เลขเด็ด เลขดัง กาน้อย

ติดตามข้อมูลเว็บทาง Google+ กด
FaceBook สาว ๆ เซ็กซี่

เตรียมแอปฯ สู้ “Uber” กรมการขนส่งฯ ฟุ้ง แท็กซี่ในระบบดีกว่าเห็นๆ!!

เตรียมแอปฯ สู้ “Uber” กรมการขนส่งฯ ฟุ้ง แท็กซี่ในระบบดีกว่าเห็นๆ!!
ปล่อยให้ “แท็กซี่มิเตอร์ถูกกฎหมาย” ตกเป็นจำเลยสังคมจากการรวมตัวต่อต้าน Uber Taxi “แท็กซี่นอกระบบผิดกฎหมาย” อยู่พักใหญ่ๆ
       ล่าสุด อธิบดีกรมการขนส่งทางบกก็ออกมางัดไม้ตาย เตรียมจัดเต็มแอปพลิเคชันให้แท็กซี่กว่า 70,000 คันใช้ พร้อมแก้กฎกระทรวงอนุญาตให้ใช้แอปฯ ออนไลน์ได้อย่างถูกกฎหมาย และเตรียมปรับขึ้นอัตรามิเตอร์ใหม่ เชื่อจะช่วยยกมาตรฐานแท็กซี่ ไม่มีอีกแล้วปัญหา “ส่งรถ เติมแก๊ส ปฏิเสธผู้โดยสาร”!!





ย้ำชัด! แอปฯ ผ่าน แต่รถผิดกฎหมาย
“ต้องบอกอย่างนี้ครับว่า แอปพลิเคชันที่ผู้ให้บริการใช้อยู่ในขณะนี้ ทางกรมฯ ไม่ได้ปฏิเสธ ไม่ได้ขัดข้องอะไร เรากำลังจะแก้ไขระเบียบกฎกระทรวงให้รองรับด้วย เพราะทางกรมฯ เองก็สนับสนุนให้เครือข่ายแท็กซี่ที่มีอยู่ดำเนินการในลักษณะเช่นนี้อยู่เหมือนกัน เราตระหนักดีว่ามันเป็นเรื่องของวิวัฒนาการทางเทคโนโลยี

แต่สิ่งที่เรามองว่าฝ่าฝืนกฎหมายขณะนี้คือ ประเด็นเรื่อง “การใช้รถผิดประเภท” ของทาง Uber ครับ เราติดตามพฤติกรรมของกลุ่มนี้มาช่วงระยะเวลาหนึ่งแล้ว เริ่มตั้งแต่การตรวจสอบการให้บริการ ขณะนี้ก็มีการปราบปราม จับกุม เปรียบเทียบปรับและลงโทษผู้กระทำผิดแล้ว โดยได้ตรวจพบว่ามีการนำเอารถยนต์ส่วนตัวมาให้บริการรับจ้างเป็นรถสาธารณะ ต้องยืนยันว่าทางกรมฯ ไม่ได้ขัดข้องเรื่องการให้บริการผ่านแอปพลิเคชันเลย”



(แถลงข่าวอย่างเป็นทางการ เพราะทานกระแสไม่ไหว)


ธีระพงษ์ รอดประเสริฐ อธิบดีกรมการขนส่งทางบก อธิบายเอาไว้ชัดเจนในงานแถลงข่าวอย่างเป็นทางการ เพื่อสร้างความเข้าใจที่ถูกต้องเกี่ยวกับมาตรการกำกับดูแลการให้บริการด้วยรถโดยสารสาธารณะ จากกรณีที่ Uber Taxi ซึ่งเป็นรถแท็กซี่นอกระบบที่ชี้ชัดแล้วว่าให้บริการผิดกฎหมาย พ.ร.บ.รถยนต์ พ.ศ.2522 จากพฤติกรรมการใช้ป้ายเขียวและป้ายดำ ให้บริการผู้โดยสาร และเรียกเก็บค่าโดยสารตามอัตราที่กำหนดขึ้นเองผ่านระบบบัตรเครดิตอย่างไม่เคารพกฎหมาย มีความผิดฐานใช้รถผิดประเภท ตามมาตรา 21 และมาตรา 60 มีโทษปรับไม่เกิน 2,000 บาท

“ป้ายเขียว” และ “ป้ายดำ” ที่กล่าวถึงนั้น ไม่ได้แตกต่างจากแท็กซี่มิเตอร์ในระบบที่มี “ป้ายเหลือง” เพียงแค่เรื่องสีของป้ายเท่านั้น แต่ ณันทพงศ์ เชิดชู ผอ.สำนักงานขนส่งกรุงเทพมหานครพื้นที่ 5 ช่วยชี้ให้เห็นผลร้ายของ “การใช้รถผิดประเภท” เอารถส่วนตัวมาสวมรอยใช้แทนรถโดยสารสาธารณะอย่างที่ Uber Taxi ทำอยู่ว่ามันน่าหวาดหวั่นกว่าที่หลายๆ คนคิดไว้นัก


("รถป้ายเขียว" Uber)

“ตอนนี้ยังไม่มีใครมองภาพลบหรอกครับ คิดว่าเราไปจับกุมเขาทำไม แต่ลองให้เกิดเหตุการณ์ร้ายๆ ดูสิแล้วจะรู้ว่า เราไปใช้เขาทำไม แท็กซี่นอกระบบแบบนี้ ผมเลยอยากจะบอกว่าพยายามอย่ามองมุมเดียวครับ อยากให้มองในมุมที่ประชาชนอาจไม่ได้รับความปลอดภัยจากระบบของ Uber Taxi บ้าง

ถ้าเป็นรถที่เอามาให้บริการแบบผิดกฎหมายแบบนี้ จะมีทั้ง “แท็กซี่ป้ายแดง” คือรถที่ยังไม่ได้จดทะเบียน “แท็กซี่ป้ายดำ” คือจดทะเบียนแล้วแต่เป็นรถส่วนบุคคล และ “แท็กซี่ป้ายเขียว” คือรถลักษณะให้บริการเฉพาะกิจ ซึ่งทั้ง 3 แบบเป็นการให้บริการในลักษณะที่ไม่ถูกต้อง โดยเฉพาะแบบป้ายดำกับป้ายแดงนะครับ จะไม่มีประกันภัยด้วย ถ้าเกิดอุบัติเหตุขึ้นมา ถามว่าผู้บริหารศูนย์ Uber จะรับผิดชอบมั้ย เขาไม่รับผิดชอบนะครับ เขาจะปล่อยให้เป็นภาระของคนขับ และถ้าคนขับเป็นวัยรุ่น ใบขับขี่ไม่มี ใบขับขี่สาธารณะก็ไม่มี


(Uber Taxi ผู้ประกอบการผิดกฎหมาย เพราะใช้รถผิดประเภท)


ที่สำคัญ แท็กซี่นอกระบบ ไม่ได้จดทะเบียนตามกฎหมายแบบนี้ประกันภัยก็ไม่มี ชนมาคนขับต้องรับผิดชอบเอง แล้วถ้าเกิดอุบัติเหตุครั้งใหญ่ ชนกันแรงๆ เข้า ผู้โดยสารที่นั่งมาในรถเกิดตาย สมมติเป็นหมอหรือวิศวกร ค่าชดเชยต้องสูง คิดจากฐานเงินเดือนคูณกับจำนวนปีที่จะมีชีวิตอยู่ในราชการ คนขับคิดแล้วว่าต้องจ่ายเองหลายล้าน ไม่ไหวแน่ๆ บริษัทประกันไม่มี คนขับก็หนีไปได้เลยโดยที่ไม่มีใครตรวจสอบได้ว่าใครคือคนขับ เพราะทั้งรถและคนขับไม่มีข้อมูลอยู่ในระบบ เกิดอะไรขึ้นมาแบบนี้ไม่มีใครรับผิดชอบนะครับ”

อธิบดีกรมการขนส่งทางบกย้ำชัดว่ามองเห็นข้อดีและจุดแข็งในเรื่องการเอาแอปพลิเคชันเข้ามาใช้กับแท็กซี่อย่างที่ Uber Taxi, Grab Taxi และ Easy Taxi นำมาใช้และได้รับความนิยมอย่างล้นหลามจากผู้โดยสาร จึงตั้งใจจะพัฒนาแอปฯ ในรูปแบบคล้ายๆ กันนี้มาใช้กับแท็กซี่ในระบบบ้าง เพียงแต่ต้องรอให้แก้ไขร่างกฎกระทรวงผ่านการพิจารณาจากกระทรวงคมนาคมเสียก่อน ระบบการเพิ่มเทคโนโลยีเข้าไปอำนวยความสะดวกในแท็กซี่จึงจะทำได้อย่างถูกต้องไร้มลทิน



“เดิมทีกฎกระทรวงที่ออกไปฉบับแรกเรื่องเครื่องมือสื่อสาร เราอนุญาตให้แท็กซี่ที่จดทะเบียนใช้วิทยุสื่อสารเป็นเครื่องมือได้แค่ชนิดเดียวครับ มีการกำหนดอัตราค่าธรรมเนียมเอาไว้เรียบร้อย แต่ปัจจุบันมีวิวัฒนาการเพิ่มมากขึ้น คงต้องออกกฎกระทรวงเพิ่มเติมเพื่อรองรับเทคโนโลยีใหม่ๆ ขณะนี้สำนักกฎหมายอยู่ระหว่างนำเสนอกระทรวงครับ เพราะตอนนี้ยังไม่มีกฎกระทรวงรองรับการสื่อสารประเภทอื่นนอกจากกฎกระทรวงรองรับเลย แต่คงต้องรีบประกาศออกมาเร็วๆ นี้เพราะแอปพลิเคชันที่ใช้กันตอนนี้ก็เป็นที่แพร่หลาย ต้องรีบเร่งดำเนินการให้เร็วที่สุดครับ” เชิดชัย สนั่นศรีสาคร ผอ.สำนักขนส่งผู้โดยสาร ช่วยเสริมรายละเอียด




งัดแอปฯ สู้! เตรียมเพิ่มราคา ยกระดับแท็กซี่
“แอปฯ ยังไม่มีชื่อ” คือโปรเจกต์ใหม่ที่ทางอธิบดีกรมการขนส่งทางบกขออวดล่วงหน้าด้วยรอยยิ้ม พร้อมให้รายละเอียดว่ากำลังอยู่ในขั้นตอนดำเนินการ แต่รับรองว่าได้ใช้แน่ๆ เพราะตกลงกับสมาคมแท็กซี่และคิดโมเดลต่างๆ เอาไว้เรียบร้อยแล้ว

“ผู้โดยสารเข้าไปในแท็กซี่ ทำลักษณะคล้ายๆ เช็กอินครับ เราจะมี QR Code ติดไว้ที่หลังเบาะแท็กซี่ พอสมาร์ทโฟนไปยิงที่ QR Code ตัวนั้น ข้อมูลของผู้ใช้สมาร์ทโฟนคนนั้นจะไปผูกกับข้อมูลของรถแท็กซี่คันนั้น และส่งข้อมูลนั้นตรงเข้ามาที่กรมฯ แล้วที่ศูนย์คุ้มครองผู้บริโภคก็จะมีข้อมูลว่า ท่านขึ้นรถแท็กซี่คันนี้ ชื่อนี้ ในเวลานี้ ข้อมูลจะถูกส่งเข้ามาเก็บไว้เผื่อในกรณีที่มีปัญหา เกิดอุบัติหรือกระทำความผิด ทางกรมฯ ก็สามารถตรวจสอบได้เลยครับ คล้ายๆ ระบบเช็คอิน ทางเรากำลังดำเนินการอยู่ครับ



พอขึ้นราคามิเตอร์รอบแรกแล้ว หลังจากนั้นเราจะให้พี่น้องประชาชนประเมินผลการให้บริการของแท็กซี่ครับ ส่วนเรื่องแอปพลิเคชันก็จะเป็นส่วนหนึ่งที่พี่น้องประชาชนสามารถประเมินผลการให้บริการของแท็กซี่ได้โดยง่าย โดยการยิง QR Code ที่ติดอยู่ที่หลังเบาะแท็กซี่ ก็จะมีระดับคะแนนให้ท่านได้ช่วยกันประเมินว่าจะ “ไลค์” หรือ “ไม่ไลค์” ขณะนี้ได้มีการพูดคุย ตกลงกับกลุ่มผู้ให้บริการแท็กซี่แล้วว่า เมื่อมีการขึ้นราคาค่าโดยสารแล้ว การปฏิเสธผู้โดยสารจะต้องไม่เกิดขึ้นหรือเกิดขึ้นน้อยที่สุด อันนี้เป็นเรื่องสำคัญอันดับหนึ่งเลย เพราะปัญหาเรื่องปฏิเสธผู้โดยสารทุกวันนี้ที่เกิดขึ้น มีปัจจัยหลายๆ อย่างนะครับที่ทำให้แท็กซี่ต้องทำอย่างนั้น

เรื่องที่สอง คือเรื่องความสะอาด จะต้องมีความครบสมบูรณ์จาก Check List ของทางกรมฯ ที่ระบุไว้ ไม่ว่าจะเป็น เรื่องกลิ่น ความเย็นของแอร์ ความสะอาดของตัวรถภายใน เบาะ ที่นั่ง เข็มขัดนิรภัย ทั้งหมดนี้ต้องพร้อม ป้ายแสดงชื่อต้องชัดเจน ฯลฯ ทางเราได้พูดคุยเก่าทางแท็กซี่แล้ว เขาก็อยากพัฒนาเหมือนกัน เพราะฉะนั้น ที่จะทำได้แน่ๆ หลังจากขึ้นราคาก็คือ การแก้ปัญหาเรื่องการปฏิเสธผู้โดยสารและคุณภาพของผู้ขับรถแท็กซี่จะต้องดีขึ้นครับ



(ทั้ง 3 แอปฯ แท็กซี่ที่เข้าข่ายผิดกฎหมาย)

แต่ทั้งนี้ทั้งนั้น แอปพลิเคชันเป็นแค่เครื่องมือในการช่วยเรียกรถแท็กซี่เท่านั้นครับ ส่วนคุณภาพของตัวรถ คนขับรถ การให้บริการ จะเป็นอีกส่วนหนึ่งที่ทางกรมฯ ดูแลอยู่แล้วและกำลังเร่งพัฒนาต่อไปอีกครับ แอปฯ ตัวนี้น่าจะได้ทดลองและเริ่มใช้จริงประมาณต้นปีหน้า
ขณะนี้ สหกรณ์เครือข่ายผู้ให้บริการแท็กซี่ในระบบ เขาก็เร่งที่จะมีแอปพลิเคชันนี้ออกมาอยู่แล้ว ทางกรมฯ ก็แค่จะเป็นแหล่งรวมแอปพลิเคชันนั้นให้เองครับ ขณะนี้รถแท็กซี่ที่เป็นนิติบุคคลประมาณ 70,000 คัน ซึ่งเป็นจำนวนที่จะได้ใช้แอปฯ ตัวนี้ ส่วนผู้ประกอบการรายอื่นๆ ก็ถือเป็นกลุ่มบุคคลธรรมดาซึ่งทางกรมฯ กำลังพิจารณาอยู่ว่าจะให้บริการแบบไหน”


(อีกหนึ่งแอปฯ ที่ยังไม่ได้รับอนุญาต)



หลายคนคงอดสงสัยไม่ได้ว่า เหตุใดภาครัฐจึงต่อต้าน Uber Taxi หนึ่งในผู้ประกอบการผู้นำร่องการเอาแอปพลิเคชันมาใช้กับแท็กซี่ แต่สุดท้ายก็หันมาใช้ประโยชน์จากแอปฯ สร้างใหม่ในรูปแบบคล้ายกันนี้เสียเอง เกี่ยวกับเรื่องนี้ อธิบดีกรมการขนส่งทางบกยืนยันว่าไม่ได้จับจ้องหรือจับผิดผู้ประกอบการรายใดเป็นพิเศษ เพียงแค่ต้องทำหน้าที่สร้างมาตรฐานเดียวกันในสังคม ซึ่งรวมถึงการกำกับดูแล Grab Taxi และ Easy Taxi ด้วยเดียวกัน

“การกระทำผิดกฎหมายเกี่ยวกับผู้ให้บริการรายนี้ เป็นการฝ่าฝืนกฎหมายในการใช้รถผิดประเภท ทางกรมฯ ในฐานะผู้รับผิดชอบพระราชบัญญัตินี้ ก็ต้องทำหน้าที่กำกับดูแลและควบคุม เมื่อตรวจพบ เราก็ดำเนินการตามกฎหมายเท่านั้นเองครับ ซึ่งที่ผ่านมาก็เป็นแบบนี้ทุกรายนะครับ ถ้ามีการให้บริการในลักษณะเช่นนี้ออกมา ถ้าพบเห็นว่ามีการใช้รถผิดประเภท เราดำเนินการปราบปรามจับกุมอยู่แล้วครับ ก่อนหน้านี้ รถตู้ที่ใช้รถผิดประเภท เราก็ปราบปราม จับกุม เปรียบเทียบปรับแบบนี้เหมือนกัน



(Easy Taxi ก็ถูกเรียกเข้าพบ 9 ธ.ค.นี้เช่นกัน)


ส่วนทาง Grab Taxi กับ Easy Taxi เราก็ตรวจสอบเหมือนกันครับ ผลคือเขาเป็นการให้บริการบนแอปพลิเคชัน แต่เป็นการเรียกใช้รถแท็กซี่ในระบบครับ เป็นการเรียก “แท็กซี่ป้ายเหลือง” มาให้ผู้โดยสาร เพราะฉะนั้น ทางกรมฯ เลยไม่ได้ดำเนินการหรือรู้สึกขัดข้องอะไร เพียงแค่จะเร่งดำเนินการเรื่องกฎกระทรวงให้รองรับเรื่องแอปพลิเคชันในลักษณะนี้

ส่วนการดำเนินการของ Uber Taxi เป็นการดำเนินการที่ผิดกฎหมายในลักษณะการใช้รถผิดประเภท ทางกรมฯ จึงต้องเข้ามารักษากติกาตรงนี้ไว้ครับ เพราะไม่เช่นนั้น ความไม่เป็นธรรมในการให้บริการ ในการประกอบการในลักษณะเช่นนี้ จะเกิดขึ้นในสังคมเรา และจะทำให้มี 2 มาตรฐาน ซึ่งจะสร้างปัญหาในอนาคตให้กับสังคม ทางกรมฯ ก็เลยต้องดำเนินการ”




แท็กซี่ที่ดี = แท็กซี่ในระบบ
“แท็กซี่ที่มีความปลอดภัยต่อพี่น้องประชาชนที่ใช้บริการ แล้วก็ต้องมีคุณภาพที่ดีในการให้บริการ” คือคำจำกัดความของคำว่า “แท็กซี่ที่ดี” จาก ธีระพงษ์ รอดประเสริฐ อธิบดีกรมการขนส่งทางบก แต่เมื่อติดตามจากข่าวคราวที่เกิดขึ้นเกี่ยวกับแท็กซี่ตลอดช่วงที่ผ่านมา กลับมีแต่แท็กซี่มิเตอร์ถูกกฎหมายซึ่งอยู่ในความควบคุมของกรมฯ เท่านั้นที่ก่อปัญหา ยังไม่เคยเห็นว่าอาชญากรรมหรือเหตุร้ายเกิดขึ้นจากแท็กซี่นอกระบบที่กำลังถูกสังคมรุมประณามอยู่ตอนนี้เลยแม้เพียงครั้งเดียว เกี่ยวกับเรื่องนี้อธิบดีจึงขออธิบายเอาไว้ว่า


“ไม่ใช่ทั้งหมดนะครับที่มีคุณภาพแย่แบบนั้น แท็กซี่ที่อยู่ในระบบส่วนใหญ่ก็เป็นไปตามมาตรฐานการให้บริการ กิริยามารยาทก็ผ่านนะครับ มีเพียงส่วนหนึ่งเท่านั้นที่เป็นตามที่ถูกกล่าวหา ซึ่งเราก็มีการปราบปราม จับกุม เปรียบเทียบปรับไป จนถึงพักใช้ใบอนุญาตก็มี หรือยึดใบอนุญาตการขับขี่รถสาธารณะเลยก็มี ที่สำคัญ เรารับรองเรื่องความปลอดภัยได้มากกว่า เพราะก่อนที่ทางกรมฯ จะออกใบอนุญาตขับขี่สาธารณะให้ เราจะต้องตรวจประวัติอาชญากรรมก่อนอยู่แล้วครับ”

ส่วนเรื่องที่มีกระแสสังคมต่อต้านการปรับขึ้นมิเตอร์ที่เคยมีช่วงก่อนหน้านี้ เพราะผู้โดยสารส่วนใหญ่ไม่เชื่อว่าราคาที่เพิ่มขึ้นจะช่วยให้บริการดีขึ้นจริงอย่างที่ฝันไว้นั้น ผู้ดูแลเรื่องนี้อย่างอธิบดีกรมการขนส่งทางบกอยากขอโอกาสให้ได้ลองทำก่อน แล้วผลออกมาอย่างไรค่อยมาประเมินกัน

“อยากให้มองว่าเป็นเจตนารมณ์ร่วมกันนะครับ เรื่องที่หนึ่ง เราต้องการพัฒนาคุณภาพของคนขับและคุณภาพของแท็กซี่ ขณะนี้คุณภาพของคนขับรถแท็กซี่ค่อนข้างไม่อยู่ในเกณฑ์ที่ดี ทางกรมฯ ก็พยายามปรับปรุงอัตราค่าโดยสารให้ มั่นใจว่าเมื่อคุณภาพชีวิตของคนที่มีอาชีพขับรถแท็กซี่ดีขึ้น มาตรฐานคุณภาพบริการก็จะตามมา ต้องค่อยๆ ทำครับ นี่เป็นจุดเริ่มต้นที่เราจะก้าวไปข้างหน้า ส่วนอัตราราคาที่จะประกาศขึ้นก็ใช้อัตราที่บอกไว้แล้วครับ”

แม้ขณะนี้ทางกระทรวงคมนาคมจะขอสั่งเบรกการปรับขึ้นราคาเอาไว้ก่อน เนื่องจากรถแท็กซี่ที่ผ่านเงื่อนไขการปรับปรุงคุณภาพ ความปลอดภัยตัวรถ และมาตรฐานการบริการ ตามข้อกำหนดของกรมการขนส่งทางบก ยังมีสัดส่วนที่ต่ำกว่าเป้าหมายถึง 85 เปอร์เซ็นต์ แต่ทางอธิบดีกรมการขนส่งทางบกยืนยันว่าจะมีการปรับขึ้นราคาอย่างแน่นอน



ส่วนอัตราที่ว่านั้นคือ กำหนดให้ขึ้นราคาแท็กซี่เฉลี่ยอยู่ที่ 13 เปอร์เซ็นต์ โดยปรับขึ้นมิเตอร์ช่วงรถติด จากกิโลเมตรละ 1.50 บาท เป็น 2 บาท และปรับลดช่วงระยะทางในการนำมาคำนวณอัตราค่าโดยสาร จากเดิมจะคิดจากทุกๆ 12 กิโลเมิตร เปลี่ยนให้คิดเงินถี่ขึ้นเป็น ทุกๆ 10 กิโลเมตร ส่วนอัตราค่าโดยสารระยะเริ่มต้นระหว่าง 0-2 กิโลเมตร ให้คงไว้ที่ 35 บาทซึ่งเป็นอัตราเดิม นอกจากความเปลี่ยนแปลงเรื่องราคาที่จะเกิดขึ้นแล้ว ทางกรมการขนส่งทางบกยังรับรองอีกว่าจะมีการเปลี่ยนแปลงเรื่องความปลอดภัยเพิ่มขึ้นด้วย

“ขณะนี้ทางกรมฯ เองได้ตั้งศูนย์ประวัติผู้ขับรถสาธารณะเอาไว้นะครับ ข้อมูลของคนขับแท็กซี่ทุกคนจะถูกส่งเข้ามาที่ศูนย์ประวัติฯ เพื่อใช้ในการตรวจสอบ อันนี้เป็นอีกประเด็นหนึ่งที่เราทำ เรากำลังพยายามนำเอาระบบเทคโนโลยีสมัยใหม่มาใช้กับแท็กซี่ในระบบ เช่น ระบบเช็คอินในรถแท็กซี่ ถ้าผู้โดยสารเข้าไปนั่งในรถแท็กซี่ก็สามารถใช้สมาร์ทโฟนที่มีอยู่เชื่อมโยงข้อมูลของท่านกับข้อมูลของรถและคนขับมาไว้ที่กรมฯ เพื่อการตรวจสอบ เพราะฉะนั้น จะมีหน่วยงานหนึ่ง มีฐานข้อมูลชุดหนึ่งที่จะเก็บข้อมูลการเดินทางตรงนี้ไว้เป็นระบบออนไลน์ตลอดเวลา

อีกวิธีคือ Call Center “1584” ศูนย์คุ้มครองผู้โดยสารรถสาธารณะที่กรมฯ มีอยู่ในขณะนี้ ทางท่าน ผอ.ที่ดูแลตรงนี้กำหนดเกณฑ์เอาไว้เลยว่า จะดำเนินการเรื่องร้องเรียนที่เข้ามาให้แล้วเสร็จในทุกกรณีภายใน 12 ชั่วโมงหลังแจ้ง เราทำจริง ทำทันทีครับ จะเป็นอีกแนวทางหนึ่งที่จะช่วยแก้ปัญหาตรงนี้ ต้องขอเรียนพี่น้องประชาชนนะครับว่า ทางกรมฯ ถือว่าเรื่องความปลอดภัยในการใช้รถถือเป็นเรื่องที่สำคัญที่สุด หากเกิดเหตุไม่ว่ากรณีใด ทางกรมฯ ต้องเป็นผู้รับผิดชอบ



ส่วนทาง Uber นั้นก็คงต้องให้เข้ามาหารือกันครับ แต่หลักๆ คือเรื่องการใช้แอปพลิเคชันของเขา ทางกรมฯ ไม่ได้ขัดข้องครับ จะเร่งปรับกฎกระทรวงให้ ส่วนเรื่องการใช้รถ ก็ต้องมามองว่าทำอย่างไรให้รถที่ทาง Uber จะใช้บริการ จะสามารถเข้ามาอยู่ในระบบที่กรมฯ ควบคุมและตรวจสอบได้โดยไม่ฝ่าฝืนกฎหมายที่มีอยู่ โดยทางกรมฯ ได้เรียกทั้งทาง Uber Taxi, Grab Taxi และ Easy Taxi ให้เข้ามาชี้แจงรายละเอียดภายในวันที่ 9 ธ.ค.นี้ครับ”

เมื่อให้ช่วยเปรียบเทียบจุดแข็งและจุดอ่อนระหว่างแท็กซี่นอกระบบและในระบบให้เห็นกันชัดๆ อีกครั้งหนึ่ง ผอ.สำนักงานขนส่งกรุงเทพมหานครพื้นที่ 5 จึงช่วยไขข้อข้องใจให้กระจ่างว่า ที่คนส่วนใหญ่ในตอนนี้เห็นๆ กันอยู่ว่าการให้บริการของ Uber ดูดีมีมาตรฐาน แท้จริงแล้วกลับตาลปัตรหากมองให้ลึกถึงระบบกันจริงๆ

“ทางแอปฯ ของ Uber ไม่มีมาตรฐานนะครับ เพราะรถที่มาเข้าร่วม เขาไม่ได้เรียกร้องมาตรฐานอะไรมากมาย เขาเน้นแค่เรื่องความสะอาดกับรถที่ค่อนข้างใหม่เท่านั้น แต่การดูแลระยะยาว เขาดูมั้ย เขาไม่ดูนะ เพราะเขาไม่มีการตรวจสภาพ แต่รถในระบบของเรามีการตรวจสภาพทุกรอบ 6 เดือนเป็นอย่างน้อย รถบางคันอายุการใช้งานเกิน 7 ปีขึ้นไปจะกำหนดรอบการตรวจสภาพไว้เลยว่าทุก 4 เดือน แสดงว่ารถแท็กซี่ในระบบของเรามีการติดตามดูแลเรื่องสภาพรถอย่างต่อเนื่อง แต่ทาง Uber อาจจะดูแค่เป็นรถอะไรที่ลงทะเบียนกับเขาไว้ จากนั้นมอบไอแพดให้เครื่องหนึ่ง บอกวิธีการสื่อสาร ตกลงเรื่องเงินเรื่องทองแล้วเขาปล่อยเลยนะ ให้คุณไปบริหารธุรกิจกันเอาเอง แล้วก็ให้ผลประโยชน์คนขับ 80 เปอร์เซ็นต์

แต่ที่คนนิยมกัน อาจจะเป็นเพราะจุดแข็งของเขาเรื่องความสะอาด เพราะเขารู้ว่าจุดอ่อนของแท็กซี่ไทยคือเรื่องความสะอาด อย่างที่จะมีการพูดกันว่า “ทำให้สะอาดเหมือนรถแท็กซี่ญี่ปุ่น” รถใหม่มันสะอาดอยู่แล้วไงครับ ดูแลอีกนิดเดียวก็ดูดีแล้ว บวกกับเรื่องความสะดวกสบายของคน Gen-Y คนรุ่นใหม่สมัยนี้เขาจะไม่ไปยืนโบกรถ จะเรียกผ่านมือถือของเขา ซึ่งเป็นจุดแข็งของระบบ เพราะฉะนั้น จุดแข็งของ Uber จึงไม่ได้อยู่ที่ตัวรถ แต่อยู่ที่ความสะดวกสบาย มันสอดคล้องกันตรงที่ ผู้ใช้บริการจะไม่สนใจว่าคุณเอาป้ายอะไรมารับ สนใจแค่ว่าจะเดินทางโดยรถสาธารณะ เรียกได้สะดวก ดูผ่านแอปฯ ได้เลยว่ารถอยู่บริเวณไหนแล้ว และจะมาถึงภายในกี่นาที


ส่วนจุดแข็งของแท็กซี่มิเตอร์ในระบบของเราคือ เรามีระบบคุ้มครองผู้โดยสารที่ดี เรามีมาตรฐานเรื่องการออกใบขับขี่สาธารณะให้ คนที่จะขับขี่ตรงนี้ได้ นอกจากจะต้องผ่านการทดสอบจากกรมการขนส่งทางบกแล้ว ยังต้องผ่านการตรวจสอบประวัติอย่างถี่ถ้วนว่าคุณไม่มีประวัติอาชญากรรม ไม่ได้เพิ่งพ้นโทษออกมาหมาดๆ แต่ถ้าเป็นแท็กซี่นอกระบบ เขาจะตรวจสอบยังไง ทำไม่ได้หรอกครับ ที่สำคัญคือถ้าเป็นแท็กซี่ในระบบทำผิด จะถูกบันทึกประวัติเอาไว้ ใครกระทำผิดซ้ำซาก บทลงโทษก็จะแรงขึ้นๆ มันมีมาตรการของมันอยู่ พอทำผิดหนักข้อเข้าก็ให้เพิกถอนใบอนุญาตขับขี่สาธารณะ นี่คือวิธีคุ้มครองที่ทางหน่วยงานราชการดูแลรถในระบบได้

แต่ถ้าเป็นรถแท็กซี่นอกระบบ ไม่ว่าคนขับจะทำผิดกี่ครั้งก็ไม่มีประวัติ แล้วถามว่าสังคมจะปลอดภัยมั้ยถ้านั่งไปกับคนขับแท็กซี่แบบนั้น"

ข่าวโดย ASTVผู้จัดการ Live




 

Create Date : 03 ธันวาคม 2557   
Last Update : 3 ธันวาคม 2557 8:36:39 น.   
Counter : 2023 Pageviews.  

“Uber Taxi” ถูกใจแต่ผิดกฎหมาย ดีกว่าถูกกฎหมายแต่ไม่ได้ดั่งใจ!!?

“Uber Taxi” ถูกใจแต่ผิดกฎหมาย ดีกว่าถูกกฎหมายแต่ไม่ได้ดั่งใจ!!?
“ส่งรถ เติมแก๊ส ขับอ้อม มารยาทแย่ ฯลฯ” กับข้อแม้อีกมากมายที่สามารถพบเจอได้บ่อยๆ จากการใช้บริการ “แท็กซี่มิเตอร์ถูกกฎหมาย” แต่กลับไม่เจอปัญหาเหล่านี้เลยจากบริการ “Uber Taxi ที่ถูกตีตราว่าผิดกฎหมาย” ตาม พ.ร.บ. รถยนต์ พ.ศ. 2522 จึงทำให้หลายต่อหลายคนสนับสนุน “บริการผิดกฎหมายแต่ถูกใจ” มากกว่า “บริการไม่ได้ดั่งใจแต่ถูกกฎหมาย” ในขณะที่กรมการขนส่งทางบกยังไม่มีทางออกที่ลงตัวให้กับสังคม จึงถือเป็นโอกาสทองที่ผู้เชี่ยวชาญจะช่วยชี้ทางให้ตาสว่างกันเสียที!!




เป็นไปได้ไหม? ให้ “Uber” ถูกกฎหมาย

“ทำให้ถูกกฎหมายได้อยู่แล้วครับ!!” รศ.ดร.ธวัชชัย เหล่าศิริหงษ์ทอง ผู้อำนวยการศูนย์วิจัยและพัฒนาการจราจรและขนส่ง มหาวิทยาลัยเทคโนโลยีพระจอมเกล้าธนบุรี ประกาศกร้าวด้วยน้ำเสียงมั่นใจ ก่อนวิเคราะห์เจาะลึกลงรายละเอียดให้เข้าใจถึงแก่น

“อย่างรถตู้ป้ายดำที่มีตอนแรก จู่ๆ ทางรัฐบาลยังประกาศว่าให้เป็นรถตู้ที่ใช้ได้ตามปกติ ให้เปลี่ยนเป็นป้ายเหลืองได้เลย แต่จริงๆ แล้ว สำหรับผม การทำให้ถูกกฎหมาย เราไม่ควรไปทำลายจุดเด่นของเขา เราควรจะทำให้ถูกกฎหมายโดยการส่งเสริมให้เขาทำหน้าที่ช่วยให้คนเดินทางได้อย่างที่คนต้องการ ถ้ามองแบบนี้ก็เหมือนกับ Uber เข้ามาช่วยให้ทางราชการทำภารกิจบางอย่างนะ เพราะเขาสามารถจัดการกับบริการนี้ได้แบบถูกใจประชาชนเพียงแต่ยังไม่ถูกกฎหมาย และประเด็นที่มีอยู่ตอนนี้ก็คือ คนบางส่วนกำลังกังวลใจว่า Uber จะมาเป็นคู่แข่งของระบบรถแท็กซี่ปัจจุบันที่ถูกกฎหมายแต่ไม่มีคนชอบ

เพราะฉะนั้น ถ้าภาครัฐมาคุยกับ Uber เข้ามาช่วยจัดการให้เขาทำต่อไปให้ดีและทำแบบถูกกฎหมาย ซึ่งอาจจะไม่ได้ทำยากเลย เช่น จับทุกคันมาลงทะเบียน ต้องมีเลขประจำตัว และอาจจะมีเจ้าหน้าที่คอยตรวจติดตามบริการ ซึ่งต้องทำควบคู่ไปกับการช่วยดูแลแก้ปัญหากลุ่มแท็กซี่ปกติ ถ้ามีปัญหาเรื่องค่าโดยสารมันถูกไป ไม่คุ้ม รัฐบาลก็ต้องหาทางช่วย หรือปัญหาเรื่องประชาชนไม่ได้รับการบริการอย่างที่คาดหวัง ซึ่งความคาดหวังที่ว่านี้ ไม่ได้หมายความว่าจะต้องได้ผลที่เนี้ยบเหมือน Uber นะครับ มันคนละโมเดลกัน เรตค่าตอบแทนมันคนละแบบ

และที่สำคัญกว่านั้นคือ เราจะทำให้ถูกกฎหมายในประเด็นไหน ภาษาอังกฤษเรียกว่า Regulation คือการสร้างกฎระเบียบขึ้นมา ถ้าเราพูดถึงแท็กซี่ปกติ จะมีกฎกติกาตั้งขึ้นมาอยู่แล้วว่า จะต้องทาสีรถแบบนี้ ต้องมีการติดตั้งบัตรของคนขับแบบนี้ คนขับแท็กซี่ต้องแต่งกายแบบนี้ๆ นะ ระบบขนส่งสาธารณะมันจะมีตัวชี้วัดว่าสิ่งที่ควรจะเป็นคืออะไร และเราจะต้องไปสร้างกติกาตามนั้น

การบริการแท็กซี่มันคือการบริการสาธารณะสำหรับคนที่ต้องการความพิเศษในการเดินทาง เช่น ต้นทาง-ปลายทางนั้น เขาไม่มีรถเมล์วิ่งผ่าน หรือเขาต้องการอยู่ในสภาวะแวดล้อมที่เป็นส่วนตัว นั่งอยู่คนเดียวในแท็กซี่แล้วต้องการโทรศัพท์หรือทำธุระบางอย่างโดยใช้เวลาเทียบเท่ากับที่อยู่บนรถยนต์ เพราะฉะนั้น ความหมายของการมีแท็กซี่ มันมีข้อมาตรฐานที่บอกไว้ว่าการบริการของแท็กซี่คืออะไร


(ประกาศแน่ชัดว่า Uber ผิดกฎหมายจริง)


ผมเข้าใจว่าเกณฑ์การคัดเลือกตามระบบกฎหมายอาจจะไม่ได้เป็นตัวชี้วัดเรื่องการเป็นคนขับรถที่ดีได้ แต่ของ Uber เองเขาจะเข้าไปสร้างกลไกเรื่องการเลือกรถและคนขับของเขาเองเอาไว้ชัดเจนมาก และเกณฑ์ของเขามันส่งผลผลิตออกมาเป็นที่ถูกใจคน เหมือนอย่างเซเว่นอีเลฟเว่น เขาก็ไปคัดคนมาและจัดร้านแล้วมันถูกใจคน มันแปลว่ากลไกการจัดการที่คัดเรื่องรถเรื่องคนแล้วคลอดออกมาเป็นแท็กซี่มิเตอร์ธรรมดาทุกวันนี้ มันอาจจะเป็นกลไกการคัดเลือกที่อาจจะส่งผลให้ได้บริการที่ไม่ได้ถูกใจประชาชน

ถ้ากลับไปดูเรื่อง Uber Taxi จะรู้ว่าไม่ได้เกิดประเด็นนี้แค่ในประเทศเรานะครับ แต่เกิดขึ้นมาแล้วกับหลายๆ ประเทศ สิงคโปร์ก็มีเหมือนกัน มีกลุ่มคนขับแท็กซี่ปกติออกมาประท้วงกันแบบนี้แหละ ถามว่าในเมื่อมันไม่ถูกกฎหมายแต่ทำไมถึงเข้ามาเติบโตในไทยได้ เพราะกลไกของเทคโนโลยีครับ มันสามารถทำให้เกิดสิ่งเหล่านี้ได้โดยที่ข้ามหัวราชการไปเลย ลัดวงจรไปเลย แต่เมื่อกิจกรรมตัวนี้มันโตขึ้นระดับหนึ่ง มันก็ถึงเวลาที่ต้องถูกตรวจสอบ

อย่างกรณีปัญหาเรื่องแท็กซี่ทั้งหมดนี้ มันเหมือนมี Trigger (ตัวปัญหา) สะกิดว่าเราต้องมาจัดการมันนะ สำหรับกรณีนี้ Trigger ตัวแรกก็คือ “ผู้ประกอบการแท็กซี่ที่เสียผลประโยชน์” ตัวที่สองก็คือ “ประชาชนที่เรียกร้องให้มีบริการแบบนี้” และตัวสุดท้าย “เจ้าหน้าที่รัฐหรือผู้ตรวจการขนส่งที่คอยเฝ้าระวังการบริการเหล่านี้” ซึ่งต้นเหตุของการเกิดประเด็นนี้ขึ้นมาน่าจะเป็นฝั่งคนขับแท็กซี่ปกติ เหมือนที่เกิดปัญหาในสิงคโปร์เลยครับ รูปแบบเดียวกัน จากนั้นหน่วยงานราชการก็เลยต้องเข้ามาสร้างกติกากำกับ Uber ที่น่าสนใจคือ การเข้ามาสร้างกติกาของภาครัฐสิงคโปร์ เขาตั้งอยู่บนพื้นฐาน “การถือเอาประโยชน์สาธารณะเป็นที่ตั้ง” ก็เลยสามารถหาทางออกได้”




ถึงปรับขึ้นราคามิเตอร์ก็ห่วยอยู่ดี!!?

ตอนแรกมีความเคลื่อนไหวจากภาครัฐว่าอาจมีการปรับขึ้นอัตราราคามิเตอร์ของแท็กซี่ทั่วประเทศภายในวันที่ 1 ธ.ค. แต่พอถึงเวลาจริง กลับขอพักยกการพิจารณาเอาไว้ก่อน เกี่ยวกับประเด็นนี้ ผู้ใช้ขนส่งมวลชนประเภทนี้ต่างวิพากษ์วิจารณ์อย่างกว้างขวางว่า การปรับขึ้นราคาจะเกิดประโยชน์อะไร เชื่อว่าถึงปรับขึ้นไปก็ไม่ช่วยให้บริการดีขึ้นอยู่ดี!!? ผู้อำนวยการศูนย์วิจัยและพัฒนาการจราจรและขนส่ง มหาวิทยาลัยเทคโนโลยีพระจอมเกล้าธนบุรี จึงอยากให้ลองเปิดใจและให้โอกาสดูจะดีกว่า เพราะลองมองให้ลึกถึงต้นตอปัญหาจะพบว่า “ค่าตอบแทน” มีผลต่อปัญหาหลายๆ อย่างจริงๆ

“ถ้าคิดกันแบบนี้ก็คงไม่มีการพัฒนาการที่ดีขึ้นได้หรอกครับ คงจะต้องให้โอกาสทางแท็กซี่ได้พัฒนาตัวเองนะ ผมคิดว่าเขาก็มีกลุ่มที่พยายามพัฒนาตัวเอง และผมคิดว่าเราไม่ควรไปกังวลกับกรณีของ Uber เพราะถ้ามีออปชั่นของแท็กซี่แบบพิเศษอยู่ คนขับแท็กซี่ปกติก็น่าจะแปลงกายไปทำแท็กซี่แบบพิเศษได้ด้วย หรือถ้าแปลงกายลำบาก ทางราชการก็อาจจะต้องมีการจัดระบบกำกับดูแลเพื่อให้เขาสามารถทำได้

ผมคิดว่าแท็กซี่ธรรมดาถูกกว่า Uber แน่นอน และตอนนี้มันมีความพยายามที่จะต่อยอดจะแท็กซี่ธรรมดาออกมาอีก เป็นแอปพลิเคชัน 2 ตัวที่ออกมา เป็นคู่แข่ง Uber คือ “Easy Taxi” กับ “Grab Taxi” ซึ่งจะบวกค่าบริการจากอัตราธรรมดาเข้าไปอีก 20 บาท ทำคล้ายๆ Uber เลยครับ เป็นการจับคู่ระหว่างผู้ใช้บริการกับผู้ให้บริการผ่านแอปพลิเคชัน สามารถตรวจสอบได้ว่าแท็กซี่คันที่มารับป้ายทะเบียนอะไร คนขับคือใคร ตกลงกันไว้แล้วว่าจะรับที่ต้นทางและปลายทางที่ไหน แล้วก็เก็บค่าโดยสารตามมิเตอร์ เป็นบริษัทเอกชนเข้ามาช่วยจัดการกับแท็กซี่


(Grab Taxi อีกแอปพลิเคชันที่ช่วยเติมช่องว่าง ปัญหาแท็กซี่)


บริการ Easy Taxi กับ Grab Taxi เป็นบริการเหมือน Call Center ทำหน้าที่รับโทรศัพท์จองแท็กซี่ให้ผู้โดยสาร และทำโดยไม่ผิดกฎหมาย แต่ถ้ามาเทียบกับ Uber แล้ว มันจะมีจุดเด่นจุดด้อยกันคนละแบบ ที่เห็นได้ชัดเลยคือรถของ Uber จะเป็นรถที่มีคุณภาพดีขึ้น เช่น Toyota Camry เทียบกับแท็กซี่ทั่วไปก็อาจจะเป็น Toyota Altis เป็นรถคนละเกรดกัน และลักษณะการให้บริการก็จะต่างกัน ถ้าเป็น Uber จะมีการบริการที่มากกว่าให้ เช่น มีน้ำเตรียมไว้ให้ในรถ มีท็อฟฟี่ให้ด้วย และคนขับก็ดูมีรูปร่างหน้าตาและการแต่งกายที่ดูภูมิฐาน

เพราะฉะนั้น Grab Taxi กับ Easy Taxi จะไม่เหมือนกันเสียทีเดียว เพราะทั้งสองอย่างนี้ เขาแค่เข้าไปจัดการช่องทางในการเจอลูกค้าผ่านแอปพลิเคชัน แต่ผู้บริการอาจจะยังต้องไปเจอกับแท็กซี่และคนขับแท็กซี่ หรืออะไรก็ตามที่ยังคงเป็นสิ่งที่เกิดขึ้นได้ในแท็กซี่ปกติ ในขณะที่ Uber จะมาเป็นเหมือนแพกเกจใหม่ ก็เหมือนกับร้านโชห่วยกับร้านเซเว่นอีเลฟเว่น จะมีการจัดการกับสินค้าหลายๆ อย่างที่แตกต่างกัน เขาเรียกว่าเป็นการจัดการแบบ Total Service มันมีมิติของการออกแบบ

Uber อาจจะกำหนดไว้ว่าถ้าอยากจะเข้าร่วมเครือข่ายการบริการเดียวกับเขา คุณจะต้องมีคุณสมบัติแบบนี้ๆ และมีกระบวนการในการกำกับดูแลควบคุมกันเอง ในขณะที่แท็กซี่ปกติจะมีมาตรฐานการควบคุมซึ่งกำหนดขึ้นโดยกรมการขนส่งทางบกและหัวหน้ากลุ่ม เช่น สหกรณ์แท็กซี่


แต่ผมไม่ได้มองว่าต้องยุติ Uber หรือให้ Grab Taxi กับ Easy Taxi เข้ามาจัดการกับแท็กซี่ทั้งหมด เพื่อให้ระดับทัดเทียมกับ Uber นะ เพียงแค่ต้องปล่อยให้แต่ละระบบทำหน้าที่ของมันไป แล้วเข้าไปควบคุมให้เป็นไปตามครรลองของกฎหมายเท่านั้นเอง

คงต้องเข้าไปควบคุมให้แต่ละระบบดีขึ้นด้วยตัวของมันเอง คือระบบเหล่านี้ถูกสร้างขึ้นมาเพื่อช่วยการเดินทางของประชาชนให้ดีขึ้น เช่น ถ้าประชาชนไม่ยินยอมให้แท็กซี่ปรับขึ้นราคา รัฐบาลก็ต้องหาทางช่วยแท็กซี่ทางอื่น เช่น อาจจะไม่ต้องให้เสียภาษี หรือซื้อรถมาทำแท็กซี่ได้ราคาถูกกว่าชาวบ้าน มีสวัสดิการพิเศษให้แท็กซี่ เพื่อให้พวกเขาสามารถช่วยทำหน้าที่รับส่งคนให้เป็นไปตามที่รัฐบาลตั้งใจเอาไว้ได้ อาจจะคล้ายๆ กับระบบ “รถเมล์ฟรีจากภาษีประชาชน” อันนั้นรัฐบาลก็จ้างวิ่งเหมือนกัน”




2 หน่วยงานที่ปฏิรูปแล้วประเทศพัฒนา!!
“อยากให้มาดูว่าเราจะแก้ปัญหาแท็กซี่โดยรวมได้ยังไง และสิ่งที่มีอยู่ในปัจจุบันที่บอกว่าถูกกฎหมาย เป็นกติกา ตรงตามเงื่อนไขที่เคยสร้างไว้ เราควรจะเปลี่ยนแปลงตรงนี้ยังไงได้บ้างเพื่อให้เราก้าวไปสู่อีกสเต็ปหนึ่งที่พัฒนาขึ้น

แท็กซี่ในปัจจุบันถือเป็นผู้ได้รับเคราะห์กรรมจากกระบวนการของภาครัฐ เขาอยู่ในสถานภาพนี้ก็เพราะการจัดการของภาครัฐไม่ชักนำไปสู่จุดที่ควรจะเป็น เพราะฉะนั้น ผมคิดว่ารัฐบาลควรจะกลับไปทำรถเมล์ให้ดี คนจะได้ไม่ต้องมาพึ่งแท็กซี่เป็นหลัก นี่ไม่ได้หมายความว่าผมต้องการทำลายระบบแท็กซี่นะครับ แต่ถ้าจัดการได้แบบนี้ ต่อไปแท็กซี่จะได้ไม่ส่งผลกระทบต่อคนจำนวนมากอย่างที่เป็นอยู่ แค่ขึ้น 1 สตางค์ คนจำนวนมากก็เดือดร้อนแล้ว คนก็เลยไม่ยอม เพราะจริงๆ แล้วคนเหล่านี้ควรจะไปใช้รถเมล์ที่มีคุณภาพที่รัฐบาลจัดให้แล้ว

ถามว่าจะทำยังไงให้มาตรฐานแท็กซี่ทั่วไปในบ้านเราได้มาตรฐานเหมือนทั่วโลก ประการแรกเลย เราคงต้องแก้ที่ตัวระบบแท็กซี่ครับ และประการที่สองคือ เราต้องแก้เรื่องระบบรถโดยสารประจำทางด้วย คือมันเป็นของสองอย่างที่ต้องมาคู่กันครับ ถ้าพูดถึงการเดินทางของคนส่วนใหญ่ว่าควรจะโดยสารด้วยรถอะไร ก็ควรจะเป็นรถประจำทาง แต่แท็กซี่ควรจะเป็นการเดินทางของคนส่วนน้อย เป็นเรื่องของความจำเป็นเฉพาะกลุ่ม ถ้าคิดแบบนี้ก็จะทำให้แยกได้ชัดเจนว่าราคาค่าบริการแท็กซี่จะแตกต่างจากขนส่งสาธารณะที่คนส่วนใหญ่ใช้ทั่วไปนะ คือต้องยอมรับว่าเมื่อมันพิเศษ มันก็ต้องมีราคาสูงกว่าบริการแบบอื่น

แต่ทุกวันนี้ แท็กซี่เหมือนอยู่ตรงกลางระหว่างของถูกกับของแพง ทำให้เขาทำตัวให้พอดีไม่ได้ ถามว่าเราจะแก้ปัญหาแท็กซี่ให้หลุดยังไง เราก็ต้องไปปรับรถประจำทางให้ดี แล้วก็ค่อยเด้งกลับมาเรื่องแท็กซี่ ภายใต้บริบทกรุงเทพฯ ที่คนพูดถึงปัญหาแท็กซี่กันเยอะก่อนแล้วกันนะครับ เพราะจริงๆ แล้วยังมีปัญหาอีกหลายแบบเกี่ยวกับแท็กซี่ที่พัทยาอีกที่มีเรื่องมาเฟียแท็กซี่ ดังนั้น ถ้าจะแก้ปัญหาแท็กซี่ให้ได้ผลจริงๆ จึงไม่ควรมีรูปแบบเดียว ควรจะแบ่งเป็นโครงสร้างหลายรูปแบบ และรัฐบาลก็ควรเป็นฝ่ายสร้างเงื่อนไขให้เกิดการเปลี่ยนแปลงด้วย

ปัญหามันซับซ้อนครับ เหมือนกับปัญหารถติดในกรุงเทพฯ นั่นแหละ มันไม่ใช่แค่ควบคุมไม่ให้คนไปซื้อรถ หรือใช้ตำรวจจราจรมาจับกุมแล้วปัญหาจะหมดไป แต่ต้องพูดถึงเรื่องการทำรถไฟฟ้า รถเมล์ การบริการจัดการผังเมืองใหม่ มันเป็นปัญหาของปัญหา ปัญหาเชิงระบบ



จะว่าไปการเกิด Uber มันก็ไม่ต่างไปจากการเกิดขึ้นของรถตู้เท่าไหร่นะครับ ที่แท็กซี่ธรรมดากำลังถูก Uber เข้ามาแทรกแซง มันก็เหมือนที่รถตู้เข้าไปแทรกแซงลูกค้าของรถประจำทางนั่นแหละ นึกออกมั้ยครับ หมายความว่าถ้าคุณจะจัดการกับ Uber บอกว่าไม่ควรมี นั่นหมายความว่าคุณควรทำลายบริการรถตู้ทั้งระบบด้วย

ทุกวันนี้ปัญหาเรื่องแท็กซี่แก้ยากเพราะยังมีคนจำนวนมากต้องใช้แท็กซี่อยู่ ปัญหาแท็กซี่มันมาจากความล้มเหลวจากปัญหารถโดยสารประจำทาง และลองสังเกตดูนะครับ คนที่ให้บริการรถสาธารณะทั้งหมดจะลำบากเดือดร้อนกันหมดเลย คือ เงินน้อย รถเก่า แถมยังถูกด่าทุกวัน ฯลฯ

ในขณะที่รัฐบาลกำลังมองไปข้างหน้าในเรื่องการสร้างรถไฟหลายล้านล้าน แต่การให้บริการด้านขนส่งมวลชนแก่ประชาชนในชีวิตประจำวันกลับล้มเหลว ทำไมไม่เห็นมีใครออกมาพูดเรื่อง ขสมก. ทำไมไม่มีใครพูดถึงเรื่องการบริการรถสาธารณะแบบใหม่ พอมีแสงปลายอุโมงค์ที่เรียกว่า Uber ออกมาก็เลยกลายเป็นประเด็นใหญ่เลย

ประเทศไทยเราถ้าจะปฏิรูปประเทศให้ดีขึ้นได้ ต้องปฏิรูป “กรมการขนส่งทางบก” กับ “ตำรวจ” นี่แหละครับ ประเทศถึงจะเจริญได้ เพราะเป็นหน่วยงานที่ส่งผลต่อชีวิตความเป็นอยู่ของประชาชนจำนวนมาก ถ้าสามารถปรับ 2 หน่วยงานนี้ได้ คุณภาพชีวิตของคนในประเทศเราจะดีขึ้นอย่างเห็นได้ชัดแน่นอนครับ”

ข่าวโดย ASTVผู้จัดการ Live




 

Create Date : 02 ธันวาคม 2557   
Last Update : 2 ธันวาคม 2557 7:35:11 น.   
Counter : 2503 Pageviews.  

นักโบราณคดีคาดโบราณวัตถุที่ยึดได้จาก “พงศ์พัฒน์” บางชิ้นเก่ากว่า 1,200 ปี ผู้ครอบครองมีโทษจำคุก

นักโบราณคดีคาดโบราณวัตถุที่ยึดได้จาก “พงศ์พัฒน์” บางชิ้นเก่ากว่า 1,200 ปี ผู้ครอบครองมีโทษจำคุก
สำนักพิพิธภัณฑสถานแห่งชาติ ประชุมหารือเกี่ยวกับทรัพย์สินที่ยึดได้จากการกระทำความผิดของ “พงศ์พัฒน์” ที่จัดส่งมาให้ประมาณ 20,000 รายงาน คาดต้องใช้เวลาตรวจสอบนานกว่า 2 เดือน ระบุจากการดูด้วยตาเปล่าบางชิ้นอาจมีอายุเก่าสุดกว่า 1,200 ปี หากไม่ใช่ของที่ทำเลียนแบบขึ้นมาใหม่ ยันให้ครอบครองวัตถุศตวรรษที่ 12 ถือว่ามีความผิด พ.ร.บ.ครอบครองโบราณวัตถุโทษจำคุก 5 ปี


       วันนี้ (28 พ.ย.) ที่สำนักพิพิธภัณฑสถานแห่งชาติ นายบวรเวท รุ่งรุจี อธิบดีกรมศิลปากร พร้อมด้วยนายสมชาย ณ นครพนม ผู้เชี่ยวชาญเฉพาะด้านโบราณคดี (โบราณคดีและพิพิธภัณฑ์) นายสหภูมิ ภูมิธฤติรัฐ ผู้อำนวยการสำนักพิพิธภัณฑสถานแห่งชาติ และนางพัชรินทร์ ศุขประมูล หัวหน้ากลุ่มทะเบียนคลัง พิพิธภัณฑ์และสารสนเทศ สำนักพิพิธภัณฑสถาน แถลงการเกี่ยวกับกรณีที่กองบัญชาการตำรวจนครบาล (บช.น.) มีหนังสือถึงผู้อวยการสำนักพิพิธภัณฑสถานแห่งชาติ ขอให้ส่งเจ้าหน้าที่เข้าร่วมพิสูจน์ทรัพย์สินที่ยึดได้จาก พล.ต.ท.พงศ์พัฒน์ ฉายาพันธุ์ พร้อมพวก โดยจากการตรวจสอบของกลางในส่วนที่เกี่ยวข้องกับกรมศิลปากรในเบื้องต้น สรุปได้ดังนี้

       1. ประเภทของกลางตามชนิดวัตถุ ประกอบด้วย ประติมากรรม ทำด้วยวัสดุทั้งโลหะ ไม้ และหิน เช่น พระพุทธรูป เทวรูป ภาพแกะสลัก, เครื่องปั้นดินเผา ประเภทเครื่องถ้วย และภาพเขียน

       2. ประเภทของกลางตามรูปแบบศิลปะและอายุสมัย โบราณวัตถุที่มีคุณค่าทางประวัติศาสตร์ศิลปะแบบไทย ส่วนใหญ่เป็นพระพุทธรูปทำด้วยโลหะและไม้ ตั้งแต่สมัยอยุธยาตอนปลายจนถึงสมัยรัตนโกสินทร์ ประมาณพุทธศตวรรษที่ 23-25 อาจรวมทั้งเครื่องปั้นดินเผาประเภทเครื่องถ้วย และอื่นๆ ซึ่งยังไม่ได้ตรวจสอบ, ศิลปวัตถุที่ทำด้วยฝีมือประณีตตามรูปแบบศิลปะต่างประเทศ เช่น เทวรูป และภาพสลักหินแบบศิลปะเขมร รูปเทพเจ้าแบบศิลปะจีน รูปสลักหินอ่อนแบบศิลปะตะวันตก รูปสลักศิลปะอินเดีย พระพุทธรูปศิลปะพม่า บางรายการอาจเป็นโบราณวัตถุด้วย บางรายอาจเป็นของทำเลียนแบบหรือจำลอง

       นายบวรเวทกล่าวว่า ในเบื้องต้นฝ่ายทหารและตำรวจได้จัดทำบัญชีและภาพถ่ายโบราณวัตถุ ศิลปวัตถุทั้งหมดที่ยึดได้จำนวนไม่ต่ำกว่า 20,000 รายการไว้เป็นหลักฐานแล้ว โดยจะประสานขอความร่วมมือจากกรมศิลปากรดำเนินการ ดังนี้ 1. ตรวจพิสูจน์แยกประเภทและจัดทำบัญชีรายละเอียดโบราณวัตถุ ศิลปะวัตถุพร้อมประเมินราคา 2. ส่วนของกลางที่เป็นโบราณวัตถุ จะฝากกรมศิลปากรช่วยเก็บรักษาจนกว่าคดีจะสิ้นสุด 3. ขอให้คณะเจ้าหน้าที่มาร่วมปฏิบัติงานกับเจ้าหน้าที่ของสำนักงานป้องกันและปราบปรามการฟอกเงิน (ปปง.) ร่วมไปถึงฝ่ายทหารและตำรวจ ควรให้แล้วเสร็จเดือนมกราคม 2558

       นายบวรเวทกล่าวต่อว่า นอกจากจะเริ่มตรวจสอบของที่ยึดได้แต่ละชิ้นว่ามีชิ้นใดบ้างที่ไม่ควรครอบครอง เช่น เทวรูปหินทราย มีโค้งวงยึดไว้กับฐาน ถ้าเป็นของจริงจะถือว่าเป็นชิ้นที่เก่าและมีคุณค่ามาก เนื่องจากเป็นของศตวรรษที่ 12 ไม่ควรมีไว้ในครอบครองจะถือว่ามีความผิด พ.ร.บ.ครอบครองโบราณวัตถุ ปรับไม่เกิน 5 แสน จำคุกไม่เกิน 5 ปี ซึ่งในกรณีของโบราณวัตถุนั้นมีเป็นแสนชิ้นที่ถูกขึ้นทะเบียนไว้ และหากของชิ้นใดที่มีโบราณวัตถุขึ้นทะเบียนไว้หายไปก็สามารถส่งหลักฐานเข้ามาเพื่อตรวจสอบได้ หากพบว่าเป็นชิ้นเดียวกับที่แจ้งหายไว้ก็จะจัดส่งคืนทันที เช่นเดียวกับโบราณสถานบางชิ้นที่อาจเป็นของต่างชาติ หากพบว่าถูกโจรกรรมหากไปก็สามารถส่งหลักฐานมายืนยันได้ จะมีการจัดส่งคืนไปให้ เนื่องจากบางชิ้นเมื่อดูด้วยตาเปล่าก็สามารถคาดได้ว่าจะเป็นงานศิลปะของต่างชาติ เพราะฝีมือช่างจะต่างจากคนไทยอย่างเห็นได้ชัด ขอให้มั่นใจได้ว่าโบราณวัตถุทุกชิ้นจะมีการตรวจอย่างมีมาตราฐาน เพราะเรามีผู้เชี่ยวชาญโดยเฉพาะเป็นผู้ตรวจสอบ

       นายบวรเวทกล่าวอีกว่า เบื้องต้นจากที่เห็นของบางชิ้นน่าจะมีอายุเก่าสุดกว่า 1,200 ปี หากไม่ใช่ของที่ทำเลียนแบบขึ้นมาใหม่พวกนี้จะมูลค่ามากขึ้น เมื่อดูจากอายุ ความนิยม ความต้องการในตลาด ทั้งนี้คาดว่าจะใช้เวลาตรวจสอบประมาณ 2 เดือน หรือมากกว่านั้นจึงจะแล้วเสร็จ เมื่อตรวจสอบแล้วจะมีการขึ้นทะเบียนให้ชมในเว็บไซต์ของพิพิธภัณฑสถานแห่งชาติ เพื่อให้ประชาชนเข้ามาตรวจสอบว่าเป็นโบราณวัตถุที่หายไปหรือไม่

       เมื่อผู้สื่อข่าวถามว่า ของบางชิ้นอาจเป็นของที่ถูกโจรกรรมมา หรือเป็นของที่ถูกซื้อผ่านร้านขายของเก่า สามารถตรวจสอบได้หรือไม่ และมีมาตราการการควบคุมร้านขายของเก่าอย่างไรบ้าง นายบวรเวทตอบว่า สามารถตรวจสอบได้ว่าเป็นของที่ถูกซื้อผ่านร้านค้าของเก่าหรือโจรกรรมมา เนื่องจากการเปิดร้านค้าของเก่าต้องมีการขออนุญาตจึงจะสามารถเปิดได้อย่างถูกกฎหมาย นอกจากนี้ยังต้องทำบัญชีว่าได้ของเก่าชิ้นนั้นมาอย่างไร ขายทอดไปสู่ผู้ใดต้องมีการระบุชัดเจน อย่างไรก็ตาม ขอประชาสัมพันธ์ให้ประชาชนรับทราบว่า สามารถเริ่มเข้ามาแจ้งที่สำนักพิพิธภัณฑสถานแห่งชาติ ได้ทันทีหากสงสัยว่าจะมีโบราณวัตถุที่หายไปอยู่ในของกลางที่ยึดไว้ จะทำการตรวจสอบให้ทันที เพราะขณะที่หลังจากมีข่าวออกไปว่ามีการตรวจยึดของกลางก็มีประชาชน 2-3 รายที่แจ้งเข้ามาแล้วว่ามีโบราณวัตถุที่หายไปอยู่ด้วย

นักโบราณคดีคาดโบราณวัตถุที่ยึดได้จาก “พงศ์พัฒน์” บางชิ้นเก่ากว่า 1,200 ปี ผู้ครอบครองมีโทษจำคุก


นักโบราณคดีคาดโบราณวัตถุที่ยึดได้จาก “พงศ์พัฒน์” บางชิ้นเก่ากว่า 1,200 ปี ผู้ครอบครองมีโทษจำคุก


นักโบราณคดีคาดโบราณวัตถุที่ยึดได้จาก “พงศ์พัฒน์” บางชิ้นเก่ากว่า 1,200 ปี ผู้ครอบครองมีโทษจำคุก


นักโบราณคดีคาดโบราณวัตถุที่ยึดได้จาก “พงศ์พัฒน์” บางชิ้นเก่ากว่า 1,200 ปี ผู้ครอบครองมีโทษจำคุก


นักโบราณคดีคาดโบราณวัตถุที่ยึดได้จาก “พงศ์พัฒน์” บางชิ้นเก่ากว่า 1,200 ปี ผู้ครอบครองมีโทษจำคุก


นักโบราณคดีคาดโบราณวัตถุที่ยึดได้จาก “พงศ์พัฒน์” บางชิ้นเก่ากว่า 1,200 ปี ผู้ครอบครองมีโทษจำคุก


นักโบราณคดีคาดโบราณวัตถุที่ยึดได้จาก “พงศ์พัฒน์” บางชิ้นเก่ากว่า 1,200 ปี ผู้ครอบครองมีโทษจำคุก


นักโบราณคดีคาดโบราณวัตถุที่ยึดได้จาก “พงศ์พัฒน์” บางชิ้นเก่ากว่า 1,200 ปี ผู้ครอบครองมีโทษจำคุก


นักโบราณคดีคาดโบราณวัตถุที่ยึดได้จาก “พงศ์พัฒน์” บางชิ้นเก่ากว่า 1,200 ปี ผู้ครอบครองมีโทษจำคุก


นักโบราณคดีคาดโบราณวัตถุที่ยึดได้จาก “พงศ์พัฒน์” บางชิ้นเก่ากว่า 1,200 ปี ผู้ครอบครองมีโทษจำคุก


นักโบราณคดีคาดโบราณวัตถุที่ยึดได้จาก “พงศ์พัฒน์” บางชิ้นเก่ากว่า 1,200 ปี ผู้ครอบครองมีโทษจำคุก
(แฟ้มภาพ)


นักโบราณคดีคาดโบราณวัตถุที่ยึดได้จาก “พงศ์พัฒน์” บางชิ้นเก่ากว่า 1,200 ปี ผู้ครอบครองมีโทษจำคุก
(แฟ้มภาพ)


นักโบราณคดีคาดโบราณวัตถุที่ยึดได้จาก “พงศ์พัฒน์” บางชิ้นเก่ากว่า 1,200 ปี ผู้ครอบครองมีโทษจำคุก
(แฟ้มภาพ)




 

Create Date : 29 พฤศจิกายน 2557   
Last Update : 29 พฤศจิกายน 2557 7:48:19 น.   
Counter : 1806 Pageviews.  

InPics & Clips : ช็อปคลั่ง"แบล็คฟรายเดย์"ระบาดถึงอังกฤษ ตบตีแย่งซื้อสินค้าราคาลดกระหน่ำ

  รอยเตอร์ - ตำรวจอังกฤษถูกเรียกไปยังห้างร้านต่างๆทั่วประเทศในวันศุกร์(28พ.ย.) ขณะที่ประเพณีช็อปปิ้งอย่างบ้าคลั่งแบบอเมริกันในวัน "แบล็คฟรายเดย์" แผ่ลามข้ามมหาสมุทรแอตแลนติก ด้วยผู้คนเบียดเสียดและตบตีกันเพื่อให้ได้มาซึ่งสินค้าในราคาลดกระหน่ำ
       
       ในปีนี้ถือเป็นครั้งแรกที่ผู้ค้าปลีกเกือบทั้งหมดของอังกฤษ ไม่ว่าจะเป็นห้างร้านหรือทางออนไลน์ อ้าแขนรับโปรโมชันลดกระหน่ำ "แบล็คฟรายเดย์" อย่างเต็มรูปแบบตามอย่างชาติลูกพี่ลูกน้องที่อยู่อีกฟากฝั่งแอตแลนติก
       
       หนึ่งวันหลังจากวันหยุดเทศกาลขอบคุณพระเจ้าของสหรัฐฯ ซึ่งตรงกับวันพฤหัสบดีที่ 4 ของเดือนพฤศจิกายน ในอเมริกาจะมีโปรโมชันพิเศษในช่วงเริ่มต้นฤดูกาลช้อปปิ้งคริสต์มาส โดยในวันนี้ ห้างร้าน แบรนด์เนมชั้นนำในอเมริกาจะพร้อมใจกันจัดโปรโมชั่นลดกระหน่ำขายของลดราคา ราคาถูกแบบโล๊ะสต๊อก ถูกที่สุดในรอบปี มีลดมากตั้งแต่ 50-90 เปอร์เซนต์ เรียกได้ว่าเป็นวันที่คนอเมริกันตั้งตารอคอยคงไม่ผิดนัก

InPics & Clips : ช็อปคลั่งแบล็คฟรายเดย์ระบาดถึงอังกฤษ ตบตีแย่งซื้อสินค้าราคาลดกระหน่ำ
       ส่วนในอังกฤษ ด้วยที่ไม่มีวันขอบคุณพระเจ้า ผู้คนจึงไม่มีเหตุผลต้องสนใจวันนี้ จนกระทั่งอะเมซอน บริษัทยักษ์ใหญ่ค้าปลีกทางออนไลน์ได้นำเข้าแผนโปรโมชันพิเศษ "แบล็คฟรายเดย์" ข้ามแอตแลนติกเข้ามาในปี 2010
       
       เมื่อปีที่แล้ว ถือเป็นครั้งแรกที่กลุ่มห้างร้านใหญ่ๆของอังกฤษ อย่างเช่น จอห์น ลูอิส, ดิ๊กสันส์ และแอสดาของวอล-มาร์ต เข้าร่วมอย่างจริงจัง ขณะที่ในปีนี้พบเห็นจำนวนบริษัทห้างร้านต่างๆเข้าร่วมเพิ่มขึ้นอย่างมาก และน่าจะเกินครึ่งของภาคค้าปลีกอังกฤษเลยทีเดียว
       
       ซูเปอร์มาร์เก็ตชั้นนำอย่างเทสโก เสื้อผ้าแบรนด์ดังมาร์คส์แอนด์สเปนเซอร์ รวมถึงดิ๊กสันส์ บริษัทเครื่องใช้ไฟฟ้าและอาร์กอส ก็จัดโปรโมชันลดกระหน่ำครั้งใหญ่อย่างที่ไม่เคยเกิดขึ้นมาก่อน ส่วนอื่นๆอย่าง เซนส์บิวรีส์ ก็เข้าร่วมแบล็คฟรายเดย์เป็นครั้งแรก ขณะที่การขายของลดราคาในวัน"แบล็คฟรายเดย์" ยังพบเห็นในอีกหลายประเทศ ไม่ว่าจะเป็นสเปน ฝรั่งเศสและเดนมาร์ก

InPics & Clips : ช็อปคลั่งแบล็คฟรายเดย์ระบาดถึงอังกฤษ ตบตีแย่งซื้อสินค้าราคาลดกระหน่ำ
       ตำรวจถูกเรียกเข้าควบคุมฝูงชนที่รวมตัวกันตอนกลางคืนในลอนดอน แมนเชสเตอร์ คาร์ดิฟฟ์และกลาสโกว์ เพื่อแย่งกันซื้อสินค้าราคาถูก ไม่ว่าจะเป็นโทรทัศน์ เครื่องครัวและเสื้อผ้า จนเกิดกระทบกระทั่งกันและมีผู้ควบคุมตัวไป 3 วันที่ห้างเทสโกในเมืองแมนเชสเตอร์ ขณะที่เจ้าหน้าที่ยังได้รับแจ้งเหตุให้ไปยังห้างร้านอื่นๆอีก 4 แห่งในพื้นที่ด้วย
       
       "เหตุการณ์ทำนองนี้พอที่จะทำนายได้อยู่แล้ว และผมรู้สึกผิดหวังมากที่ห้างร้านต่างๆไม่มีเจ้าหน้าที่รักษาความปลอดภัยเพียงพอที่จะดูแลความสงบเรียบร้อย" ผู้บัญชาการตำรวจเกรทเตอร์ แมนเชสเตอร์กล่าว
       
       ผู้คนเริ่มมาต่อแถวที่ซูเปอร์สโตร์ของแอสดา ที่เวมบลีย์ ทางเหนือของลอนดอน ตั้งแต่ตี 5 ทั้งที่ประตูเปิดตอน 8.00น.ตามเวลาท้องถิ่น และผ่านไปเพียงชั่วโมงเดียว สินค้าที่ขายที่ดีสุดของห้างก็จำหน่ายหมดแล้ว "คนที่ต่อแถวอยู่หน้าเราชกต่อยกัน" คริสตินา บัตตส์ วัย 44 ปีเล่า พร้อมบอกว่าสุดท้ายเธอก็พลาดทีวีโพลารอยด์ 40 นิ้วและเอ็กซ์บ็อกซ์ เนื่องจากมาช้าเกินไป

InPics & Clips : ช็อปคลั่งแบล็คฟรายเดย์ระบาดถึงอังกฤษ ตบตีแย่งซื้อสินค้าราคาลดกระหน่ำ
       เมื่อทีวีเครื่องสุดท้ายที่ลดราคา 50 เปอร์เซ็นต์ เหลือแค่ 299 ปอนด์(ราว 15,000บาท) ถูกขายออกไป พนักงานของห้างก็ยกมันขึ้นและตะโกนว่า "มันถูกขายไปแล้ว และตอนนี้สินค้าของเราหมดแล้ว"
       
       แม้สินค้าจะขายดีเป็นเทน้ำเทท่าแต่ประเด็นกำหนดวัน "แบล็ค ฟรายเดย์" ด้วยเหตุผลทางการค้าของเหล่าผู้ค้าปลีกของอังกฤษ ก็ยังเป็นที่ถกเถียงกันในวงกว้าง โดยนิค บับบ์ นักวิเคราะห์ค้าปลีกอิสระให้ความเห็นว่า "ดูเหมือนว่า แบล็ค ฟรายเดย์ จะดึงธุรกิจต่างๆมาจากเดือนธันวาคม ผู้ค้ามีกำไรลดลงและกัดเซาะความตั้งใจของผู้บริโภคที่ตั้งใจจ่ายราคาเต็มอีกครั้งก่อนคริสต์มาส"

InPics & Clips : ช็อปคลั่งแบล็คฟรายเดย์ระบาดถึงอังกฤษ ตบตีแย่งซื้อสินค้าราคาลดกระหน่ำ
       

InPics & Clips : ช็อปคลั่งแบล็คฟรายเดย์ระบาดถึงอังกฤษ ตบตีแย่งซื้อสินค้าราคาลดกระหน่ำ
       

InPics & Clips : ช็อปคลั่งแบล็คฟรายเดย์ระบาดถึงอังกฤษ ตบตีแย่งซื้อสินค้าราคาลดกระหน่ำ
       

InPics & Clips : ช็อปคลั่งแบล็คฟรายเดย์ระบาดถึงอังกฤษ ตบตีแย่งซื้อสินค้าราคาลดกระหน่ำ
       

InPics & Clips : ช็อปคลั่งแบล็คฟรายเดย์ระบาดถึงอังกฤษ ตบตีแย่งซื้อสินค้าราคาลดกระหน่ำ




 

Create Date : 29 พฤศจิกายน 2557   
Last Update : 29 พฤศจิกายน 2557 7:47:08 น.   
Counter : 1655 Pageviews.  

เผยโฉม! 5 ผู้ต้องหาแอบอ้างเบื้องสูง ตร.นำตัว 3 “อัครพงศ์ปรีชา” สอบที่ บช.น.

คลิกที่ภาพเพื่อดูขนาดใหญ่ขึ้น
เผยโฉม! 5 ผู้ต้องหาแอบอ้างเบื้องสูง ตร.นำตัว 3 “อัครพงศ์ปรีชา” สอบที่ บช.น.
นายณัฐพล อัครพงศ์ปรีชา นายสิทธิศักดิ์ อัครพงศ์ปรีชา และนายณรงค์ อัครพงศ์ปรีชา

เผยโฉม! 5 ผู้ต้องหาแอบอ้างเบื้องสูง ตร.นำตัว 3 “อัครพงศ์ปรีชา” สอบที่ บช.น.

เผยโฉม! 5 ผู้ต้องหาแอบอ้างเบื้องสูง ตร.นำตัว 3 “อัครพงศ์ปรีชา” สอบที่ บช.น.

เผยโฉม! 5 ผู้ต้องหาแอบอ้างเบื้องสูง ตร.นำตัว 3 “อัครพงศ์ปรีชา” สอบที่ บช.น.

เผยโฉม! 5 ผู้ต้องหาแอบอ้างเบื้องสูง ตร.นำตัว 3 “อัครพงศ์ปรีชา” สอบที่ บช.น.

เผยโฉม! 5 ผู้ต้องหาแอบอ้างเบื้องสูง ตร.นำตัว 3 “อัครพงศ์ปรีชา” สอบที่ บช.น.

เผยโฉม! 5 ผู้ต้องหาแอบอ้างเบื้องสูง ตร.นำตัว 3 “อัครพงศ์ปรีชา” สอบที่ บช.น.
นายสุทธิศักดิ์ สุทธิจิตต์ และ นายชากานต์ ภาคภูมิ

เผยโฉม! 5 ผู้ต้องหาแอบอ้างเบื้องสูง ตร.นำตัว 3 “อัครพงศ์ปรีชา” สอบที่ บช.น.

เผยโฉม! 5 ผู้ต้องหาแอบอ้างเบื้องสูง ตร.นำตัว 3 “อัครพงศ์ปรีชา” สอบที่ บช.น.

เผยโฉม! 5 ผู้ต้องหาแอบอ้างเบื้องสูง ตร.นำตัว 3 “อัครพงศ์ปรีชา” สอบที่ บช.น.

ASTVผู้จัดการ - ตร. นำตัว 5 ผู้ต้องหาเครือข่าย “พงศ์พัฒน์” สอบเครียดที่ บช.น. คดีจับลูกหนี้ย่านพระโขนงไปกักขัง แอบอ้างบุคคลสำคัญรีดเงิน 30 ล้าน ให้การรับสารภาพตลอดข้อกล่าวหาทั้งห้าราย เตรียมแจ้งเพิ่มผิดมาตรา 112 นำฝากขังศาลหลังเที่ยงวันศุกร์นี้ (28 พ.ย.)

       วันที่ 27 พ.ย. เมื่อเวลา 21.05 น. ที่กองบัญชาการตำรวจนครบาล (บช.น.) พล.ต.ท.ประวุฒิ ถาวรศิริ ผช.ผบ.ตร. โฆษก ก.ตร. รรท.ผบช.ก. ควบคุมตัวผู้ต้องหา 5 ราย ที่มีส่วนเกี่ยวข้องกับ พล.ต.ท.พงศ์พัฒน์ ฉายาพันธุ์ อดีต ผบช.ก. มาที่ บช.น. เพื่อทำการสืบสวนสอบสวนและจะนำตัวผู้ต้องหาทั้ง 5 ราย ฝากขังที่ศาลอาญารัชดาในวันพรุ่งนี้ หลังเวลา 12.00 น. เป็นต้นไป

       ผู้ต้องหาทั้ง 5 ราย ประกอบด้วย 1. นายณัฐพล อัครพงศ์ปรีชา 2. นายสิทธิศักดิ์ อัครพงศ์ปรีชา 3. นายณรงค์ อัครพงศ์ปรีชา 4. นายสุทธิศักดิ์ สุทธิจิตต์ และ 5. นายชากานต์ ภาคภูมิ

       พล.ต.ท.ประวุฒิ กล่าวว่า จากการสอบสวนผู้ต้องหาทั้ง 5 ราย ให้การรับสารภาพทุกข้อกล่าวหา และอาจจะถูกแจ้งข้อหาเพิ่มเติมตามประมวลกฎหมายอาญามาตรา 112 ฐานหมิ่นพระบรมเดชานุภาพ ซึ่งทาง สน.วัดพระยาไกร ก็มีประชาชนมาแจ้งความเกี่ยวกับกรณีการทวงหนี้ด้วยเช่นกัน แต่เจ้าหน้าที่ยังไม่ออกหมายจับ ทางเจ้าหน้าที่คาดว่าจะมีพลเรือนเกี่ยวข้องกับเรื่องดังกล่าว 2 - 3 ราย

       ส่วนปัญหาค้าน้ำมันเถื่อนในภาคใต้ ทาง ผบ.ตร. ได้มอบหมายและวางนโยบายให้ปราบปรามอย่างจริงจัง ซึ่งทางเจ้าหน้าที่กำลังดำเนินการอย่างเข้มงวด พยายามที่จะไม่ให้เกิดปัญหา แต่ยังพบว่ามีการลักลอบเข้ามาเติมน้ำมันเถื่อนแก่เรือประมงตามแถบชายแดนอยู่บ้าง

       ก่อนหน้านี้ เมื่อเวลา 18.30 น. วันเดียวกัน ที่กองบัญชาการตำรวจนครบาล (บช.น.) พ.อ.วิจารณ์ จดแตง หัวหน้าส่วนปฏิบัติการคณะทำงานกฎหมายส่วนรักษาความสงบ คสช. พร้อมด้วยกำลังเจ้าหน้าที่ทหารควบคุมตัว นายสุทธิศักดิ์ สุมธิจิตต์ และ นายชากานต์ ภาคภูมิ ผู้ต้องหา 2 ใน 5 ราย ที่ก่อเหตุในพื้นที่ สน.พระโขนง เมื่อเดือน มี.ค. 57 มาส่งมอบให้ พล.ต.ท.ศรีวราห์ รังสิพราหมณกุล ผบช.น พ.ต.อ.ฤทธิกรสายสนั่น ณ อยุธยา ผกก.สน.พระโขนง เพื่อทำการสอบปากคำเพิ่มเติม

       ก่อนที่ควบคุมตัวผู้ต้องหาอีก 3 ราย คือ นายณัฐพล อัครพงศ์ปรีชา นายสิทธิศักดิ์ อัครพงศ์ปรีชา และ นายณรงค์ อัครพงศ์ปรีชา มาสอบปากคำเพิ่มเติมที่ บช.น.

       มีรายงานเพิ่มเติมว่า คดีนี้มีมูลเหตุมาจากนายณัฐพล ซึ่งเป็นหัวหน้ากลุ่มบุคคลดังกล่าวตามทวงหนี้หญิงคนหนึ่งโดยอ้างว่ายืมเงินไปจำนวน 30 ล้านบาท แต่ในการติดตามปรากฏว่าฝ่ายลูกหนี้บ่ายเบี่ยงมาโดยตลอด ครั้งสุดท้ายนายณัฐพลติดตามไปที่บ้านพักย่านพระโขนง แต่ไม่พบเป้าหมายจึงจับชายคนหนึ่งซึ่งเป็นผู้ใหญ่ในบ้านมากักตัวไว้ทำการต่อรองเรื่องหนี้สิน มีการอ้างถึงบุคคลสำคัญตลอดเวลาด้วยทำให้หญิงลูกหนี้ต้องนำเงินจำนวน 30 ล้านบาทมาใช้คืนให้เป็นค่าไถ่ ต่อจากนั้นกลุ่มนายณัฐพลได้ใช้ผ้าปิดตาทั้งสองแล้วขับรถนำไปปล่อยข้างถนน กระทั่งมีการแจ้งความดำเนินคดีเหตุเกิดต้นปี 2557 ที่ผ่านมา




 

Create Date : 28 พฤศจิกายน 2557   
Last Update : 28 พฤศจิกายน 2557 8:19:08 น.   
Counter : 5718 Pageviews.  

1  2  3  4  5  6  7  8  9  10  11  12  13  14  15  16  17  18  19  20  21  22  23  24  25  26  27  28  29  30  31  32  33  34  35  36  37  38  39  40  41  42  43  44  45  46  47  48  49  50  51  52  53  54  55  56  57  58  59  60  61  62  63  64  65  66  67  68  69  70  71  72  73  74  75  76  77  78  79  80  81  82  83  84  85  86  87  88  89  90  91  92  93  94  95  96  97  98  99  100  101  102  103  104  105  106  107  108  


karnoi
Location :


[Profile ทั้งหมด]

ฝากข้อความหลังไมค์
Rss Feed
Smember
ผู้ติดตามบล็อก : 57 คน [?]




เลขเด็ด เลขดัง กาน้อย






ติดตามข้อมูลของเว็บทาง twitter ได้ที่ @karnoi กด
ติดตามข้อมูลเว็บทาง FaceBook กด







Online Users


[Add karnoi's blog to your web]