ถ้าพระเจ้าไม่มีจริง คุณได้หรือเสียอะไร? แต่ถ้าพระเจ้ามีจริง คุณได้หรือเสียอะไร?

<<
พฤศจิกายน 2552
1234567
891011121314
15161718192021
22232425262728
2930 
 
9 พฤศจิกายน 2552
 

เส้นทางชีวิตคริสเตียน (ตอนที่ 2)

8 พฤศจิกายน 2009
คริสตจักร ยะลา

มาระโก 10:28-34
28ฝ่ายเปโตรจึงเริ่มทูลพระองค์ว่า "นี่แหละ ข้าพระองค์ทั้งหลายได้สละสิ่งสารพัด และได้ติดตามพระองค์มา" 29พระเยซูตรัสตอบเขาว่า "เราบอกความจริงแก่ท่านว่า ถ้าผู้ใดได้สละบ้าน หรือพี่น้องชายหญิง หรือบิดามารดา หรือลูก หรือไร่นา เพราะเห็นแก่เราและข่าวประเสริฐของเรา 30ในยุคนี้ ผู้นั้นจะได้รับตอบแทนร้อยเท่าคือ บ้าน พี่น้องชายหญิง มารดา ลูกและไร่นา ทั้งจะถูกการข่มเหงด้วยและในยุคหน้าจะได้ชีวิตนิรันดร์ 31แต่มีหลายคนที่เป็นคนต้นจะต้องกลับไปเป็นคนสุดท้าย และที่เป็นคนสุดท้ายจะกลับเป็นคนต้น" 32เมื่อกำลังเดินทางจะขึ้นไปยังกรุงเยรูซาเล็ม พระเยซูก็เสด็จนำหน้าเขา ฝ่ายเหล่าสาวกก็พากันคิดประหลาดใจ และคนที่เดินมาข้างหลังก็หวาดกลัว พระองค์จึงทรงเรียกสาวกสิบสองคนอีก แล้วตรัสสำแดงให้เขาทราบถึงเหตุการณ์ซึ่งจะเกิดแก่พระองค์นั้น 33ว่า "นี่แน่ะ เราทั้งหลายจะขึ้นไปยังกรุงเยรูซาเล็ม และเขาจะมอบบุตรมนุษย์ไว้กับพวกมหาปุโรหิต และพวกธรรมาจารย์ และเขาเหล่านั้นจะปรับโทษท่านถึงตาย และจะมอบท่านไว้กับคนต่างชาติ 34คนต่างชาตินั้นจะเยาะเย้ยท่าน ถ่มน้ำลายรดท่าน จะเฆี่ยนตีท่านและจะฆ่าท่านเสีย และวันที่สามท่านจึงจะเป็นขึ้นมาใหม่"


อธิษฐาน
ข้าแต่พระเจ้าพระบิดา ขอบพระคุณพระองค์สำหรับหนทางแห่งความรอดที่ทรงจัดเตรียมไว้สำหรับเรา นั้นคือพระเยซูคริสต์พระบุตรองค์เดียวของพระองค์ที่ทรงเข้ามาในโลก พระเยซูทรงเป็นทางนั้น เป็นความจริง และเป็นชีวิต พระเยซูทรงเป็นหนทางเดียวที่เราจะกลับมาถึงพระเจ้าได้ วันนี้ขอพระเจ้าทรงโปรดตรัสกับเราแต่ละคน ให้เราระลึกถึงความหวังใจที่เรามีในพระสัญญาของพระองค์ ขณะที่เราดำเนินในโลกนี้แม้ว่าเราต้องเดินด้วยความยากลำบาก แต่เราจะชื่นชมเพราะพระองค์อยู่กับเราตลอดเส้นทางนั้น


ครั้งที่แล้วผมได้แบ่งปันกับพี่น้องในเรื่องของประตูคับ และทางแคบ ซึ่งเป็นจุดเริ่มต้นของการดำเนินชีวิตคริสเตียน เมื่อเราได้เข้ามาสู่ทางแห่งความรอดของพระเจ้า แน่นอนว่าความรอดนั้นเราได้รับเป็นพระคุณจากพระเจ้า โดยทางความเชื่อวางใจในพระเยซูคริสต์ แต่การเข้าทางประตูคับ และการดำเนินในทางแคบ เป็นสิ่งที่แสดงออกถึงความเชื่อวางใจในพระเยซู ซึ่งพระเยซูได้ทรงตรัสไว้ว่า “ทางกว้างก็นำไปถึงความพินาศ” วันนี้ผมจึงขอนำเสนอเป็นหัวข้อต่อเนื่องไป ในชื่อเรื่อง “เส้นทางชีวิตคริสเตียน” ซึ่งจะขอนับเป็นตอนที่สอง ต่อจากครั้งที่แล้ว

ผมจะขอทบทวนให้กับพี่น้องถึงสิ่งที่ได้กล่าวไป เพื่อเตือนความจำ และเพื่อให้พี่น้องอีกจำนวนหนึ่งที่ไม่ได้อยู่ในที่ประชุมในครั้งนั้นได้รับรู้เรื่องราวด้วย พร้อมๆกับการเพิ่มเติมคำอธิบายในรายละเอียดไปด้วย

คราวก่อนนั้น ผมได้นำเสนอจากพระธรรมมัทธิว 7:13-14 เป็นเรื่องของประตูคับและทางแคบ ซึ่งเราทุกคนที่เรียกตัวเองว่าเป็นคริสเตียน บอกกับคนอื่นๆว่าเราเป็นคริสเตียน จะเข้าใจว่าเราได้หาประตูคับพบแล้ว และได้เดินในทางแคบแล้ว และกำลังจะมีปลายทางที่สดใสตามที่พระคัมภีร์บอกไว้

แต่ความหมายของประตูแคบนั้นก็เตือนสติเราว่า ประตูคับนั้น เป็นประตูที่คนแต่ละคนจะผ่านไปได้เพียงตนเองเท่านั้น ประตูคับไม่ใช่ประตูที่เราจะควงแขนใครเข้าไปได้ ไม่ใช่ประตูที่เราจะหอบหิ้วสัมภาระต่างๆเข้าไปได้ หมายความว่า การที่เรามีครอบครัว พ่อ แม่ หรือลูกที่เป็นคริสเตียน ไม่ได้ทำให้เราติดสอยห้อยตามผ่านประตูคับไปด้วย ประตูนั้นคับ มีช่องเพียงที่แต่ละคนเท่านั้นจะผ่านเข้าไป ดังนั้น ลูกหลานคริสเตียนทั้งหลาย คุณต้องพิจารณาตนเองว่า คุณได้ผ่านเข้าประตูคับแคบนั้นแล้วจริงๆหรือไม่ คุณมีความปรารถณาโดยส่วนตัวที่จะรับพระเยซูเป็นพระผู้ช่วยให้รอดหรือไม่ หรือเพราะคุณถูกคะยั้นคะยอ หรือถูกบังคับให้ประพฤติปฏิบัติตัวเหมือนเป็นคริสเตียนเท่านั้น

ประการต่อมา เมื่อเราแต่ละคนผ่านประตูคับเข้าไป เรามีเพียงตัวเปล่าๆ นั่นมีความหมายว่า สัมภาระที่เราเคยมีติดตัวนั้น ได้ถูกปลดทิ้งไว้ภายนอก ถ้าหากสัมภาระนั้นเป็นสิ่งเลวร้ายในสายตาของเรา หรือสายตาของคนทั่วไป เราก็คงจะดีใจเพราะพระเจ้าได้ทรงปลดสิ่งร้ายๆออกไปแล้วจากชีวิตของเรา แต่บางครั้งเรากลับสลดใจ เพราะสัมภาระนั้นบางทีเป็นสิ่งที่เราเคยตีค่าว่าดี เป็นสิ่งที่โลกนี้ให้คุณค่าไว้สูง ทำให้เรารู้สึกเสียดายที่จะต้องละทิ้งไว้ด้านนอกประตู แต่ในสายพระเนตรของพระเจ้าแล้ว สิ่งเหล่านั้นไม่ใช่สิ่งดีสำหรับการก้าวเดินต่อไป และสิ่งที่โลกตีค่าไว้สูงนี่เองที่ทำให้พระเยซูตรัสว่า ตัวอูฐจะรอดรูเข็มก็ง่ายกว่า ดังนั้น พี่น้องครับ หากท่านเป็นคริสเตียนที่ยังคงรักโลก และสิ่งของของโลกนี้ บางทีท่านอาจยังยืนอยู่นอกประตู และยังไม่ได้เริ่มต้นดำเนินชีวิตในหนทางแห่งชีวิตเลย

ผมไม่ได้หมายความว่า การละทิ้งสิ่งต่างๆเพื่อผ่านประตูคับ คือการที่คริสเตียนจะต้องละทิ้งหน้าที่การงานไม่ต้องรับผิดชอบต่ออะไรทั้งสิ้นทั้งปวง มีเงินก็เอาไปแจกคนอื่นให้หมด เคยมีตำแหน่งหน้าที่ก็ไปลาออกให้หมด เคยมีปริญญามีความรู้ก็ให้ฉีกทิ้งหรือลืมความรู้นั้นเสีย ถ้าพระคัมภีร์สอนอย่างนั้น พวกเราควรจะรีบจบชีวิตเสียโดยเร็วเมื่อรับเชื่อในพระเยซู

ในความเป็นจริงแล้วเรายังคงต้องทำการงานอาชีพ เรายังคงต้องรับผิดชอบในภาระต่างๆ แต่ความหมายของการละทิ้งไว้นอกประตูหมายความว่า ต่อไปนี้เมื่อเราเดินในทางแห่งชีวิตแล้ว สิ่งที่เรามีนั้นจะต้องไม่เป็นอุปสรรคหรือข้ออ้างที่ขัดขวางเราในการดำเนินชีวิตกับพระเจ้าอีก เช่น
-เราต้องไม่อ้างว่า เราเป็นข้าราชการชั้นสูง จะมาทำหน้าที่กระจอกๆในคริสตจักรได้อย่างไร
-เราต้องไม่อ้างว่า เราจบการศึกษาถึงด็อกเตอร์มีความรู้กว้างขวาง ทำไมจะต้องมานั่งฟังเด็กเมื่อวานซืนสอนพระคัมภีร์ หรือมากำหนดให้เราำทำโน่นทำนี่
-เราต้องไม่อ้างว่า เราเป็นถึงนักบริหารมีประสพการณ์ทำโครงการร้อยล้านสำเร็จมาแล้ว จะมามัวอธิษฐานวิงวอนพระเจ้าเพื่องานกระจิ๊บกระจ้อยต่างๆทำไม

พูดถึงข้ออ้าง ทำให้คิดถึงตัวอย่างของคนฉลาดที่มีข้ออ้างกับพระเจ้าซึ่งเราฟังแล้วอึ้ง เพราะไม่คิดว่าเขาจะหลักแหลมอย่างนั้น คือเขาบอกว่า “พระองค์เจ้าข้า การรับใช้พระองค์ก็มีมากมายหลายวิธี บางคนก็ถวายแรงกาย เพราะเขาร่างกายกำยำแข็งแรงมีเรี่ยวแรงเยอะ, บางคนก็ถวายสติปัญญา เพราะเขาเก่งและหลักแหลม, บางคนก็ถวายเสียง เพราะเขาเสียงดีร้องเพลงไพเราะ, บางคนก็ถวายเวลา เพราะเขาว่างมีเวลามาก ข้าพระองค์นั้นอยากจะรับใช้พระองค์เหลือเกิน แต่จะถวายแรง ก็มีคนทำไปแล้ว จะถวายสติปัญญา ก็มีคนทำไปแล้ว จะถวายเสียง จะถวายเวลา ก็มีคนทำไปแล้ว ข้าพระองค์จึงคิดได้ว่าควรจะถวายเงินดีกว่า เพียงแต่ตอนนี้ยังกระเป๋าแห้งเงินไม่ค่อยมี เพราะฉนั้นโปรดให้ข้าพระองค์มีเงินเยอะๆ เพื่อข้าพระองค์จะถวายสิบลดให้กับพระองค์” ฟังดูก็เป็นคำอธิษฐานหัวหมอใช้ได้

ข้ออ้างที่เป็นอุปสรรคขัดขวางเราในการผ่านประตูคับนั้น นอกจากชื่อเสียง เกียรติยศ และทรัพย์สมบัติที่เราเคยมีอยู่แล้ว ความปรารถนาส่วนตัวในสิ่งที่เรายังไม่มี ก็เป็นสิ่งเราต้องทิ้งไว้นอกประตูคับด้วย คือ
-เราต้องไม่อ้างว่า ข้าพระองค์ยังไม่ได้เป็นนายอำเภอเลย จะมีชีวิตที่ถวายเกียรติกับพระเจ้าได้อย่างไร
-เราต้องไม่อ้างว่า ข้าพระองค์ยังเรียนไม่จบปริญญาเลย จะมีชีวิตที่ถวายเกียรติกับพระเจ้าได้อย่างไร
-เราต้องไม่อ้างว่า ข้าพระองค์ยังไม่ได้เป็นเจ้าของกิจการใหญ่โตเลย จะมีชีวิตที่ถวายเกียรติกับพระเจ้าได้อย่างไร

นั่นคือความหมายของการวางสิ่งเหล่านั้นลงไว้นอกประตูคับ เพื่อมันจะไม่เป็นอุปสรรคที่ขัดขวางเราในการเดินในหนทางข้างหน้า

เมื่อเราเข้าประตูคับมาแล้ว เส้นทางที่เราจะเดินต่อไปนั้น ก็เป็นเส้นทางที่แคบ และเดินได้ยากลำบาก การมีสัมภาระที่เคยเป็นสิ่งดีมีคุณค่าติดตัวไปด้วยจึงกลายเป็นปัญหาที่ถ่วงเรา บนเส้นทางแคบนั้น สิ่งที่เราต้องการมากที่สุดคือพระเยซูผู้ทรงดำเนินไปกับเรา และการเดินในทางแคบโดยไม่มีสิ่งใดติดตัวเลยนอกจากพระเยซู ก็เป็นการแสดงออกถึงการเชื่อวางใจในพระเยซู

สิ่งที่ผมอยากจะบอกในวันนี้ ไม่เพียงจะบอกกับผู้เชื่อใหม่ ผมอยากจะบอกกับผู้ที่ติดตามพระเจ้ามาหลายปีแล้วด้วย ว่า การผ่านประตูคับและการเดินในทางแคบที่พระคัมภีร์กล่าวถึงนั้น ไม่ใช่การเคร่งครัดในศาสนา ไม่ใช่การเคร่งครัดในข้อปฏิบัติหรือบทบัญญัติ เพื่อที่เราไปถึงจุดหมายปลายทางคือชีวิตนิรันดร์ เพราะหากไปเข้าใจผิดว่า การผ่านประตูคับและการเดินในทางแคบเพื่อให้ไปถึงชีวิตนิรันดร์คือการที่เราต้องเคร่งครัดในข้อปฏิบัติ ก็จะเป็นการขัดแย้งกับหลักข้อเชื่อสำคัญที่ว่า “ด้วยว่าซึ่งเราทั้งหลายรอดนั้นก็รอดโดยพระคุณเพราะความเชื่อ และมิใช่โดยตัวเราทั้งหลายกระทำเอง แต่พระเจ้าทรงประทานให้”
และไม่เพียงเท่านั้น หากการเคร่งครัดในข้อปฏิบัติ สามารถนำไปถึงชีวิตนิรันดร์ได้ ก็จะขัดแย้งกับหลักข้อเชื่อสำคัญที่ว่า “ไม่มีผู้ใดมาถึงพระบิดาได้ นอกจากมาทางเรา” เพราะคนจำนวนหนึ่งในโลก ก็มีวิถีชีวิตที่เคร่งครัดในข้อปฏิบัติ มีศีลให้รักษาเป็นร้อยๆข้อ มีกฏระเบียบให้ถือรักษามากมาย บางคนถึงกับสละทิ้งทุกสิ่งเพื่อการปฏิบัติธรรมตลอดชีวิตด้วยความถ่อมตัวและถ่อมใจ จนคล้ายกับว่าเขาก็เดินใน “ทางแคบ” เหมือนกัน แต่เขาเหล่านั้นไม่สามารถไปถึงชีวิตนิรันดร์ได้ เพราะเขาไม่ได้เชื่อวางใจในพระเยซู

วันนี้เราจะมาเรียนรู้เรื่องราวของเส้นทางชีวิตคริสเตียน จากพระธรรมมาระโก 10:28-34 เป็นเหตุการณ์หนึ่งที่กล่าวถึงประสพการณ์ที่สาวกได้ร่วมการเดินทางกับพระเยซู ในข้อท้ายๆ พระเยซูได้บอกให้เหล่าสาวกทราบว่า เมื่อพระองค์เข้าไปที่เยรูซาเล็มแล้วจะเกิดอะไรขึ้น หากเราเป็นสาวกคนหนึ่งในเวลานั้น เราจะมีท่าทีอย่างไร

หากเราเป็นหนึ่งในสาวกของพระเยซูในเวลานั้น เราจะคิด หรือจะทำอะไร จะเลิกติดตามพระเยซูดีไหม เพราะดูเหมือนว่าความหวังที่จะได้เป็นใหญ่เพราะติดตามพระเยซูนั้นจะเป็นไปไม่ได้เสียแล้ว หรือจะยังคงมีความหวังใจอยู่ อาจจะแอบคิดว่า พระองค์อาจจะแกล้งลองใจเราเล่นหรือเปล่า หวังว่าเมื่อผ่านไปสัก 2-3 วันพระองค์จะบอกว่า “อ่ะ.. ล้อเล่น”

ในที่สุดเราก็รู้ว่า สิ่งที่พระเยซูทรงบอกไว้ล่วงหน้านั้นเป็นเรื่องจริง เหล่าสาวกที่ยังคงติดตามพระองค์นั้น ก็ได้พบกับเหตุการณ์ที่สิ้นหวังที่สุด เพราะพระอาจารย์ที่เขาบอกว่า ได้สละสิ่งสารพัดเพื่อติดตามพระองค์นั้น ได้จบชีวิตลงอย่างนักโทษชั้นเลว ท่ามกลางการดูหมิ่นเหยียดหยามอย่างที่สุด

ผมอยากให้เราได้มาสังเกตเรื่องราวจากพระธรรมมาระโกในตอนนี้อีกสักครั้ง มีหลายเรื่องราวที่น่าสนใจ เหตุการณ์ก่อนหน้านี้ก็คือ มีเศรษฐีหนุ่มผู้เพรียบพร้อมไปหมดทุกอย่างมาหาพระเยซู และถามพระเยซูว่า “จะต้องทำอย่างไร จึงจะได้ชีวิต” พระเยซูก็ได้สนทนากับชายหนุ่มคนนั้น ในที่สุดชายหนุ่มคนนั้นต้องหันหลังจากพระเยซูไปอย่างผิดหวัง เพราะพระเยซูท้าท้ายให้เขาสละสิ่งสารพัดที่เขามีอยู่และติดตามพระองค์ไป ทำให้พระเยซูหันมากล่าวกับสาวกว่า “ตัวอูฐจะรอดรูเข็ม ก็ง่ายกว่าที่คนร่ำรวยจะเข้าในแผ่นดินของพระเจ้า” และเปโตรก็ได้เสนอตัวขึ้นมาทันทีว่า "นี่แหละ ข้าพระองค์ทั้งหลายได้สละสิ่งสารพัด และได้ติดตามพระองค์มา"

เปโตร กำลังนำเสนอต่อพระเยซูว่า เขาและสาวกคนอื่นๆนั้นได้ “ยอมสละสิ่งต่างๆ เพื่อจะติดตามพระเยซู” ซึ่งฟังดูก็น่าจะเป็นการตัดสินใจที่ยิ่งใหญ่ น่าชื่นชม และเป็นการกระทำที่ “ดีกว่า” เศรษฐีหนุ่มคนนั้นที่เพิ่งจะเดินจากไป แต่หากว่าเราได้อ่านเรื่องราวต่อจากตอนนี้ไปอีกสักเล็กน้อย เราก็จะเห็นว่า การกระทำที่ดูเหมือนเป็นการยอมสละนั้น แท้จริงมีเบื้องหลังบางอย่าง

คนจำนวนมากติดตามพระเยซูในสมัยนั้น ด้วยหลายสาเหตุ ครั้งหนึ่งพระเยซูทรงตรัสเตือนคนเหล่านั้นว่า พระองค์รู้ว่าคนเหล่านั้นติดตามพระองค์ไม่ใช่เพราะเห็นหมายสำคัญ แต่เพราะได้กินอิ่ม เมื่อพระเยซู เริ่มที่จะตรัสสอนถึงสิ่งที่ยาก คนที่ติดตามพระเยซูจำนวนมากก็ได้เลิกติดตามพระองค์ เหลือแต่เพียงสาวกที่ใกล้ชิด แล้วสาวกที่ใกล้ชิดทั้งหลายของพระเยซูมีความหวังใจอะไรในขณะที่เขาติดตามพระเยซู เราก็คงจะไม่สามารถทราบความคิดของพวกเขาได้ทุกคน แต่จากเรื่องราวที่บันทึกไว้เราก็เห็นพฤติกรรมที่เกิดขึ้นในพวกเขา ทำให้เราพอจะรู้ได้ว่า พวกเขาก็ยังคงคาดหวังกับการเป็นใหญ่ในอาณาจักร เพราะคิดว่าพระเยซูกำลังจะช่วยอิสราเอลจากการตกเป็นเมืองขึ้นของโรมและได้ขึ้นเป็นกษัตริย์ วันนี้ในเหตุการณ์นี้ พระเยซูกำลังบอกเขาว่า เมื่อพวกเราเดินทางเข้าไปที่เยรูซาเล็ม จะเกิดเหตุการณ์อย่างไร และพระเยซูจะต้องไปถึงความตาย

เหล่าสาวกที่ดูเหมือนได้กระทำสิ่งที่ยิ่งใหญ่ตามที่เขาอ้างคือ “ได้สละสิ่งสารพัด และได้ตามพระองค์มา” ก็ได้พบกับความผิดหวัง เพราะเขาหวังผิด แต่ภายหลังเมื่อเขาได้เห็นความจริงที่ยิ่งใหญ่ พระเยซูได้ทรงพลิกชีวิตของเขาทั้งหมด ยกเว้น ยูดาส ที่ได้ตัดสินใจละทิ้งพระองค์ไป

การ “ได้สละสิ่งสารพัด และได้ตามพระองค์มา” นั้น กลับกลายเป็นความจริงในชีวิตของเหล่าสาวกเหล่านั้นที่ยังคงสัตย์ซื่อต่อพระเยซูคริสต์ แม้ว่าในเริ่มต้นพวกเขาหลายๆคนอาจเริ่มด้วยแรงจูงใจที่ผิด

เราทั้งหลายที่นี่ก็อาจไม่ได้แตกต่างจากเปโตร ที่ทูลเสนอต่อพระองค์ว่า “ข้าพระองค์ทั้งหลาย ได้สละสิ่งสารพัด และได้ตามพระองค์มา” แต่แท้ที่จริงเรา เหมือนคนฉลาดคนนั้นที่กำลังต่อรองกับพระเจ้า โดยการคาดหวังบางสิ่งบางอย่างจากพระองค์ การกระทำอย่างนั้นเป็นเหมือนกับคนที่ยังไม่ได้ผ่านประตูคับเข้ามา เพราะยังมีสัมภาระต่างๆในชีวิตเยอะ มีข้ออ้างต่างๆเยอะ มีเหตุผลต่างๆเยอะ

29พระเยซูตรัสตอบเขาว่า "เราบอกความจริงแก่ท่านว่า ถ้าผู้ใดได้สละบ้าน หรือพี่น้องชายหญิง หรือบิดามารดา หรือลูก หรือไร่นา เพราะเห็นแก่เราและข่าวประเสริฐของเรา 30ในยุคนี้ ผู้นั้นจะได้รับตอบแทนร้อยเท่าคือ บ้าน พี่น้องชายหญิง มารดา ลูกและไร่นา ทั้งจะถูกการข่มเหงด้วยและในยุคหน้าจะได้ชีวิตนิรันดร์

- เราจะบอกว่า เราได้สละสิ่งสารพัดเพื่อพระองค์ได้อย่างไร หากเราไม่ยอมเปิดบ้านของเราให้ใช้ในงานของพระเจ้า (อย่าเลย เป็นภาระต้องมารับผิดชอบ จะทำอะไรส่วนตัวก็ไม่สะดวก)
- เราจะบอกว่า เราได้สละสิ่งสารพัดเพื่อพระองค์ได้อย่างไร หากเราไม่ยอมให้พี่น้องชายหญิงของเราได้มีโอกาส มีเวลาไปทำงานของพระเจ้า (อย่าไปเลย แกไม่ไปคนเดียว งานเขาไม่ล่มหรอก ออกไปหาลูกค้ากับฉันดีกว่า ถ้าได้ลูกค้าอีก 2-3 ราย ก็จะได้เป้า ไปเที่ยวเอธิโอเปียฟรีด้วย)
- เราจะบอกว่า เราได้สละสิ่งสารพัดเพื่อพระองค์ได้อย่างไร หากเราหวงบิดา มารดา ของเราไว้จากพระเจ้า (อย่าเลยพ่อ อย่าเลยแม่ ขี้เกียจขับรถไปรับไปส่ง กลับมาก็เมื่อย ต้องมานวดให้อีก)
- เราจะบอกว่า เราได้สละสิ่งสารพัดเพื่อพระองค์ได้อย่างไร หากเราหวงลูกชาย ลูกสาวของเราไว้จากพระเจ้า (อย่าไปเรียนพระคริสตธรรมเลยลูก พวกผู้รับใช้เต็มเวลายากจน ลำบาก ต้องคอยกินเงินเดือน รับใช้พระเจ้าเป็นฆารวาททำธุรกิจหาเงินแล้วถวายทรัพย์มากๆดีกว่า พวกผู้รับใช้พระเจ้ายังต้องมาพินอบพิเทาเลย)
- เราจะบอกว่า เราได้สละสิ่งสารพัดเพื่อพระองค์ได้อย่างไร หากเราหวงไร่นา หรือกิจการงานของเราไว้จากพระเจ้า (จะให้ทำการค้าอย่างซื่อสัตย์อย่างที่พระคัมภีร์สอนเหรือ เดี๋ยวสู้กับคู่แข่งไม่ได้ ของขายไม่ออกจะทำอย่างไร พระเยซูเป็นแค่ช่างไม้จะมาแนะนำเรื่องการค้าได้ยังไง)


พระเยซูทรงบอกว่าผู้ที่สละสิ่งสารพัด จะได้รับตอบแทน 100 เท่า ไชโยทุกคนดีใจ ผู้รับใช้พระเจ้าหลายคนที่ได้สละสิ่งสารพัดเพื่อพระเยซู ได้เป็นพยานยืนยันว่า เขาได้มีพ่อแม่เป็นร้อยที่คอยห่วงใยและอธิษฐานเผื่อเขา เขาได้มีพี่น้องชายหญิงเป็นร้อยที่คอยให้การสนับสนุนเขา เขาได้มีบ้านที่จะเปิดต้อนรับเขาเป็นร้อย เขาได้ลูกชายลูกสาวเป็นร้อยที่ทำให้เขาชื่นชมยินดี เขาได้มีไร่นาเป็นร้อยคือการเลี้ยงดูจากพระเจ้าอย่างเกินความคาดหมาย

แต่สิ่งสำคัญที่จะลืมไม่ได้คือ “ทั้งจะถูกการข่มเหงด้วย” เรายังจำเรื่องที่อาจารย์นิกร ได้เทศนาในค่ายได้หรือเปล่าครับ เมื่อการทุกข์ยากอย่างแสนสาหัสในยุคสุดท้ายมาถึง หากว่าเรามีสัมภาระมากมายที่แบกไว้ เราจะไม่สามารถผ่านความทุกข์ยากนั้นไปได้ และเราจะเป็นเหมือนกับยูดาส ที่ได้ทรยศและปฏิเสธพระเยซู เพราะเราหวงสิ่งสารพัดไว้จากพระเจ้า

เป็นความจริงที่ท้าทายชีวิตของเราทุกคน ไม่ว่าร่ำรวย หรือยากจน มีความรู้ หรือไร้การศึกษา มีตำแหน่งสูง หรือเป็นแค่คนรับจ้างต่ำต้อย หากเรายอมสละสิ่งสารพัด เพื่อพระเยซู และเพื่อข่าวประเสริฐของพระองค์ เราจะไม่ขาดสิ่งดีใดๆ สาวกของพระเยซูทุกคน ยกเว้นยูดาส ในที่สุดเขาได้สละสิ่งสารพัดเพื่อพระเยซูจริงๆ และทุกคนผ่านทางแคบไปได้ เพราะเขาได้สละสิ่งสารพัด และไปกับพระเยซูจริงๆ

ขอให้เราทุกคน ได้มาถึงจุดที่สำคัญอีกจุดหนึ่งบนเส้นทางชีวิตคริสเตียน คือ “การสละสิ่งสารพัด และตามพระเยซูไป”





Create Date : 09 พฤศจิกายน 2552
Last Update : 9 พฤศจิกายน 2552 9:26:29 น. 0 comments
Counter : 788 Pageviews.  
 
Name
Opinion
*ใช้ code html ตกแต่งข้อความได้เฉพาะสมาชิก

ksk
 
Location :
ยะลา Thailand

[ดู Profile ทั้งหมด]

ฝากข้อความหลังไมค์
Rss Feed
Smember
ผู้ติดตามบล็อก : 10 คน [?]




ผมเป็นคริสเตียนครับ
เป็นชาวยะลา เกิดปัตตานี ลูกจีนไหหลำ
จบวิศวกรรมไฟฟ้า(ระบบควบคุม) จากพระจอมเกล้าพระนครเหนือ EL รุ่น 24 รหัส 31 (เคยเรียน ป.วส. IE ห้องอิเล็ก ที่ วทอ. 2 ปี รหัส 29 ห้องเดียวกับ ศิริ แว่น สมชาย สุกิตติ จั๊บ ไพบูลย์ จ่าบุญเลิศ ก่อนย้อนไปเริ่มต้นป.ตรี ปี 1 ใหม่กับรุ่นน้องในคณะวิศวฯ พูดง่ายๆว่า ซิ่ว 2 ปี)
ป.โท วิศวกรรมการบิน(Avionique) จาก SUPAERO
Toulouse FRANCE ปี 1994
เคยรับราชการเป็นอาจารย์ในคณะวิศวฯที่พระนครเหนือ 8 ปี ผลงานก็ไม่มีอะไรมาก KMITNB Robot Camp เป็นสิ่งที่ยังพอให้ภาคภูมิใจเมื่อมองกลับไปที่เทคโนฯ ด้วยความคิดถึง 14 ปี อันแสนหวานกับชีวิตในพระนครเหนือ(มิย.ปี 29 - มิย.ปี 43)
ตอนนี้ลาออกจากราชการ มาหากินด้วยลำแข้ง(ไม่ใช่เป็นนักมวยไทยนะ)
ที่จังหวัดยะลาบ้านเกิด ตั้งแต่มิถุนายน ปี Y2K
กำลังจะรุ่งเรืองแล้วเชียว 4 มกราคม 2547
สถานการณ์ไฟใต้ก็เริ่มขึ้น
สิ่งที่เคยคิดว่าสักวันหนึ่งจะต้องเกิด มันก็เกิด
และยาวมาจนถึงตอนนี้
ผมยังนึกไม่ออกมันจะจบลงแบบไหน free counter

free counter

New Comments
[Add ksk's blog to your web]

 
pantip.com pantipmarket.com pantown.com