ถ้าพระเจ้าไม่มีจริง คุณได้หรือเสียอะไร? แต่ถ้าพระเจ้ามีจริง คุณได้หรือเสียอะไร?

<<
มิถุนายน 2553
 12345
6789101112
13141516171819
20212223242526
27282930 
 
15 มิถุนายน 2553
 

เส้นทางชีวิตคริสเตียน (ตอนที่ 9)

13 มิถุนายน 2010
คริสตจักร ยะลา

เอเฟซัส 6:10-18
10สุดท้ายนี้ขอท่านจงมีกำลังขึ้นในองค์พระผู้เป็นเจ้า และในฤทธิ์เดชอันมหันต์ของพระองค์ 11จงสวมยุทธภัณฑ์ทั้งชุดของพระเจ้า เพื่อจะต่อต้านยุทธอุบายของพญามารได้ 12เพราะว่าเราไม่ได้ต่อสู้กับเนื้อหนังและเลือด แต่ต่อสู้กับเทพผู้ครอง ศักดิเทพ เทพผู้ครองพิภพในโมหะความมืดแห่งโลกนี้ ต่อสู้กับเหล่าวิญญาณที่ชั่วในสถานฟ้าอากาศ 13เหตุฉะนั้นจงรับยุทธภัณฑ์ทั้งชุดของพระเจ้าไว้ เพื่อท่านจะได้ต่อต้านในวันอันชั่วร้ายนั้น และเมื่อเสร็จแล้วจะอยู่อย่างมั่นคงได้ 14เหตุฉะนั้นท่านจงมั่นคง เอาความจริงคาดเอว เอาความชอบธรรมเป็นทับทรวงเครื่องป้องกันอก 15และเอาข่าวประเสริฐแห่งสันติสุข ซึ่งเป็นเหตุให้เกิดความพรั่งพร้อมมาสวมเป็นรองเท้า 16และพร้อมกับสิ่งทั้งหมดนี้ จงเอาความเชื่อเป็นโล่ ด้วยโล่นั้นท่านจะได้ดับลูกศรเพลิงของพญามารเสีย 17จงเอาความรอดเป็นหมวกเหล็กป้องกันศีรษะ และจงถือพระแสงของพระวิญญาณ คือ พระวจนะของพระเจ้า 18จงอธิษฐานวิงวอนทุกอย่าง จงขอโดยพระวิญญาณทุกเวลา ทั้งนี้จงระวังตัวด้วยความเพียรทุกอย่าง จงอธิษฐานเพื่อธรรมิกชนทุกคน


อธิษฐาน
ข้าแต่พระเจ้าพระบิดา พระองค์เป็นผู้สมควรแก่การสรรเสริญ เพราะพระราชกิจอันมีพระคุณทั้งสิ้นที่ทรงกระทำเพื่อเราทั้งหลาย ขอบพระคุณสำหรับการจัดเตรียมของพระองค์ในทุกสิ่งทุกประการ และขอบพระคุณอย่างยิ่งสำหรับพระวจนะซึ่งเป็นพระแสงของพระวิญญาณ เป็นอาวุธยุทธภัณฑ์ที่เราจำเป็นต้องใช้ในการกระทำภาระกิจที่ทรงมอบให้ ขอให้เรารับไว้ด้วยใจยินดี มีใจรักที่จะฝึกฝนการใช้ยุทธภัณฑ์ เพื่อเราจะใช้อย่างถูกต้องและมีประสิทธิผล เป็นที่พอพระทัยของพระองค์


วันนี้เป็นตอนที่เก้า ในหัวข้อ “เส้นทางชีวิตคริสเตียน” เรากำลังอยู่ในหัวข้อย่อยเรื่องของยุทธภัณฑ์ทั้งชุดที่พระเจ้าประทานให้ ผ่านไปแล้วจำนวน 5 ชิ้นคือ ความจริงเป็นเครื่องคาดเอว ความชอบธรรมเป็นทับทรวงเครื่องป้องกันอก ข่าวประเสริฐแห่งสันติสุขเป็นรองเท้า โล่แห่งความเชื่อ และความรอดซึ่งเป็นหมวกเหล็กป้องกันศีรษะ วันนี้จะเป็นเครื่องอาวุธชิ้นสุดท้ายคือ พระแสงของพระวิญญาณ

ก่อนที่จะเข้าสู่เรื่องของยุทธภัณฑ์ที่จะกล่าวถึงในวันนี้ ผมจะขอทบทวนให้กับพี่น้องถึงสิ่งที่ได้กล่าวไปในตอนที่แล้ว เพื่อเตือนความจำ และเพื่อให้พี่น้องอีกจำนวนหนึ่งที่ไม่ได้อยู่ในที่ประชุมในครั้งนั้นได้รับรู้เรื่องราวด้วย

ความเดิมตอนที่แล้วเป็นเรื่องของ ความรอดซึ่งเป็นหมวกเหล็กป้องกันศีรษะ

17จงเอาความรอดเป็นหมวกเหล็กป้องกันศีรษะ …

ความสำคัญของหมวก หมวกมีมากมายหลายประเภท และมีประโยชน์ใช้สอยต่างกัน
หมวกเคยถูกใช้เพื่อป้องกันประเทศ ในยุคป้องกันการล่าอาณานิคม ให้เห็นว่าเราเป็นอารยะ
หมวกถูกใช้เพื่อความปลอดภัย ในการขับขี่มอเตอร์ไซค์
หมวกถูกใช้เพื่อป้องกันอันตราย ในการเข้าในพื้นที่ก่อสร้างหรือโรงงานอุตสาหกรรม
หมวกถูกใช้ปกป้องผิวอ่อนบาง ในการทำงานกลางแดด
หมวกถูกใช้เพื่อรักษาความสะอาด ในการทำงานครัว


แล้ว “หมวกเหล็ก” ล่ะ แน่นอนว่า หมวกเหล็ก อาจมีลักษณะบางประการที่ทำให้ผู้สวมใส่รู้สึกไม่สะดวกสบาย หรือไม่มีรูปทรงที่โฉบเฉี่ยวเหมือนหมวกแฟชั่นล้ำสมัย แต่ความสำคัญของหมวกเหล็กอยู่ที่ “การป้องกันศีรษะ”

หากร่างกายนั้นเปรียบกับคริสตจักร พี่น้องแต่ละคนเป็นอวัยวะแต่ละส่วน พระคริสต์ทรงเป็นศีรษะของคริสตจักร และ “ความรอด” ที่ถูกเปรียบให้เป็นหมวกเหล็ก เพื่อรักษาพระคริสต์ผู้เป็นศีรษะไว้ ทั้งนี้ไม่ได้หมายความว่า เรากำลังป้องกันพระเยซูให้พ้นจากอันตราย แต่กำลังหมายถึง การผดุงไว้ซึ่งสิ่งที่สำคัญที่สุดของคริสตจักร หรือกล่าวอีกอย่างว่า “ความรอด” เป็นสิ่งที่ยืนยันความสำคัญของพระคริสต์ ผู้เป็นศีรษะของคริสตจักร

การใช้หมวก วิธีใช้ที่ตรงไปตรงมาที่สุด คือให้หมวกกับศีรษะได้อยู่ด้วยกันเสมอ นั่นคือ ให้เรื่องราวของความรอด กับพระเยซูคริสต์ เป็นเรื่องที่คู่กันเสมอ เป็นเรื่องที่แยกออกจากกันไม่ได้ หากกล่าวถึงพระคริสต์ อย่าลืมกล่าวถึงความรอดด้วย

ความรอด คืออะไร? ความรอด ที่พระคัมภีร์พูดถึง คือ การพ้นจากโทษของความบาป ซึ่งการพ้นโทษนี้ เป็นสิ่งที่พระเจ้าทรงประทานให้กับเรา เมื่อเราเชื่อว่าพระเยซูเป็นพระผู้ช่วย

อย่าถอดหมวก จากตอนสั้นๆของภาพยนต์ที่ได้ชมกันไปนั้น ผมเชื่อว่าพี่น้องจะเห็นด้วยกับคำเตือนที่ว่า “อย่าถอดหมวก” การที่คริสตจักรไม่ให้ความสำคัญกับเรื่องของ “ความรอด” โดยหันไปเน้นเรื่องอื่นๆมากกว่า ก็อาจกลายเป็นการ “ถอดหมวก” โดยไม่รู้ตัว หากตัดเรื่องของ “ความรอด” ออกไป พวกเราก็ไม่มีอะไรต่างไปจากคนอื่นๆทั่วโลก เพราะมีเพียงศาสดาที่เป็นคนดี มีคำสอนที่ดี มีกลุ่มคนที่เอาใจใส่กันและกัน มีกิจกรรมที่สร้างสรรค์ มีเทศกาลที่ประทับใจ มีการจัดสังคมสงเคราะห์ที่ดียอดเยี่ยม ลองคิดดูสิครับ ว่าที่กล่าวมานั้น เราสามารถหาพบได้ในทุกศาสนา สิ่งสำคัญสิ่งเดียวที่ศาสนาอื่นๆไม่มีคือ “ความรอด”
เราจะไม่ประกาศพระเยซูโดยไม่พูดถึงความรอด
และเราจะไม่สามารถพูดถึงความรอดโดยไม่พูดถึงพระเยซู


สำหรับวันนี้ เราจะพิจารณาจาก ช่วงหลังของข้อที่ 17

17 …. และจงถือพระแสงของพระวิญญาณ คือ พระวจนะของพระเจ้า

เครื่องอาวุธที่เราอ่านพบในวันนี้อาจทำให้หลายๆคนรู้สึกว่า “อืม... นี่ล่ะ ค่อยสมกับสิ่งที่เรียกว่าอาวุธสักหน่อย” เพราะที่ผ่านๆมาทั้งหมดนั้น เป็นแต่เพียงเครื่องป้องกันตัวเท่านั้น วันนี้ค่อยดูเป็นอาวุธที่มีอานุภาพสักหน่อย แต่ขณะเดียวกัน ก็อาจจะมีหลายคนที่มีความรู้สึกว่า “เฮ้อ... รอดูตั้งนาน คิดว่าจะมีอะไรเด็ด ที่แท้ก็อาวุธโบราณ ไร้ซึ่งพิษสงที่น่าเกรงขาม” ไม่ว่าท่านจะรู้อย่างไร แต่สำหรับสมรภูมิฝ่ายวิญญาณ อาวุธชิ้นนี้ได้รับการยืนยันจากพระเจ้าว่า “ใช้การได้” และได้ทรงพิสูจน์ให้เห็นแล้วว่า “สามารถต่อสู้กับศัตรูได้”

ปกติแล้วพระคัมภีร์ หรือพระวจนะของพระเจ้านั้น ได้ถูกมองว่าเป็นอะไรหลายๆอย่าง เช่น

เป็นอาหารฝ่ายวิญญาณ หากเราเราต้องการที่จะเติบโตขึ้นในฝ่ายวิญญาณ เราต้องอ่านพระวจนะสม่ำเสมอ พระวจนะของพระเจ้ามีทั้งแบบอาหารอ่อนและอาหารแข็ง ซึ่งก็เหมาะสำหรับสภาวะของชีวิตฝ่ายวิญญาณที่ต่างกัน แต่บ่อยครั้งน้ำนมก็ยังเป็นประโยชน์ในการบำรุงร่างกายของผู้ใหญ่ด้วย

เป็นยา เมื่อพูดว่าเป็นยา หลายๆท่านคงนึกถึงเป็นอันดับแรกว่า เป็นยานอนหลับ ซึ่งจริงๆแล้วผมคิดว่า เป็นเพียงผลข้างเคียงเท่านั้น เพราะพระคัมภีร์ข้อหนึ่งบอกว่า พระเจ้าทรงให้ผู้ที่รักพระองค์หลับสบาย ซึ่งโดยมากแล้วผู้ที่รักพระองค์ก็จะอ่านพระคัมภีร์ และก็จะหลับสบาย แต่พระวจนะของพระเจ้าเป็นยานั้น ผมกำลังหมายถึง ยาบำรุง ที่ทำให้เรามีกำลังขึ้น และเป็นยารักษาแผลใจ ที่สามารถเยียวยารักษาอาการป่วยทางใจ หรืออาการเหนื่อยล้าภายในได้เป็นอย่างดี ไม่ว่าคุณจะอกหัก รักคุด ผิดหวังจากการงาน เพื่อนหักหลัง ถูกทำร้ายจิตใจ อย่าลืมเปิดฟัง FM 88.0 MHz ครับ พระวจนะของพระเจ้าจะเป็นยารักษาแผลใจของท่านได้

เป็นกระจก แน่นอนว่า พระวจนะของพระเจ้าเป็นเหมือนกระจกที่ช่วยให้เราสามารถมองเห็นสิ่งบกพร่องต่างๆในชีวิตได้เป็นอย่างดี

เป็นโคมส่องเท้า อันนี้ผมเคยแบ่งปันไปแล้วเมื่อหลายเดือนก่อน พระวจนะของพระเจ้าเป็นเครื่องส่องสว่างที่ช่วยให้เรามองเห็นหนทางที่เรากำลังเดินไป แต่การใช้งานพระวจนะของพระเจ้าเป็นโคมนั้น จะต้องประกอบไปด้วยความเชื่อฟังพระวจนะนั้น เพราะการส่องให้เห็นปัญหาไม่ได้หมายความว่า เห็นแล้วเราจะสามารถเหยียบเข้าไปในปัญหานั้นได้ แต่เพื่อให้เราหลีกเลี่ยงที่จะไม่นำตัวเข้าไปสู่ปัญหา

เป็นกรรมธรรม์ เป็นคำสัญญาที่พระเจ้าทรงประทานให้ เพื่อเราจะมั่นใจได้ว่า พระองค์ผู้ทรงสัตย์ซื่อ ได้ทรงสำแดงให้เห็นแล้วในประวัติศาสตร์ และจะทรงสัตย์ซื่อต่อเราเช่นกัน


และอีกหลายประการ ซึ่งคงจะละไว้ที่ตรงนี้ วันนี้เราจะมาพิจารณามุมมองต่อพระวจนะของพระเจ้าในด้านที่เป็นพระแสงของพระวิญญาณ

พระแสงก็คือ ดาบ นอกจากพระธรรมเอเฟซัส 6:17 แล้ว ยังมีข้ออื่นๆที่กล่าวถึงบทบาทของพระวจนะของพระเจ้าในการเป็นดาบอีก เช่น เราจะพบจาก 3-4 ตอนในพระธรรมวิวรณ์ บทที่ 1, 2 และ 19 ที่กล่าวถึง พระแสงดาบ สองคมที่ออกมาจากพระโอษฐ์ของพระเมษโปดก ซึ่งอาจจะฟังดูแล้ว รู้สึกว่าเป็นภาพแปลก ที่จะมีดาบยื่นออกมาจากปากของพระเยซูคริสต์ แต่จริงๆแล้วก็เล็งถึงพระวจนะที่ออกจากปากของพระองค์นั่นเอง และเราก็ได้เห็นว่า โดยพระแสงดาบนั้น พระองค์ได้ทรงกระทำให้ศัตรูถูกปราบลงราบคาบ

ก่อนที่จะพูดถึงพระวจนะในมุมมองที่เป็นดาบที่เอาออกไปสู้กับศัตรู ผมอยากให้เรามาพิจารณาดาบนี้ในอีกด้านหนึ่งก่อน

ฮีบรู 4:12
12เพราะว่า พระวจนะของพระเจ้านั้นไม่ตายและทรงพลานุภาพอยู่เสมอ คมยิ่งกว่าดาบสองคมใดๆแทงทะลุกระทั่งจิตและวิญญาณ ตลอดข้อกระดูกและไขในกระดูก และสามารถวินิจฉัยความคิดและความมุ่งหมายในใจด้วย


พระธรรมฮีบรูได้พูดถึงพระวจนะของพระเจ้า ซึ่งต้องใช้กับบรรดาทหารของพระองค์ก่อน ในมุมนี้เราอาจมองว่า พระวจนะของพระเจ้าเป็นมีดผ่าตัด ที่ใช้สำหรับการรักษา ปรับเปลี่ยน แก้ไข ให้คนของพระเจ้านั้นมีสุขภาพในฝ่ายวิญญาณที่มีสภาพใช้การได้เสียก่อน ถ้ากองทัพส่งทหารที่ขาหัก เป็นวัณโรคไอโครกๆ หรือกำลังใส้ติ่งแตก ออกไปยังสนามรบ ก็คงเป็นภาพที่น่าสังเวชไม่น้อย ทหารที่จะสามารถออกไปทำหน้าที่ได้อย่างมีประสิทธิภาพต้องมีร่างกายที่สมบูรณ์เพียงพอ ไม่จำเป็นต้องมีกล้ามเป็นมัดๆเหมือนนักเพาะกายกันทุกคน เพียงแต่สมบูรณ์พร้อมก็ใช้การได้

2 ทิโมธี 3:16-17
16พระคัมภีร์ ทุกตอนได้รับการดลใจจากพระเจ้า และเป็นประโยชน์ในการสอนการตักเตือนว่ากล่าวการปรับปรุงแก้ไขคนให้ดี และการอบรมในทางธรรม
17เพื่อคนของพระเจ้าจะพรักพร้อมที่จะกระทำการดีทุกอย่าง


การที่เราจะพรักพร้อมที่จะออกไปกระทำการดีนั้น เราต้องได้รับการปรับปรุงแก้ไข โดยพระวจนะเสียก่อน ชีวิตที่ได้รับการปรับปรุงแก้ไขโดยพระวจนะนั้น จะถูกแก้ไขจากส่วนลึกที่สุดภายในมนุษย์ พระคัมภีร์ได้ให้ภาพเปรียบเทียบว่า ลึกไปจนถึงข้อกระดูกและไขในกระดูก และลึกไปจนถึงความคิดและความมุ่งหมายในใจ

ปกติแล้วในสังคมก็มีการอบรมเพื่อปรับเปลี่ยนพฤติกรรม หรือเสริมสร้างบุคคลิกภาพของคน แต่สิ่งเหล่านั้นเป็นการพยายามปรับแต่งบางสิ่งบางอย่างที่ภายนอกเท่านั้น เหมือนกับการปรับปรุงบ้านที่โดนปลวกกิน หากเพียงแค่เอาไม้อัดมาตีผนังปิดไว้แล้วทาสีใหม่ ดูภายนอกก็เหมือนว่าบ้านได้รับการปรับปรุงแล้ว แต่เพียงไม่กี่เดือนผ่านไป ปัญหาก็ปรากฏให้เห็น พระวจนะของพระเจ้าที่ปรับปรุงชีวิตของเรานั้น กระทำต่อเราเหมือนกับการซอกซอนไปรื้อทำลายรังปลวกให้หมดสิ้น และยังทำการแก้ไขปรับปรุงสภาพภายนอกให้เป็นอย่างดี ทั้งนี้เพื่อแสดงให้เห็นความสามารถของนายช่างผู้ทำการซ่อมแซม

หากเราประสงค์จะมีส่วนร่วมในกองทัพของพระเจ้า ได้ออกไปปฏิบัติหน้าที่อย่างสมเกียรติ เราเองจะต้องได้รับการปรับเปลี่ยนชีวิตโดยพระวจนะเสียก่อน

ผมอยากหนุนใจพี่น้องที่เราจะมารับการเสริมสร้างและได้รับการปรับปรุงชีวิตโดยพระวจนะของพระเจ้า ในกลุ่มศึกษาพระคัมภีร์ที่คริสตจักรได้จัดให้มีในระหว่างสัปดาห์ แน่นอนครับว่า การมานมัสการพระเจ้าในวันสะบาโตนั้นดี และสำคัญมาก และเราก็ควรมีส่วนในการสามัคคีธรรมกับพี่น้องในระหว่างสัปดาห์เช่นกัน คริสตจักรต่างๆในกรุงเทพนั้น ประสพปัญหามาก เพราะสมาชิกกระจัดกระจายอยู่ไกลจากคริสตจักร จะจัดให้มีกลุ่มระหว่างสัปดาห์ที่คริสตจักรก็ไม่สะดวก ทำให้ต้องตั้งกลุ่มย่อยๆตามพื้นที่ต่างๆ เพื่อให้พี่น้องที่อยู่ใกล้เคียงได้มาร่วมสามัคคีธรรมในระหว่างสัปดาห์ เรียกว่าการเข้ากลุ่มแคร์ แต่พวกเราที่อยู่ต่างจังหวัด โดยเฉพาะพื้นที่เล็กๆอย่างจังหวัดยะลานี้ เราไปไหนมาไหน ทุกมุมเมือง ก็ใช้เวลาไม่เกิน 10 นาที กลุ่มศึกษาพระคัมภีร์ทั้งที่คริสตจักรในคืนวันอังคาร และตามบ้านสมาชิกในคืนวันพุธ จะเป็นสิ่งที่ช่วยท่านได้มาก ที่จะได้รับการผ่าตัดโดยพระวจนะของพระเจ้า สายสัมพันธ์ของพี่น้องในคริสตจักรก็จะมีขึ้นโดยอัตโนมัติ เพราะเราได้มีโอกาสใช้เวลาด้วยกัน บางทีเราฟังคำเทศนาทางสถานีวิทยุแล้วได้ยินนักเทศน์พูดถึงกลุ่มแคร์ พูดถึงสายสัมพันธ์ เราอาจรู้สึกว่าอยากมีอย่างนั้นบ้างในคริสตจักรของเรา แต่พี่น้องอาจไม่รู้ว่า เรามีมานานแล้ว ทั้งกลุ่มแคร์ ทั้งสายสัมพันธ์ เพียงแต่ท่านอาจไม่เคยมาร่วมกับพี่น้องคนอื่นๆในคริสตจักรเท่านั้นเอง ผมขอเชิญชวนอีกครั้ง เพื่อเราจะได้รับการปรับปรุงแก้ไข โดยพระวจนะของพระเจ้า และพรักพร้อมที่จะออกไปกระทำการของพระเจ้า

กลับมาที่เรื่องของพระวจนะ ที่เป็นพระแสงของพระวิญญาณ เมื่อเราต้องใช้เป็นอาวุธในการต่อสู้กับศัตรู ผมเชื่อว่าเราทุกคนยังคงจำได้ดีถึงเหตุการณ์ที่พระเยซูทรงถูกมารทดลอง ซึ่งเป็นภาพที่ชัดเจนมากในการใช้พระวจนะของพระเจ้าเป็นอาวุธในการต่อสู้ เราลองดูด้วยกันอีกครั้ง

มัทธิว 4:1-11
1ครั้งนั้น พระวิญญาณทรงนำพระเยซูเข้าไปในถิ่นทุรกันดาร เพื่อมารจะได้มาผจญ 2และพระองค์ทรงอดพระกระยาหารสี่สิบวันสี่สิบคืน ภายหลังพระองค์ก็ทรงอยากพระกระยาหาร 3ส่วนผู้ผจญมาหาพระองค์ทูลว่า "ถ้าท่านเป็นพระบุตรของพระเจ้า จงสั่งก้อนหินเหล่านี้ให้กลายเป็นพระกระยาหาร" 4ฝ่ายพระองค์ตรัสตอบว่า "มีพระคัมภีร์เขียนไว้ว่า "มนุษย์จะบำรุงชีวิตด้วยอาหารสิ่งเดียวหามิได้ แต่บำรุงด้วยพระวจนะทุกคำ ซึ่งออกมาจากพระโอษฐ์ของพระเจ้า 5แล้วมารก็นำพระองค์ไปยังนครบริสุทธิ์ และให้พระองค์ประทับที่ยอดหลังคาพระวิหาร 6แล้วทูลพระองค์ว่า "ถ้าท่านเป็นพระบุตรของพระเจ้า จงโจนลงไปเถิด เพราะพระคัมภีร์มีเขียนไว้ว่า พระเจ้าจะรับสั่งให้เหล่าทูตสวรรค์ของพระองค์รักษาท่าน และเหล่าทูตสวรรค์จะเอามือประคองชูท่านไว้ มิให้เท้าของท่านกระทบหิน
7พระเยซูจึงตรัสตอบว่า "พระคัมภีร์มีเขียนไว้อีกว่า อย่าทดลองพระองค์ผู้เป็นพระเจ้าของท่าน 8อีกครั้งหนึ่งมารได้นำพระองค์ขึ้นไปบนภูเขาอันสูงยิ่งนัก และได้แสดงบรรดาราชอาณาจักรในโลก ทั้งความรุ่งเรืองของราชอาณาจักรเหล่านั้นให้พระองค์ทอดพระเนตร 9แล้วได้ทูลพระองค์ว่า "ถ้าท่านจะกราบลงนมัสการเรา เราจะให้สิ่งทั้งปวงเหล่านี้แก่ท่าน" 10พระเยซูจึงตรัสตอบว่า "อ้ายซาตาน จงไปเสียให้พ้น เพราะพระคัมภีร์มีเขียนไว้ว่า จงกราบนมัสการพระองค์ผู้เป็นพระเจ้าของท่าน และปรนนิบัติพระองค์แต่ผู้เดียว 11แล้วมารจึงละพระองค์ไป และมีเหล่าทูตสวรรค์มาปรนนิบัติพระองค์


อย่าลืมว่า ศัตรูในสมรภูมิเป็นใคร บางทีสิ่งนี้ก็เป็นปัญหา เพราะเราอาจหันมาฟาดฟันกันเองโดยพระวจนะของพระเจ้า เป็นสิ่งที่น่าเศร้าหากเกิดเรื่องอย่างนี้ในคริสตจักรของพระเจ้า พี่น้องคริสเตียนไม่ใช่ศัตรูของเรา พี่น้องคาทอลิกก็ไม่ใช่ศัตรูของเรา พี่น้องชาวยิวก็ไม่ใช่ศัตรูของเรา และแม้แต่มนุษย์ทุกคนในโลกนี้ที่ไม่รู้จักพระเจ้า หรือต่อสู้กับพระเจ้า ก็ไม่ใช่ศัตรูของเรา เราไม่ต้องคึกคัก เหมือนพวกเด็ก ม.1 ที่เรียนวิชากระบี่กระบอง พอถือไว้ในมือก็ทั้งเหวี่ยงทั้งฟาดไปทั่ว สำหรับคนบาปทุกคนพระวจนะของพระเจ้า เป็นเหมือนยา เป็นเหมือนมีดผ่าตัด เป็นเหมือนน้ำฝนที่ให้ความชุ่มฉ่ำสำหรับชีวิตที่แห้งแล้งของเขา เราควรนำพระวจนะไปถึงเขาในลักษณะนี้ เพราะเรามีหน้าที่ไปช่วยผู้ประสพภัย ไม่ใช่ไปฆ่าเขาให้ตาย อย่าลืมว่า ก่อนที่เราจะมาอยู่ตรงนี้ ครั้งหนึ่งเราก็เคยอยู่ในสภาพแบบนั้น และเราได้รับพระวจนะของพระเจ้าเป็นการช่วยเหลือ ไม่ใช่ได้รับคมดาบที่ประหารให้ตาย

ศัตรูในสมรภูมิคือ ซาตาน แต่เป้าหมายหลักของเราไม่ใช่การออกไปฟาดฟันกับซาตาน เพราะอะไรหรือครับ ก็เพราะกระดูกคนละเบอร์ เราไม่ใช่คู่ต่อสู้ของซาตาน แต่พระแสงของพระวิญญาณนั้น ทรงประทานให้เราเพื่อให้เราสามารถปกป้องตัวเรา และเพื่อนร่วมงานให้พ้นจากการรุกรานของซาตาน เพื่อไล่มันไป อย่างที่พระเยซูทรงกระทำ อาจารย์สมศักดิ์ ชูสงฆ์ เคยเทศนาให้เราฟังเมื่อหลายปีก่อนว่า หากเรากำลังถูกวิญญาณชั่วรบกวน ให้เราใช้พระวจนะของพระเจ้าเทศนาให้มันฟัง เช่นพระเยซูเป็นพระบุตรของพระเจ้า พระเยซูทรงฟื้นจากความตาย พวกเราที่ต้อนรับพระเยซูได้รับฐานะเป็นบุตรของพระเจ้าแล้ว เราได้รับการไถ่ให้พ้นบาปแล้วโดยโลหิตของพระเยซู ฯลฯ ซึ่งเป็นพระสัญญาและความจริงที่ปรากฏในพระคัมภีร์ แล้ววิญญาณชั่วจะหนีไป

กระบี่ไร้เทียมทาน หากตกในมือของจอมยุทธ ก็เป็นอาวุธที่ทรงประสิทธิภาพ แต่ถ้าตกในเมื่อของมือใหม่หัดขับ ก็น่าเป็นห่วงอยู่ไม่น้อย คำถามที่น่าสนใจคือ ณ เวลานี้ เราเป็นจอมยุทธ หรือเป็นมือใหม่หัดขับ บางทีคำถามบางข้อแม้ไม่ได้เกี่ยวข้องกับเนื้อหาเรื่องความรอด แต่ก็สื่อให้เห็นได้ว่า เราคุ้นเคยกับพระคัมภีร์มากน้อยแค่ไหน (ลองตอบในใจนะครับ เพราะถ้าตอบผิด คนข้างๆจะได้ไม่รู้) เช่น พระกิตติคุณยอห์น เขียนโดยใคร ยอห์นผู้ให้บัพติสมา ยอห์นสาวกที่พระเยซูทรงรัก หรือเขียนโดย อ.เปาโล (ยอห์นสาวกที่พระเยซูทรงรัก) พระธรรมโยนาธาน อยู่ในพระคัมภีร์เดิมหรือพระคัมภีร์ใหม่ (ไม่มีพระธรรมโยนาธาน)

แล้วเราจะเป็นจอมยุทธได้อย่างไร ก็โดยการให้เวลากับพระวจนะของพระเจ้า เหมือนกับพวกจอมยุทธที่ต้องจับกระบี่มาฝึกเพลงยุทธกระบวนท่าต่างๆ อย่างสม่ำเสมอ นั่นคือการอ่านพระคัมภีร์ทุกวันอย่างสม่ำเสมอ ไม่จำเป็นต้องหักโหม บางทีเราตั้งเป้าว่าอยากอ่านให้จบเล่มใน 1 ปี ก็เป็นสิ่งที่ดี และขอเป็นกำลังใจให้ทำจนสำเร็จครับ แต่หากพี่น้องท่านอื่นๆไม่สามารถอ่านพระคัมภัร์วันละ 8-10 บทได้ พี่น้องอาจจะอ่านวันละ 1 ตอนก็ได้ แต่ขอให้อ่านแล้วได้นำมาคิดต่อในระหว่างวัน ซึ่งจะเป็นสิ่งที่ทำให้พระวจนะได้จารึกลงในใจของเรา และจะเกิดผลในเวลาอันสมควร

นอกจากนี้ คริสตจักรของเราได้พยายามที่จะส่งเสริมให้พี่น้องสนใจพระวจนะของพระเจ้า ทั้งโดยการจัดให้มีกลุ่มศึกษาพระคัมภีร์หลายกลุ่มทั้งในวันอาทิตย์และระหว่างสัปดาห์ นอกจากนี้ ในแต่ละปี เราจะมีการแข่งขันตอบคำถามจากพระคัมภีร์ ซึ่งก็เป็นที่น่ายินดีที่เห็นพี่น้องจำนวนหนึ่งให้ความสนใจ และเตรียมตัวโดยการอ่านพระคัมภีร์อย่างจริงจังมาก ปีนี้ก็อาจจะจัดให้มีอีกครั้ง เมื่อไหร่ วันไหน จะแจ้งให้ทราบอีกครั้ง

“กระบี่อยู่ที่ใจ” เป็นคำที่เท่มาก เราอาจเคยเห็นในภาพยนต์จีน ปรมาจารย์นั้นบางครั้งก็สามารถใช้เพียงไม้ตะเกียบข้างเดียว ต่อสู้เอาชนะคู่ต่อสู้ที่มีอาวุธครบมือได้ เราเองก็อยากจะไปถึงจุดนั้น ซึ่งผมเชื่อว่า พระเจ้าทรงโปรดให้เราไปถึงจุดนั้นได้ แต่ที่ผมห่วงคือ มือใหม่หัดขับที่กำลังคิดว่า ตนเองนั้นเชี่ยวชาญขนาด กระบี่อยู่ที่ใจ แล้ว เมื่อออกสู่สมรภูมิก็เลย ไม่พกพากระบี่ไปด้วย ซึ่งผลลัพธ์เราก็คงจะเดาได้ว่าจะเกิดอะไรขึ้น

หากเราเองยังไม่ได้รับการปรับปรุงจากภายในโดยพระวจนะของพระเจ้า หรือเราเองยังไม่สะสมพระวจนะของพระเจ้าไว้ในใจ และไม่ได้มีโอกาสในการภาวนาพระวจนะของพระเจ้า จนกระทั่งพระวจนะของพระเจ้าฝั่งในใจของเราแล้ว เราก็คงจะยังเป็นมือใหม่หัดขับ ซึ่งยังไม่พร้อมที่จะออกสู่สมรภูมิ ขอพระเจ้าทรงช่วยเราที่จะเอาใจใส่กับการมีและฝึกการใช้ พระแสงของพระวิญญาณ คือพระวจนะของพระเจ้า


Create Date : 15 มิถุนายน 2553
Last Update : 15 มิถุนายน 2553 9:11:52 น. 1 comments
Counter : 1134 Pageviews.  
 
 
 
 
 
 

โดย: หาแฟนตัวเป็นเกลียว วันที่: 15 มิถุนายน 2553 เวลา:10:26:45 น.  

Name
Opinion
*ใช้ code html ตกแต่งข้อความได้เฉพาะสมาชิก

ksk
 
Location :
ยะลา Thailand

[ดู Profile ทั้งหมด]

ฝากข้อความหลังไมค์
Rss Feed
Smember
ผู้ติดตามบล็อก : 10 คน [?]




ผมเป็นคริสเตียนครับ
เป็นชาวยะลา เกิดปัตตานี ลูกจีนไหหลำ
จบวิศวกรรมไฟฟ้า(ระบบควบคุม) จากพระจอมเกล้าพระนครเหนือ EL รุ่น 24 รหัส 31 (เคยเรียน ป.วส. IE ห้องอิเล็ก ที่ วทอ. 2 ปี รหัส 29 ห้องเดียวกับ ศิริ แว่น สมชาย สุกิตติ จั๊บ ไพบูลย์ จ่าบุญเลิศ ก่อนย้อนไปเริ่มต้นป.ตรี ปี 1 ใหม่กับรุ่นน้องในคณะวิศวฯ พูดง่ายๆว่า ซิ่ว 2 ปี)
ป.โท วิศวกรรมการบิน(Avionique) จาก SUPAERO
Toulouse FRANCE ปี 1994
เคยรับราชการเป็นอาจารย์ในคณะวิศวฯที่พระนครเหนือ 8 ปี ผลงานก็ไม่มีอะไรมาก KMITNB Robot Camp เป็นสิ่งที่ยังพอให้ภาคภูมิใจเมื่อมองกลับไปที่เทคโนฯ ด้วยความคิดถึง 14 ปี อันแสนหวานกับชีวิตในพระนครเหนือ(มิย.ปี 29 - มิย.ปี 43)
ตอนนี้ลาออกจากราชการ มาหากินด้วยลำแข้ง(ไม่ใช่เป็นนักมวยไทยนะ)
ที่จังหวัดยะลาบ้านเกิด ตั้งแต่มิถุนายน ปี Y2K
กำลังจะรุ่งเรืองแล้วเชียว 4 มกราคม 2547
สถานการณ์ไฟใต้ก็เริ่มขึ้น
สิ่งที่เคยคิดว่าสักวันหนึ่งจะต้องเกิด มันก็เกิด
และยาวมาจนถึงตอนนี้
ผมยังนึกไม่ออกมันจะจบลงแบบไหน free counter

free counter

New Comments
[Add ksk's blog to your web]

 
pantip.com pantipmarket.com pantown.com