ถ้าพระเจ้าไม่มีจริง คุณได้หรือเสียอะไร? แต่ถ้าพระเจ้ามีจริง คุณได้หรือเสียอะไร?

<<
มกราคม 2555
1234567
891011121314
15161718192021
22232425262728
293031 
 
14 มกราคม 2555
 

รู้จักพระเยซูผ่านพระธรรม ฟิลิปปี

23 ตุลาคม 2011
คริสตจักรยะลา

ฟิลิปปี 1:10-11
10เพื่อท่านทั้งหลายจะสังเกตได้ว่าสิ่งใดประเสริฐที่สุด และเพื่อท่านจะได้เป็นคนบริสุทธิ์ และไม่เป็นที่ติได้ในวันแห่งพระคริสต์ 11จะได้เป็นผู้ที่บริบูรณ์ด้วยผลของความชอบธรรม ซึ่งเกิดขึ้นโดยพระเยซูคริสต์ เพื่อถวายพระเกียรติและความสรรเสริญแด่พระเจ้า


อธิษฐาน
ข้าแต่พระเจ้า ผู้ทรงเปี่ยมด้วยพระคุณ ผู้ทรงสำแดงความรัก ความกรุณาต่อเราทั้งหลาย ขอบพระคุณที่ทรงเลือกเราไว้ตั้งแต่ก่อนที่จะเริ่มสร้างโลก เพื่อให้เราบริสุทธิ์และปราศจากตำหนิในสายพระเนตรพระองค์ ขอพระเจ้าทรงเปิดเผยความจริงจากพระวจนะของพระองค์ เพื่อเราจะรับพระวจนะแห่งความจริงนี้ด้วยใจรัก และรับการเปลี่ยนแปลงอุปนิสัยให้ ให้สมกับการที่เราได้มีฐานะเป็นบุตรของพระองค์


เดือนนี้มีเรื่องราวเกิดขึ้นมากมายในระดับที่ต้องจารึกไว้เป็นประวัติศาสตร์ ไม่ว่าจะเป็นเหตุการณ์น้ำท่วมครั้งใหญ่ในประเทศของเรา ตลอดจนเรื่องราวการเสียชีวิตของบุคคลที่มีชื่อเสียงหลายคน เช่น สตีฟ จ๊อบส์, เดนนิส ริชชี่, โออัมมา กัดดาฟี, นายแพทย์ผู้ได้รับรางวัลโนเบลท่านหนึ่งก็เสียชีวิตไปก่อนการประกาศผลว่าได้รับรางวัลเพียง 3 วัน รวมถึงเหตุการณ์ที่หลายคนเฝ้าจับตามอง คือวันที่ 21 ที่เพิ่งผ่านไป เนื่องจากมีกลุ่มคริสเตียนกลุ่มหนึ่งในสหรัฐอเมริกา ที่เชื่อว่าวันที่ 21 ตุลาคม จะเป็นวันที่พระเจ้าทรงพิพาษาโลก ก่อนหน้านั้น กลุ่มนี้ก็เคยให้คำพยากรณ์ว่าพระเยซูจะเสด็จมารับผู้เชื่อในวันที่ 21 พฤษภาคม และได้พยายามออกแจกใบปลิวเชิญชวนผู้คนให้เตรียมพร้อมสำหรับวันนั้น ก็ประจักษ์ชัดแล้วว่าไม่ได้มีเหตุการณ์ใดๆเกิดขึ้น และเช่นกัน ในเมื่อพวกเรายังมานมัสการพระเจ้ากันอย่างพร้อมหน้าพร้อมตาในวันนี้ ก็เพราะว่า คำพยากรณ์ที่สอง ก็เป็นเรื่องไม่จริงอีกเช่นกัน แต่อย่างไรก็ตาม เราทั้งหลายควรเป็นคริสเตียนที่พร้อมรับการเสด็จกลับมาของพระเยซูเสมอ โดยไม่จำเป็นต้องรอการพยากรณ์ใดๆ เพราะคำพยากรณ์จากใครก็ตามที่กำหนดวันเสด็จมาของพระเยซูคริสต์ ล้วนเป็นคำเท็จ แต่การเสด็จกลับมาของพระเยซูเป็นความจริงที่จะเกิดขึ้นแน่นอนตามพระสัญญาของพระองค์

ขอบคุณพระเจ้าสำหรับค่ายประจำปีที่เพิ่งผ่านไป เชื่อว่าพี่น้องได้รับพระพรอย่างมากมายจากการเทศนาของอาจารย์สมศักดิ์ และหวังว่าพระคำเหล่านั้นจะฝังแน่นในชีวิตของพี่น้อง ยิ่งกว่านั้นจะก่อให้เกิดการเปลี่ยนแปลงในชีวิตฝ่ายวิญญาณ เป็นผู้ที่หิวกระหายพระวจนะของพระเจ้า ซึ่งจะก่อให้เกิดการเจริญเติบโตในฝ่ายวิญญาณ ไม่เพียงแต่ตนเองโตขึ้น จะส่งผลให้คริสตจักรของพระเจ้าโตขึ้นอีกด้วย ผมได้เห็นข้อมูลในแบบประเมินความเห็นแล้ว มีความเห็นหลายๆเรื่องที่น่าสนใจ บางความเห็นเสนอให้เพิ่มจำนวนวัน บางความเห็นเสนอเรื่องของเวลาในการทำกิจกรรมร่วมกัน เชื่อว่าค่ายในปีหน้าจะสามารถตอบสนองพี่น้องได้ดีขึ้น

วันนี้เราจะมาติดตามเรื่องราวจากซีรีย์ที่ดำเนินมาตั้งแต่ต้นปี ในการทำความรู้จักกับพระเยซูคริสต์ผ่านทางพระคัมภีร์พันธสัญญาใหม่แต่ละเล่ม ซึ่งวันนี้เราก็มาถึงพระธรรมฟิลิปปี เช่นเคยนะครับ ผมขอเรียนให้ทราบว่า เราจะไม่ได้ลงลึกในรายละเอียดของหนังสือฟิลิปปี แต่จะศึกษาเฉพาะเนื้อหาที่ทำให้เรารู้จักพระเยซูในแง่มุมของหนังสือฟิลิปปี

ก่อนอื่น ผมจะพูดถึงเบื้องหลังของหนังสือฟิลิปปีอย่างคร่าวๆ เพื่อให้เรารู้จักหนังสือเล่มนี้ในระดับหนึ่ง พระธรรมฟิลิปปี เป็นจดหมายฝากของอัครฑูตเปาโล ซึ่งเขียนขณะที่ถูกจับขังคุกที่กรุงโรม ทั้งนี้ในช่วงเวลาใกล้เคียงกันอัครฑูตเปาโลได้เขียนจดหมายฝากไปถึงคริสตจักรในที่อื่นๆด้วยคือ จดหมายฝากเอเฟซัส จดหมายฝากโคโลสี อีกฉบับเขียนถึง ฟิเลโมน ซึ่งเป็นจดหมายที่เขียนถึงบุคคล

เรื่องราวที่ปรากฏในพระธรรมฟิลิปปี ไม่ได้เป็นจดหมายในเชิงของการว่ากล่าวตักเตือน หรือในเชิงแนะนำแก้ไขเรื่องราวที่ไม่ถูกต้องในคริสตจักร แต่เป็นเรื่องของการแสดงการระลึกถึง แสดงความขอบคุณที่พี่น้องคริสเตียนจากคริสตจักรฟิลิปปีให้สนับสนุนอัครฑูตเปาโลตลอดมา นอกจากนี้ยังเป็นการหนุนใจให้พี่น้องมีความหวังในการติดตามพระเยซูคริสต์ และคลายความกังวลต่อการถูกคุมขังของอัครฑูตเปาโล เพราะแม้ว่าจะถูกคุมขังแต่ก็ไม่สามารถหยุดยั้งการประกาศข่าวประเสริฐที่กำลังดำเนินไปได้

ข้อพระคัมภีร์ที่ปรากฏในพระธรรมฟิลิปปีที่มักจะนิยมท่องจำ หรือนิยมใช้เพื่อการหนุนใจกันก็ได้แก่

ฟิลิปปี 3:14
ข้าพเจ้ากำลังบากบั่น มุ่งไปสู่หลักชัย เพื่อจะได้รับรางวัล ซึ่งในพระเยซูคริสต์ พระเจ้าได้ทรงเรียกจากเบื้องบนให้เราไปรับ

ฟิลิปปี 4:4-7
จงชื่นชมยินดีในองค์พระผู้เป็นเจ้าทุกเวลา ช้าพเจ้าขอย้ำอีกครั้งว่า จงชื่นชมยินดีเถิด จงให้จิตใจที่อ่อนสุภาพของท่านประจักษ์แก่คนทั้งปวง องค์พระผู้เป็นเจ้าทรงอยู่ใกล้แล้ว อย่าทุกข์ร้อนในสิ่งใดๆเลย แต่จงทูลเรื่องความปรารถนาของท่านทุกอย่างต่อพระเจ้า ด้วยการอธิษฐาน การวิงวอน กับการขอบพระคุณ แล้วสันติสุขแห่งพระเจ้าซึ่งเกินความเข้าใจ จะคุ้มครองจิตใจและความคิดของท่านไว้ในพระเยซูคริสต์

ฟิลิปปี 4:13
ข้าพเจ้าผจญทุกสิ่งได้ โดยพระองค์ผู้ทรงเสริมกำลังข้าพเจ้า


หวังว่าพี่น้องคงจะคุ้นๆอยู่บ้าง และหวังยิ่งกว่านั้นว่าพี่น้องจะท่องพระคำเหล่านี้ได้ด้วย

วันนี้เราจะมาดูว่าพระธรรมฟิลิปปีให้เรารู้จักพระเยซูในแง่มุมใดบ้าง เราจะมาดูด้วยกัน

ฟิลิปปี 1:10-11
10เพื่อท่านทั้งหลายจะสังเกตได้ว่าสิ่งใดประเสริฐที่สุด และเพื่อท่านจะได้เป็นคนบริสุทธิ์ และไม่เป็นที่ติได้ในวันแห่งพระคริสต์ 11จะได้เป็นผู้ที่บริบูรณ์ด้วยผลของความชอบธรรม ซึ่งเกิดขึ้นโดยพระเยซูคริสต์ เพื่อถวายพระเกียรติและความสรรเสริญแด่พระเจ้า


ในค่ายปีนี้ เรามีเพลงประจำค่ายที่น่าประทับใจ เพลงได้กล่าวถึงการที่เราจะเตรียมพร้อมเพื่อรับการเสด็จกลับมาของพระเยซูคริสต์ ซึ่งวันนั้นเป็นวันแห่งความชื่นชมยินดีสำหรับคนส่วนหนึ่ง และเป็นวันแห่งความทุกข์แสนระทมสำหรับคนอีกส่วนหนึ่ง ผมหวังว่าเราทุกคนที่นี้จะเป็นคนในส่วนที่จะได้ชื่นชมยินดีในวันนั้น พระคัมภีร์ได้พูดถึง “วันแห่งพระเจ้า” และในฟิลิปปีตอนนี้ได้พูดถึง “วันแห่งพระคริสต์” ซึ่งให้ภาพที่แตกต่างกัน

“วันแห่งพระคริสต์” คือวันอะไร บางทีเราอาจนึกถึงวันคริสตมาส แต่แท้จริงแล้ว หมายถึงวันสิ้นสุดของโลกนี้ สำหรับเราทั้งหลายที่ได้ต้อนรับพระเยซูคริสต์เป็นพระผู้ช่วยให้รอด พระเยซูคริสต์ทรงเป็นความรอดของเรา ทรงเป็นผู้นั้นที่ได้ไถ่เราทั้งหลาย ให้เราได้เข้าส่วนกับพระองค์ ดังนั้นสำหรับเรา การสิ้นสุดของโลกนี้ จึงเป็น “วันแห่งพระคริสต์” แต่สำหรับคนเหล่านั้น พระธรรมโยเอล บทที่ 2 ได้บรรยายให้เห็นภาพของ “วันแห่งพระเจ้า” ในวันสิ้นสุดของโลก ลองอ่านดูสัก 5-6 ข้อก็ได้ครับ จะเห็นได้ชัดว่า บรรยากาศ หรือความรู้สึกของคนสองกลุ่มนั้นแตกต่างกันมาก

คำว่า “ตระหนัก” แปลว่าอะไร บางทีเราได้ยินคำนี้อยู่บ่อยๆ ทั้งในคริสตจักร และเริ่มจะได้ยินบ่อยขึ้นในสังคม ความตระหนัก คือการรู้ตัวว่าตัวเองเป็นอย่างไร หรือเหตุการณ์รอบข้างกำลังเป็นอย่างไร เช่นน้ำกำลังจะทะลักเข้ามาในตัวเมืองแล้ว และที่บ้านของเราข้าวของสำคัญยังไม่ได้เก็บขึ้นที่สูง หากเราจะยังมัวไปดูหนัง หรือออกเดินทางไปท่องเที่ยวต่างจังหวัด แสดงว่าเราไม่ได้ตระหนักถึงความเสียหายที่จะเกิดขึ้น

เพื่อท่านทั้งหลายจะสังเกตได้ว่าสิ่งใดประเสริฐที่สุด และเพื่อท่านจะได้เป็นคนบริสุทธิ์ และไม่เป็นที่ติได้ในวันแห่งพระคริสต์

การที่เราสามารถสังเกตได้ว่า “สิ่งใดประเสริฐสุด เพื่อเราจะเป็นคนบริสุทธิ์” แสดงว่า เราตระหนักได้ว่า อะไรเป็นสิ่งสำคัญสำหรับช่วงเวลาที่เรายังต้องอาศัยอยู่ในโลกนี้ วันแห่งพระคริสต์กำลังจะมาถึงแน่นอนในอนาคตข้างหน้า เราดำเนินชีวิตวันนี้โดยตระหนักถึงการมาของพระองค์หรือไม่ เราจะเป็นผู้ที่ยินดีในการเสด็จมาของพระองค์หรือไม่ หรือเราจะเป็นผู้ที่ต้องตีอกชกตัวเอง ด้วยความละอายที่ไม่ได้ดำเนินชีวิตให้สมกับความชอบธรรมที่พระองค์ทรงประทานให้

ฟิลิปปี 2:3-11
3อย่าทำสิ่งใดในทางชิงดีกันหรือถือดี แต่จงมีใจถ่อมถือว่าคนอื่นดีกว่าตัว 4อย่าให้ต่างคนต่างเห็นแก่ประโยชน์ของตนฝ่ายเดียว แต่จงเห็นแก่ประโยชน์ของคนอื่นๆด้วย 5ท่านจงมีน้ำใจต่อกันเหมือนอย่างที่มีในพระเยซูคริสต์ 6ผู้ทรงสภาพของพระเจ้า แต่มิได้ทรงถือว่าการเท่าเทียมกับพระเจ้านั้นเป็นสิ่งที่จะต้องยึดถือ 7แต่ได้กลับทรงสละ และทรงรับสภาพทาส ทรงถือกำเนิดเป็นมนุษย์ 8และเมื่อทรงปรากฏพระองค์ในสภาพมนุษย์แล้ว พระองค์ก็ทรงถ่อมพระองค์ลงยอมเชื่อฟังจนถึงความมรณา กระทั่งความมรณาที่กางเขน 9เหตุฉะนั้นพระเจ้าจึงได้ทรงยกพระองค์ขึ้นอย่างสูง และได้ประทานพระนามเหนือนามทั้งปวงให้แก่พระองค์ 10เพื่อเพราะพระนามนั้น ทุกเข่า ในสวรรค์ ที่แผ่นดินโลก ใต้พื้นแผ่นดินโลก จะคุกลงกราบ พระเยซู 11และเพื่อทุกลิ้นจะยอมรับ ว่าพระเยซูคริสต์ทรงเป็นองค์พระผู้เป็นเจ้า อันเป็นการถวายพระเกียรติแด่พระบิดาเจ้า


พระธรรมตอนนี้ได้ยืนยันถึงหลักข้อเชิ่อสำคัญคือ พระเยซูคริสต์ทรงเป็นพระเจ้า และเป็นข้อความที่อธิบายถึงสภาพลักษณะส่วนหนึ่งของพระเจ้าที่เป็นตรีเอกานุภาพ พี่น้องคงจะจำได้ว่าในค่ายประจำปีเมื่อปีที่แล้ว อาจารย์นิกร ก็ได้ให้คำอธิบายพระลักษณะของพระเจ้าที่ทรงเป็นตรีเอกานุภาพ พระคัมภีร์ได้ใช้คำว่า “พระเจ้าเดียว” (เฉลยธรรมบัญญัติ 6:4) ไม่ปรากฎคำว่า “ตรีเอกานุภาพ” ในพระคัมภีร์ตลอดทั้งเล่ม แต่คำนี้ได้บัญญัติขึ้นในภายหลัง จากการสังเกตข้อความในพระคัมภีร์เล่มต่างๆ เพื่ออธิบายให้รู้ว่า พระเจ้าทรงสภาพอย่างไร พระเยซูตรัสถึงพระองค์เอง บอกให้เรารู้ว่าพระองค์คือพระบุตรของพระเจ้า ทรงตรัสบอกถึงพระวิญญาณบริสุทธิ์ที่จะทรงขอให้พระบิดาประทานมาให้อยู่กับผู้เชื่อ

เราสังเกตพบในพระวจนะของพระเจ้าจากหลายๆตอนว่า พระบุตรไม่ใช่พระบิดา พระบิดาไม่ใช่พระวิญญาณบริสุทธิ์ พระวิญญาณบริสุทธิ์ไม่ใช่พระบุตร แต่ทรงเป็นอันหนึ่งอันเดียวกัน เป็นพระเจ้าเดียว

จะเป็นเรื่องที่สร้างความงุนงงอย่างยิ่งหากเราจะพยายามเปรียบเทียบพระลักษณะของพระเจ้ากับสิ่งต่างๆในโลกนี้ แม้ว่าการเปรียบเทียบบางอย่างจะช่วยให้เราเข้าใจขึ้นบ้าง แต่ก็ไม่มีสิ่งใดจะสามารถใช้อธิบายพระลักษณะของพระเจ้าได้อย่างสมบูรณ์ เราทำได้เพียงรับรู้ว่าพระองค์ทรงเป็นอย่างไร ตามที่พระคัมภีร์ได้สำแดงให้เห็นเท่านั้น

นอกจากเป็นข้อความที่ยืนยันความเป็นพระเจ้าของพระเยซูแล้ว ในข้อ 5 ยังบอกให้เราทั้งหลายเป็นเหมือนกับพระเยซู ไม่เห็นแก่ประโยชน์ส่วนตน ให้เห็นแก่ประโยชน์ของผู้อื่น และมีน้ำใจต่อกัน

เราพบความจริงว่า ในสังคมนี้ คนที่ไม่รู้จักพระเจ้าหลายๆคนก็มีน้ำใจดีงามมากกว่าคนของพระเจ้าที่เรารู้จักเสียอีก เป็นเรื่องที่น่าอายจริงๆ แต่อะไรเป็นสาเหตุของเรื่องน่าอายเหล่านั้น บางทีเราอาจแก้ตัวว่าเพราะเรากำลังถูกสร้าง ยังสร้างไม่เสร็จ ก็อาจจะพอแก้ตัวได้สักครั้ง สองครั้ง แต่บางทีเราพบว่า การก่อสร้างไม่คืบหน้าเลย 20 ปีที่แล้ว ก็เป็นอย่างนี้ 10 ปีที่แล้วก็เป็นอย่างนี้ 5 ปีที่แล้วก็เป็นอย่างนี้ จนทุกวันนี้ก็เป็นอย่างนี้ และเชื่อได้ว่า อีก 5 ปี 10 ปีข้างหน้าก็จะยังคงเป็นอย่างนี้ ซึ่งแปลได้ว่า การก่อสร้างหยุดไปแล้ว ไม่ใช่กำลังก่อสร้าง

ผมขอเชิญชวนที่เราจะรับการสร้างขึ้นใหม่จริงๆ โดยการหันมาให้ความสนใจกับพระวจนะของพระเจ้า ไม่เพียงการมาร่วมประชุมนมัสการวันอาทิตย์ แต่การสามัคคีธรรมระหว่างสัปดาห์ พี่น้องอาจมีเหตุผลว่าไม่ว่าง ผมอยากจะบอกว่า ไม่มีใครว่างหรอกครับ พี่น้องคนอื่นๆที่ไปร่วมสามัคคีธรรมไม่ใช่เพราะว่าว่างไม่มีอะไรทำ แต่เขายอมทิ้งสิ่งอื่นๆ เพื่อจะไปร่วมสามัคคีธรรม และการก่อสร้างในชีวิตของเขาก่อกำลังคืบหน้าไปเรื่อยๆ


ฟิลิปปี 3:7-10
7แต่ว่าสิ่งใดที่เคยเป็นคุณประโยชน์แก่ข้าพเจ้า ข้าพเจ้าถือว่าสิ่งนั้นไร้ประโยชน์แล้ว เพื่อเห็นแก่พระคริสต์ 8ที่จริงข้าพเจ้าถือว่าสิ่งสารพัดไร้ประโยชน์ เพราะเห็นแก่ความประเสริฐแห่งความรู้ถึงพระเยซูคริสต์ องค์พระผู้เป็นเจ้าของข้าพเจ้า เพราะเหตุพระองค์ ข้าพเจ้าจึงได้ยอมสละสิ่งสารพัด และถือว่าสิ่งเหล่านั้นเป็นเหมือนหยากเยื่อเพื่อข้าพเจ้าจะได้พระคริสต์ 9และจะได้ปรากฏอยู่ในพระองค์ ไม่มีความชอบธรรมของข้าพเจ้าเอง ซึ่งได้มาโดยธรรมบัญญัติ แต่มีมาโดยความเชื่อในพระคริสต์ เป็นความชอบธรรมซึ่งมาจากพระเจ้าซึ่งขึ้นอยู่กับความเชื่อ 10ข้าพเจ้าต้องการจะรู้จักพระองค์ และได้รับประสบการณ์ในฤทธิ์เดช เนื่องในการที่พระองค์ทรงคืนพระชนม์นั้น และร่วมทุกข์กับพระองค์ คือยอมตั้งอารมณ์ตายเหมือนพระองค์


เราจะสังเกตได้อย่างไรว่า สิ่งใดเป็นสิ่งที่มีค่าสำหรับใครสักคน ในสมัยของกษัตริย์ซาโลมอน มีคดีความหนึ่งเกิดขึ้น คือแม่ 2 คน ทะเลาะกันว่า เด็กทารกคนหนึ่งเป็นลูกของใคร ต่างคนต่างอ้างว่าเป็นลูกของตน แต่ซาโลมอนมีสติปัญญาที่พระเจ้าประทานให้ ทำให้สามารถบอกได้ว่า แท้จริงทารกนั้นเป็นลูกของใคร ผมเชื่อว่าเรายังจำเรื่องราวนั้นได้ดี

สำหร้บอัครฑูตเปาโล พระเยซูเป็นสิ่งมีค่าที่สุดในชีวิตของเขา ซึ่งไม่เพียงแต่โดยทางคำพูด แต่โดยการกระทำทั้งชีวิตของเขา คำถามเดียวกันนั้นมาถึงเราด้วย พระเยซูสำคัญที่สุดในชีวิตของท่านหรือไม่ บางคนก็ตอบได้อย่างเต็มปากว่า “ใช่ พระองค์ทรงสำคัญที่สุดในชีวิต” ที่ตอบได้เต็มปาก เพราะทั้งชีวิต เขาได้สำแดงให้เห็นจริงอย่างนั้น แต่สำหรับคนส่วนใหญ่ รวมทั้งผมเองด้วย เราพบว่า หลายๆครั้งการดำเนินชีวิตของเรายังไม่สำแดงออกอย่างเห็นได้ชัดเจนว่า พระเยซูทรงสำคัญที่สุดในชีวิต เพราะเรายังเลือกที่จะสละพระองค์ โดยเลือกที่จะรักษาหรือทำบางสิ่งแทน

ผมไม่ได้หมายความว่า หากเรายังคงประกอบอาชีพการงาน แปลว่าเราไม่เลือกพระเยซูให้สำคัญที่สุดในชีวิต เพราะหากคิดเลยเถิดแบบนั้น มันจะนำไปสู่ปัญหาบ้าบอเช่น คุณเลือกที่จะหายใจ หรือเลือกพระเยซู ถ้าคุณเลือกหายใจ แปลว่าการหายใจสำคัญกว่าพระเยซู แต่การสำแดงให้เห็นว่าพระเยซูสำคัญกว่าสิ่งใดนั้นจะเกิดขึ้นเมื่อเราต้องเลือกที่จะปฏิเสธพระเยซู เช่นเมื่อคอมมิวนิสต์กำลังเข้ายึดบางประเทศในยุโรป พี่น้องคริสเตียนที่นั้นถูกท้าทายว่า จะเลิกติดตามพระเยซูเพื่อจะได้หายใจต่อไป หรือจะติดตามพระองค์ต่อไปโดยจะต้องสิ้นลมหายใจ เวลานั้นมีหลายคนที่เลือกหายใจ แต่ก็มีหลายคนที่เลือกพระเยซู

“ตายน้ำตื้น” เราคงเคยได้ยินคำพังเพยนี้ บางทีเราบอกอย่างกล้าหาญว่า “แม้ใครจะเอาปืนมาจ่อหัว บังคับให้เราเลิกเชื่อพระเยซู เราก็จะยอมตาย ไม่ยอมเลิกเชื่อพระเยซู อย่างเด็ดขาด” แต่ทันทีที่พูดจบ เราก็ขอตัวไม่รับเป็นกรรมการในงานของคริสตจักร เพราะกิจการกำลังเจริญก้าวหน้า ไม่มีเวลา
หากพระเยซูไม่ได้สำคัญที่สุดในชีวิตของเรา คนเหล่านั้นที่เราออกไปประกาศข่าวประเสริฐจะเห็นความสำคัญของพระองค์ได้อย่างไร เราอาจบอกว่า การที่คนจะมาถึงความรอด เป็นงานของพระวิญญาณของพระเจ้า ไม่ใช่โดยคำพูดหรือการพยายามของเรา ซึ่งผมก็เห็นด้วย ไม่มีอะไรผิด แต่เราเห็นแบบอย่างของอัครฑูตเปาโลว่า การที่เขาสำแดงให้คนเห็นว่า พระเยซูสำคัญอย่างไรในชีวิตเขา นอกจากจะเป็นช่องทางที่พระวิญญาณจะหนุนใจพี่น้องคริสเตียน ให้มีใจกล้าหาญ และยืนหยัดในความเชื่อแล้ว พระเจ้ายังใช้เขาอย่างมากมายอีกด้วย ถ้าเราไม่ให้พระเยซูสำคัญที่สุดในชีวิตเรา พระเจ้าจะทรงเรียกใช้เราได้อย่างไร แต่บางคนอาจแอบดีใจที่พระเจ้าจะไม่ทรงเรียกใช้เขาก็เป็นได้

เราสำแดงตัวอย่างไร ให้พระเยซูทรงเห็นว่า พระองค์ทรงสำคัญที่สุดในชีวิตของเรา
เราสำแดงตัวอย่างไร ให้ซาตานเห็นว่า พระเยซูทรงสำคัญที่สุดในชีวิตของเรา
เราสำแดงตัวอย่างไร ให้คนทั่วไปเห็นว่า พระเยซูทรงสำคัญที่สุดในชีวิตของเรา







Create Date : 14 มกราคม 2555
Last Update : 14 มกราคม 2555 20:14:55 น. 0 comments
Counter : 1720 Pageviews.  
 
Name
Opinion
*ใช้ code html ตกแต่งข้อความได้เฉพาะสมาชิก

ksk
 
Location :
ยะลา Thailand

[ดู Profile ทั้งหมด]

ฝากข้อความหลังไมค์
Rss Feed
Smember
ผู้ติดตามบล็อก : 10 คน [?]




ผมเป็นคริสเตียนครับ
เป็นชาวยะลา เกิดปัตตานี ลูกจีนไหหลำ
จบวิศวกรรมไฟฟ้า(ระบบควบคุม) จากพระจอมเกล้าพระนครเหนือ EL รุ่น 24 รหัส 31 (เคยเรียน ป.วส. IE ห้องอิเล็ก ที่ วทอ. 2 ปี รหัส 29 ห้องเดียวกับ ศิริ แว่น สมชาย สุกิตติ จั๊บ ไพบูลย์ จ่าบุญเลิศ ก่อนย้อนไปเริ่มต้นป.ตรี ปี 1 ใหม่กับรุ่นน้องในคณะวิศวฯ พูดง่ายๆว่า ซิ่ว 2 ปี)
ป.โท วิศวกรรมการบิน(Avionique) จาก SUPAERO
Toulouse FRANCE ปี 1994
เคยรับราชการเป็นอาจารย์ในคณะวิศวฯที่พระนครเหนือ 8 ปี ผลงานก็ไม่มีอะไรมาก KMITNB Robot Camp เป็นสิ่งที่ยังพอให้ภาคภูมิใจเมื่อมองกลับไปที่เทคโนฯ ด้วยความคิดถึง 14 ปี อันแสนหวานกับชีวิตในพระนครเหนือ(มิย.ปี 29 - มิย.ปี 43)
ตอนนี้ลาออกจากราชการ มาหากินด้วยลำแข้ง(ไม่ใช่เป็นนักมวยไทยนะ)
ที่จังหวัดยะลาบ้านเกิด ตั้งแต่มิถุนายน ปี Y2K
กำลังจะรุ่งเรืองแล้วเชียว 4 มกราคม 2547
สถานการณ์ไฟใต้ก็เริ่มขึ้น
สิ่งที่เคยคิดว่าสักวันหนึ่งจะต้องเกิด มันก็เกิด
และยาวมาจนถึงตอนนี้
ผมยังนึกไม่ออกมันจะจบลงแบบไหน free counter

free counter

New Comments
[Add ksk's blog to your web]

 
pantip.com pantipmarket.com pantown.com