เลขเด็ด เลขดัง กาน้อย

ติดตามข้อมูลเว็บทาง Google+ กด
FaceBook สาว ๆ เซ็กซี่

“หลวงปู่พุทธะอิสระ” จี้สอบแก๊งปั้นอรหันต์ “นายคำ” ลวงโลก


ปูดรถ 35 คัน “เณรคำ” หอบเงินสดซื้อรถอีกมูลค่ากว่า 28 ล้าน-หลวงปู่พุทธะอิสระร้องดีเอสไอสอบ ดร.สนอง พร้อมพวก 3 คน ปั้นอรหันต์นายคำขึ้นมาเมื่อ 10 ปีที่แล้ว ชี้เป็นขบวนการปล้นสะดมทำลายพุทธศาสนรนา ระบุไม่มั่นใจต่อกระบวนการตุลาการของคณะสงฆ์

       วันนี้ (11 ก.ค.) ที่กรมสอบสวนคดีพิเศษ (ดีเอสไอ) พระสุวิทย์ ธีรธัมโม หรือหลวงปู่พุทธะอิสระ เจ้าอาวาสวัดอ้อน้อย อ.กำแพงแสน จ.นครปฐม เข้าพบนายธาริต เพ็งดิษฐ์ อธิบดีดีเอสไอ เพื่อร้องทุกข์กล่าวโทษให้ดำเนินคดีเจ้าคณะปกครองภาค 10 เจ้าคณะปกครองจังหวัดศรีสะเกษ เจ้าคณะปกครองอำเภอกันทรลักษ์ เจ้าคณะปกครองตำบลยาง เจ้าคณะปกครองจังหวัดอุบลราชธานี เจ้าคณะปกครองอำเภอเมืองอุบลราชธานี และเจ้าคณะปกครองตำบลในเมือง รวม 7 รูป โดยกล่าวหาละเว้นการปฎิบัติหน้าที่ไม่ตรวจสอบการตั้งสำนักสงฆ์ของหลวงปู่เณรคำ และไม่เร่งรัดดำเนินการให้หลวงปู่เณรคำปาราชิกพ้นจากการเป็นสงฆ์ นอกจากนี้ยังร้องทุกข์กล่าวโทษนายสนอง วรอุไร นายสุขุม วงประสิทธิ์ และพระภูมินทร์ ภูรปัญโญ อ้างสนับสนุนหลวงปู่เณรคำให้มีการฉ้อโกงประชาชน เบื้องต้นดีเอสไอรับเรื่องไว้ตรวจสอบข้อเท็จจริง พร้อมนิมนต์พระสุวิทย์ ธีรธัมโม เข้าให้การกับพนักงานสอบสวนคดีพิเศษ สำนักคดีความมั่นคง ดีเอสไอ ในทันที

       พระสุวิทย์ ธีรธัมโม หรือหลวงปู่พุทธะอิสระ เจ้าอาวาสวัดอ้อน้อย กล่าวว่า ได้ยื่นหนังสือต่อนายธาริต เพื่อกล่าวโทษ ดร.สนอง วรอุไร กับพวก รวม 3 คน ที่ปั้นอรหันต์นายคำขึ้นมาตั้งแต่สิบกว่าปีที่แล้วทำให้ก่อกำเนิดอรหันต์จอมปลอมลวงโลกจนเดือดร้อนต่อพระพุทธศาสนา ขอให้ดีเอสไอไปสืบค้นตามข้อมูลที่ให้ พร้อมร้องทุกข์กล่าวโทษต่อเจ้าคณะปกครอง ซึ่งน่าจะเข้าหลักคดีอาญาที่ว่าด้วยรับของโจรและประพฤติผิดหลักการปกครองของเจ้าหน้าที่ของรัฐ มีหลักฐานพร้อม และรับราชสักการระของนายคำมาตลอด 10 ปี หมายถึงเจ้าคณะภาค 10 เจ้าคณะจังหวัดศรีสะเกษ และเจ้าคณะจังหวัดอุบลราชธานี เจ้าคณะอำเภอ เจ้าคณะตำบลที่ที่พักสงฆ์ของนายคำตั้งอยู่ ที่ผ่านมาได้ละเว้นต่อการปฏิบัติหน้าที่ เพราะนายคำได้ติดป้ายว่าเป็นสำนักสงฆ์ ทั้งที่ไม่มีสิทธิใช้ได้เพียงที่พักสงฆ์ แต่ไม่มีการดำเนินการ ทำให้ประชาชนเข้าใจผิดว่าเป็นวัดจึงบริจาค ทั้งที่มีเจ้าคณะปกครองได้เข้าออกแต่ไม่มีการให้ปลดป้าย ทั้งที่บางแห่งถูกสั่งปลดป้ายที่บอกว่าเป็นวัดโดยไม่ได้รับอนุญาตเพียง 1-2 สัปดาห์ จึงกล่าวหาว่าช่วยเหลือและปกป้องมาตลอดทั้งที่ความผิดปรากฏชัดก็ไม่ทำอะไร ตามพระธรรมวินัยนายคำต้องปาราชิกตั้งแต่กล่าวอวดอุตริแล้ว มีปาราชิกข้ออื่นอีกมาก ยังดึงเกมช่วยเหลือกระทบต่อพระพุทธศาสนา ถ้าทำตั้งแต่สัปดาห์แรก ยึดหลักพระธรรมวินัยจะหยุดความเสียหายได้

       เจ้าอาวาสวัดอ้อน้อยกล่าวอีกว่า ตามพระวินัยนายคำไม่มีสิทธิ์ใช้คำว่าพระเณรนำหน้า เพราะในพระวินัยข้อหนึ่งกล่าวชัดว่าภิกษุอยู่ในที่ลับตากับหญิงสองต่อสอง มีบุคคลควรเชื่อได้มากล่าวโจทย์โดยด้วยอาบัติอะไรก็ให้ปรับตามอาบัตินั้น ก็กล่าวโจทย์ไปว่าเป็นอาบัติปาราชิก เพราะภาพเห็นชัดและก่อนหน้านี้คนที่ใกล้ชิดทราบดีว่าเค้าได้เสพเมถุนมาเนื่องๆ มีชื่อของพระเลขาฯ ที่มีน้องคนหนึ่งที่เป็นเหยื่อของนายคำ หรือเอามาให้นายคำได้เสพเมถุณ พระองค์นี้ก็ยังติดต่อรับใช้ถือเป็นพระเลขาฯ ก็มีชื่อเป็นหลักฐานที่นำมามอบให้ดีเอสไอ เขาทำกันมาเป็นสิบปี เรื่องนี้พูดมาหลายปีแต่ไม่มีใครเชื่อ หาว่าอิจฉาตาร้อน แต่จริงแล้วมันปล้นสะดมทำลายศาสนา ที่จริงถ้าเกิดขึ้นใหม่ๆ แล้วคณะสงฆ์จัดการตั้งแต่สัปดาห์สองสัปดาห์ คงไม่เยิ่นเย้อถึงขนาดนี้ แต่เพราะคณะสงฆ์ยังเห็นดีเห็นงามกับรากที่เขาทำให้ เจ้าคณะปกครองยังชื่นชม ขนาดว่าคำกล่าวว่าพระชั่วๆ ยังมีคนไหว้ ดีกว่าพระดีๆ แล้วไม่มีคนไหว้

       พระสุวิทย์ ธีรธัมโม กล่าวอีกว่า แม้เมื่อวานยังมีการพูดในลักษณะมีการนำเอานายคำไปเทียบกับพระพุทธเจ้า ไม่น่าเชื่อจะออกจากปากผู้ใหญ่เจ้าคณะปกครอง จึงไม่มั่นใจต่อกระบวนการตุลาการของคณะสงฆ์ ทั้งนี้ยังมีพระรูปอื่นอีกที่มีพฤติกรรมที่น่ารังเกียจ ตราบใดที่ยังละเลยอีกไม่นานคงได้ยินข่าวแถวสมุทรสาคร และนครปฐม คงมีข่าวเกี่ยวกับรถหรู เจ้าคณะปกครองยังละเลย ก็จะเกิดนายคำ 2, 3, 4, 5 ทำลายบั่นทอนศรัทธาชาวบ้าน สิ้นหวังต่อการนับถือพระพุทธศาสนา วันนี้จึงมาให้ข้อมูลดีเอสไอลงไปตรวจสอบเรื่องตามกฎหมายคณะสงฆ์ ตั้งแต่ละเมิดอาบัติด้วยการปกปิดอาบัติชั่วหยาบ ผิดจรรยาพระสังฆาธิการ และถือว่าบกพร่องหน้าที่อย่างร้ายแรง ละเว้นหน้าที่ และรับของโจร ที่อาตมาวิเคราะห์ได้ว่าเจ้าคณะปกครองตามลำดับชั้นตั้งแต่เจ้าคณะภาพ 10 ธรรมยุทธ จนถึงเจ้าคณะตำบลในถิ่นที่นายคำอาศัยอยู่ มีความบกพร่อง และผิดวินัยจึงประมวลมาพร้อมหลักฐาน จึงให้ดีเอสไอเพื่อหวังว่าไปสืบค้นและยึดคืนสมบัติของคนเหล่านั้นเอากลับมาสู่สาธารณะหรือศาสนาส่วนกลาง หรือคืนให้กับเจ้าทุกข์ อาตมาร้องทุกข์กล่าวโทษถึงบุคคลหรือกลุ่มนิติบุคคลที่ปั่นนายคำมาด้วย

       นายธาริต เพ็งดิษฐ์ อธิบดีดีเอสไอ กล่าวว่า หลังจากดีเอสไอสอบสวนพบหลวงปู่เณรคำ ซื้อรถเบนซ์ 22 คัน มูลค่ากว่า 95 ล้านบาท จากเบนซ์อุบลราชธานี ล่าสุดวันนี้ตนได้รับผลการตรวจสอบล่าสุดจาก พ.ต.ท.กรวัชร์ ปานประภากร ผบ.สำนักปฏิบัติการคดีพิเศษภาค ดีเอสไอ ว่าดีเอสไอได้พบรถยนต์หลายยี่ห้อของหลวงปู่เณรคำเพิ่มอีก 35 คัน มูลค่ากว่า 28 ล้านบาท เป็นการซื้อรถด้วยเงินสดมาจากหลายแหล่งในชื่อของหลวงปู่เณรคำ ส่วนจะใช้เงินอะไร เอาไปไหน ไปแจกใคร หรือมีพฤติการณ์ฟอกเงินหรือไม่ดี ดีเอสไอกำลังตรวจสอบ เราได้บัญชีจากลูกศิษย์ที่เป็นผู้ดำเนินการไปซื้อรถ กำลังสอบว่าซื้อมาจากไหน ราคาเท่าไหร่ ไปอยู่กับใคร โอนไปอย่างไร ส่วนคนที่รับรถจากหลวงปู่เณรคำ ต้องพิจารณาเป็นรายกรณี เช่น หากเณรคำนำรถไปบริจาคให้วัดซึ่งมีความจำเป็นต้องใช้ยานพาหนะหรือไม่มีหรือมีไม่เพียงพอ ทางงวัดก็รับไว้โดยสุจริต เอามาใช้ในกิจกรรมของสงฆ์ ไม่ใช่เอามาเป็นเครื่องประดับ เราต้องเข้าใจทางวัดที่รับไม่น่ามีอะไรผิด ต้องดูบริบทเป็นเรื่องๆ จะเหมาหมดไปกล่าวหาว่า ใครรับรถไว้ผิดหมดคงไม่ได้ ต้องให้ความเป็นธรรมกับทุกฝ่าย

       อธิบดีดีเอสไอกล่าวอีกว่า ส่วนข้อมูลลับที่หลวงปู่อิสระให้ท่านขอไม่ให้เปิดเผย เราจะปรึกษากับ พศ.จะไม่ทำอะไรพลการ โดยจะทำรอบคอบ ชั้นนี้เป็นเพียงการกล่าวหา ส่วนการตรวจดีเอ็นเอของพ่อแม่เณรคำ เจ้าหน้าที่กำลังหาวิธีดำเนินการต้องได้รับความเห็นชอบจากศาลด้วย แต่ได้ญาติใกล้ชิดของหลวงปู่เณรคำมาตรวจดีเอ็นเอแล้ว ส่วนพ่อแม่หลวงปู่เณรคำบังคับตรวจดีเอ็นเอตามกฎหมายบังคับไม่ได้ แต่ดีเอสไอจะหาวิธีให้ผลการตรวจดีเอ็นเอออกมาให้ได้ ส่วนกรณีมีข่าวหลวงปู่เณรคำ หลบหนีไปสหรัฐอเมริกา พ.ต.ท.พงษ์อินทร์ อินทรขาว ผบ.สำนักคดีความมั่นคง ดีเอสไอ ได้หารือกับ พ.ต.อ.ทรงศักดิ์ รักษ์สกุล ผบ.สำนักกิจการต่างประเทศและคดีอาชญากรรมระหว่างประเทศ ดีเอสไอ ว่ากรณีเหล่านี้จะติดตามประสานงานกับต่างประเทศอย่างไร คงได้แนวทางปฎิบัติระหว่างประเทศต่อไป

       นายธาริตกล่าวอีกว่า ส่วนการจะออกหมายจับ เรา 5 หน่วยงาน ประสงค์จะให้หลวงปู่เณรคำพ้นจากความเป็นพระก่อน คิดว่าเราเลือกวิธีการที่สุดมันไม่ได้ฉุกเฉินขนาดนั้นเพราะไปอยู่เมืองนอกแล้วจึงไม่ฉุกเฉินต้องรีบจับเพื่อไม่ให้หลบหนีออกนอกประเทศ การขอหมายจับพระเป็นสิ่งที่เราไม่พึงปฎิบัติ ต้องสอบถามจากสำนักงานพระพุทธศาสนา (พศ.) ตนไม่อยากก้าวล่วง ดีเอสไอทำอย่างเต็มที่โดยแจ้ง พศ.ให้ดำเนินการให้หลวงปู่เณรคำพ้นสภาพ อย่างไรก็ตาม แต่เรามีเวลาในการรอว่าแค่ไหน แต่ละประเทศมีอำนาจอธิปไตย การจะไปใช้อำนาจไปสอบไปจับข้ามประเทศทำไม่ได้ ต้องขอความร่วมมือในนิติต่างๆ ตามขั้นตอน เรื่องนี้ไม่ได้ทำงานล่าช้า ส่วนความผิดที่เราตั้ง 8 ประการ ก็เป็นการตั้งเบื้องต้นต้องหาพยานหลักฐานมาสนนับสนุนให้เพียงพอการแจ้งข้อกล่าวหาและการส่งสำนวนฟ้องต่อัยการ ต้องใช้เวลา

       อธิบดีดีเอสไอกล่าวอีกว่า ส่วนกรณีมีกระแสข่าวว่ากองปราบปรามเตรียมออกหมายจับหลวงปู่เณรคำ หลังถูกกล่าวหาว่ากระทำผิดทางอาญานั้น สามารถดำเนินอาญาได้หลายหน่วย แต่เพื่อไม่ให้เกิดความซ้ำซ้อน กฎหมายดีเอสไอจึงเขียนไว้ว่าถ้าเป็นคดีพิเศษแล้ว ดีเอสไอต้องแจ้งให้หน่วยอื่นทราบเพื่อจะได้ส่งสำนวนการสอบสวนให้ดีเอสไอภายใน 3 วัน ทั้งนี้ตนไม่แน่ใจว่าหัวหน้าพนักงานสอบสวนคดีพิเศษได้มีหนังสือแจ้งกองปราบฯ หรือยัง ระหว่างนี้ถ้ากองปราบเห็นว่าไปทำอะไรจะเป็นประโยชน์ กับคดีกองปราบทำก็ไม่เสียหาย เป็นการเสริมซึ่งกันละกันสุดท้ายความรับผิดชอบจะมาอยู่ดีเอสไอ เป็นการช่วยการทำงาน

       พ.ต.ท.กรวัชร์ ปานประภากร ผบ.สำนักปฏิบัติการคดีพิเศษภาค ดีเอสไอ กล่าวว่า ดีเอสไอได้ข้อมูลว่ามีลูกศิษย์หลวงปู่เณรคำคนหนึ่งเป็นผู้รับหน้าที่ซื้อรถให้พระองค์รูปดังกล่าว ดีเอสไอจึงลงพื้นที่สืบสวนจนเจอตัว จากการสอบสวนเบื้องต้นพยานคนดังกล่าวให้การว่าเป็นผู้จัดซื้อรถยนต์ 35 คัน ด้วยเงินสดประมาณ 28 ล้านบาทให้หลวงปู่เณรคำ โดยหลวงปู่เณรคำจะเป็นคนกำหนดรุ่นว่าให้ซื้อรถยนต์รุ่นไหนเอาออปชันอะไรบ้าง ก่อนที่พยานจะดำเนินการจัดซื้อให้ทั้งหมดของรถล็อตนี้ จากนั้นได้นำรถไปจดทะเบียนกับขนส่งและมีการนำรถล็อตนี้ไปแจกทั้งหมด ดีเอสไอกำลังสอบสวนรายละเอียดจากพยานคนดังกล่าวว่าไปซื้อรถที่ใด วันเวลาใดบ้าง ส่วนพยานคนดังกล่าวเกรงเรื่องความปลอดภัยจึงไม่อยากเปิดเผยตัว สำหรับการซื้อรถเบนซ์ของหลวงปู่เณรคำที่ตรวจพบครั้งแรก 22 คัน มูลค่า 95 ล้านบาท และรถล็อตนี้อีก 35 คัน มูลค่า 28 ล้านบาท ตนยังไม่ทราบว่าจริงๆ แล้วหลวงปู่เณรคำมีเจตนาอะไรกันแน่ ยังหาสาเหตุไม่ได้ว่าเป็นการสร้างภาพหรือทำไปทำไม หรือเป็นการนำเงินบริจาคมาจัดซื้อรถเป็นล็อตๆ แล้วขายออกไปหรือไม่ ดีเอสไอขอเวลาตรวจสอบอีกระยะ

       สำหรับผลการตรวจสอบรถยนต์ของหลวงปู่เณรคำ ของสำนักคดีปฏิบัติการคดีพิเศษภาค ดีเอสไอ ในวันที่ 2 จำนวน 35 คัน รวมมูลค่ากว่า 28 ล้านบาท ประกอบด้วย รถเก๋งโตโยต้า คัมรี่ ราคา 1,370,000 บาท รถโตโยต้าฟอร์จูนเนอร์ ราคา 1,400,000 บาท รถโตโยต้า คราวน์ ราคา 1,100,000 บาท รถกระบะโตโยต้า วีโก้ตอนเดียว ราคา 780,000 บาท รถเก๋งมาสด้า 2 ราคา 600,000 บาท รถเก๋งมาสด้า 3 ราคา 900,000 บาท รถกระบะอีซูซุ 4 ประตู ราคา 600,000 บาท รถอีซูซุ แอดแวนเจอร์ ราคา 600,000 บาท รถวอลโว่ ลิมูซีน ราคา 600,000 บาท รถกระบะโตโยต้า ดี 4 ดี ราคา 550,000 บาท รถเก๋งโตโยต้าคัมรี่ ไฮบริด ราคา 1,640,000 บาท รถอีซูซุ มิวเซเว่น ราคา 900,000 บาท รถเก๋งโตโยต้า ยาริส จำนวน 2 คัน ราคาคันละ 650,000 บาท รถโตโยต้า ยาริส จี ราคา 720,000 บาท รถนิสสัน มาร์ช ราคา 650,000 บาท รถเก๋งฮอนด้า ซีวิค จำนวน 4 คัน ราคาคันละ 600,000 บาท รถฟอร์ด เอสเคป จำนวน 4 คัน ราคาคันละ 650,000 บาท รถเก๋งฮอนด้าแอคคอร์ด ราคา 1,300,000 บาท รถพ่วง ราคา 500,000 บาท รถโตโยต้าไจยา ราคา 300,000 บาท รถทัวร์กาชาดตกแต่ง ราคา 650,000 บาท รถฮอนด้าแจ๊ซ ราคา 330,000 บาท รถกอล์ฟไฟฟ้า อีวีไอ 4 ที่นั่ง ราคา 350,000 บาท รถโตโยต้าแลนด์ครุยเซอร์ ราคา 1,450,000บาท รถเบนซ์ลิมูซีน ราคา 2,400,000 บาท รถเก๋งโตโยต้า วีออส ราคา 550,000 บาท และรถฟอร์ด เอสเคป ราคา 650,000 บาท




//www.manager.co.th/Crime/ViewNews.aspx?NewsID=9560000084955



Create Date : 11 กรกฎาคม 2556
Last Update : 11 กรกฎาคม 2556 22:51:34 น. 0 comments
Counter : 2187 Pageviews.  

ชื่อ : * blog นี้ comment ได้เฉพาะสมาชิก
Comment :
  *ส่วน comment ไม่สามารถใช้ javascript และ style sheet
 

karnoi
Location :


[Profile ทั้งหมด]

ฝากข้อความหลังไมค์
Rss Feed
Smember
ผู้ติดตามบล็อก : 57 คน [?]




เลขเด็ด เลขดัง กาน้อย






ติดตามข้อมูลของเว็บทาง twitter ได้ที่ @karnoi กด
ติดตามข้อมูลเว็บทาง FaceBook กด







Online Users


[Add karnoi's blog to your web]