ถ้าพระเจ้าไม่มีจริง คุณได้หรือเสียอะไร? แต่ถ้าพระเจ้ามีจริง คุณได้หรือเสียอะไร?

<<
พฤษภาคม 2553
 1
2345678
9101112131415
16171819202122
23242526272829
3031 
 
10 พฤษภาคม 2553
 

เส้นทางชีวิตคริสเตียน (ตอนที่ 8)

9 พฤษภาคม 2010
คริสตจักร ยะลา

เอเฟซัส 6:10-18
10สุดท้ายนี้ขอท่านจงมีกำลังขึ้นในองค์พระผู้เป็นเจ้า และในฤทธิ์เดชอันมหันต์ของพระองค์
11จงสวมยุทธภัณฑ์ทั้งชุดของพระเจ้า เพื่อจะต่อต้านยุทธอุบายของพญามารได้
12เพราะว่าเราไม่ได้ต่อสู้กับเนื้อหนังและเลือด แต่ต่อสู้กับเทพผู้ครอง ศักดิเทพ เทพผู้ครองพิภพในโมหะความมืดแห่งโลกนี้ ต่อสู้กับเหล่าวิญญาณที่ชั่วในสถานฟ้าอากาศ
13เหตุฉะนั้นจงรับยุทธภัณฑ์ทั้งชุดของพระเจ้าไว้ เพื่อท่านจะได้ต่อต้านในวันอันชั่วร้ายนั้น และเมื่อเสร็จแล้วจะอยู่อย่างมั่นคงได้
14เหตุฉะนั้นท่านจงมั่นคง เอาความจริงคาดเอว เอาความชอบธรรมเป็นทับทรวงเครื่องป้องกันอก
15และเอาข่าวประเสริฐแห่งสันติสุข ซึ่งเป็นเหตุให้เกิดความพรั่งพร้อมมาสวมเป็นรองเท้า
16และพร้อมกับสิ่งทั้งหมดนี้ จงเอาความเชื่อเป็นโล่ ด้วยโล่นั้นท่านจะได้ดับลูกศรเพลิงของพญามารเสีย
17จงเอาความรอดเป็นหมวกเหล็กป้องกันศีรษะ และจงถือพระแสงของพระวิญญาณ คือ พระวจนะของพระเจ้า
18จงอธิษฐานวิงวอนทุกอย่าง จงขอโดยพระวิญญาณทุกเวลา ทั้งนี้จงระวังตัวด้วยความเพียรทุกอย่าง จงอธิษฐานเพื่อธรรมิกชนทุกคน


อธิษฐาน
ข้าแต่พระเจ้าพระบิดา ขอบพระคุณสำหรับความรอดที่ทรงประทานให้กับเราทั้งหลาย และโดยความรอดนี้พระองค์ได้ให้เราใช้เพื่อต่อสู้กับมารร้าย ขอพระองค์ทรงให้เราเห็นความสำคัญของความรอดที่ทรงประทานให้กับพวกเราทุกคน ให้เราได้เรียนรู้และยอมรับเครื่องอาวุธชิ้นนี้ และสามารถที่จะใช้อย่างถูกต้อง เพื่อเราจะกระทำการงานของพระองค์ได้สำเร็จตามพระประสงค์ของพระองค์


วันนี้เป็นตอนที่แปด ในหัวข้อ “เส้นทางชีวิตคริสเตียน” เรากำลังอยู่ในหัวข้อย่อยเรื่องของยุทธภัณฑ์ทั้งชุดที่พระเจ้าประทานให้ ผ่านไปแล้วจำนวน 4 ชิ้นคือ ความจริงเป็นเครื่องคาดเอว ความชอบธรรมเป็นทับทรวงเครื่องป้องกันอก ข่าวประเสริฐแห่งสันติสุขเป็นรองเท้า และโล่แห่งความเชื่อ วันนี้เราจะมาถึงเรื่องของ ความรอดซึ่งเป็นหมวกเหล็กป้องกันศีรษะ

ก่อนที่จะเข้าสู่เรื่องของยุทธภัณฑ์ที่จะกล่าวถึงในวันนี้ ผมจะขอทบทวนให้กับพี่น้องถึงสิ่งที่ได้กล่าวไปในตอนที่แล้ว เพื่อเตือนความจำ และเพื่อให้พี่น้องอีกจำนวนหนึ่งที่ไม่ได้อยู่ในที่ประชุมในครั้งนั้นได้รับรู้เรื่องราวด้วย

ความเดิมตอนที่แล้วเป็นเรื่องของ โล่แห่งความเชื่อ

16และพร้อมกับสิ่งทั้งหมดนี้ จงเอาความเชื่อเป็นโล่ ด้วยโล่นั้นท่านจะได้ดับลูกศรเพลิงของพญามารเสีย

- “ความเชื่อ” คืออะไร ? สิ่งสำคัญลำดับแรกๆ ในเรื่องราวข่าวประเสริฐของพระเยซูก็คือ เรื่องของความเชื่อ พระคัมภีร์ฮีบรู บทที่ 11 ตลอดทั้งบทได้อธิบายถึงความหมายและความสำคัญของความเชื่อไว้

จากความหมายของคำว่า “ความเชื่อ” ตามที่พระคัมภีร์บอกไว้ เราอาจมองไม่เห็นว่า สิ่งนี้จะสามารถเป็นเครื่องอาวุธได้อย่างไร อาจเป็นอีกครั้งที่ทำให้เรารู้สึกผิดหวังกับยุทธภัณฑ์ที่พระเจ้าจัดไว้ให้ แต่จริงๆแล้วอาวุธชิ้นนี้มีประสิทธิภาพที่น่าทึ่งมาก พระเยซูได้ทรงท้าทายเราในเรื่องของความเชื่อดังจะพบได้ในหลายๆตอนในพระคัมภีร์


- การมีความเชื่อ การมีความเชื่อ เป็นอย่างไร? ความเชื่อเป็นนามธรรม คือไม่มีตัวตน หรือรูปร่าง ให้จับต้องได้ ไม่สามารถนำมาวัดขนาดหรือชั่งน้ำหนักได้ แต่ก็เป็นสิ่งที่มีอยู่

ความเชื่อเป็นสิ่งที่อยู่ภายใน การที่จะบอกได้ว่า มี หรือไม่มี ความเชื่อนั้น อาจจะบอกได้ด้วยคำพูด แต่บ่อยครั้งที่ผู้พูดก็พูดไม่ตรงกับความจริง ดังนั้น ความเชื่อจะพิสูจน์ได้ด้วยการสำแดงออกมา
การที่เราบอกว่าเราเชื่อในพระเจ้า เราก็ต้องสำแดงออกมาเป็นการกระทำ เช่นโดยการมานมัสการพระเจ้า โดยการอธิษฐานต่อพระเจ้า โดยการบอกเรื่องราวของพระองค์แก่ผู้อื่น โดยการอ่านและทำตามพระคำของพระเจ้า เป็นต้น

- การใช้ความเชื่อ “ความเชื่อ” ทำให้เราสามารถทำอะไรก็ได้ทุกสิ่งอย่างนั้นหรือ ดูเหมือนว่าพระคัมภีร์จะบอกอย่างนั้น แต่จริงๆแล้ว มีสิ่งที่เราจะต้องพิจารณา

ความเชื่อที่ใช้การได้เป็นความเชื่อในพระสัญญาของพระเจ้า ไม่ใช่ความเชื่อที่เราทึกทักเอาเอง หากเราอยากรู้ว่าพระเจ้าทรงสัญญาอะไร ก็จงเอาใจใส่กับการอ่านพระวจนะของพระเจ้า แล้วเราจะรู้ว่าพระเจ้าทรงสัญญาอะไร และเราจะได้รับตามสัญญานั้น เมื่อเราเชื่อ

- การใช้งานโล่ ในช่วงนี้เราอาจได้เห็นการใช้งานโล่ในภาพข่าวทางโทรทัศน์บ่อยๆ อาจไม่เป็นที่สงสัยกับวิธีการใช้โล่ว่าจะต้องเติมน้ำมันแก๊สโซฮอลหรือโซล่า แต่ผมอยากให้เรามาพิจารณาภาพเปรียบเทียบการใช้งานโล่ในทางการรบจริงๆ กับภาพในการรบฝ่ายวิญญาณ

ปกป้องตนเอง แน่นอนว่าโล่ ใช้เป็นเครื่องป้องกันตนเองจากการโจมตีของข้าศึก

ปกป้องผู้อื่น โล่เป็นอุปกรณ์ประจำกายของทหารแต่ละคน แต่ในบางโอกาส ทหารบางคนก็สูญเสียโล่ไป อาจจะโดยถือไว้ไม่ดีทำให้หล่นไป หรือถูกศัตรูทำให้หลุดมือไป เพื่อนทหารที่มีโล่ อาจสามารถใช้โล่ของตนช่วยปกป้องเพื่อนได้

ปกป้องจากเปลวแดด ความเชื่อในพระสัญญาของพระเจ้า ก็เป็นร่มเย็นที่จะช่วยกำบังเราให้พ้นจากแดดที่แผดเผา เพื่อให้เราได้มีกำลังชุ่มชื่นขึ้นจากความอ่อนแอของเราเอง แม้ไม่ได้เกิดจากการโจมตีของศัตรู

เป็นเครื่องหมายบ่งบอกตัวตน แต่ละกองทัพมีสัญญลักษณ์ที่บ่งบอกตัวตน ความเชื่อในพระเจ้า เป็นสิ่งที่บ่งบอกได้ว่า เราเป็นทหารของกองทัพของพระเจ้า แม้ทหารในกองทัพอื่น จะสามารถทำภารกิจของเขาได้ผลดี โดยที่เขาไม่มีโล่อย่างเดียวกับเรา แต่ขอให้เราอย่าได้ละทิ้งโล่นี้ อันเป็นเครื่องหมายแสดงตนว่าเราเป็นทหารของใคร

วันนี้เราจะมาดู เครื่องยุทธภัณฑ์อันดับต่อไป

17จงเอาความรอดเป็นหมวกเหล็กป้องกันศีรษะ …

เราอาจสังเกตว่า ตั้งแต่ยุทธภัณฑ์ชิ้นแรกมานั้น ยังไม่มีชิ้นใดเลยที่เป็นเครื่องอาวุธสำหรับโจมตีข้าศึก ทั้ง 5 ชิ้นที่เราได้รับมอบล้วนแต่เป็นเครื่องสำหรับการป้องกันตัว ต่างกับทหารที่เราเห็นในพื้นที่ 3 จังหวัดชายแดนภาคใต้ ซึ่งมีเพียงเสื้อกันกระสุนเท่านั้นที่เป็นเครื่องป้องกันตัว แต่พกพาอาวุธสำหรับโจมตีไว้เต็มไปหมดเช่นปืนพกสั้น, ปืน M16, ระเบิด, ปืนยิง M79 และเครื่องกระสุนต่างๆ เพราะเขาต้องเข้าไปต่อสู้กับผู้ก่อการร้าย แต่ก็มีทหารบางหน่วยที่ไม่ต้องทำหน้าที่อย่างนั้น แต่เป็นฝ่ายที่เข้าไปเพื่อให้การช่วยเหลือชาวบ้าน ทำให้เกิดความสัมพันธ์ที่ดี

ผมเชื่อว่า พระคัมภีร์มีความหมายพิเศษที่ซ่อนอยู่ ผมได้เคยเล่าเป็นภาพเปรียบเทียบให้ฟังแล้วว่า เราเป็นเหมือนกับ ผู้ที่ได้รับบาดเจ็บในสมรภูมิ ไม่สามารถช่วยตัวเองได้ และกำลังจะตาย แต่มีคนที่ถูกส่งเข้ามาในสมรภูมินั้น นำการช่วยเหลือมาถึงเรา นำเรากลับไปยังค่ายพัก ได้รับการรักษา และเมื่อเราหายดีและแข็งแรงแล้ว เราก็ได้รับมอบหมายหน้าที่ที่จะกลับเข้าไปในสมรภูมินั้นอีก เพื่อนำการช่วยเหลือไปยังคนที่บาดเจ็บและรอคอยความหวัง หน้าที่ของเราคือ นำการช่วยเหลือจากพระเจ้าไปถึงคนที่กำลังจะพินาศ ดังนั้นเครื่องมือหลักๆของเราจึงไม่ใช่ปืนใหญ่ หรือจรวด RPG หรือเครื่องบินทิ้งระเบิด เพราะเราไม่ได้ออกไปเพื่อทำการต่อสู้เป็นหน้าที่หลัก ทั้งนี้เครื่องอาวุธสำหรับการต่อสู้เพื่อป้องกันตัวนั้นก็ทรงประทานให้เช่นกัน ซึ่งจะได้กล่าวถึงในตอนหน้า


เครื่องยุทธภัณฑ์ที่เราจะมาพิจารณาด้วยกันในวันนี้คือ “ความรอด” ซึ่งพระคัมภีร์บอกเราว่าเป็น “หมวกเหล็ก” ที่จะใช้สำหรับป้องกันศีรษะ

-ความสำคัญของหมวก

ในยุคสมัยหนึ่ง เมื่อประมาณ 100 ปีก่อน ประเทศไทยของเรามีนโยบายที่ประกาศให้ผู้ชายทุกคนสวมหมวกเมื่อออกจากบ้าน ทั้งนี้เพื่อให้มีภาพลักษณ์ของความเป็นประเทศที่มีอารยธรรม ไม่ใช่บ้านป่าเมืองเถื่อน เพื่อให้ชาติยุโรปให้การยอมรับ ซึ่งก็อาจถือว่าเป็นการพยายามใช้ประโยชน์จากหมวกในลักษณะหนึ่ง ไม่น่าเชื่อว่า หมวกเคยถูกใช้เพื่อป้องกันประเทศ

ในสมัยปัจจุบัน หน่วยงานของรัฐก็ได้รณรงค์ในเรื่องของหมวกนิรภัยที่จะต้องใส่ เมื่อขับขี่รถจักรยานยนต์ ทั้งนี้ก็เพื่อลดอันตรายที่อาจเกิดขึ้นได้หากเกิดอุบัติเหตุ แต่ก็เห็นได้ว่า มีการฝ่าฝืนกฏระเบียบอยู่ทั่วไป บ้างก็มีเหตุผลที่น่าฟังมาก เช่น ทำให้ผมเสียทรง หรือรู้สึกเกะกะ และอื่นๆ บางครั้งถึงกับต่อว่าเจ้าหน้าที่ที่กวดขันจับกุมในเรื่องนี้ว่า “ทำไมไม่ไปจับโจร จะมาจับทำไมกับแค่คนไม่ใส่หมวกเนี่ย” หมวกถูกใช้เพื่อความปลอดภัย

หากเราเข้าไปในพื้นที่อันตรายบางแห่ง เราจะต้องสวมหมวก เช่นในบริเวณก่อสร้าง หรือในโรงงานอุตสาหกรรม ทั้งนี้เพราะอาจมีเศษอิฐ เศษหิน ร่วงหล่นลงมาจากข้างบนได้ หมวกถูกใช้เพื่อป้องกันอันตราย

การอยู่ในที่กลางแจ้ง จะเป็นการทำไร่ทำนา หรือเป็นการไปตีกอล์ฟ หรือไปเที่ยวชายทะเล หากได้สวมใส่หมวกไว้ ก็จะช่วยให้ใบหน้าไม่ต้องโดนแดดร้อนๆ หากหมวกนั้นมีปีกใหญ่พอ ก็อาจป้องกันได้ถึงไหล่เลยทีเดียว หมวกถูกใช้ปกป้องผิวอ่อนบาง

และหากเราได้ทำงานเป็นพ่อครัว แม่ครัวใน ห้องอาหารที่มีระดับ เราก็ต้องสวมหมวกเพื่อเป็นการรักษาความสะอาดในการปรุงอาหาร เพราะเส้นผมเพียงเส้นเดียวในจานอาหารที่ยกไปเสิร์ฟ อาจทำให้ห้องอาหารเสียชื่อไปนาน หมวกถูกใช้เพื่อรักษาความสะอาด

ยังมีตัวอย่างการใช้หมวกในอีกหลายอาชีพซึ่งคงจะยกมากล่าวได้ไม่หมด เราจะเห็นได้ว่า หมวกนั้นถูกใช้ประโยชน์ได้ในหลายลักษณะ ทั้งเพื่อความสวยงาม ทั้งเพื่อการปกป้องจากอันตราย

แล้ว “หมวกเหล็ก” ล่ะ แน่นอนว่า หมวกเหล็ก อาจมีลักษณะบางประการที่ทำให้ผู้สวมใส่รู้สึกไม่สะดวกสบาย หรือไม่มีรูปทรงที่โฉบเฉี่ยวเหมือนหมวกแฟชั่นล้ำสมัย แต่ความสำคัญของหมวกเหล็กอยู่ที่ “การป้องกันศีรษะ” เพราะศีรษะเป็นส่วนที่สำคัญที่สุดส่วนหนึ่งของร่างกาย อย่างน้อยที่สุดก็เพราะเราแต่ละคนมีหัวเดียว แขน ขา ดวงตา หู ปอด ไต เหล่านี้ยังเป็นอวัยวะที่มีสองชิ้น แม้ว่ามีความสำคัญไม่น้อย แต่หากจำเป็น ยังอาจสูญเสียไปได้ส่วนหนึ่ง แต่ศีรษะไม่ใช่ เราไม่สามารถเสียศีรษะไปครึ่งหนึ่ง หรือ 1 ใน 4 เพราะมันจะส่งผลกระทบต่อร่างกายทั้งหมดอย่างรุนแรง และเราจะไม่สามารถมีชีวิตอยู่ได้ แน่นอนเราอาจบอกว่า หัวใจก็สำคัญนะ และมีดวงเดียว ไม่สามารถสูญเสียได้ แต่หัวใจได้ถูกปกป้องไว้แล้วด้วย ความชอบธรรม ซึ่งเป็นทับทรวงเครื่องป้องกันอก

ผมอยากให้เรามองภาพเปรียบเทียบในอีกลักษณะหนึ่งว่า ร่างกายของทหารที่ถูกส่งกลับเข้าไปในสมรภูมิที่ผมได้กล่าวถึงนั้น ไม่ใช่เพียงแค่เป็นคนคนเดียว หากร่างกายนั้นเปรียบกับคริสตจักร พี่น้องแต่ละคนเป็นอวัยวะแต่ละส่วน บ้างก็ทำหน้าที่เป็นเท้าซึ่งได้รับมอบรองเท้าแห่งข่าวประเสริฐ เพราะพี่น้องเหล่านี้ ไม่ว่าไปที่ไหนเขาจะหาโอกาสในการนำเสนอข่าวประเสริฐได้อย่างสบายๆ พี่น้องบางส่วนก็เป็นมือที่คอยถือโล่แห่งความเชื่อ เพื่อป้องกันร่างกายส่วนอื่นๆ ก็ได้แก่พี่น้องที่สามารถหนุนใจผู้ที่กำลังสิ้นหวังหรือหมดเรี่ยวแรงให้กลับมีกำลังได้ พี่น้องบางส่วนก็เป็นตับไตไส้พุง ซึ่งทำงานอยู่ภายในอย่างเงียบๆ ไม่มีใครรู้จัก ไม่มีใครเห็น แต่ก็เป็นส่วนที่สำคัญที่ทำให้ร่างกายหรือคริสตจักรสามารถดำเนินไปได้ ซึ่งพระเจ้าได้ทรงประทานความชอบธรรมให้เป็นเครื่องป้องกัน หากมองภาพในลักษณะแบบนี้ เราก็จะพบว่า พระคริสต์ทรงเป็นศีรษะของคริสตจักร


และ “ความรอด” ที่ถูกเปรียบให้เป็นหมวกเหล็ก เพื่อรักษาพระคริสต์ผู้เป็นศีรษะไว้ ทั้งนี้ไม่ได้หมายความว่า เรากำลังป้องกันพระเยซูให้พ้นจากอันตราย แต่กำลังหมายถึง การผดุงไว้ซึ่งสิ่งที่สำคัญที่สุดของคริสตจักร หรือกล่าวอีกอย่างว่า “ความรอด” เป็นสิ่งที่ยืนยันความสำคัญของพระคริสต์ ผู้เป็นศีรษะของคริสตจักร

-การใช้หมวก

ผมเชื่อว่า ทุกคนคงรู้วิธีใช้หมวก แต่ “ความรอด” ที่เป็นหมวกเหล็ก จะต้องใช้อย่างไรล่ะ? วิธีใช้ที่ตรงไปตรงมาที่สุด คือให้หมวกกับศีรษะได้อยู่ด้วยกันเสมอ นั่นคือ ให้เรื่องราวของความรอด กับพระเยซูคริสต์ เป็นเรื่องที่คู่กันเสมอ เป็นเรื่องที่แยกออกจากกันไม่ได้ หากกล่าวถึงพระคริสต์ อย่าลืมกล่าวถึงความรอดด้วย บางทีเราเสียเวลาไปกับการถกเถียงเรื่องการทรงสร้างกับทฤษฎีทางวิทยาศาสตร์ ถลำลึกไปจนไม่มีโอกาสที่จะพูดถึงสิ่งสำคัญคือความรอดโดยทางพระเยซู บางทีเราเสียเวลาไปมากมายกับการทำสังคมสงเคราะห์ จนเรากลายเป็นนักบุญที่น่าประทับใจ แต่ไม่สามารถทำให้คนเหล่านั้นเห็นความสำคัญของความรอดและพระเยซูคริสต์

ความรอด คืออะไร?

โรม 10:9-10
9คือว่าถ้าท่านจะรับด้วยปากของท่านว่า พระเยซูทรงเป็นองค์พระผู้เป็นเจ้า และเชื่อในจิตใจว่า พระเจ้าได้ทรงชุบพระองค์ให้เป็นขึ้นมาจากความตาย ท่านจะรอด10ด้วยว่า ความเชื่อด้วยใจก็นำไปสู่ความชอบธรรม และการยอมรับสัจจะของพระเจ้าด้วยปากก็นำไปสู่ความรอด

เอเฟซัส 2:8-9
8ด้วยว่าซึ่งเราทั้งหลายรอดนั้นก็รอดโดยพระคุณเพราะความเชื่อ และมิใช่โดยตัวเราทั้งหลายกระทำเอง แต่พระเจ้าทรงประทานให้ 9ความรอดนั้นจะเนื่องด้วยการกระทำก็หามิได้ เพื่อมิให้คนหนึ่งคนใดอวดได้


ความรอด ที่พระคัมภีร์พูดถึง คือ การพ้นจากโทษของความบาป ซึ่งการพ้นโทษนี้ เป็นสิ่งที่พระเจ้าทรงประทานให้กับเรา เมื่อเราเชื่อว่าพระเยซูเป็นพระผู้ช่วย

ก่อนที่จะไปถึงหัวข้อสุดท้าย ผมอยากให้เราได้ชมภาพยนต์สั้นๆตอนหนึ่ง ซึ่งเป็นคำตอบสำหรับหัวข้อสุดท้ายนี้

นาทีที่ 2:30 - 2:40



- อย่าถอดหมวก

จากตอนสั้นๆของภาพยนต์ที่ได้ชมกันไปนั้น ผมเชื่อว่าพี่น้องจะเห็นด้วยกับคำเตือนที่ว่า “อย่าถอดหมวก” การที่คริสตจักรไม่ให้ความสำคัญกับเรื่องของ “ความรอด” โดยหันไปเน้นเรื่องอื่นๆมากกว่า ก็อาจกลายเป็นการ “ถอดหมวก” โดยไม่รู้ตัว

หากตัดเรื่องของ “ความรอด” ออกไป พวกเราก็ไม่มีอะไรต่างไปจากคนอื่นๆทั่วโลก เพราะมีเพียงศาสดาที่เป็นคนดี มีคำสอนที่ดี มีกลุ่มคนที่เอาใจใส่กันและกัน มีกิจกรรมที่สร้างสรรค์ มีเทศกาลที่ประทับใจ มีการจัดสังคมสงเคราะห์ที่ดียอดเยี่ยม ลองคิดดูสิครับ ว่าที่กล่าวมานั้น เราสามารถหาพบได้ในทุกศาสนา สิ่งสำคัญสิ่งเดียวที่ศาสนาอื่นๆไม่มีคือ “ความรอด”

หากหมวกแห่งความรอดถูกถอดออกไป คริสตจักรก็เข้าสู่ภาวะอันตราย แน่นอนว่าพระเยซูไม่ได้เป็นอันตรายอะไร แต่ผลที่เกิดขึ้นจากการที่คริสตจักรไม่สวมหมวกก็คือ จะกลายเป็นคริสตจักรที่ใช้การไม่ได้ เป็นคริสตจักรที่ไม่มีชีวิต แม้ว่าจะดูเหมือนมีกิจกรรมต่างๆมากมาย แต่หากคริสตจักรถอดหมวกแห่งความรอดเสียแล้ว สิ่งสารพัดก็ไร้ค่า เพราะไม่สามารถนำใครมาถึงความรอดได้เลย

เราจะไม่ประกาศพระเยซูโดยไม่พูดถึงความรอด
และเราจะไม่สามารถพูดถึงความรอดโดยไม่พูดถึงพระเยซู



Create Date : 10 พฤษภาคม 2553
Last Update : 10 พฤษภาคม 2553 7:47:08 น. 1 comments
Counter : 956 Pageviews.  
 
 
 
 
 
 

โดย: นนนี่มาแล้ว วันที่: 16 พฤษภาคม 2553 เวลา:21:49:01 น.  

Name
Opinion
*ใช้ code html ตกแต่งข้อความได้เฉพาะสมาชิก

ksk
 
Location :
ยะลา Thailand

[ดู Profile ทั้งหมด]

ฝากข้อความหลังไมค์
Rss Feed
Smember
ผู้ติดตามบล็อก : 10 คน [?]




ผมเป็นคริสเตียนครับ
เป็นชาวยะลา เกิดปัตตานี ลูกจีนไหหลำ
จบวิศวกรรมไฟฟ้า(ระบบควบคุม) จากพระจอมเกล้าพระนครเหนือ EL รุ่น 24 รหัส 31 (เคยเรียน ป.วส. IE ห้องอิเล็ก ที่ วทอ. 2 ปี รหัส 29 ห้องเดียวกับ ศิริ แว่น สมชาย สุกิตติ จั๊บ ไพบูลย์ จ่าบุญเลิศ ก่อนย้อนไปเริ่มต้นป.ตรี ปี 1 ใหม่กับรุ่นน้องในคณะวิศวฯ พูดง่ายๆว่า ซิ่ว 2 ปี)
ป.โท วิศวกรรมการบิน(Avionique) จาก SUPAERO
Toulouse FRANCE ปี 1994
เคยรับราชการเป็นอาจารย์ในคณะวิศวฯที่พระนครเหนือ 8 ปี ผลงานก็ไม่มีอะไรมาก KMITNB Robot Camp เป็นสิ่งที่ยังพอให้ภาคภูมิใจเมื่อมองกลับไปที่เทคโนฯ ด้วยความคิดถึง 14 ปี อันแสนหวานกับชีวิตในพระนครเหนือ(มิย.ปี 29 - มิย.ปี 43)
ตอนนี้ลาออกจากราชการ มาหากินด้วยลำแข้ง(ไม่ใช่เป็นนักมวยไทยนะ)
ที่จังหวัดยะลาบ้านเกิด ตั้งแต่มิถุนายน ปี Y2K
กำลังจะรุ่งเรืองแล้วเชียว 4 มกราคม 2547
สถานการณ์ไฟใต้ก็เริ่มขึ้น
สิ่งที่เคยคิดว่าสักวันหนึ่งจะต้องเกิด มันก็เกิด
และยาวมาจนถึงตอนนี้
ผมยังนึกไม่ออกมันจะจบลงแบบไหน free counter

free counter

New Comments
[Add ksk's blog to your web]

 
pantip.com pantipmarket.com pantown.com