องนำเครื่องกลับมายังกรุงเทพฯ แม้ในขณะนั้น เครื่องบินบินไปได้ครึ่งทางระหว่างกรุงเทพฯ-หนันจิงแล้ว

       สำนักงานการท่องเที่ยวจีน แถลงเมื่อวันเสาร์ที่ 13 ธ.ค. ว่า นักท่องเที่ยวจีนที่ก่อเหตุวุ่นวายขัดขวางการบินและทำร้ายร่างกายผู้อื่น เป็นการกระทำที่เลวร้ายและทำลายภาพลักษณ์ประชาชนจีน สมควรรับโทษสถานหนัก

       นอกจากนั้น สำนักงานการท่องเที่ยวฯ ยังจะลงโทษบริษัททัวร์ที่พานักท่องเที่ยวจีนไป แต่ไม่สามารถควบคุมพฤติกรรมของลูกทัวร์ได้ด้วย

       ทั้งนี้ คำแถลงของสำนักงานฯ เป็นหนึ่งในความพยายามแก้ปัญหานักท่องเที่ยวจีน หลังจากเกิดเหตุการณ์อันนำความเสื่อมเสียมาให้ชาติหลายต่อหลายครั้งจากพฤติกรรมของเหล่านักท่องเที่ยวจีน ซึ่งแม้แต่ประธานาธิบดีจีน สี จิ้นผิง เมื่อครั้งที่เดินทางไปยังมัลดีฟ ยังได้ออกมากล่าวเตือนนักท่องเที่ยวจีนให้ดูแลกิริยามารยาทอีกทั้งกำชับทิ้งขยะเป็นที่เป็นทาง ขณะที่เหตุการณ์ครั้งนี้มีข้อความเล่าเหตุการณ์ของชาวเน็ตคนหนึ่ง ที่ดูเหมือนเป็นผู้โดยสารบนเที่ยวบินเจ้ากรรมดังกล่าว ซึ่งเล่ารายละเอียดว่า

       “…ชายหญิงชาวหนันจิง วัยกว่า 20 ปี ดูเหมือนเป็นผัวเมียกัน ความวุ่นวายเริ่มขึ้นเมื่อ...ทั้งคู่ไม่ได้ที่นั่งติดกัน ก็ตระโกนเรียกแอร์โฮสเตสมาจัดการเปลี่ยนที่นั่งให้เรียบร้อยแล้ว แต่ดูเหมือนยังไม่พอใจ

       เมื่อแอร์โฮสเตสเสริฟอาหารเย็น บนเที่ยวบินมีบริการอาหารตามสั่ง ซึ่งผู้โดยสารต้องจ่ายเงินเพิ่ม ในเมนูอาหารตามสั่ง มีบะหมี่สำเร็จรูปราคา 100 บาท ผู้โดยสารหญิงที่มีปัญหาที่นั่งคนดังกล่าวต้องการกินบะหมี่สำเร็จรูป ก็ควักบะหมี่สำเร็จรูปของตัวเองออกมา บอกให้แอร์โฮสเตสเอาน้ำร้อนมาให้ และเกิดอะไรขึ้นไม่รู้...หญิงจีนถือบะหมี่ที่ใส่น้ำร้อนต้มแล้ว ไปสาดใส่แอร์โฮสเตสชาวไทย

       จากนั้น ฝ่ายชายก็ตะโกนว่าจะระเบิดเครื่องบิน ผู้โดยสารหลายคนเข้าไปห้ามปราม เมื่อฝ่ายชายสงบสติอารมณ์ลง ฝ่ายหญิงก็ตะโกนว่าจะกระโดดเครื่องบิน ผู้คนเข้าไปห้ามปรามแต่ก็เอาไม่อยู่ นักบินจึงนำเครื่องกลับกรุงเทพฯ

       เมื่อฝ่ายหญิงลงจากเครื่องบิน ก็นอนกับพื้น แต่ตำรวจก็มานำตัวเธอไป..”




 

Create Date : 14 ธันวาคม 2557   
Last Update : 14 ธันวาคม 2557 20:18:02 น.   
Counter : 1928 Pageviews.  

"น.ส.ศรีรัศมิ์ สุวะดี" กลับบ้านเกิด ปฏิบัติธรรม ใช้ชีวิตเรียบง่าย

น.ส.ศรีรัศมิ์ สุวะดี กลับบ้านเกิด ปฏิบัติธรรม ใช้ชีวิตเรียบง่าย
หลังจากที่พระเจ้าวรวงศ์เธอ พระองค์เจ้าศรีรัศมิ์ พระวรชายาในสมเด็จพระบรมโอรสาธิราช เจ้าฟ้ามหาวชิราลงกรณฯ สยามมกุฎราชกุมาร ได้ขอพระราชทานกราบบังคมทูลลาออกจากฐานันดรศักดิ์ ตามประกาศราชกิจจานุเบกษา ณ วันที่ 11 ธันวาคม พุทธศักราช 2557 เผยแพร่ประกาศเล่ม 131 ตอนที่ 29 ตามความว่า พระบาทสมเด็จพระปรมินทรมหาภูมิพลอดุลยเดช มหิตลาธิเบศรรามาธิบดี จักรีนฤบดินทรสยามินทราธิราชบรมนาถบพิตร มีพระบรมราชโองการโปรดเกล้าโปรดกระหม่อมให้ประกาศว่า พระเจ้าวรวงศ์เธอ พระองค์เจ้าศรีรัศมิ์พระวรชายา ในสมเด็จพระบรมโอรสาธิราช เจ้าฟ้ามหาวชิราลงกรณ สยามมกุฎราชกุมารได้นำความขึ้นกราบบังคมทูลสมเด็จพระบรมโอรสาธิราช เจ้าฟ้ามหาวชิราลงกรณ์ สยามมกุฎราชกุมาร เป็นลายลักษณ์อักษรว่า ขอพระราชทานกราบบังคมทูลลาออกจากฐานันดรศักดิ์แห่งพระราชวงศ์ ความทราบฝ่าละอองธุลีพระบาทแล้ว พระราชทานพระบรมราชานุญาต

ผู้สื่อข่าวรายงานว่าพระเจ้าวรวงศ์เธอ พระองค์เจ้าศรีรัศมิ์ฯ ทรงหย่าจากสมเด็จพระบรมโอรสาธิราชฯ สยามมกุฎราชกุมาร เมื่อวันที่ 10 ธันวาคม 2557 โดยมีองคมนตรีเป็นพยานในการหย่าครั้งนี้ โดยหม่อมกราบพระบาทแล้วขอทูลลา และไม่ขอรับใดๆ ทั้งสิ้น ขออย่างเดียวถวาย "พระองค์ที" แก่สมเด็จพระบรมโอรสาธิราชฯ ซึ่งแสดงถึงความคงไว้ซึ่งพระเกียรติยศในความเป็น "พระเจ้าหลานเธอ พระองค์เจ้าทีปังกรรัศมีโชติ"

นอกจากนี้สมเด็จพระบรมโอรสาธิราชฯ ทรงมีพระเมตตาต่อหม่อมโดยพระราชทานเงินจำนวนหนึง และหลังจากนี้ไปอดีตพระวรชายาฯจะกลับไปใช้ชีวิตอย่างเรียบง่ายที่บ้านเกิด โดยศึกษาธรรมและปฎิบัติธรรม ส่วนพระองค์ทีได้ตามเสด็จฯสมเด็จพระบรมโอรสาธิราชฯ ไปศึกษาต่อยังต่างประเทศ และในช่วงข่าวพระราชสำนักจะงดขึ้นภาพของหม่อมโดยถือว่าปัจจุบันหม่อมได้สละความเป็นพระราชวงศ์เป็นการเรียบร้อยแล้ว




 

Create Date : 14 ธันวาคม 2557   
Last Update : 14 ธันวาคม 2557 20:17:37 น.   
Counter : 3830 Pageviews.  

ขุดรากถอนโคน จับ “สุดาทิพย์ ม่วงนวล” ปิดฉาก “อัครพงศ์ปรีชา”

ASTV ผู้จัดการสุดสัปดาห์ -ถ้าจะกล่าวว่า “อัครพงศ์ปรีชา” ใกล้จะถึงกาลอวสานเต็มทีแล้ว ก็คงจะไม่เกินเลยไปจากความเป็นจริงเท่าใดนัก โดยเฉพาะอย่างยิ่งเมื่อมีการจับกุม “นางสุดาทิพย์ ม่วงนวล” ภรรยาของ พ.ต.อ.โกวิท ม่วงนวล อดีต ผกก.ตม.สมุทรสาคร ก็ยิ่งแสดงให้เห็นชัดเจนว่า ตอนจบใกล้เข้ามาทุกที

       ความสำคัญของเรื่องนี้อยู่ตรงที่ นางสุดาทิพย์คือพี่สาวคนโตของพี่น้องอดีตอัครพงศ์ปรีชา และมีศักดิ์เป็นหลานสาวของ พล.ต.ท.พงศ์พัฒน์ ฉายาพันธุ์

       นางสุดาทิพย์คืออดีตอัครพงศ์ปรีชาคนล่าสุดที่ถูกจับกุมด้วยข้อหาแอบอ้างเบื้องสูง มีความผิดตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 112 หลังก่อนหน้านี้มี 3 อดีตอัครพงศ์ปรีชาถูกจับและถูกตั้งข้อหาเดียวกันไปแล้ว 3 คนคือ นายณัฐพล สุวะดี นายณรงค์ สุวะดีและนายสิทธิศักดิ์ สุวะดี

       ความสำคัญของเรื่องนี้อยู่ตรงที่การจับกุมครั้งนี้มีการตั้งข้อหาที่ชัดเจนยิ่งว่า นางสุดาทิพย์มีพฤติกรรมแอบอ้างเบื้องสูงโดยเกี่ยวข้องกับการทุจริตในการจัดซื้อเครื่องเสวยของ “วังอัมพร” และ “วังศุโขทัย” พร้อมทั้งลากโยงให้เห็นเครือข่ายธุรกิจที่อดีตพี่น้องอัครพงศ์ปรีชาทำมาหากินโดยแอบอ้างเบื้องสูงที่สยายปีกในหลายวงการ

       ทั้งธุรกิจรีสอร์ทที่อำเภอสวนผึ้งจังหวัดราชบุรี และกิจการกาแฟที่สนามบินสุวรรณภูมิ

       มิใช่แค่การเรียกรับส่วยน้ำมันเถื่อน การรับเงินโยกย้ายตำรวจ การรับจ้าง เคลียร์หนี้ การเปิดบ่อนย่านถนนพระราม 9 เท่านั้น

       หากยังจำกันได้ ก่อนหน้านี้ในขณะที่มีการจับกุม พล.ต.ท.พงศ์พัฒน์ ฉายาพันธุ์ อดีตผู้บัญชาการตำรวจสอบสวนกลางในข้อหาแอบอ้างเบื้องสูงนั้น นางสุดาทิพย์ผู้เป็นพี่สาวคนโตของอดีตอัครพงศ์ปรีชาก็ถูกจับกุมและดำเนินคดีเช่นกัน

       โดยนางสุดาทิพย์พร้อมกับ พ.ต.อ.โกวิท ม่วงนวล ผู้เป็นสามี ถูกจับเมื่อวันที่ 22 พฤศจิกายน 2557 ในข้อหาร่วมกันบุกรุก ก่อสร้าง แผ้วถาง หรือเผาป่าหรือทำด้วยประการใดๆ อันเป็นการทำลายป่าหรือเข้ายึดครอบครองที่ดินของรัฐเพื่อตนเองหรือผู้อื่นโดยไม่ได้รับอนุญาต และร่วมกันปลุกสร้างอาคารฝายล่วงล้ำในแม่น้ำ ลำคลอง บึง อ่างเก็บน้ำ หรือทะเลสาบที่ประชาชนใช้ร่วมกันโดยไม่ได้รับอนุญาตตาม พ.ร.บ.ป่าไม้ มาตรา 55,72 ตรี และพ.ร.บ.การเดินเรือในน่านน้ำไทย พ.ศ.2546 ม.117 ก่อนได้รับการปล่อยตัวประกันออกไป

       จากวันที่ 22 พฤศจิกายน 2557 ชื่อของนางสุดาทิพย์ก็เงียบหายไป กระทั่งวันที่ 10 ธันวาคม 2557 ชื่อของนางสุดาทิพย์ก็ปรากฏขึ้นมาอีกครั้งเมื่อเจ้าหน้าที่ตำรวจได้นำกำลังไปควบคุมตัวตามหมายจับศาลอาญาที่ 2238/2557 ลงวันที่ 10 ธันวาคม 2557 ในข้อหา ม.1112 ร่วมกันหมิ่นประมาท ดูหมื่นพระมหากษัตริย์ พระราชินี รัชทายาทหรือผู้สำเร็จราชการแทนพระองค์

       ทั้งนี้ ที่มาของการจับกุมดังกล่าวมีต้นสายปลายเหตุมาจากการที่มีผู้เสียหายไปแจ้งความพนักงานสอบสวน สน.สามเสนให้ดำเนินคดีนางสุดาทิพย์และพวกเมื่อวันที่ 9 ธันวาคม 2557 เพราะพฤติกรรมผู้ต้องหาและพวกแอบอ้างเบื้องสูง ส่งผลทำให้ได้งานประมูลกิจการธุรกิจเกี่ยวกับเครื่องเสวยครัวข้าราชบริพาร ขายน้ำพริกประเภทต่างๆ ผักสดและผักต้ม ส่งพระที่นั่งอัมพรสถาน และวังศุโขทัย ในนามคณะบุคคล ปณสุและคณะบุคคลน้ำทิพย์ ซึ่งตั้งอยู่เลขที่ 2/3 หมู่ 9 ถนนทวีวัฒนา เขตทวีวัฒน กทม.สร้างรายได้รวมกันนับล้านบาทต่อเดือน

ที่ต้องขีดเส้นใต้เอาไว้สอ.เส้นก็คือคำว่า พระที่นั่งอัมพรสถานและวังศุโขทัย

       จากการตรวจสอบข้อมูลตามแผนผังที่เจ้าหน้าที่ตำรวจนำมาจัดแสดงทำให้ได้รายละเอียดเพิ่มเติมเกี่ยวกับคณะบุคคล ปณสุ และคณะบุคคลน้ำทิพย์ว่า คณะบุคคลปณสุทำธุรกิจเกี่ยวกับการขายผักสดและผักต้มให้กับวังอัมพรและวังศุโขทัย มีรายได้ 3-4 แสนบาทต่อเดือน โดยมีนางสุดาทิพย์ ม่วงนวลและนางสาวปาลิดา หลักเฉลิมพร เป็นผู้ดำเนินการ ขณะที่คณะบุคคล น้ำทิพย์ ทำ ธุรกิจขายน้ำพริกประเภทต่างๆ ให้กับวังอัมพรและวังศุโขทัย มีรายได้ 6-7 แสนบาทต่อเดือน ปรากฏชื่อนางสุดาทิพย์ ม่วงนวลและนางสาวปาลิดา หลักเฉลิมพรเป็นผู้ดำเนินการเช่นกัน

       เห็นข้อมูลอย่างนี้แล้ว คงต้องกล่าวว่า แม้แต่การซื้อขายผักและน้ำพริกก็ไม่เว้นกันเลยทีเดียว


       พฤติกรรมแอบอ้างเบื้องสูงของนางสุดาทิพย์ชัดเจนขึ้นไปอีกเมื่อพนักงานสอบสวน สน.สามเสน ได้ควบคุมตัวนางสุดาทิพย์มายื่นคำร้องฝากขังต่อศาลครั้งแรกเมื่อวันที่ 11 ธันวาคม 2557 ที่ผ่านมา โดยคำร้องระบุว่า

       “เมื่อระหว่างปี พ.ศ. 2545 - 23 พ.ย. 2557 ต่อเนื่องกัน กองกิจการในพระองค์ฯ ได้จัดซื้ออาหาร โดยมีนางสุดาทิพย์ ผู้ต้องหานี้จัดหาอาหารน้ำพริกพร้อมเครื่องเคียง เช่น ผักสด ผักลวก ต่างๆ นำส่งกองกิจการในพระองค์ฯ กระทำติดต่อกันเรื่อยมา หากมีร้านค้าอื่นๆ ประสงค์ที่จะเข้ามาประมูลราคา ผู้ต้องหาก็จะพูดแอบอ้างเพื่อจะเป็นผู้จัดหาอาหาร จำพวกน้ำพริกนำส่งกองกิจการในพระองค์ฯ แต่เพียงรายเดียว การกระทำดังกล่าวไม่เป็นไปตามระเบียบปฏิบัติที่ถูกต้อง คือจะต้องเปิดการประมูล เพื่อให้มีการแข่งขันทางการค้าตามระเบียบทางราชการทั่วไป และเป็นลักษณะแอบอ้างเบื้องสูง หมิ่นสถาบันทำให้เสื่อมเสียพระเกียรติยศ เป็นการหมิ่นประมาท ดูหมิ่น หรือแสดงความอาฆาตมาดร้ายพระมหากษัตริย์ พระราชินี รัชทายาท หรือผู้สำเร็จราชการแทนพระองค์ กองกิจการในพระองค์ฯ จึงได้มอบอำนาจให้ พล.อ.ต.วีระพันธ์ ภูวจินดา ร้องทุกข์ต่อพนักงานสอบสวน สน.สามเสน ให้ดำเนินคดีต่อ น.ส.สุดาทิพย์ ม่วงนวล ผู้ต้องหากับพวก ต่อมาวันที่ 10 ธ.ค. 2557 พนักงานสอบสวน สน.สามเสน ได้ควบคุมตัวผู้ต้องหานี้ตามหมายจับศาลอาญา ที่ 2238/2557 ลงวันที่ 10 ธ.ค. 2557 ซึ่งผู้ต้องหารับว่าเป็นบุคคลเดียวกันตามหมายจับจริง

       “พนักงานสอบสวนจึงแจ้งข้อหาร่วมกันหมิ่นประมาท ดูหมิ่น หรือแสดงความอาฆาตมาดร้ายพระมหากษัตริย์ พระราชินี รัชทายาท หรือผู้สำเร็จราชการแทนพระองค์ เหตุเกิดที่แขวงดุสิต เขตดุสิต กทม. มีอัตราโทษจำคุกตั้งแต่ 3-15 ปี ชั้นสอบสวนผู้ต้องหาให้การรับสารภาพ”

       นอกจากนั้นยังมีรายงานด้วยว่า เครือข่ายธุรกิจของนางสุดาทิพย์ยังมีรายได้จาก “สวนผึ้งรีสอร์ท จ.ราชบุรี” มูลค่า 1-2 ล้านบาทต่อเดือน อีกทั้งยังร่วมลงทุนกับญาติพี่น้องอดีตอัครพงศ์ปรีชา ซึ่งปัจจุบันเปลี่ยนมาเป็นสุวะดี เกิดอำแพงและสามี ในนามบริษัท ศิรินทิพย์ 2007(อัครพงศ์ปรีชา) เปิดร้านกาแฟ “คาเฟ่ เดอ สุวรรณภูมิ” อยู่บนชั้น 4 อาคารผู้โดยสารขาออกระหว่างประเทศ ท่าอากาศยานนานาชาติสุวรรณภูมิ ทำรายได้ 2-3 ล้านบาทต่อเดือน

       ทั้งนี้ บริษัท ศิรินทิพย์ 2007(อัครพงศ์ปรีชา) ปรากฏรายชื่อผู้เกี่ยวข้องดังต่อไปนี้

1.นางสุดาทิพย์ ม่วงนวล

2.นายณรงค์ สุวะดี

3.นางปนิดา สุวะดี

4.นางวันทนีย์ สุวะดี

5.นายอภิรุจ สุวะดี

6.พ.ต.อ.โกวิท ม่วงนวล

และ 7.นางสาวขวัญตา เกิดอำแพง

ที่ต้องขีดเส้นใต้เอาไว้เช่นกันก็คือชื่อของนายอภิรุจและนางวันทนีย์ สุวะดี เนื่องเพราะทั้งสองคนคือพ่อและแม่ของนางสุดาทิพย์ ม่วงนวล และอดีตอัครพงศ์ปรีชาที่ถูกจับกุมไปก่อนหน้านี้คือ นายณัฐพล สุวะดี นายณรงค์ สุวะดีและนายสิทธิศักดิ์ สุวะดี

       สำนักข่าวอิศราได้ตรวจสอบงบการเงินบริษัท ศิรินทิพย์ 2007 จำกัด โดยละเอียดพบว่า นับตั้งแต่ก่อตั้งปี 2549 จนถึงปี 2556 มีรายได้รวม 112,017,881.75 บาท ขาดทุนสุทธิ 2 ปี (2549-2550) หลังจากนั้นมีกำไรต่อเนื่องตั้งแต่ปี 2551-2556 กำไรสะสม 184,819.30 บาท จำแนกเป็น ปี 2556 มีรายได้ 27,272,433 บาท กำไรสุทธิ 565,455 บาท ปี 2555 รายได้ 26,058,858 บาท กำไรสุทธิ 360,919 บาท ปี 2554 รายได้ 15,444,186.92 บาท กำไรสุทธิ 96,546.25 บาท ปี 2553 รายได้ 13,028,157.70 บาท กำไรสุทธิ 314,059.59 บาท
       ปี 2552 รายได้ 7,267,700.12 บาท กำไรสุทธิ 667,756.51 บาท ปี 2551 รายได้ 8,896,433.89 บาท กำไรสุทธิ 619,228.04 บาท

       อย่างไรก็ตาม ขณะนี้เจ้าหน้าที่ตำรวจกำลังรวบรวมข้อมูลหาความเชื่อมโยงว่า สวนผึ้งรีสอร์ทและคอเฟ่ เดอ สุวรรณภูมิมีการแอบอ้างเบื้องสูงไปทำธุรกิจหาผลประโยชน์หรือไม่

       ทว่า ยังไม่ทันที่จะได้มีการตรวจสอบข้อมูลลึกลงไปในรายละเอียดก็ปรากฏข่าวที่ชัดเจนแล้วว่า สวนผึ้งรีสอร์ทของนางสุดาทิพย์ได้ประกาศขายกิจการเป็นที่เรียบร้อยแล้ว

       11 ธันวาคม 2557 สำนักข่าวอิศราได้รายงานว่า นายสถาพร พงศ์พิพัฒน์วัฒนา นักข่าวสถานีโทรทัศน์ไทยพีบีเอส ได้โพสต์ภาพถ่ายสวนผึ้งรีสอร์ท หมู่ 2 ต.สวนผึ้ง อ. สวนผึ้ง จ. ราชบุรี หนึ่งในธุรกิจของ พ ต.อ.โกวิท ม่วงนวล พร้อมภรรยา นางสุดาทิพย์ ม่วงนวล(นามสกุลเดิมอัครพงศ์ปรีชา) ผ่านเฟซบุ๊กของตัวเองที่ใช้ชื่อว่า "Sataporn Pongpipatwattana" โดยระบุข้อความประกอบว่า รื้อเอง !! "สวนผึ้ง รีสอร์ท".... ปิดฉากมนุษย์หินฟลิ้นสโตนส์ รีสอร์ทใหญ่ที่สุด โด่งดังที่สุด แห่งสวนผึ้งเหลือไว้แค่ "อดีต"

       พร้อมโพสต์ข้อความแสดงความเห็นเพิ่มเติมว่า

       "ปิดตัวเอง...ทุบรีสอร์ทตัวเอง..."

       "เจ้าของ คงไม่อยากทำต่อแล้วครับ"

       "ในภาพ..กลายเป็นของกลางครับ"

       สำหรับสวนผึ้งรีสอร์ทนั้น นางสุดาทิพย์และครอบครัวเช่าพื้นที่จากกรมธนารักษ์ทั้งหมด 8 แปลง จำนวนกว่า 200 ไร่ ตามหมายเลขที่ รบ.553 จากการตรวจสอบพบว่าแปลงที่ 1-7 เป็นการดำเนินการเช่าพื้นที่อย่างถูกต้อง แต่แปลงที่เป็นปัญหาคือแปลงที่ 8 ที่มีเนื้อที่ราว 128 ไร่ 200 งาน เนื่องจากบางส่วนอยู่ในภูเขาเขตลุ่มน้ำชั้น 2 ซึ่งมีความลาดชันมากกว่า 35% และตามกฎหมายไม่สามารถอนุญาตให้เช่าพื้นที่ดังกล่าวได้

       จากการตรวจสอบข้อมูลพบว่า บริเวณสวนผึ้งรีสอร์ทที่มีการถูกรื้อทิ้ง เป็นพื้นที่ส่วนเกินประมาณ 10 ไร่ ที่ถูกร้องเรียนว่ามีการบุกรุก อย่างไรก็ตาม เนื่องจากพื้นที่บริเวณนี้ยังถือเป็นพื้นที่ของกลางที่อยู่ระหว่างดำเนินคดีอยู่ ทางทหารจึงได้มีการส่งกำลังเข้าไปเฝ้าไว้ เพื่อไม่ให้มีการทุบทิ้งทำลายของกลางในคดี

       ทั้งนี้ แม้สวนผึ้งรีสอร์ทจะประกาศขายกิจการ แต่ถามว่า ใครจะมาซื้อ

       นอกจากประเด็นเรื่องกิจการของอดีตอัครพงศ์ปรีชาแล้ว เมื่อวันที่ 10ธันวาคม 2557 ก็ได้เกิดเหตุการณ์ที่น่าสนใจซึ่งเกี่ยวข้องกับอดีตอัครพงศ์ปรีชาอีก 1 เหตุการณ์ และถือเป็นเหตุการณ์ที่สำคัญไม่แพ้กัน

       10 ธันวาคม 2557 มีรายงานว่า สำนักงานนายตำรวจราชสำนักประจำ(สนง.นรป.) ประจำพระองค์สมเด็จพระบรมโอราสาธิราชฯ สยามมกุฎราชกุมาร มีเอกสารโทรสารราชการ สนง.นรป.พระที่นั่งอัมพรสถาน ชั้นความลับมากถึงศูนย์วิทยุปทุมวันถึงผู้ปฏิบัติ ผบช.น.,ผบช.ภ.7,ผบช.ก.,ผบช.ส,ผบก.น.1-9,ผบก.จร,ผบก.ทล.ระบุว่า...

       ตามที่ สนง.นรป.พระที่นั่งอัมพรสถานแจ้งแก้ไขเปลี่ยนแปลงนามเรียกขานที่สำคัญจากเดิมคือบ้านอัครพงศ์ปรีชา เขตทวีวัฒนา กรุงเทพฯ และ อ.วัดเพลง จ.ราชบุรี ที่ใช้นามเรียกขานว่าบ้านอัครพงศ์ปรีชาแก้เปลี่ยนแปลงเป็นบ้านสุวะดีนั้น สนง.นรป.พระที่นั่งอัมพรสถานขอยกเลิกหนังสือที่อ้างถึงดังกล่าวและให้ใช้หนังสือฉบับนี้แทนดังนี้

       1.ยกเลิกนามเรียกขานบ้านสุวะดี ทั้งในเขตทวีวัฒนา กรุงเทพฯ และ อ.วัดเพลง จ.ราชบุรี

       2.กรณีบ้านสุวะดี เขตทวีวัฒนา กรุงเทพฯ ใช้ชื่อเรียกว่าบ้านเลขที่ 1 อาคารที่พักข้าราชบริพารในพระองค์ฯ

ลงชื่อ พล.ต.ท.สกลเขต จันทรา หัวหน้า สนง.นรป. ประจำพระองค์สมเด็จพระบรมโอรสาธิราชฯ สยามมกุฎราชกุมาร

       นี่คือความชัดเจนชนิดที่ไม่ต้องการคำอธิบายใดๆ กับขบวนการหากินโดยแอบอ้างเบื้องสูงแก๊งนี้

เมื่อสถานการณ์เป็นเช่นนี้ คงสามารถกล่าวได้ว่า วันนี้ อัครพงศ์ปรีชาใกล้ปิดฉากลงทุกทีแล้ว และอีกไม่นานนักก็จะกลายเป็นเรื่องเล่าให้ลูกให้หลานได้จดจำถึงพฤติกรรมของพวกเขาที่แอบอ้างเบื้องสูงในการแสวงหาผลประโยชน์เข้าสู่ตัวเองและญาติพี่น้อง




 

Create Date : 13 ธันวาคม 2557   
Last Update : 13 ธันวาคม 2557 9:24:56 น.   
Counter : 2556 Pageviews.  

โปรดเกล้าฯให้ "พระองค์เจ้าศรีรัศมิ์" ลาออกจากฐานันดรศักดิ์


พระราชทานพระบรมราชานุญาตให้ พระเจ้าวรวงศ์เธอ พระองค์เจ้าศรีรัศมิ์พระวรชายา ในสมเด็จพระบรมโอรสาธิราช เจ้าฟ้ามหาวชิราลงกรณ กราบบังคมทูลลาออกจากฐานันดรศักดิ์แห่งพระราชวงศ์

       เมื่อวันที่ 12 ธ.ค. ราชกิจจานุเบกษาได้มีการเผยแพร่ประกาศเล่ม 131 ตอนที่ 29 เรื่องลาออกจากฐานันดรศักดิ์ ความว่า

       พระบาทสมเด็จพระปรมินทรมหาภูมิพลอดุลยเดช มหิตลาธิเบศรรามาธิบดี จักรีนฤบดินทรสยามินทราธิราชบรมนาถบพิตร มีพระบรมราชโองการโปรดเกล้าโปรดกระหม่อมให้ประกาศว่า พระเจ้าวรวงศ์เธอ พระองค์เจ้าศรีรัศมิ์พระวรชายา ในสมเด็จพระบรมโอรสาธิราช เจ้าฟ้ามหาวชิราลงกรณ์ สยามมกุฎราชกุมารได้นำความขึ้นกราบบังคมทูลสมเด็จพระบรมโอรสาธิราช เจ้าฟ้ามหาวชิราลงกรณ์ สยามมกุฎราชกุมาร เป็นลายลักษณ์อักษรว่า ขอพระราชทานกราบบังคมทูลลาออกจากฐานันดรศักดิ์แห่งพระราชวงศ์ ความทราบฝ่าละอองธุลีพระบาทแล้ว พระราชทานพระบรมราชานุญาต

       ประกาศ ณ วันที่ 11 ธันวาคม พุทธศักราช 2557 เป็นปีที่ 69 ในรัชกาลปัจจุบัน

       ผู้รับสนองพระบรมราชโองการ

       พล.อ.ประยุทธ์จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรี




 

Create Date : 13 ธันวาคม 2557   
Last Update : 13 ธันวาคม 2557 9:24:20 น.   
Counter : 1932 Pageviews.  

เสียภาษี “กวดวิชา” ผู้ปกครองเตรียมตัวซวย!!?

เสียภาษี “กวดวิชา” ผู้ปกครองเตรียมตัวซวย!!?
โรงเรียนกวดวิชาลงทุนน้อยแต่กำไรสูง รัฐบาลจึงเตรียมเรียกเก็บภาษี อ้างเพื่อประสิทธิภาพการจัดระบบการศึกษา เกิดเป็นคำถามว่ามาตรการนี้จะช่วยจัดระเบียบโรงเรียนกวดวิชาอย่างได้ผลจริงหรือ? หรือจะเป็นเพียงมาตรการสร้างภาระให้แก่ผู้ปกครองของเด็ก ที่สำคัญใครคือผู้ที่ได้ประโยชน์และใครคือผู้ที่ต้องแบกภาระสูงสุด?

เก็บภาษี = โยนภาระให้ผู้ปกครอง

       ติวเตอร์โรงเรียนกวดวิชาถึงกับต้องหนาวไปตามๆ กัน หลังคณะรัฐมนตรี(ครม). มีมติเห็นชอบให้มีการเก็บภาษีโรงเรียนกวดวิชา หลังพบต้นทุนน้อยแต่กำไรสูง เพื่อแยกระหว่างโรงเรียนที่สอนไม่หวังผลกำไรกับที่เปิดเป็นธุรกิจออกจากกัน ตามที่สำนักงานคณะกรรมการป้องกันและปราบปรามการทุจริตแห่งชาติ (ป.ป.ช.) เสนอมา

       ตามนโยบายรัฐบาลดังกล่าว ผู้ประกอบการส่วนใหญ่ยินดีทำตาม แต่หากรับค่าใช้จ่ายไม่ไหวอาจจะต้องเพิ่มราคาค่าเรียนในแต่ละวิชาเพิ่ม ทำให้เหล่านักเรียน ผู้ปกครอง เป็นกังวลเกี่ยวกับกระแสดังกล่าวเป็นอย่างมาก ทางทีมข่าวASTV ผู้จัดการLive จึงได้สอบถามไปยัง “อนุสรณ์ ศิวะกุล” นายกสมาคมผู้บริหารและครูโรงเรียนกวดวิชา และผู้บริหารและเจ้าของ โรงเรียนกวดวิชาวรรณสรณ์ (เคมี อาจารย์อุ๊) โดยมีความเห็นว่า

“ตอนนี้เรายังประมาณการผลกระทบได้ไม่ชัดเจนนะครับ แล้วถ้าอ่านมติ ครม. ดีๆ บอกว่ากระทรวงศึกษาธิการ กรมสรรพากร กระทรวงการครัง ต้องมานั่งคุยกัน ว่าจะเก็บภาษีในลักษณะใด และเก็บภาษีในวิชากลุ่มใดบ้าง เพราะฉะนั้น จะมีผลกระทบบางส่วนหรือเปล่าหรือว่ากระทบในภาพรวม รวมถึงเกณฑ์ที่ใช้ถ้าไม่ใช่เกณฑ์ปกติ ก็ต้องกำหนดรูปแบบใหม่ซึ่งอาจจะเก็บแค่บางส่วน”

       ส่วนผลกระทบของค่าเล่าเรียนนั้น ทางโรงเรียนกวดวิชาไม่สามารถเรียกเก็บได้เองตามอำเภอใจได้ ต้องขึ้นอยู่กับเกณฑ์ในการคำนวณของกระทรวงศึกษาธิการ

“เวลาเราคำนวณค่าเรียนกระทรวงศึกษาธิการจะมีเกณฑ์ในการคำนวณ เราไม่สามารถจะเรียกเก็บค่าเรียนเองได้ตามอัธยาศัย ส่วนหลักในการคำนวนค่าเรียนของเรา คือต้องไปแจกแจงรายละเอียดของต้นทุนในรอบปีว่าลงทุนไปทั้งหมดเท่าไหร่ เฉลี่ยเป็นรายปีออกมา โดยหลักการมูลค่าเพิ่มแล้วรายจ่ายแต่ละเดือนเบ็ดเสร็จแล้วปีหนึ่งจ่ายเป็นต้นทุนเท่าไหร่

กระทรวงศึกษาธิการจะให้ลงกำไรได้แค่ 20เปอร์เซ็นต์ เช่น สมมติว่าคุณลงทุนไป 1 ล้านบาท คุณก็จะมีกำไรได้แค่ 200,000บาท เพราะฉะนั้น ในเงิน1,200,000 บาท ใน1 ปี คุณจะรับเด็กพิเศษได้กี่คน ก็เอาหัวเด็กมาเป็นตัวหาร ก็เป็นค่าเฉลี่ยต่อรายวิชา บางคอร์สเราก็เก็บสูงกว่าค่าเฉลี่ย บางคอร์สก็เก็บต่ำกว่าค่าเฉลี่ย เบ็ดเสร็จรวมแล้วก็ต้องไม่เกิน 1,200,000 บาท เพื่อคุมกำไรให้ไม่เกิน20เปอร์เซ็นต์ อาจจะมีบวกลบบ้างเล็กน้อย เพราะบางอย่างมันเป็นเรื่องของการประมาณการ”

       เพราะฉะนั้น สิ่งที่จะเป็นตัวการันตีว่าค่าใช้จ่ายของโรงเรียนกวดวิชามันไม่เคยเกิดขึ้นเลย เห็นจะเป็นไปไม่ได้ เพราะนอกจากเรื่องค่าใช้จ่ายภาษีแล้ว ยังมีค่าใช้จ่ายอื่นๆ อยู่มาก เช่น ภาษีป้าย หรือเงินเดือนพนักงานเอง ผู้บริหารรับไปก็ต้องไปจ่ายภาษีเหมือนกัน

“บางคนพูดว่าโรงเรียนกวดวิชาไม่ได้เสียภาษีเลย ไม่ใช่แบบนั้นนะครับ โดยขบวนการการทำธุรกิจมันก็เสียไปตามขั้นตอนของมัน ยกเว้นสุดท้ายภาษีธุรกิจที่ต้องเสีย ซึ่งตอนนี้ค่าทำภาษีธุรกิจในเรื่องของระบบเป็นบริษัทก็จะเสียภาษีนิติบุคคล20เปอร์เซ็นต์ สิ่งที่ตามมาอีก คือระบบมีรายได้เกินปีละ1,200,000 บาท ไหม ถ้ามีรายได้เกินก็ต้องไปจดระบบใหม่ และต้องจ่ายค่าภาษี

ประชาชนทั่วไปต้องจ่ายภาษี 7เปอร์เซ็นต์ รัฐบาลกำลังจะปรับขึ้นเป็น8 เปอร์เซ็นต์เวลาเขาคิดภาษี ก็โยนไปให้ผู้บริโภค เพราะฉะนั้นสิ่งที่เราคาดการณ์กัน สมมติเขาบอกว่าเราไม่ต้องเข้าระบบฐานภาษีคือประชาชนไม่ต้องรับภาระแล้ว และสิ้นปียังมีกำไรอีก กำไรต้องไม่เกิน20เปอร์เซ็นต์ เสียภาษีอีก20เปอร์เซ็นต์ 20ของ20เปอร์เซ็นต์ คือ 10เปอร์เซ็นต์

จะเห็นได้ชัดๆ เลยว่าค่าใช้จ่ายส่วนที่เกิดขึ้นจากภาษียังไม่เกี่ยวกับการดำเนินการ 12เปอร์เซ็นต์ แล้ว โรงเรียนนอกระบบทั้งหมดเป็นโรงเรียนกวดวิชา โดยส่วนใหญ่แล้วไม่ได้ทำระบบบัญชีเป็นมาตรฐาน เขาจะทำเป็นบัญชีรับจ่าย เพื่อให้รู้ว่ามีรายรับเท่าไหร่ รายจ่ายเท่าไหร่ กำไรเท่าไหร่

ถ้าเป็นบัญชีเพื่อการตรวจสอบ ก็ต้องทำเป็นระบบบัญชี ต้องใช้คนที่มีความรู้ในการทำบัญชี ต้นทุนในส่วนนี้ก็จะเกิดขึ้นอีก มันก็จะมีเปอร์เซ็นต์ที่ปูดออกมาอีก สมมติปูดมาเป็น15เปอร์เซ็นต์ กับมีกำไร20เปอร์เซ็นต์ ก็เหลือแค่ 5เปอร์เซ็นต์ แล้วเกิดคำถามตามมาว่า โรงเรียนเขาจะอยู่ได้มั้ย ยิ่งโรงเรียนเล็กเขาก็มีปัญหาเพราะเขาอยู่ไม่ได้หรอก”




       นอกจากจะส่งผลกระทบกับผู้ประกอบการโรงเรียนกวดวิชาแล้วนั้น ผู้ปกครองบางส่วนยังเป็นกังวลเกี่ยวกับเรื่องนี้อีกด้วย เพราะนโยบายดังกล่าวถูกผลักภาระไปให้ผู้ปกครองบางส่วนแล้ว

“ผู้ปกครองมีทั้งมุมมองที่ต่างกัน ส่วนหนึ่งบอกว่าถ้ามันเพิ่มได้มากและเป็นภาษีที่รัฐได้เพื่อช่วยเหลือประเทศชาติคนจน เขายินดีจะจ่ายเพิ่มในส่วนนั้น ถ้าเราเจอประชาชนแบบนี้และเข้าใจแบบนี้ฝ่ายบริหารประเทศก็คงจะสบายใจ

แต่ขณะเดียวกันก็มีผู้ปกครองบางคนมองว่า เขาต้องควักเงินในกระเป๋าจ่ายเองอีกแล้วเหรอ การเรียนพิเศษซึ่งมันก็แพง สาเหตุที่ต้องมาเรียน คือปัจจัยพื้นฐานของในระบบของโรงเรียนมันมีปัญหา มันไม่สามารถสร้างพื้นฐานให้ลูกเขามีความสามารถในการแข่งขันได้ เขาก็ต้องสร้างพื้นฐานให้ลูกเขา เขาจึงยอมจ่ายเพิ่มขึ้น ยอมเสียเวลามาเรียนเพิ่มเติมด้วย

แล้วรัฐมาเก็บภาษีเพิ่มมันก็หนีไม่พ้นที่เขาต้องแบกภาระเพิ่มแน่นอน ก็ต้องจ่ายเงินเพิ่มขึ้นมาอีก แต่ทั้งนี้ทั้งนั้นถ้าถามว่าเข้าจะส่งลูกเขาเรียนมั้ย คำตอบคือเขาก็ต้องส่งลูกเรียนเพื่ออนาคตที่ดีของลูก ทั้งหมดนี้จะเห็นได้ว่ามีมุมมองทั้ง 2 ทาง ปัญหาที่เกิดขึ้นนี้ทำให้ผู้ปกครองเกิดความไม่สบายใจ แล้วมันจะส่งผลกระทบต่อยอดการเรียน”

       เช่นเดียวกับ “ธเนศ เอื้ออภิธร” ผู้อำนวยการ-ผู้ร่วมก่อตั้งโรงเรียนกวดวิชา Enconcept ร่วมกับ “ครูพี่แนน-อริสรา ธนาปกิจ” มีความเห็นที่คล้ายคลึงกัน โดยกล่าวไว้ว่า

“เรายังไม่รู้รูปแบบภาษีว่าจะเป็นยังไง จะเป็นในเรื่องของภาษีธุรกิจหรือภาษี VAT จริงๆ มันเป็นเรื่องของการบริหารจัดการ โรงเรียนกวดวิชาโดยทั่วไปจะไม่มีฝ่ายบัญชีเหมือนกับธุรกิจทั่วไป ตอนนี้คิดว่าทุกโรงเรียนทั่วประเทศไม่มีการทำบัญชีเป็นระบบเลยนะครับ เป็นผลกระทบในแง่ของการบริหารจัดการ ซึ่งถ้าเกิดขึ้นจริงคงต้องมีเวลาในการเตรียมการ ก็คิดว่าไม่น่าจะมีปัญหาก็คงทำตามนโยบายได้ครับ

ส่วนในเรื่องของการขึ้นค่าเล่าเรียนต้องดูตามความเหมาะสม ทุกวันนี้เกณฑ์ในการตั้งราคาแต่ละโรงเรียนที่เปิดสอนภายใต้ของกระทรวงศึกษาธิการจะตั้งราคาต่อชั่วโมง ว่าอัตราการเก็บค่าเรียนต่อชั่วโมงไม่เกินกี่บาท ซึ่งตอนนี้ที่โรงเรียนEnconcept ทำ 1 ชั่วโมง 100 บาท
ถ้ามีโครงสร้างเรื่องภาษีออกมาจะส่งผลกระทบของการดำเนินการของโรงเรียนหรือโครงสร้างต้นทุน เราอาจจะต้องขอทางกระทรวงหรือทางรัฐบาลให้พิจารณาตรงส่วนนี้ ว่าในแง่ของการปรับราคาปรับโครงสร้างต้นทุนของเราด้วย เพราะแต่ละโรงเรียนก็มีโครงสร้างของการลงทุนที่ไม่เหมือนกัน อย่างโรงเรียนของเราจะมีการลงทุนในด้านสื่อการสอนค่อนข้างเยอะ”




เด็กวิ่งหากวดวิชา เพราะมาตรฐาน ร.ร. ต่ำ?

ปัจจุบันอนาคตการศึกษานักเรียนไทยถูกแขวนไว้กับโรงเรียนกวดวิชามากกว่าในโรงเรียนเสียอีก และปฏิเสธไม่ได้ว่าเด็กไทยบางส่วนจะยึดติดไปกับระบบกวดวิชาจนลืมความสำคัญของการเรียนในห้องเรียนและหนังสือเรียน

       ผู้บริหาร “เคมีอ.อุ๊”แสดงความเห็นว่า เด็กที่เรียนกวดวิชามี12เปอร์เซ็นต์-15เปอร์เซ็นต์ เท่านั้น และถือว่าน้อยมาก แต่ที่เห็นเด็กเรียนกันเป็นจำนวนมากนั้น เพราะโรงเรียนอยู่ในเขตเมือง จึงให้ความรู้สึกว่ามีอยู่เกลื่อนกลาดไปหมด

“ความเป็นจริงมีเด็กกระจายอยู่ทั่วประเทศ อย่างเด็กชนบทที่อยู่ในเขตนอกเทศบาล เด็กพวกนั้นไม่มีกำลังซื้อ เลยต้องศึกษาค้นคว้าด้วยตัวเอง อาจจะกลายเป็นว่าเขาไม่มีโอกาสการแข่งขันได้เท่ากับเด็กที่อยู่ในเขตเมืองและเด็กที่ใกล้แหล่งการเรียนรู้

ต้องยอมรับว่านี่คือกลไกของวัฏจักร เพราะฉะนั้น เด็กไม่เกิน15เปอร์เซ็นต์ ที่เรียนกวดวิชาอยู่จริงๆ มีประมาน300,000 กว่าคน โดยเฉลี่ยถามว่าทำไมเด็กพวกนี้ถึงต้องมาเรียน ปัจจัยพื้นฐานการศึกษาที่เป็นหลักๆ ถ้ามันอยู่ในเกณฑ์ที่ได้มาตรฐานแล้วทุกคนพึงพอใจ ไม่มีนักเรียนหรือผู้ปกครองคนไหนที่อยากให้ลูกตัวเองเหนื่อย และต้องควักเงินของตัวเองไปเสริมศักยภาพของลูกตัวเอง

ถ้าทุกอย่างมันพอเพียงอยู่แล้ว ทุกคนคงไม่ต้องกระเสือกกระสน เพื่อให้ลูกเหนื่อยแล้วต้องเสียเงินมากขึ้นทำไม มันตอบด้วยข้อเท็จจริงที่เห็นประจักษ์ชัดเจนอยู่แล้วว่ามันคือปัญหาในส่วนระบบของโรงเรียน ยังตอบสนองความต้องการนักเรียนหรือผู้ปกครองในส่วนที่เขาต้องการไม่ได้เท่าที่ควร

เขาจึงต้องแสวงหาสิ่งที่มีคุณภาพ นั่นคือหมายถึงโรงเรียนที่ดีที่มันมีอยู่ไม่มาก ก็ต้องแย่งกันเข้า มหาวิทยาลัยที่ดี คณะที่ดีก็มีความต้องการสูงก็ต้องแย่งกันเข้า รัฐบาลเป็นปัจจัยพื้นฐานทำคุณภาพมาตรฐานของโรงเรียนให้มันใกล้เคียงกัน ไม่ให้แตกต่างกันมาก การแข่งขันลดลง มาตรฐานการศึกษามันได้ มันก็จะลดโรงเรียนกวดวิชาไปได้เอง ไปเพิ่มคุณภาพการศึกษาในมหาวิทยาลัย ให้มีมาตรฐานมากขึ้น มีคุณภาพเป็นที่ยอมรับมากขึ้น จะได้ไม่ต้องแห่ไปเข้าคณะดังๆ มหาวิทยาลัยดังๆ”

       ทางด้าน ผู้อำนวยการ “Enconcept” กล่าวเสริมว่า เด็กนักเรียนและผู้ปกครองต่างเลือกสิ่งที่ดีที่สุดให้กับตนเอง การเลือกเรียนโรงเรียนกวดวิชานั้น ไม่ได้หมายความว่า การเรียนในโรงเรียนจะไม่ดี เพียงแค่ว่าเขาอยากแสวงหาทางเลือกในการเรียนเท่านั้นเอง

“จริงๆ ประเด็นเรื่องของการเรียนกวดวิชาก็มาจากเหตุผลเดียวเลยนะครับว่า เด็กๆ กับผู้ปกครองต้องมองในแง่การศึกษาว่าเป็นเรื่องของโอกาส เพราะฉะนั้น ทุกคนต้องอยากได้สิ่งที่ดีที่สุด ไม่ได้เปลว่าโรงเรียนจะสอนไม่ดี บางโรงเรียนก็อาจจะมีครูที่สอนเก่งๆ แต่ว่าเด็กๆ เขาก็แสวงหาทางเลือกในการเรียนที่เพิ่มเติม

เด็กบางคนเรียนที่โรงเรียนเก่งคณิตศาสตร์อยู่แล้วนะครับ แต่เขาอยากจะมองหาอาจารย์ที่สอนดีๆ เพื่อเป็นทางเลือกเพื่อที่จะเติมสิ่งที่เขาชอบสิ่งที่เขาเก่งอยู่แล้ว หรืออย่างเด็กบางคนเรียนที่โรงเรียนเขาไม่เก่ง เรียนแล้วไม่ประสบความสำเร็จ เรียนแล้วไม่เข้าใจ เขาก็มาหาเรียนเพิ่มเติมข้างนอก เพราะฉะนั้นจึงอยากให้มองว่าโรงเรียนกวดวิชาก็เป็นอีกทางเลือกหนึ่งที่จะช่วยเติมเต็มช่องว่างตรงนี้ให้กับเด็กและผู้ปกครองครับ”

       ต่อข้อซักถามที่ว่า เด็กไทยสมัยนี้เรียนที่โรงเรียนเป็นพื้นฐานอยู่แล้ว แต่เหตุไฉนจึงต้องมาเรียนโรงเรียนกวดวิชาเพิ่มอีก สิ่งเหล่านี้คือสิ่งที่ผู้ปกครองยัดเยียดเด็กเกินไปหรือเปล่า? อาจารย์จึงให้คำตอบว่า

“ขึ้นอยู่กับหลายๆ ปัจจัยคือเด็กบางคนเขาก็ชัดเจนว่าเขาไม่ได้มีความต้องการที่จะเรียนกวดวิชาเลย เพราะเขาเรียนที่โรงเรียนเข้าใจแล้ว หรือว่าแนวทางของเขาสมัยนี้สามารถซื้อหนังสือมาอ่านเอง ซื้อสื่อการสอน CD,DVD เรียนออนไลน์ได้ เขาก็ไม่ต้องมาเรียนที่โรงเรียนกวดวิชา ก็มีครับประเภทเด็กนักเรียนที่ต้องพึ่งพาอาจารย์ข้างนอกในการติว แต่ทั้งนี้ทั้งนั้น ผมมองว่ามันเป็นค่านิยมแล้วแต่เด็กกับผู้ปกครองแต่ละกลุ่มแล้วนะครับ”

ข่าวโดยASTV ผู้จัดการLive




 

Create Date : 12 ธันวาคม 2557   
Last Update : 12 ธันวาคม 2557 8:36:05 น.   
Counter : 1772 Pageviews.  

1  2  3  4  5  6  7  8  9  10  11  12  13  14  15  16  17  18  19  20  21  22  23  24  25  26  27  28  29  30  31  32  33  34  35  36  37  38  39  40  41  42  43  44  45  46  47  48  49  50  51  52  53  54  55  56  57  58  59  60  61  62  63  64  65  66  67  68  69  70  71  72  73  74  75  76  77  78  79  80  81  82  83  84  85  86  87  88  89  90  91  92  93  94  95  96  97  98  99  100  101  102  103  104  105  106  107  108  

karnoi
Location :


[Profile ทั้งหมด]

ฝากข้อความหลังไมค์
Rss Feed
Smember
ผู้ติดตามบล็อก : 57 คน [?]




เลขเด็ด เลขดัง กาน้อย






ติดตามข้อมูลของเว็บทาง twitter ได้ที่ @karnoi กด
ติดตามข้อมูลเว็บทาง FaceBook กด







Online Users


[Add karnoi's blog to your web]