ถ้าพระเจ้าไม่มีจริง คุณได้หรือเสียอะไร? แต่ถ้าพระเจ้ามีจริง คุณได้หรือเสียอะไร?

<<
มิถุนายน 2554
 1234
567891011
12131415161718
19202122232425
2627282930 
 
23 มิถุนายน 2554
 

รู้จักพระเยซูผ่านพระธรรมโรม

22 พฤษภาคม 2011
คริสตจักรยะลา

โรม 3:23-26
23เพราะว่าทุกคนทำบาปและเสื่อมจากพระสิริของพระเจ้า24แต่พระเจ้าทรงพระกรุณาให้เขาเป็นผู้ชอบธรรมโดยไม่คิดมูลค่า โดยที่พระเยซูคริสต์ทรงไถ่เขาให้พ้นบาปแล้ว 25พระเจ้าได้ทรงตั้งพระเยซูไว้ให้เป็นที่ลบล้างพระอาชญาโดยพระโลหิตของพระองค์ โดยความเชื่อจึงได้ผล ทั้งนี้เพื่อสำแดงให้เห็นความชอบธรรมของพระเจ้า ในการที่พระองค์ได้ทรงอดกลั้นพระทัย และทรงยกบาปที่ได้ทำไปแล้วนั้น 26และเพื่อจะสำแดงในปัจจุบันนี้ว่าพระองค์ทรงเป็นผู้ชอบธรรม และทรงโปรดให้ผู้ที่เชื่อในพระเยซูเป็นผู้ชอบธรรมด้วย


อธิษฐาน
ข้าแต่พระเจ้าผู้ยิ่งใหญ่สูงสุด ผู้ทรงพระชนม์อยู่ ขอให้พระนามของพระองค์เป็นที่เคารพสักการะขอบพระคุณสำหรับความรักอันยิ่งใหญ่ของพระองค์ที่ทรงมีต่อเราทั้งหลายผู้เป็นคนบาป พระเจ้าได้ทรงประทานหนทางแห่งความรอดจากโทษแห่งความบาปโดยผ่านทางพระบุตรที่ได้ทรงให้เข้ามาเพื่อทรงเป็นค่าไถ่ของเราทั้งหลาย และขอบพระคุณสำหรับพระวิญญาณบริสุทธิ์ที่ได้ทรงให้เข้ามาในโลก เพื่อสถิตอยู่กับผู้เชื่อ และเป็นผู้ที่ทรงกระทำพระราชกิจของพระเจ้าในชีวิตของเรา ขอพระวิญญาณบริสุทธิ์จะทรงสำแดงความจริงของพระเจ้าในใจของเราแต่ละคน เพื่อลูกแกะของพระองค์จะได้ยินเสียงเรียกของพระองค์


เราได้มาถึงเล่มที่ 6 ของพระค้มภีร์พันธสัญญาใหม่แล้ว ผมขอย้ำอีกครั้งว่า เราไม่ได้กำลังศึกษารายละเอียดของพระคัมภีร์แต่ละเล่ม แต่เรากำลังทำความรู้จักกับพระเยซูโดยผ่านทางพระคัมภีร์แต่ละเล่ม ดังที่เราคงจะทราบกันอยู่แล้วบ้างว่า พระคัมภีร์พันธสัญญาใหม่ประกอบด้วยหนังสือย่อยๆจำนวน 27 เล่ม จัดแบ่งออกเป็น 4 หมวด ตามลักษณะของหนังสือ คือ หมวดพระกิตติคุณ 4 เล่ม ซึ่งเป็นเรื่องราวของพระเยซู คำสอน วิถีชีวิต การงานต่างๆ และเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นกับพระองค์ หมวดประวัติศาสตร์คริสตจักร 1 เล่ม เป็นเรื่องราวของเหล่าสาวกของพระเยซูที่ได้เริ่มออกเผยแพร่ข่าวประเสริฐทั้งในเยรูซาเล็มและในต่างประเทศ หมวดจดหมายฝาก จำนวน 21 เล่ม เป็นจดหมายที่ส่งไปถึงคริสตจักร หรือถึงบุคคล ซึ่งเป็นเรื่องราวสำคัญของหลักข้อเชื่อและหลักการดำเนินชีวิตของผู้ที่เชื่อในพระเยซู หมวดพยากรณ์ 1 เล่ม เป็นเรื่องราวของการสิ้นยุคสมัย พระเยซูจะเสด็จกลับมารับผู้เชื่อ การพิพากษาของพระเจ้า จุดจบของมารร้ายและสมุนของมัน สภาพของแผ่นดินสวรรค์ และการครอบครองของพระเจ้า

ทั้ง 27 เล่มนั้นเราถือว่าเป็นพระวจนะของพระเจ้า ไม่ใช่เป็นเพียงบันทึกประวัติศาสตร์ หรือวรรณกรรมที่สวยหรู หรือนิยายปรำปรา แต่ข้อความเหล่านั้นผู้เขียนได้รับการดลใจจากพระเจ้า มีความสมบูรณ์ ถูกต้อง และเป็นมาตรฐานสำหรับหลักข้อเชื่อ และแนวทางการดำเนินชีวิตคริสเตียน

5 เล่มที่ผ่านมานั้น เราได้ผ่านหมวดพระกิตติคุณและหมวดประวัติศาสตร์คริสตจักรไปแล้ว วันนี้เรากำลังเข้าสู่หมวดของจดหมายฝาก ในหมวดจดหมายฝากที่มีอยู่ 21 เล่ม เป็นจดหมายของอัครฑูตเปาโล 13 ฉบับ และของคนอื่นๆอีก 8 ฉบับเช่น ยากอบ เปโตร ยอห์น ยูดาห์ และหากจะแบ่งย่อยจดหมายฝากของอัครฑูตเปาโล ก็ยังแบ่งได้อีกเป็นหมวดย่อยๆอีกเช่น จดหมายจากคุก จดหมายเพื่อศิษยาภิบาล จดหมายฉบับยาว จดหมายในช่วงแรกเริ่ม รายละเอียดสามารถหาเพิ่มเติมได้จากคู่มือศึกษาพระคัมภีร์

จดหมายฝากมีความสำคัญอย่างไร ? ทำไมจึงรวบรวมจดหมายเหล่านี้เข้ามาเป็นพระคัมภีร์ ? จดหมายฝากส่วนหนึ่งมีที่มาอย่างนี้ เราต้องไม่ลืมว่า ในสมัยนั้น ยังไม่มีพระคัมภีร์ที่เป็นเล่มอย่างที่เราใช้กันทุกวันนี้ สาวกของพระเยซูได้ออกไปยังเมืองต่างๆเพื่อประกาศเรื่องราวหนทางรอดจากโทษของความบาปโดยทางพระเยซู ซึ่งผู้ที่รับฟังเรื่องราวก็มีทั้งชาวยิว และชาวต่างชาติ คนเหล่านั้นส่วนหนึ่งก็ยอมรับข่าวประเสริฐ ส่วนหนึ่งก็ไม่ยอมรับ พวกที่ยอมรับก็ได้รวมตัวกันเพื่อเรียนรู้หลักข้อเชื่อจากบรรดาอัครสาวกหรือผู้ประกาศข่าวประเสริฐซึ่งอยู่กับพวกเขาได้ระยะเวลาหนึ่ง แล้วก็ต้องจากไปเพื่อไปประกาศข่าวประเสริฐในเมืองอื่นๆ หลังจากนั้นปัญหาได้เกิดขึ้นในบรรดาคริสตจักรที่เกิดใหม่เหล่านั้น เพราะความเข้าใจที่ยังไม่กระจ่างชัด หรือเพราะคำสอนผิดที่เข้ามา หรือคำสอนผิดที่เกิดขึ้นจากสมาชิกเอง หรือเพราะผู้เชื่อที่เป็นยิวพยายามจะบังคับให้ผู้เชื่อที่เป็นต่างชาติถือตามธรรมเนียมยิวด้วย และอีกหลายปัญหา ดังนั้นอัครทูตจึงต้องเขียนจดหมายส่งกลับไปยังคริสตจักรต่างๆเหล่านั้นที่มีปัญหาเกิดขึ้น เพื่อตักเตือน เพื่อให้คำแนะนำ เพื่อให้หลักแนวทางปฏิบัติตัวที่เหมาะสม ซึ่งในที่สุดจดหมายฝากเหล่านี้ก็ได้เป็นสิ่งอ้างอิงที่เป็นลายลักษณ์อักษร เป็นแนวทางสำหรับคริสตจักรในยุคต่อๆมา จดหมายเหล่านี้ได้แก่ 1-2 โครินธ์, กาลาเทีย, เอเฟซัส, ฟิลิปปี, โคโลสี, 1-2 เธสะโลนิกา

อย่างไรก็ตาม ไม่ใช่จดหมายฝากทั้งหมดจะเป็นจดหมายที่ส่งถึงคริสตจักร จดหมายบางฉบับส่งถึงบุคคลด้วยเช่น 1-2 ทิโมธี, ทิตัส, ฟิเลโมน ซึ่งมีประเด็นที่น่าสนใจมากมาย เราจะมีโอกาสศึกษาด้วยกันในโอกาสต่อไป

พระธรรมโรม ที่เราจะมาร่วมกันค้นหาและทำความรู้จักกับพระเยซูในวันนี้ ก็เป็นจดหมายฝากจาก อัครฑูตเปาโล แต่จดหมายฝากฉบับนี้มีที่มาแตกต่างจากที่กล่าวไปข้างต้น เพราะเมื่ออัครฑูตเปาโลเขียนจดหมายฉบับนี้ เขายังไม่เคยไปที่โรมเลย แต่มีความปรารถนาที่จะไปเยี่ยมเยียนคริสตจักรที่นั่น ถ้าอย่างนั้นเราอาจสงสัยว่า ใครไปประกาศข่าวประเสริฐและก่อตั้งคริสตจักรที่นั่น หลังจากที่ได้มีการค้นคว้าสืบเสาะเรื่องราวแล้วคาดว่า เป็นผู้เชื่อในยุคแรกๆจากหลายที่หลายแห่งได้เดินทางไปอาศัยอยู่ที่โรม บางท่านก็สันนิษฐานว่านายร้อยโครเนริอัสที่ปรากฏอยู่ในกิจการ 10 อาจเป็นหนึ่งในจำนวนผู้เชื่อกลุ่มแรกๆที่ไปยังโรม

อัครฑูตเปาโลเขียนจดหมายฉบับนี้ไม่ใช่เพื่อการตำหนิ หรือตักเตือนคริสตจักรที่นั่น แต่เพื่อทำความรู้จักและแนะนำตัว ทั้งนี้เพราะท่านมีความปรารถนาที่จะไปเยี่ยมเยียนและร่วมงานกับคริสตจักรที่โรม และยังคาดหวังการสนับสนุนจากคริสตจักรที่นั่นที่จะส่งท่านไปประกาศข่าวประเสริฐยังประเทศสเปน ท่านจึงได้ใช้จดหมายนี้ในการอธิบายหลักข้อเชื่อของท่านในเรื่องราวของข่าวประเสริฐและแนวทางชีวิตคริสเตียน

รู้จักพระเยซูผ่านพระธรรมโรม

โรม 3:20
20เพราะว่าในสายพระเนตรของพระเจ้าไม่มีผู้หนึ่งผู้ใดเป็นคนชอบธรรมโดยการประพฤติตามธรรมบัญญัติได้ เพราะว่าธรรมบัญญัตินั้นทำให้เรารู้จักบาปได้ 21แต่บัดนี้ได้ปรากฏแล้วว่า ความชอบธรรมซึ่งมาจากพระเจ้านั้นปรากฏนอกเหนือกฎบัญญัติ ธรรมบัญญัติกับพวกผู้เผยพระวจนะเป็นพยานอยู่ 22คือความชอบธรรมของพระเจ้า ซึ่งทรงประทานโดยความเชื่อในพระเยซูคริสต์แก่ทุกคนที่เชื่อ เพราะว่าคนทั้งหลายไม่ต่างกัน 23เพราะว่าทุกคนทำบาปและเสื่อมจากพระสิริของพระเจ้า24แต่พระเจ้าทรงพระกรุณาให้เขาเป็นผู้ชอบธรรมโดยไม่คิดมูลค่า โดยที่พระเยซูคริสต์ทรงไถ่เขาให้พ้นบาปแล้ว 25พระเจ้าได้ทรงตั้งพระเยซูไว้ให้เป็นที่ลบล้างพระอาชญาโดยพระโลหิตของพระองค์ โดยความเชื่อจึงได้ผล ทั้งนี้เพื่อสำแดงให้เห็นความชอบธรรมของพระเจ้า ในการที่พระองค์ได้ทรงอดกลั้นพระทัย และทรงยกบาปที่ได้ทำไปแล้วนั้น 26และเพื่อจะสำแดงในปัจจุบันนี้ว่าพระองค์ทรงเป็นผู้ชอบธรรม และทรงโปรดให้ผู้ที่เชื่อในพระเยซูเป็นผู้ชอบธรรมด้วย


ความจริงประการแรก มนุษย์ทุกคนทำบาป แม้ว่ามีบทบัญญัติต่างๆมากมายที่พระเจ้าทรงประทานให้ หรือที่มนุษย์พยายามตั้งขึ้นเพื่อควบคุมการประพฤติของคน แต่ที่เราพบเห็นคือ ไม่มีมนุษย์คนใดสามารถประพฤติตามบทบัญญัตินั้นได้อย่างครบถ้วนตลอดชีวิต จริงหรือไม่ ผมเชื่อว่าเราแต่ละคนมีคำตอบในใจ ไม่ต้องมองที่คนอื่น เอาตัวเราเป็นตัวทดสอบก็ได้

ความจริงข้อนี้เองที่ทำให้เราต้องจนมุม เพราะการพยายามประพฤติปฏิบัติตามบทบัญญัติต่างๆ ไม่ใช่หนทางที่จะทำให้เราพ้นจากโทษของบาปได้เลย มีแต่จะทำให้เรายิ่งพบว่าเราผิดโน่นผิดนี่อยู่เรื่อยๆ เหมือนคำเปรียบที่ว่า ธรรมบัญญัติเป็นเพียงกระจก ให้เราส่องเห็นว่าเราเปรอะเปื้อนมากแค่ไหน ส่วนการชำระล้างนั้น ไม่ใช่หน้าที่ของธรรมบัญญัติ

บ่อยครั้งที่เรามักคิดว่า เราน่าจะสามารถชดเชยการทำบาปด้วยการทำดี แต่จริงๆแล้วไม่ใช่ เพราะนอกจากเราไม่สามารถหักกลบลบหนี้ระหว่างความดีกับความบาปได้ เรายังพบว่าในแต่ละวันเรามักทำเรื่องบาปมากกว่าเรื่องดี และเรามักคิดว่าบาปที่ทำมีน้ำหนักเบากว่าความดีที่ทำ เช่นเราคิดอย่างไรกับเจ้าหน้าที่ที่คอรัปชั่น แล้วเอาเงินที่ได้ไปบริจาคสร้างศูนย์ช่วยคนพิการ จะเอาความดีของการบริจาคไปหักลบความเลวจากการคอรัปชั่นได้หรือ ลองนำเรื่องขึ้นศาล เราก็จะเห็นหลักการของความยุติธรรม

ความจริงประการที่สอง พระเจ้ากำหนดวิธีการช่วยเหลือ โดยการที่พระเจ้าเองทรงชำระหนี้แทนคนบาปทั้งหลาย พระเจ้าได้ทรงเสด็จเข้ามาในโลก รับสภาพเป็นมนุษย์ ทรงดำเนินชีวิตในโลกนี้อย่างปราศจากบาปต่อเบื้องพระพักตร์พระเจ้า จึงเป็นผู้ที่สามารถใช้เป็นค่าไถ่สำหรับชำระหนี้ความบาปได้

ทำไมพระเจ้าจึงทรงใช้หนี้บาปแทนมนุษย์ ทั้งนี้เพราะมนุษย์เป็นสิ่งที่พระเจ้าทรงสร้างขึ้น พระองค์ทรงรักแม้ว่ามนุษย์ได้กระทำผิด และสมควรแก่โทษนั้น แต่พระองค์ไม่ประสงค์จะให้ผู้ใดพินาศเลย พระองค์ประสงค์ที่จะให้เขาหันมาหาพระองค์เพื่อพระองค์จะทรงช่วยเขา และให้เขากลับใจใหม่หันกลับจากประพฤติที่ไม่ถูกต้องนั้น

วิธีการชำระหนี้ความบาปของมนุษย์นี้ พระเจ้าเป็นผู้ทรงกำหนด ไม่ใช่มนุษย์จะมาทึกทักเอาได้ พระคัมภีร์ได้บันทึกเรื่องราวในสมัยโบราณของพิธีเผาเครื่องบูชาไถ่บาป ตามที่พระเจ้าได้ทรงบอกให้กระทำ พิธีนั้นเป็นเพียงสัญลักษณ์ของการชำระหนี้บาปที่จะเกิดขึ้นภายหลัง ซึ่งก็คือการสิ้นพระชนม์ของพระเยซูบนไม้กางเขน และพระเจ้าทรงสำแดงการรับรองแผนการแห่งการชำระหนี้บาปนี้โดยการให้พระเยซูเป็นขึ้นจากความตาย

ความจริงประการที่สาม ผู้ที่เชื่อในพระเยซูได้เป็นผู้ชอบธรรมในสายพระเนตรของพระเจ้า เพราะพระเยซูได้รับโทษความบาปแทนเขาแล้ว

คนบาปได้ถูกเปลี่ยนสถานะให้เป็นคนชอบธรรม ไม่ใช่เพราะความดีที่เขากระทำ แต่เพราะพระเจ้าทรงยกโทษให้ ทรงประทานฐานะให้เป็นคนชอบธรรม เปรียบกับคนที่เป็นหนี้ เมื่อเจ้าหนี้ยกหนี้ให้นั้น เขากลายเป็นคนไม่มีหนี้สิน แต่ไม่ใช้ด้วยความสามารถของเขาเองที่ชดใช้หนี้ แต่ได้รับความกรุณายกหนี้ให้

โรม 10:8-13
8แต่ความชอบธรรมนั้นว่าอย่างไร ก็ว่า "ถ้อยคำนั้นอยู่ใกล้ท่าน อยู่ในปากของท่าน และอยู่ในใจของท่าน (คือคำซึ่งก่อให้เกิดความเชื่อที่เราทั้งหลายประกาศอยู่นั้น) 9คือว่าถ้าท่านจะรับด้วยปากของท่านว่า พระเยซูทรงเป็นองค์พระผู้เป็นเจ้า และเชื่อในจิตใจว่า พระเจ้าได้ทรงชุบพระองค์ให้เป็นขึ้นมาจากความตาย ท่านจะรอด 10ด้วยว่า ความเชื่อด้วยใจก็นำไปสู่ความชอบธรรม และการยอมรับสัจจะของพระเจ้าด้วยปากก็นำไปสู่ความรอด 11เพราะมีข้อพระคัมภีร์ว่า ผู้หนึ่งผู้ใดที่เชื่อในพระองค์จะไม่ได้รับความอับอาย 12เพราะว่าพวกยิวและพวกต่างชาตินั้น ไม่ทรงถือว่าต่างกัน ด้วยว่าองค์พระผู้เป็นเจ้าองค์เดียว ทรงเป็นองค์พระผู้เป็นเจ้าของคนทั้งปวง และทรงโปรดอย่างบริบูรณ์แก่คนทั้งปวงที่ทูลขอต่อพระองค์ 13เพราะว่า ผู้ที่ร้องออกพระนามขององค์พระผู้เป็นเจ้าจะรอด


วิธีของพระเจ้าเป็นวิธีที่ยุติธรรมที่สุด พระเจ้าไม่ทรงบังคับผู้ใด แต่ทรงนำเสนอทางรอดให้กับคนบาปทุกคน มนุษย์ทุกคนสามารถมาถึงความรอดได้อย่างเท่าเทียมกัน ไม่ว่าจะรวยหรือจน มีตำแหน่งสูงหรือต่ำต้อย มีการศึกษาหรือไร้การศึกษา ชายหรือหญิง เด็กหรือคนชรา แข็งแรงหรือเจ็บป่วย ตระกูลสูงหรือไร้สกุล วันนี้พระเจ้าทรงนำเสนอทางรอดจากความบาปมาถึงท่านทุกคนที่นี่ด้วย หลายท่านได้รับไว้แล้ว แต่อาจมีบางท่านยังไม่ได้รับไว้

เมื่อตัดสินใจรับการรักษานั้น วิธีการรักษาเป็นของหมอ ไม่ใช่ตามที่ผู้ป่วยคิดเอาเอง บางท่านอาจเคยเห็นผู้ป่วยที่มาหาหมอแล้วพยายามบอกให้หมอทำการรักษาอย่างโน้นอย่างนี้ จะให้ทำเอ็กซ์เรย์ หรือผ่าตัด แทนที่จะฟังหมออธิบายให้ฟังว่าโรคที่ป่วยเป็นอย่างไร และจะรักษาด้วยวิธีใด การเข้ามาถึงการช่วยให้รอดของพระเจ้านั้น ต้องยอมรับวิธีการของพระเจ้า ซึ่งก็คือการยอมรับพระเยซูเป็นพระเจ้า และเชื่อในการฟื้นคืนพระชนม์ของพระเยซู หลังจากนั้น กระบวนการเปลี่ยนแปลงชีวิตก็จะเริ่มขึ้นโดยพระวิญญาณบริสุทธิ์ที่จะเสด็จเข้ามาประทับในชีวิตของผู้เชื่อแต่ละคน

โรม 8:14-17
14เพราะว่าพระวิญญาณของพระเจ้าทรงนำผู้ใด ผู้นั้นก็เป็นบุตรของพระเจ้า 15เหตุว่าท่านไม่ได้รับน้ำใจทาสซึ่งทำให้ตกในความกลัวอีก แต่ท่านได้รับพระวิญญาณผู้ทรงให้เป็นบุตรของพระเจ้า ให้เราทั้งหลายร้องเรียกพระเจ้าว่า "อับบา" คือพระบิดา 16พระวิญญาณนั้นเป็นพยานร่วมกับวิญญาณจิตของเราทั้งหลายว่า เราทั้งหลายเป็นบุตรของพระเจ้า 17และถ้าเราทั้งหลายเป็นบุตรแล้ว เราก็เป็นทายาท คือเป็นทายาทของพระเจ้า และเป็นทายาทร่วมกับพระคริสต์ เมื่อเราทั้งหลายทนทุกข์ทรมานด้วยกันกับพระองค์นั้น ก็เพื่อเราทั้งหลายจะได้ศักดิ์ศรีด้วยกันกับพระองค์ด้วย


การเข้ามารับการยกโทษบาปจากพระเจ้า ทำให้เราได้รับฐานะใหม่ คือพระเจ้ายอมรับเราในฐานะบุตรของพระเจ้า และในฐานะนี้เราอาจจะคาดหวังว่า ต่อไปนี้เราจะได้เป็นเหมือนองค์ชาย ที่มีแต่ความสุขสบาย มีข้าทาสบริวาร มีสิ่งอำนวยความสะดวกต่างๆมากมาย ไปไหนๆก็มีคนนับหน้าถือตา เป็นผู้มีเกียรติ

จริงๆแล้ว การอยู่ในฐานะบุตรของพระเจ้านั้น แม้ว่าปลายทางคือแผ่นดินสวรรค์ เป็นสถานที่สุขสบาย แต่ระหว่างเส้นทางมีหลายสิ่งที่เราต้องเรียนรู้และมีส่วนร่วมกับพระเยซู ทั้งนี้เพื่อแสดงให้เห็นถึงผลของความเปลี่ยนแปลงที่พระวิญญาณของพระเจ้าได้ทรงกระทำในชีวิตของเรา และจะเป็นสิ่งที่นับเป็นศักดิ์ศรีของเราด้วย

เราคงเคยได้ยินคำว่า “ร่วมทุกข์ร่วมสุข” เป็นคำที่ให้ความหมายของการเข้ามีส่วนร่วมอย่างแท้จริง บางท่านอาจเคยมีเพื่อนที่มีนิสัยชอบอยู่ด้วยเมื่อยามสนุก แต่จะหายตัวไปอย่างไร้ร่องรอยเมื่อยามที่เราลำบาก แต่บางท่านก็อาจเคยมีเพื่อนที่อยู่เคียงข้างเสมอ แม้จะต้องลำบากยากเข็ญเพียงไร เราเรียกเพื่อนสองประเภทนั้นว่า “เพื่อนกิน” กับ “เพื่อนตาย” ใครอยากมีเพื่อนกินบ้าง คงไม่มีใครอยากมี แต่ถามว่า คุณจะเป็น “เพื่อนตาย” ของใครสักคนได้หรือไม่ บางทีเราอาจพบว่า เราไม่อยากมี “เพื่อนกิน” แต่เราเองที่เป็นแค่ “เพื่อนกิน”

พระเจ้าปรารถนาให้เราได้เข้าร่วมเป็นอันหนึ่งอันเดียวกับพระเยซูคริสต์ สิ่งที่เราสามารถใช้พิสูจน์ความเป็นอันหนึ่งอันเดียวกับพระคริสต์ก็คือการทนทุกข์ร่วมกับพระองค์ หากเราหนีหน้าไปเมื่อเผชิญความยากลำบากเพื่อพระองค์ เราก็คงไม่ใช่ผู้มีส่วนในพระองค์อย่างแท้จริง

จงสำแดงให้เห็นความเป็นอันหนึ่งอันเดียวกับพระเยซูด้วยการร่วมทุกข์ด้วยกันกับพระองค์ เพราะพระองค์ได้สำแดงให้เราเห็นแล้วว่า พระองค์เป็นเพื่อนที่ตายแทนเราได้




Create Date : 23 มิถุนายน 2554
Last Update : 23 มิถุนายน 2554 12:51:14 น. 2 comments
Counter : 1194 Pageviews.  
 
 
 
 
แวะมาเยี่ยมค่ะ

ไปเยี่ยมบล็อกของน้ำชาได้ค่ะ ThaiLand Travel l สถานที่ท่องเที่ยว
 
 

โดย: nonguide วันที่: 23 มิถุนายน 2554 เวลา:13:35:14 น.  

 
 
 

Thank you for words of God

Blessing
 
 

โดย: narisa IP: 187.173.140.97 วันที่: 20 ตุลาคม 2555 เวลา:12:54:29 น.  

Name
Opinion
*ใช้ code html ตกแต่งข้อความได้เฉพาะสมาชิก

ksk
 
Location :
ยะลา Thailand

[ดู Profile ทั้งหมด]

ฝากข้อความหลังไมค์
Rss Feed
Smember
ผู้ติดตามบล็อก : 10 คน [?]




ผมเป็นคริสเตียนครับ
เป็นชาวยะลา เกิดปัตตานี ลูกจีนไหหลำ
จบวิศวกรรมไฟฟ้า(ระบบควบคุม) จากพระจอมเกล้าพระนครเหนือ EL รุ่น 24 รหัส 31 (เคยเรียน ป.วส. IE ห้องอิเล็ก ที่ วทอ. 2 ปี รหัส 29 ห้องเดียวกับ ศิริ แว่น สมชาย สุกิตติ จั๊บ ไพบูลย์ จ่าบุญเลิศ ก่อนย้อนไปเริ่มต้นป.ตรี ปี 1 ใหม่กับรุ่นน้องในคณะวิศวฯ พูดง่ายๆว่า ซิ่ว 2 ปี)
ป.โท วิศวกรรมการบิน(Avionique) จาก SUPAERO
Toulouse FRANCE ปี 1994
เคยรับราชการเป็นอาจารย์ในคณะวิศวฯที่พระนครเหนือ 8 ปี ผลงานก็ไม่มีอะไรมาก KMITNB Robot Camp เป็นสิ่งที่ยังพอให้ภาคภูมิใจเมื่อมองกลับไปที่เทคโนฯ ด้วยความคิดถึง 14 ปี อันแสนหวานกับชีวิตในพระนครเหนือ(มิย.ปี 29 - มิย.ปี 43)
ตอนนี้ลาออกจากราชการ มาหากินด้วยลำแข้ง(ไม่ใช่เป็นนักมวยไทยนะ)
ที่จังหวัดยะลาบ้านเกิด ตั้งแต่มิถุนายน ปี Y2K
กำลังจะรุ่งเรืองแล้วเชียว 4 มกราคม 2547
สถานการณ์ไฟใต้ก็เริ่มขึ้น
สิ่งที่เคยคิดว่าสักวันหนึ่งจะต้องเกิด มันก็เกิด
และยาวมาจนถึงตอนนี้
ผมยังนึกไม่ออกมันจะจบลงแบบไหน free counter

free counter

New Comments
[Add ksk's blog to your web]

 
pantip.com pantipmarket.com pantown.com