ถ้าพระเจ้าไม่มีจริง คุณได้หรือเสียอะไร? แต่ถ้าพระเจ้ามีจริง คุณได้หรือเสียอะไร?

<<
ธันวาคม 2550
 1
2345678
9101112131415
16171819202122
23242526272829
3031 
 
3 ธันวาคม 2550
 

ร่วมแบกแอกของพระเยซูคริสต์

2 ธันวาคม 2007
คริสตจักร ยะลา

มัทธิว 11:28-30
28บรรดาผู้ทำงานเหน็ดเหนื่อยและแบกภาระหนัก จงมาหาเรา และเราจะให้ท่านทั้งหลาย หายเหนื่อยเป็นสุข 29จงเอาแอกของเราแบกไว้ แล้วเรียนจากเรา เพราะว่าเราสุภาพและใจอ่อนน้อม และจิตใจท่านทั้งหลายจะได้พัก 30ด้วยว่าแอกของเราก็พอเหมาะ และภาระของเราก็เบา"


อธิษฐาน
ข้าแต่พระเจ้าผู้ทรงพระชนม์อยู่ เราทั้งหลายเป็นประชากรของพระองค์ ซึ่งได้ทรงไถ่ออกมาจากการเป็นทาสของบาป ขอบพระคุณที่พระองค์ได้ทรงรับเราทั้งหลายไว้ในฐานะบุตร เป็นทายาทซึ่งจะรับมรดกของพระองค์ในแผ่นสวรรค์ ขณะที่เรายังดำเนินอยู่ในโลกนี้พระองค์ทรงแต่งตั้งเราไว้เป็นผู้รับใช้ของพระองค์ เพื่อกระทำการงานต่างๆของพระองค์ ขอพระวิญญาณบริสุทธิ์ทรงประทับอยู่ในเราทุกคน เพื่อให้เราเป็นอันหนึ่งอันเดียวกันกับพระองค์ ขอให้เราได้เรียนรู้จากพระเยซูคริสต์ ถึงวิธีการที่จะกระทำการงานของพระเจ้า เพื่อทั้งสิ้นจะเป็นที่พอพระทัยและเป็นที่ถวายพระเกียรติแด่พระนามของพระเจ้า


วันนี้เป็นตอนที่ 3 ของเส้นทางของการเติบโตขึ้นในพระเจ้า ซึ่งมีปลายทางอยู่ที่ความไพบูลย์ในพระเยซูคริสต์ สองตอนก่อนหน้านี้คือ การแสวงหาพระเจ้าด้วยสุดใจ และการดำเนินกับพระเจ้าวันต่อวัน สำหรับวันนี้คือ “การร่วมแบกแอกของพระเยซูคริสต์”

2 สัปดาห์ก่อนคุณบุญขว่างได้เทศนาจากพระธรรมข้อเดียวกันนี้ และได้อธิบายให้เราได้เห็นภาพของส่วนประกอบของอุปกรณ์ไถ่นา อันได้แก่ หัวหมู ผาน หางยาม คันไถ คราด และแอก ซึ่งช่วยให้เรามองเห็นภาพขั้นตอนสำคัญของการทำนาได้ดี วันนี้ผมคงไม่ต้องอธิบายซ้ำในรายละเอียดส่วนนั้นอีก

เมื่อพูดถึงคำว่า “แอก” เรามักจะนึกถึงภาพในด้านที่ไม่ค่อยดีนัก เพราะโดยปกติแล้วแอกจะไม่ใช้กับคน แต่ใช้กับวัวควาย หรือบางประเทศก็ใช้กับม้า หรือสัตว์ใช้งานอื่นๆ และการงานที่ต้องใช้แอกก็มักจะเป็นงานที่ต้องใช้แรงงาน เป็นงานที่มักจะถูกมองว่าเป็นงานชั้นต่ำ ใครที่มีลูกมีหลาน ก็คงไม่อวยพรให้ลูกหลานต้องมีอนาคตที่ยากลำบากกับงานแบบนี้

นอกจากเป็นสัญลักษณ์ของงานหนักแล้ว แอกยังเป็นสัญลักษณ์ของการเป็นผู้น้อย ผู้ต่ำต้อย หรืออาจเทียบได้ถึงการเป็นทาส ใครที่มีลูกหลาน ก็คงไม่อวยพรให้ลูกหลานมีแอกติดตัวไปตลอดชีวิตเป็นแน่

พระคัมภีร์ก็ได้พูดถึงแอกไว้หลายประการ ทั้งในพระคัมภีร์เดิมและพระคัมภีร์ใหม่ ซึ่งก็เป็นการกล่าวถึงในลักษณะที่เราคุ้นเคย นั่นคือเรื่องของการเป็นทาส หรือการทนทุกข์ยากลำบาก เช่นในขณะที่อิสราเอลถูกกวาดต้อนไปยังบาบิโลน พระเจ้าก็ได้ใช้แอกในการสำแดงน้ำพระทัยของพระเจ้าว่าจะยังคงให้พวกเขาตกอยู่ภายใต้การครอบครองของบาบิโลนต่อไป

ตรงนี้ผมขอนอกเรื่องสักเล็กน้อย แต่ผมคิดว่าเป็นสิ่งสำคัญมากที่เราจะไม่หยิบพระวจนะของพระเจ้ามาใช้อย่างไม่ถูกต้อง ขอให้เปิดอ่านด้วยกันใน
เยเรมีย์ 28:1-3
1ในปีเดียวกันนั้นเมื่อต้นรัชกาลเศเดคียาห์กษัตริย์แห่งยูดาห์ในเดือนที่ห้าปีที่สี่ ฮานันยาห์บุตรชายของอัสซูร์ ผู้เผยพระวจนะจากกิเบโอน ได้พูดกับข้าพเจ้าในพระนิเวศของพระเจ้า ต่อหน้าบรรดาปุโรหิต และประชาชนทั้งหลายว่า 2"พระเจ้าจอมโยธา พระเจ้าแห่งอิสราเอลตรัสดังนี้ว่า เราได้หักแอกของกษัตริย์แห่งบาบิโลนแล้ว 3ภายในสองปี เราจะนำเครื่องใช้ทั้งสิ้นของพระนิเวศแห่งพระเจ้ากลับมายังที่นี้ ซึ่งเป็นภาชนะที่เนบูคัดเนสซาร์กษัตริย์แห่งบาบิโลนริบไปจากที่นี้และขนไปยังบาบิโลน

จากตอนที่อ่านไปนั้น เราเห็นว่าเป็นความหวังอันน่าชื่นใจ เป็นข่าวดีที่พวกอิสราเอลกำลังรอคอย เพราะผู้เผยพระวจนะฮานันยาห์ ได้บอกว่า พระเจ้าตรัสว่า พระเจ้าจะหักแอกของกษัตริย์บาบิโลน ซึ่งแปลว่า พระเจ้าจะปลดปล่อยพวกอิสราเอลออกจากการเป็นเชลยที่ถูกกวาดต้อนไป หากเราไม่ได้อ่านพระวจนะของพระเจ้าอย่างครบถ้วน เราเองคงจะคิดว่า นั่นเป็นคำตรัสของพระเจ้าจริงๆ แต่พี่น้องครับ ผมได้เคยแบ่งปันถึงเรื่องนี้แล้วว่า แท้ที่จริง ฮานันยาห์เป็นผู้เผยพระวจนะเท็จ แอบอ้างและตู่เอาเองว่าพระเจ้าตรัสอย่างนั้น ความจริงแล้วพระเจ้าทรงตรัสผ่านทางเยเรมีย์ต่างหาก และตรัสในเรื่องตรงกันข้ามเสียด้วย ลองดูต่อในข้อ 11-17
11และฮานันยาห์ได้กล่าวต่อหน้าประชาชนทั้งสิ้นว่า "พระเจ้าตรัสดังนี้ว่า อย่างนั้นแหละ เราจะหักแอกของเนบูคัดเนสซาร์กษัตริย์ของบาบิโลน จากคอของบรรดาประชาชาติทั้งสิ้นภายในสองปี" แต่เยเรมีย์ผู้เผยพระวจนะก็ออกไปเสีย 12หลังจากที่ฮานันยาห์ผู้เผยพระวจนะหักแอกจากคอของเยเรมีย์ผู้เผยพระวจนะ พระวจนะของพระเจ้ามายังเยเรมีย์ว่า 13"จงไปบอกฮานันยาห์ว่า พระเจ้าตรัสดังนี้ว่า เจ้าได้หักแอกไม้ แต่เราจะทำแอกเหล็กไว้แทน 14เพราะพระเจ้าจอมโยธา พระเจ้าแห่งอิสราเอล ตรัสดังนี้ว่า เราได้วางแอกเหล็กไว้บนคอบรรดาประชาชาติเหล่านี้ทั้งสิ้น ให้เป็นทาสของเนบูคัดเนสซาร์กษัตริย์แห่งบาบิโลน และเขาทั้งหลายจะปรนนิบัติเขา เพราะเราได้ยกให้เขาแล้วถึงแม้ว่าสัตว์ป่าทุ่งด้วย" 15และผู้เผยพระวจนะได้พูดกับฮานันยาห์ผู้เผยพระวจนะว่า "ฮานันยาห์ขอท่านฟัง พระเจ้ามิได้ทรงใช้ท่านและท่านได้กระทำให้ชนชาตินี้วางใจในความเท็จ 16เพราะฉะนั้น พระเจ้าตรัสว่า 'ดูเถิด เราจะย้ายเจ้าไปจากพื้นโลก ในปีเดียวนี้เองเจ้าจะต้องตายเพราะเจ้าได้กล่าวถ้อยคำเป็นการกบฏต่อพระเจ้า' 17ในปีเดียวกันนั้น ในเดือนที่เจ็ดฮานันยาห์ผู้เผยพระวจนะก็ตาย
และนี่เป็นเรื่องที่เราต้องระมัดระวังในการทำความเข้าใจเรื่องราวในพระคัมภีร์ โดยต้องอ่านทั้งบริบทและทำความเข้าใจเหตุการณ์ต่างๆอย่างครบถ้วน อย่าได้หยิบยกเพียงข้อหนึ่งข้อใดที่ถูกใจเรา แล้วปลาบปลื้มกับข้อนั้น จะทำให้เราเดินผิดทางได้

ครับ กลับมาที่เรื่องของแอกกันต่อ

นอกจากแอกเป็นสัญลักษณ์ของ งานหนัก และงานต่ำต้อยแล้ว แอกยังเป็นสัญลักษณ์ของการมีส่วนร่วม การสมัครสมานสามัคคี การร่วมแรงร่วมใจ ดังเช่นในการขนย้ายสิ่งของนั้น เราอาจจะเห็นว่าบางครั้งก็ใช้วัวหรือควายเพียงตัวเดียวในการลากเกวียน แต่บางครั้งก็ใช้วัวหรือควายมากกว่านั้น เพื่อให้สามารถทำงานที่หนักขึ้น แอกเป็นอุปกรณ์สำคัญที่จะทำให้วัวหรือควายแต่ละตัวได้มีส่วนร่วมในการแบกรับภาระงานนั้น

การรับแอกนั้น บางครั้งเราไม่ได้รับเพียงผู้เดียว แต่มีพี่น้องคนอื่นๆได้รับด้วย เพื่อเราจะร่วมมือกันในการทำงาน สิ่งที่ต้องเรียนรู้ก็คือ การที่ผู้เข้าร่วมเทียมแอกจะมีทิศทางหรือเป้าประสงค์เดียวกัน

2 โครินธ์ 6:14
14ท่านอย่าเข้าเทียมแอกกับคนที่ไม่เชื่อ เพราะว่าความชอบธรรมจะมีหุ้นส่วนอะไรกับความอธรรม และความสว่างจะเข้าสนิทกับความมืดได้อย่างไร


พระวจนะตอนนี้ถูกนำมาใช้บ่อยๆในเรื่องการสร้างครอบครัว เพราะในการสร้างครอบครัวจะต้องอาศัยสามีและภรรยาเข้าเทียมแอกรับภาระร่วมกัน หากแอกที่ใช้ หรือวิธีการ หรือจุดมุ่งหมายแตกต่างกัน จะก่อให้เกิดปัญหาแน่นอน และพระคัมภีร์ได้เตือนไว้อย่างชัดเจนแล้ว นอกจากนี้ยังเห็นได้จากหลายๆตัวอย่างในอดีต
นอกจากนี้ยังรวมถึงเรื่องของกิจการงานด้วย การที่เราเข้าร่วมมีหุ้นส่วนในกิจการที่วิญญาณชั่วเข้ามามีส่วนร่วมด้วย เราอย่าหวังว่าพระเจ้าจะอวยพรอะไรเลย จงหลีกเลี่ยงเสีย พระเจ้าสามารถอวยพรให้กิจการของท่านเติบโตได้ โดยไม่จำเป็นต้องเข้าร่วมส่วนกับกิจการของคนแห่งความมืด

วันนี้ผมจะเชิญชวนให้เราได้มาร่วมกันพิจารณาเรื่องของแอก ตามที่ปรากฏในพระธรรมมัทธิวที่เราได้อ่านไปแล้วในตอนต้น ทำไมพระเยซูจึงเรียกร้องให้เรา “แบกรับแอก” อีกทั้งๆที่ภาพลักษณ์ของแอกดูจะเป็นสิ่งที่ไม่น่าชื่นชมเลย

มัทธิว 11:28-30
28บรรดาผู้ทำงานเหน็ดเหนื่อยและแบกภาระหนัก จงมาหาเรา และเราจะให้ท่านทั้งหลาย หายเหนื่อยเป็นสุข 29จงเอาแอกของเราแบกไว้ แล้วเรียนจากเรา เพราะว่าเราสุภาพและใจอ่อนน้อม และจิตใจท่านทั้งหลายจะได้พัก 30ด้วยว่าแอกของเราก็พอเหมาะ และภาระของเราก็เบา"


แอก เป็นสัญลักษณ์ของ “ภาระหน้าที่” เราแต่ละคนล้วนแล้วแต่มีภาระหน้าที่ที่ต้องแบก และก็เป็นเรื่องปกติที่เราจะรู้สึกเหน็ดเนื่อยเนื่องจากการที่ต้องแบกรับภาระนั้น พระเยซูได้ตรัสว่า “จงมาหาเรา” เป็นการท้าชวนทุกๆคนที่รู้สึกเหน็ดเหนื่อยให้มาถึงพระองค์ เพื่อได้รับการช่วยเหลือจากภาระที่แสนหนัก

พระเยซูสามารถช่วยได้จริง แต่..เราคาดหวังว่าการหายเหนื่อยนั้นเป็นอย่างไรครับ แต่ละคนอาจคาดหวังไม่เหมือนกัน อาจมีบางคนที่แอบคาดหวังว่า การหายเหนื่อยที่พระเยซูพูดถึงคือการที่ ฉันจะไม่ต้องทำงานทำการอีกต่อไป หรือฉันจะได้เป็นใหญ่เป็นโต จะได้อยู่สุขสบาย เดินตัวปลิวไปบนถนนที่โรยด้วยกลีบกุหลาบ ฯลฯ ซึ่งการคาดหวังอย่างนี้เป็นการคาดหวังที่ผิด

พระเยซูทรงบอกว่า “เราจะให้ท่านทั้งหลายหายเหนื่อย” ไม่ได้แปลว่า ท่านจะไม่ต้องทำงานการทำงานอีกต่อไป แต่หมายความว่า ท่านจะได้พักให้หายเหนื่อย มีความแช่มชื่นขึ้น จากนั้นท่านควรจะได้เปลี่ยนเครื่องมือเสียใหม่ เปลี่ยนวิธีการเสียใหม่ เปลี่ยนภาระที่ต้องแบกเสียใหม่

-เปลี่ยนเครื่องมือเสียใหม่คืออะไร พระเยซูตรัสว่า “จงเอาแอกของเราแบกไว้” นี่คือเครื่องมือใหม่ที่พระองค์ประทานให้เรา แอกเดิมที่เราใช้อยู่นั้น เป็นแอกที่หนัก นอกจากภาระที่หนักอยู่แล้ว ยังต้องแบกแอกที่หนักอีกด้วย ลองดูใน กิจการ 15:7-11
7เมื่อโต้แย้งกันมากแล้ว เปโตรจึงยืนขึ้นกล่าวว่า "พี่น้องเอ๋ย ท่านทั้งหลายทราบอยู่ว่า เมื่อแรกเริ่มนั้น พระเจ้าได้ทรงเลือกข้าพเจ้าเองจากพวกท่านทั้งหลาย ให้เป็นผู้ประกาศข่าวประเสริฐให้คนต่างชาติฟังและเชื่อ 8พระเจ้าผู้ทรงทราบจิตใจมนุษย์ได้ทรงรับรองคนต่างชาติ และทรงประทานพระวิญญาณบริสุทธิ์ แก่เขาเหมือนได้ทรงประทานแก่พวกเรา 9พระองค์ไม่ทรงถือเราถือเขา แต่ทรงชำระใจเขาให้บริสุทธิ์โดยความเชื่อ 10ถ้าอย่างนั้นทำไมท่านทั้งหลายจึงทดลองพระเจ้า โดยวางแอกบนคอของพวกสาวก ซึ่งบรรพบุรุษของเรา หรือตัวเราเองก็ดีแบกไม่ไหว 11แต่เราเชื่อว่า เราเองก็รอดโดยพระคุณของพระเยซูคริสตเจ้าเหมือนอย่างเขา"

บทบัญญัติทั้งหลายเปรียบเสมือนแอกเก่าของเรา เป็นสิ่งที่เพิ่มความยากลำบากให้กับเรา แต่เมื่อเรามาพบกับพระเยซู พระองค์ทรงเป็นจุดจบของธรรมบัญญัติทั้งหลาย แอกเดิมนั้นพระองค์เป็นผู้เอาออกไป อันนี้เราก็ต้องเข้าใจให้ถูกด้วย เพราะหากเรารับความจริงนี้ไปแค่ครึ่งเดียว จะสร้างปัญหาให้กับเราอย่างมาก หากเราคิดว่าในเมื่อพระองค์เอาแอกเก่าคือธรรมบัญญัติทั้งหลายไปแล้ว แปลว่าต่อไปนี้เราจะทำอะไรก็ได้ตามใจโดยไม่มีสิ่งใดมาควบคุม เราก็กำลังหลงทางอีกแล้ว
แท้ที่จริงเมื่อพระเยซูทรงเอาแอกอันเก่าออกไป ก็ทรงเปลี่ยนแอกอันใหม่ให้เราด้วย แอกใหม่นี้ก็คือการชำระให้บริสุทธิ์โดยความเชื่อ ทำให้เราได้ความรอดโดยทางพระเยซู

นอกจากเราได้เครื่องมือใหม่ หรือแอกอันใหม่แล้ว พระเยซูยังทรงแนะนำให้เราใช้วิธีการใหม่ด้วย หากใช้ “แอกใหม่”กับ “วิธีเก่า” ก็คงจะสร้างปัญหาอีกเช่นเคย วิธีเก่าคือการเอากำลังของเราเข้าสู้ สู้สุดฤทธิ์สุดเดช สู้เต็มกำลัง อดทน มุมานะ เข้มแข็ง อึดสุดๆ ฉลามบุก ลิโพ กระทิงแดง บาวแดง ลูกทุ่ง สารพัดที่จะสรรหามา แต่ก็พบกับความเหน็ดเหนื่อย

-วิธีการใหม่ที่พระองค์พูดถึงคืออะไร ในข้อที่ 29 ได้บอกไว้ว่า
แล้วเรียนจากเรา เพราะว่าเราสุภาพและใจอ่อนน้อม และจิตใจท่านทั้งหลายจะได้พัก

วิธีการของพระเยซู คือ “สุภาพและใจอ่อนน้อม” สิ่งนี้มีความหมายที่ลึกซึ้งมากกว่าตัวหนังสือที่เราเห็น ปกติแล้ว หากพูดถึงความสุภาพอ่อนน้อม ก็มักจะชวนให้นึกถึงสิ่งที่ตรงข้ามกับความเข้มแข็งกล้าหาญ หรือความเก่งกล้าสามารถ ก็เลยอาจทำให้รู้สึกไม่ค่อยอยากจะเชื่อว่าวิธีการของพระเยซูจะสามารถใช้การได้ เพราะที่ผ่านมาเราสู้ด้วยการใช้กำลัง และใช้ความเข้มแข็ง

แต่ “สุภาพและใจอ่อนน้อม” ก็ไม่ได้แปลว่า “อ่อนแอขี้ขลาด” และก็ไม่ได้หมายความว่าให้ “รอมชอมหรือเฉยเมยกับความไม่ถูกต้อง” พระเยซูคริสต์เองก็ทรงเป็นแบบอย่างให้เห็นอย่างชัดเจนว่าทรงไม่ประนีประนอมกับคนหน้าซื่อใจคด พระองค์ไม่วางเฉยต่อความผิดนั้น แต่ตรัสความจริงกับพวกเขาอย่างตรงไปตรงมา ชี้ให้เห็นถึงความผิดของเขา นอกจากนี้พระคัมภีร์ยังบอกไว้อย่างชัดเจนอีกว่า ความสุภาพอ่อนน้อมเป็นผลของพระวิญญาณ

ดังนั้นเราอาจกล่าวได้ว่า วิธีการใหม่นั้นคือ “ไม่ใช่ด้วยกำลังของเราเอง แต่โดยฤทธิ์เดชแห่งพระวิญญาณบริสุทธิ์ที่อยู่ในเรา” หากเราเคยพยายามด้วยวิธีการของเราแล้วไม่ได้ผล ทำไมเรายังลังเลที่จะใช้วิธีของพระเยซูล่ะ


-ภาระที่เราเคยแบกอยู่เป็นปัญหาที่ทำให้เราเหนื่อย ในข้อที่ 30 พระเยซูเสนอภาระใหม่ให้กับเรา
ด้วยว่าแอกของเราก็พอเหมาะ และภาระของเราก็เบา

“ภาระใหม่” หมายความว่าอย่างไร แล้วเราจะทิ้งภาระเก่าได้ใช่ไหม มันหมายความว่าต่อไปนี้เราไม่ต้องทำงานหาเงินส่งลูกเรียนหนังสือแล้ว หรือต่อไปนี้บ้านก็ไม่ต้องผ่อน รถก็ไม่ต้องเติมน้ำมันแล้ว อย่างนั้นหรือ
อย่างนั้นก็เป็นการเข้าใจผิด จริงๆแล้วพระเยซูทรงช่วยเปลี่ยนภาระนั้นจาก “ภาระของเรา เป็นภาระของพระองค์” หมายความว่า ภาระที่เราเคยพยายามสร้างอาณาจักรของเราในโลกนี้ ที่เราอยากจะมีคอนโดหรูหราใจกลางกรุงเทพราคา 28 ล้าน รถยนต์คันใหญ่ราคา 12 ล้าน มีธุรกิจการงานใหญ่โต อยากมีลูกๆที่สวยๆหล่อๆหน้าตาดีเรียนเก่งและเชื่อฟังเรา ซึ่งสิ่งเหล่านี้ล้วนแล้วแต่สร้างความเหน็ดเหนื่อยเพราะมันเป็นภาระที่เราต้องดิ้นรนอย่างมากเพื่อจะไปให้ถึง พระเยซูทรงให้เรา “หยุดพักจากการตะเกียกตะกาย” เหล่านั้น เมื่อเรามาหาพระองค์ พระองค์สัญญาที่จะมอบอาณาจักรแห่งแผ่นดินสวรรค์ให้ เพื่อเราจะไม่ต้องเหน็ดเหนื่อยกับภาระอันอนิจจังของโลกนี้

เราอาจอยากจะถามต่อว่า “ใช่... พระองค์จะให้แผ่นดินสวรรค์ ซึ่งนั่นก็คือเมื่อข้าพระองค์จากโลกนี้ไป แล้วตอนที่ข้าพระองค์ยังอยู่ในโลกนี้ล่ะ พระองค์จะทรงทำอะไรบ้าง ลูกหลานจะเอาถ่านหรือเปล่า การค้าจะรุ่งเรืองหรือเปล่า ไปตลาดพรุ่งนี้จะโดนระเบิดหรือเปล่า พระองค์จะตอบว่าอย่างไร...?”
ในปลายข้อที่ 29 ได้บอกไว้ว่า และจิตใจท่านทั้งหลายจะได้พัก นี่เป็นสิ่งที่สำคัญมาก ความเหน็ดเหนื่อยฝ่ายร่างกาย ไม่น่ากังวลเท่ากับการเหน็ดเหนื่อยในจิตใจ พระองค์จะให้จิตใจของเราได้พักอย่างไร ก็โดยการที่เราสามารถวางใจในพระองค์ได้ ในทุกๆสิ่ง ในทุกๆเรื่อง ชีวิตของเราอยู่ในสายพระเนตรของพระเจ้าแล้ว หากเราวางใจในพระเจ้าเราจะได้พักจิตใจ แต่หากเราไม่วางใจในพระเจ้า เราก็จะเหมือนกับน้องอัศวิน ที่คุณบุญขว่างเล่าให้ฟังว่า แม้จะขึ้นมานั่งบนรถแล้ว แต่ยังคงแบกเป้ไว้บนหลังของตัวเอง พระเจ้าทรงรับเราขึ้นรถแล้ว เหลือก็แต่เราที่จะยอมวางภาระของเราลงจากหลังของเราหรือไม่

เราอาจจะอยากถามต่อว่า “พระองค์บอกให้วางใจในพระองค์ แล้วหมายความว่าคอนโด 28 ล้านกับรถ 12 ล้าน กับสิ่งอื่นๆทุกอย่างที่ฉันอยากได้ ก็จะสำเร็จตามนั้นใช่ไหม ? ”
คำถามนี้เป็นตัวอย่างหนึ่งของผู้ที่ยังไม่ยอมวางภาระของตนเองลง ผู้ที่พบกับพระเจ้าอย่างแท้จริง จุดมุ่งหมายในชีวิตของเขาจะไม่เหมือนเดิม เขาจะไม่อยู่เพื่อตนเองอีกต่อไป
2โครินธ์ 5:15
15และพระองค์ได้ทรงวายพระชนม์เพื่อคนทั้งปวง เพื่อคนเหล่านั้นที่มีชีวิตอยู่จะมิได้อยู่เพื่อประโยชน์แก่ตัวเองอีกต่อไป แต่จะอยู่เพื่อพระองค์ผู้ทรงสิ้นพระชนม์ และทรงเป็นขึ้นมาเพราะเห็นแก่เขาทั้งหลาย


เราอาจจะอยากถามต่อว่า “ถ้าอย่างนั้น จุดมุ่งหมายเปลี่ยนไปหมายความว่า คริสเตียนไม่ต้องสนใจในความก้าวหน้ากันแล้วใช่ไหม อยู่กระต๊อบเก่าๆ มีชีวิตสรรเสริญพระเจ้าไปวันๆ อย่างนั้นหรือ ?”
อันนี้ก็เป็นการเข้าใจผิด การไว้วางใจในพระเจ้าไม่ได้หมายความว่าเราไม่ต้องคิดถึงความก้าวหน้า แต่หมายความว่า “เราไม่ต้องกังวลใจถึงความก้าวหน้า จนกระทั่งเกิดเป็นภาระหนักในจิตใจ” แต่คริสเตียนที่พบพระเจ้าและมีชีวิตที่บังเกิดใหม่ ได้รับการเปลี่ยนแปลงจากพระเจ้า จะเป็นผู้ที่มีพระวิญญาณของพระเจ้าอยู่กับเขา และนำเขาในหน้าที่การงาน ซึ่งพระเจ้าจะทรงอวยพระพรให้ตามเวลาอันสมควร แต่ความทุกข์กังวลใจเรื่องอนาคต มักจะเกิดกับคนที่ขาดความไว้วางใจในพระเจ้า อยากจะนำหน้าพระเจ้า ไม่ใช่ให้พระเจ้านำ

เครื่องมือใหม่ วิธีการใหม่ และภาระใหม่ เราได้รับไว้แล้วหรือยัง ? เหล่านี้คือส่วนหนึ่งที่เราจะต้องมีเพื่อการเติบโตขึ้นจนถึงความไพบูลย์ในองค์พระเยซูคริสต์




Create Date : 03 ธันวาคม 2550
Last Update : 3 ธันวาคม 2550 10:33:04 น. 3 comments
Counter : 4131 Pageviews.  
 
 
 
 
ยินดีที่ได้รู้จัก .. พี่น้องในพระคริสต์ค่ะ

ไหน ๆ ก็มาเจอกันแบบไม่บังเอิญแล้ว
ก็ขอ add เลยละกันนะคะ

ขอพระเจ้าอวยพระพรค่ะ

พระเจ้าตรัสว่า เพราะเรารู้แผนงานที่เรามีไว้สำหรับเจ้า
เป็นแผนงานเพื่อสวัสดิภาพ ไม่ใช่เพื่อทุกขภาพ
เพื่อจะให้อนาคตและความหวังใจแก่เจ้า

ยรม.29:11
 
 

โดย: relaxontheweb วันที่: 3 ธันวาคม 2550 เวลา:12:55:10 น.  

 
 
 
ขอบคุณที่แวะมาเยี่ยมครับ
ขอพระเจ้าอวยพระพรท่านเช่นกันครับ
 
 

โดย: ksk IP: 125.24.180.113 วันที่: 3 ธันวาคม 2550 เวลา:15:06:07 น.  

 
 
 
amen
 
 

โดย: note IP: 27.55.109.140 วันที่: 21 สิงหาคม 2557 เวลา:6:54:33 น.  

Name
Opinion
*ใช้ code html ตกแต่งข้อความได้เฉพาะสมาชิก

ksk
 
Location :
ยะลา Thailand

[ดู Profile ทั้งหมด]

ฝากข้อความหลังไมค์
Rss Feed
Smember
ผู้ติดตามบล็อก : 10 คน [?]




ผมเป็นคริสเตียนครับ
เป็นชาวยะลา เกิดปัตตานี ลูกจีนไหหลำ
จบวิศวกรรมไฟฟ้า(ระบบควบคุม) จากพระจอมเกล้าพระนครเหนือ EL รุ่น 24 รหัส 31 (เคยเรียน ป.วส. IE ห้องอิเล็ก ที่ วทอ. 2 ปี รหัส 29 ห้องเดียวกับ ศิริ แว่น สมชาย สุกิตติ จั๊บ ไพบูลย์ จ่าบุญเลิศ ก่อนย้อนไปเริ่มต้นป.ตรี ปี 1 ใหม่กับรุ่นน้องในคณะวิศวฯ พูดง่ายๆว่า ซิ่ว 2 ปี)
ป.โท วิศวกรรมการบิน(Avionique) จาก SUPAERO
Toulouse FRANCE ปี 1994
เคยรับราชการเป็นอาจารย์ในคณะวิศวฯที่พระนครเหนือ 8 ปี ผลงานก็ไม่มีอะไรมาก KMITNB Robot Camp เป็นสิ่งที่ยังพอให้ภาคภูมิใจเมื่อมองกลับไปที่เทคโนฯ ด้วยความคิดถึง 14 ปี อันแสนหวานกับชีวิตในพระนครเหนือ(มิย.ปี 29 - มิย.ปี 43)
ตอนนี้ลาออกจากราชการ มาหากินด้วยลำแข้ง(ไม่ใช่เป็นนักมวยไทยนะ)
ที่จังหวัดยะลาบ้านเกิด ตั้งแต่มิถุนายน ปี Y2K
กำลังจะรุ่งเรืองแล้วเชียว 4 มกราคม 2547
สถานการณ์ไฟใต้ก็เริ่มขึ้น
สิ่งที่เคยคิดว่าสักวันหนึ่งจะต้องเกิด มันก็เกิด
และยาวมาจนถึงตอนนี้
ผมยังนึกไม่ออกมันจะจบลงแบบไหน free counter

free counter

New Comments
[Add ksk's blog to your web]

 
pantip.com pantipmarket.com pantown.com