ที่ๆ คุณสามารถพบว่าคุณเป็นใคร มีสิ่งใดและทำสิ่งใดได้ในพระคริสต์
 
 

พระเจ้าทรงฟังความปรารถนาของคนอ่อนสุภาพ (คริสเตียน)



ทรงฟังความปรารถนาของคนอ่อนสุภาพ



ข้าแต่พระเจ้า พระองค์ทรงฟังความปรารถนาของคนอ่อนสุภาพ จะทรงเสริมกำลังใจเขา และพระองค์จะทรงเงี่ยพระกรรณฟังถ้อยคำของเขา - สดุดี ๑๐:๑๗


คุณเคยรู้สึกไหมว่าถ้าจะต้องอธิษฐานทูลขอสิ่งใดจากพระเจ้า คุณต้องทูลขอแต่สิ่งที่จำเป็นเท่านั้น อย่างเช่น อาหารจากร้านข้าวแกงที่ถูกที่สุดโปะกับข้าวแค่อย่างเดียว กับน้ำเปล่า อะไรที่นอกเหนือจากนี้แสดงออกถึงความไม่ถ่อมใจ พระเจ้าจะประทานให้แบบไม่ขาดและไม่เกิน และจะเป็นแบบนี้ไปตลอดชีวิตของคุณ


แต่จากพระธรรมข้อหลักในวันนี้ พระเจ้าไม่เพียงทรงฟังเมื่อคุณทูลขอสิ่งที่จำเป็นขั้นพื้นฐานที่สุดของคุณเท่านั้น “พระองค์ทรงฟังความปรารถนาของคนอ่อนสุภาพ”


เราอาจรู้สึกว่าความปรารถนาเป็นบาป แต่จากพระคัมภีร์แล้ว “ความหวังที่ถูกหน่วงไว้ทำให้ใจเจ็บช้ำ แต่ความปรารถนาที่สำเร็จแล้วเป็นต้นไม้แห่งชีวิต... ความปรารถนาที่สำเร็จเป็นของหวานสำหรับวิญญาณ...” (สภษ. ๑๓:๑๒, ๑๙) การมีความปรารถนาไม่ใช่เรื่องบาป พระเจ้าทรงประสงค์ที่จะประทานตามความปรารถนา และทรงเปิดเผยพระประสงค์ของพระองค์แด่คนชอบธรรมทุกคนไว้ว่า “...สิ่งใดที่คนชอบธรรมปรารถนา พระองค์ทรงประสาทให้” (สุภาษิต ๑๐:๒๔) และ “เขาได้รับประทานอิ่มดี เพราะพระองค์ประทานสิ่งที่เขาอยาก (ปรารถนา)” (สดด. ๗๘:๒๙) คำว่า “อิ่มดี” บอกให้เราทราบว่าทรงประทานให้เกินกว่าความจำเป็น


คุณอาจคิดว่า “แล้วถ้าฉันปรารถนาสิ่งที่ไม่ดีหล่ะ” ถ้าเช่นนั้นคุณจะปรารถนาไปทำไม คุณควรจะปรารถนาแต่สิ่งที่ดีเท่านั้นไม่ใช่หรือ สุภาษิต ๑๑:๒๓ กล่าวว่า “ความปรารถนาของคนชอบธรรมจบลงในความดีเท่านั้น...”


พระธรรมข้อหลักกล่าวต่อไปว่า พระเจ้า “จะทรงเสริมกำลังใจเขา” คำว่า “เสริมกำลัง” ยังสามารถแปลว่า “เตรียม” ได้ด้วย ขณะที่คุณรับพระวจนะของพระเจ้า พระองค์จะทรงใช้พระวจนะเตรียมหัวใจของคุณ


สภาพหัวใจของคุณคือปัจจัยสำคัญ หัวใจที่ได้รับการเตรียมด้วยพระวจนะของพระเจ้าคือหัวใจที่ถ่อม พระคัมภีร์กล่าวถึงพระประสงค์ของพระเจ้าที่มีต่อสภาพหัวใจดังกล่าวว่า “คนเสงี่ยมเจียมตัว (คนถ่อมใจ) จะได้กินอิ่ม (เกินจำเป็น) ....” (สดุดี ๒๒:๒๖) และ “...คนใจอ่อนสุภาพจะได้แผ่นดินตกไปเป็นมรดก และตัวเขาปีติยินดีในความเจริญอุดมสมบูรณ์” (สดุดี ๓๗:๑๑)


นอกจากนั้นพระวจนะในหัวใจของคุณก่อให้เกิดความปรารถนาใหม่ และเมื่อคุณทูลขอตามความปรารถนาใหม่ คุณจะได้ทุกสิ่งที่คุณปรารถนา พระเยซูตรัสว่า “ถ้าท่านทั้งหลายเข้าสนิทอยู่ในเรา และถ้อยคำของเราฝังอยู่ในท่านแล้ว ท่านจะขอสิ่งใดซึ่งท่านปรารถนา ก็จะได้สิ่งนั้น” (ยอห์น ๑๕:๗)


หากคุณเข้าสนิทอยู่ในพระองค์ และถ้อยคำของพระองค์ฝังอยู่ในคุณ คุณจะไม่ขอสิ่งที่ค้านกับพระวจนะ คุณจะไม่ขอสามีหรือภรรยาของผู้อื่นมาเป็นของคุณ คุณจะไม่ขอให้คนอื่นมีอันเป็นไป คุณจะไม่ขอเพียงเพื่อคุณจะยกตัวขึ้นเหนือคนอื่นในด้านต่างๆ แต่จะขอตามพระวจนะที่ฝังอยู่ในหัวใจของคุณ


พระธรรมข้อหลักกล่าวลงท้ายว่า “...และพระองค์จะทรงเงี่ยพระกรรณฟังถ้อยคำของเขา” แม้พระเจ้าทรงทราบทุกความปรารถนาของคุณ ผู้เขียนสดุดีกล่าวว่า “...ความปรารถนาทั้งสิ้นของข้าพระองค์แก็แจ้งอยู่กับพระองค์...” (สดด. ๓๘:๙) แต่จากพระธรรมข้อหลัก การที่พระองค์ทรงทราบความปรารถนาทั้งสิ้นของคุณนั้นยังไม่พอ คุณต้องทูลเป็น “ถ้อยคำ” ให้พระองค์ทรงฟังด้วย พระเยซูทรงสอนให้เราทูลขอสิ่งที่ปรารถนา “...ท่านจะขอสิ่งใดซึ่งท่านปรารถนา ก็จะได้สิ่งนั้น” (ยอห์น ๑๕:๗) ถ้าเพียงเราปรารถนาและได้รับโดยอัตโนมัติ พระองค์คงไม่ทรงสอนให้เรา “ขอสิ่งที่ปรารถนา”


หากที่ผ่านมาคุณตระหนักว่า ความปรารถนาของคุณค้านกับพระวจนะของพระเจ้า หรือคุณไม่เคยขอสิ่งที่ปรารถนา คงไม่ต้องแปลกใจอีกต่อไปว่าทำไมคุณไม่ได้รับสิ่งที่คุณปรารถนา ตัดสินใจวันนี้ที่จะเตรียมหัวใจของคุณโดยเข้าสนิทอยู่ในพระองค์ผ่านการอ่านพระวจนะ ตรึกตรองพระวจนะ ประฤติตามพระวจนะ แล้วพระวจนะจะฝังอยู่ในหัวใจคุณ พระวจนะจะก่อให้เกิดความปรารถนาบริสุทธิ์ ความปรารถนาที่เป็นไปตามพระประสงค์ของพระเจ้า จงทูลขอตามความปรารถนานั้นต่อพระองค์ ไม่เพียงแต่ที่คุณจะได้สิ่งที่จำเป็น แต่คุณจะได้ตามใจปรารถนา ได้อย่างครบบริบูรณ์ ตัวคุณจะปีติยินดีในความเจริญอุดมสมบูรณ์ มีเกินพอที่จะให้แก่ทุกคนที่คุณรักได้และให้แก่ทุกคนตามที่พระองค์จะทรงนำคุณได้


คำอธิษฐานด้วยความเชื่อ: พระบิดาเจ้า ขอบพระคุณพระองค์ที่ทรงฟังความปรารถนาของลูก ขอบพระคุณที่พระองค์ทรงเสริมกำลังใจและเตรียมหัวใจของลูก ขอบพระคุณพระองค์ที่ทรงเงี่ยพระกรรณฟังถ้อยคำของลูก ลูกมั่นใจและรู้ว่าลูกได้รับทุกความปรารถนาที่ลูกทูลขอจากพระองค์ ในพระนามของพระเยซู อาเมน




 

Create Date : 27 พฤษภาคม 2552   
Last Update : 27 พฤษภาคม 2552 20:45:00 น.   
Counter : 2751 Pageviews.  


ไม่ทรงลืมคนขัดสน (คริสเตียน)



ไม่ทรงลืมคนขัดสน ความหวังของคนยากจน



เพราะพระองค์จะไม่ทรงลืมคนขัดสนเสมอไป และความหวังของคนยากจนจะไม่พินาศไปเป็นนิตย์ - สดุดี ๙:๑๘


ท่ามกลางปัญหาเศรษฐกิจทั่วโลกตามที่เป็นข่าว บางคนคงเข้าใจว่าพระเจ้าทรงลืมพวกเขาแล้ว


มีบางสิ่งที่พระเจ้าจะไม่ทรงจดจำ สิ่งนั้นก็คือ บรรดาบาปของคุณ พระเจ้าตรัสว่า “เรา เราคือพระองค์นั้น ผู้ลบล้างความทรยศของเจ้าด้วยเห็นแก่เราเอง และเราจะไม่จดจำบรรดาบาปของเจ้าไว้” (อสย. ๔๓:๒๕)


พระเจ้าไม่ทรงจดจำบบรรดาบาปของคุณ แต่พระองค์จะทรงจดจำคุณอยู่เสมอ


พระองค์ไม่ทรงจดจำคุณอยู่เสมอเพื่อคอยจับผิด น่าเสียดายที่คนมากมายกำลังใช้ชีวิตอยู่ด้วยความหวาดกลัว พวกเขาเข้าใจว่าพระเจ้ากำลังจ้องจับผิดพวกเขาเป็นพิเศษ และทรงหามาตรการขั้นรุนแรงสูงสุดคอยเล่นงานในวินาทีที่พวกเขาทำผิดพลาด


พระคัมภีร์กล่าวว่าพระเจ้าทรงเป็นความรัก และหนึ่งในคุณลักษณะของความรักคือ “ไม่ช่างจดจำความผิด” (๑ คร. ๑๓:๕)


พระเจ้าไม่ช่างจดจำความผิด แต่พระองค์ทรงจดจำคุณอยู่เสมอ


บางครั้งสำหรับสถานการณ์ที่เรากำลังเผชิญ เราอาจรู้สึกเหมือนพระเจ้าทรงลืมเรา และเราจะต้องติดอยู่ในสภาพขัดสนไปตลอด แต่ขอบคุณพระเจ้า พระคัมภีร์กล่าวว่า “ไม่...เสมอไป” คุณจะไม่อยู่ในสภาพดังกล่าวเสมอไป หากคุณยังคงวางใจในพระองค์


ผู้เขียนสดุดีกล่าวต่อไปว่า “...ความหวังของคนยากจนจะไม่พินาศไปเป็นนิตย์” (สดุดี ๙:๑๘)


คำว่า “ความหวัง” ตามพระคัมภีร์แตกต่างจาก “ความหวังลมๆ แล้งๆ” ในปัจจุบัน


ความหวังตามพระคัมภีร์คือ “ความคาดหวัง” มั่นใจว่าสิ่งที่คาดเอาไว้จะต้องเกิดขึ้น


ความหวังตามพระคัมภีร์คือ “องค์ประกอบสำคัญของความเชื่อ” เพราะ “ความเชื่อคือความแน่ใจในสิ่งที่เราหวังไว้ เป็นความรู้สึกมั่นใจว่าสิ่งที่ยังไม่ได้เห็นนั้นมีจริง” (ฮบ. ๑๑:๑)


คุณเคยหวังอะไรเอาไว้ แต่เมื่อเวลาผ่านเนิ่นนานไป ไม่มีอะไรดีขึ้น คุณล้มเลิกความหวังนั้นในที่สุด คุณปล่อยให้ความหวังพินาศไป


แม้สภาพที่คุณกำลังเผชิญจะดูไร้หวังเพียงใด แม้ใครจะพูดใส่คุณว่า “มันเป็นเพียงหวังลมๆ แล้งๆ” หากความหวังนั้นมีพื้นฐานมาจากพระวจนะของพระเจ้า คุณจะดำเนินต่อไปด้วยความแน่ใจในสิ่งที่คุณคาดหวังไว้ และแม้จะยังไม่ได้เห็น คุณจะมั่นใจว่าสิ่งที่คุณคาดหวังนั้นมีจริง


เรื่องความขัดสน บางคนอาจเข้าใจว่าเป็นเครื่องมือสอนความถ่อมใจ จึงปล่อยให้ความหวังว่าสักวันตนจะพ้นจากสภาพที่เป็นอยู่ต้องพินาศไป เพราะเกรงว่าตนจะพ้นจากความถ่อมใจ และเหิมเกริมเย่อหยิ่งขึ้นมา


ความจริงคือ ความถ่อมเป็นเรื่องของหัวใจ ไม่เกี่ยวกับปริมาณเงินที่มี


บางคนกล่าวว่า “เงินทองนั้นเป็นมูลรากแห่งความชั่วทั้งมวล” ถ้าเช่นนั้นเราพกความชั่วติดตัวทุกวันทำไม วันอาทิตย์เมื่อเราถวายทรัพย์ ก็เท่ากับเราถวายมูลรากแห่งความชั่วทั้งมวล เมื่อเราเบิกเงิน เรากำลังเบิกความชั่วออกมา เมื่อเราจ่ายเงิน เรากำลังจ่ายความชั่วออกไป เมื่อเราให้เงินบุตร เรากำลังให้ความชั่วแก่คนที่เรารัก


อัครทูตเปาโลกล่าวถึงทรัพย์ที่คริสตจักรในฟีลิปปีถวายนั้นเป็น “กลิ่นหอม เป็นเครื่องบูชาที่ทรงโปรดและพอพระทัยของพระเจ้า” (ฟป. ๔:๑๘)


อัครทูตเปาโลไม่เคยกล่าวว่า “เงินทองนั้นเป็นมูลรากแห่งความชั่วทั้งมวล” แต่ “การรักเงินทอง” ต่างหาก ที่เป็น “มูลรากแห่งความชั่วทั้งมวล และเพราะความโลภนี่แหละ จึงทำให้บางคนห่างไกลจากความเชื่อ และตรอมตรมด้วยความทุกข์” (๑ ทิโมธี ๖:๑๐)


ความจริงก็คือ คนขัดสนสามารถรักเงินได้ไม่แพ้คนมั่งมี และคนมั่งมีสามารถถ่อมใจได้ไม่แพ้คนขัดสน ความถ่อมใจที่แท้จริงเป็นเรื่องของสภาพของหัวใจ ไม่ใช่ปริมาณมากหรือน้อยของทรัพย์ที่มีอยู่


พระคัมภีร์กล่าวถึงอับราฮัม พระเจ้าได้ประทานพระพรให้ท่านเป็นบุคคลที่มั่งคั่ง แม้กระนั้น ท่านก็เป็นบุคคลที่ถ่อมใจอย่างยิ่ง วันหนึ่งขณะที่แดดร้อน ท่านเห็นชายแปลกหน้าสามคน พระคัมภีร์กล่าวว่า “ท่านก็วิ่งจากประตูเต็นท์ไปต้อนรับเขา กราบลงถึงดิน พูดว่า “เจ้านายของข้าพเจ้า ถ้าข้าพเจ้าเป็นที่โปรดปรานในสายตาของท่าน ขออย่าผ่านผู้รับใช้ของท่านไปเสียเลย ข้าพเจ้าจะเอาน้ำมานิดหน่อยให้ท่านล้างเท้า และพักใต้ต้นไม้ ข้าพเจ้าจะไปเอาอาหารหน่อยหนึ่งมาให้ ท่านจะได้พักผ่อนหายเหนื่อยเสียก่อน แล้วจึงค่อยเดินทางต่อไป ไหนๆ ท่านก็มายังผู้รับใช้ของท่านแล้ว” (ปฐก. ๑๘:๑-๕)


คำถามคือ เคยมีใครต้อนรับคุณขนาดนี้บ้าง เชื่อว่าคงไม่มี ความถ่อมใจที่ท่านมีเป็นเรื่องของสภาพหัวใจ ไม่เกี่ยวพันกับปริมาณทรัพย์ที่ท่านมี


พระเจ้าทรงเปิดเผยพระประสงค์ของพระองค์สำหรับบุตรทุกคนของพระองค์ไว้ในพระคัมภีร์ พระวจนะตอนหนึ่งกล่าวว่า “และพระเจ้าทรงฤทธิ์ ประทานของดีทุกสิ่งอย่างอุดมแก่ท่านทั้งหลาย เพื่อให้ท่านมีทุกสิ่งทุกอย่างเพียงพอสำหรับตัวเสมอ ทั้งจะมีสิ่งของบริบูรณ์สำหรับงานที่ดีทุกอย่างด้วย” (๒ คร. ๙:๘)


พระเจ้าทรงประสงค์ให้คุณมีเพียงพอสำหรับตัวเสมอ และมีบริบูรณ์เพื่อขยายแผ่นดินของพระองค์


หากวันนี้สภาพที่คุณกำลังเผชิญทำให้คุณท้อแท้ อย่าปล่อยให้ความหวังพินาศไป พระเจ้าไม่ทรงลืมคุณ จงยืนหยัดบนพระวจนะ กล่าวพระวจนะ ดำเนินตามพระวจนะ จงฉวยโอกาสหว่าน (๒ คร. ๙:๖) จงเต็มใจที่จะคาดหวังแม้จะต้องใช้เวลานานนับปีหรือสิบปีโดยที่ดูเหมือนจะไม่มีอะไรดีขึ้น และทุกอย่างอาจกลับดูแย่ลงเรื่อยๆ แต่ในที่สุดคุณจะก้าวออกจากสภาพที่เป็นอยู่ ออกจากความขาดแคลน สู่ความเพียงพอ และเกินพอ และจะมีประสบการณ์กับชีวิตครบบริบูรณ์ที่พระเยซูได้เสด็จมาเพื่อประทานแด่คุณ


คำอธิษฐานด้วยความเชื่อ: พระบิดาเจ้า ลูกขอบพระคุณพระองค์ ลูกจะไม่บ่นถึงเรื่องความขัดสน ไม่ว่าลูกจะมีฐานะอยู่อย่างไรก็ตาม ลูกเรียนรู้ที่จะมีความสุข ความชื่นชมยินดีอยู่ในพระองค์ เพราะพระองค์จะไม่ทรงลืมคนขัดสนเสมอไป และความหวังของคนยากจนจะไม่พินาศไปเป็นนิตย์ ลูกคาดหวังตามพระวจนะของพระองค์ว่า พระองค์ทรงฤทธิ์ ประทานของดีทุกสิ่งอย่างอุดมแก่ลูก เพื่อให้ลูกมีทุกสิ่งทุกอย่างเพียงพอสำหรับตัวเสมอ ทั้งจะมีสิ่งของบริบูรณ์สำหรับงานที่ดีทุกอย่างด้วย ลูกสรรเสริญพระองค์ในพระนามของพระเยซูคริสต์เจ้า อาเมน




 

Create Date : 27 พฤษภาคม 2552   
Last Update : 27 พฤษภาคม 2552 20:41:23 น.   
Counter : 1065 Pageviews.  


วันอีสเตอร์ (คริสเตียน)



อย่าให้วันอีสเตอร์ผ่านไปอย่างไร้ประโยชน์



และถ้าพระคริสต์ไม่ได้ทรงถูกชุบให้เป็นขึ้นมา ความเชื่อของท่านก็ไร้ประโยชน์ ท่านก็ยังตกอยู่ในบาปของตน - ๑ คร. ๑๕:๑๗


แม้จะมีเทศกาลระลึกถึงการเป็นขึ้นจากความตายของพระคริสต์ แต่ดูเหมือนทุกปีผ่านไป เราไม่ได้รับประโยชน์เท่าไรจากเทศกาล จุดสนใจของหลายคนกลับอยู่ที่ไข่และกระต่าย


จากพระธรรมข้อหลัก เรื่องการเป็นขึ้นจากความตายเป็นเรื่องที่สำคัญต่อความรอด เพราะหากพระเยซูไม่ทรงเป็นขึ้นจากความตาย ความเชื่อก็ไร้ประโยชน์ ผู้เชื่อยังคงตกอยู่ในบาปของตน


อัครทูตเปาโลกล่าวว่า การที่ใครสักคนจะรอดได้ เขาต้องเชื่อในหัวใจว่า พระเจ้าได้ทรงชุบพระคริสต์ให้เป็นขึ้นจากความตาย (รม. ๑๐:๙) และเพราะความเชื่อเช่นนี้จะเกิดขึ้นได้เพราะการได้ยินพระวจนะที่ประกาศ (รม. ๑๐:๑๗) เราจึงเห็นตัวอย่างทั่วกิจการ เมื่อผู้เชื่อประกาศ เรื่องหลักที่พวกเขาประกาศก็คือเรื่องการเป็นขึ้นจากความตาย


เปโตรและยอห์น “ได้สั่งสอนและประกาศแก่คนทั้งหลาย ถึงเรื่องการเป็นขึ้นมาจากความตาย โดยอ้างการคืนพระชนม์ของพระเยซู” (กจ. ๔:๒)


เปาโล “ประกาศพระนามพระเยซู และเรื่องการเป็นขึ้นมาจากความตาย” (กจ. ๑๗:๑๘)


การประกาศที่ตัดเรื่องการเป็นขึ้นจากความตายออกไปไม่ใช่การประกาศข่าวประเสริฐที่แท้จริง


ในวันที่คุณเปิดใจรับฟังการประกาศข่าวประเสริฐ พระเจ้าได้ประทาน “ความเชื่อ” ขนาดหนึ่งแด่คุณ (รม. ๑๒:๓) เป็นความเชื่อที่ทำให้คุณสามารถเชื่อในสิ่งที่สำคัญที่สุด นั่นก็คือ เชื่อในการเป็นขึ้นจากความตายของพระคริสต์ และโดยความเชื่อนั้น คุณจึงสามารถรับสิ่งที่ยิ่งใหญ่ที่ทรงจัดเตรียมไว้ ซึ่งก็คือ ความรอด


และความเชื่อนั้นยังคงอยู่ภายในคุณ หลายคนเข้าใจว่า หากตนมีความเชื่อมากกว่าที่เป็นอยู่ ทุกอย่างคงดีกว่านี้ แต่ความจริงคือ ขนาดความเชื่อไม่สำคัญเท่ากับการใช้ความเชื่อ พระเยซูตรัสว่า “ถ้าพวกท่านมีความเชื่อเท่าเมล็ดพืชเมล็ดหนึ่ง ท่านก็จะสั่งต้นหม่อนนี้ได้ว่า ‘จงถอนขึ้นออกไปปักในทะเล’ และมันจะฟังท่าน” (ลก. ๑๗:๖)


วันนี้ความเชื่อจากพระเจ้ายังคงอยู่ภายในคุณ คุณได้รับความรอดโดยความเชื่อที่ตั้งมั่นคงอยู่บนพระวจนะของพระเจ้าในเรื่องการเป็นขึ้นจากความตายของพระคริสต์ ขึ้นอยู่กับคุณว่าจะนำความเชื่อเดียวกันนี้มาตั้งมั่นคงอยู่บนพระสัญญามากมายตามพระวจนะของพระเจ้าหรือไม่ น่าเสียดายที่เราเชื่อเรื่องการเป็นขึ้นจากความตายได้อย่างต่อเนื่องตลอดชีวิต แต่พอจะเชื่อพระสัญญาอื่นๆ เรากลับขอหมายสำคัญต่างๆ มากมาย ขอให้จับต้องมองเห็นได้ทันทีที่อธิษฐานเสร็จ และก็พร้อมจะล้มเลิกความเชื่อทันทีที่ไม่มีอะไรเกิดขึ้นภายในห้านาที เพราะเหตุนี้เราจึงพลาดจากพระสัญญาตามพระวจนะ


ตัดสินใจวันนี้ที่จะให้เรื่องการเป็นขึ้นจากความตายของพระคริสต์ไม่ไร้ประโยชน์ จงใช้ความเชื่อที่ได้ทำให้คุณเชื่อในสิ่งที่เป็นไปไม่ได้อย่างการเป็นขึ้นของพระคริสต์เพื่อที่จะเชื่อทุกพระสัญญาของพระเจ้า แม้ว่าสิ่งที่คุณกำลังเผชิญนั้นจะตรงข้ามกับพระสัญญาเพียงใด วันอีสเตอร์ปีนี้จะไม่ผ่านไปอย่างไร้ประโยชน์ แต่คุณจะเริ่มมีประสบการณ์กับพระสัญญาและชีวิตครบบริบูรณ์ที่พระเยซูได้เสด็จมาเพื่อประทานแด่คุณ


คำอธิษฐานด้วยความเชื่อ: พระบิดาเจ้า ลูกเชื่อในหัวใจว่าพระคริสต์ได้ทรงถูกชุบให้เป็นขึ้นมา ความเชื่อของลูกจะไม่ไร้ประโยชน์ แต่จะเกิดประโยชน์ในทุกทาง ทั้งในชีวิตนี้และชีวิตหน้า ลูกขอบพระคุณพระองค์ที่ลูกพ้นจากบาปของลูก และพ้นจากสิ่งชั่วร้ายทั้งหลาย ลูกสรรเสริญพระองค์ในพระนามของพระเยซูคริสต์เจ้า อาเมน




 

Create Date : 27 พฤษภาคม 2552   
Last Update : 27 พฤษภาคม 2552 20:37:29 น.   
Counter : 797 Pageviews.  


ศักดิ์ศรีกับเกียรติ (คริสเตียน)



ศักดิ์ศรีกับเกียรติ



เพราะพระองค์ทรงสร้างเขาให้ต่ำกว่าพระเจ้าแต่หน่อยเดียว และสวมศักดิ์ศรีกับเกียรติให้แก่เขา – สดุดี ๘:๕

คุณเคยสงสัยหรือไม่ว่าคุณเป็นใคร เกิดมาทำไม และมีค่ามากน้อยเพียงใด


ผู้เขียนสดุดีเอง หลังจากมองดวงจันทร์และดวงดาวอันยิ่งใหญ่ไพศาลในท้องฟ้า เมื่อเทียบกับมนุษย์ตัวเล็กๆ ท่านเกิดคำถามว่า “มนุษย์เป็นผู้ใด” (ข้อ ๓-๔)


บิลดัดเพื่อนของโยบได้เทียบคุณค่ามนุษย์กับดวงจันทร์และดวงดาวเอาไว้เช่นกัน และลงเอยสรุปว่า มนุษย์ด้อยกว่าดวงจันทร์และดวงดาว มนุษย์เป็นเพียง “ดักแด้และหนอน” (โยบ ๒๕:๕-๖)


แม้พระคัมภีร์จะเป็นพระวจนะของพระเจ้า แต่พระคัมภีร์ได้บันทึกคำพูดของคนมากมายที่พระเจ้าไม่ทรงดลใจให้พูด อย่างเช่น คำพูดของฟาริสี คนมากมายที่เยาะเย้ยพระนามของพระเจ้า แม้กระทั่งซาตานและวิญญาณชั่ว แม้คำพูดของบุคคลเหล่านี้จะถูกบันทึกอยู่ในพระคัมภีร์ เราไม่ยกคำพูดของพวกเขามาเป็นหลักข้อเชื่อ แต่น่าเสียดายที่เรากลับยกคำพูดของบิลดัดมาเป็นหลักข้อเชื่อ ทั้งๆ ที่พระเจ้าตรัสเกี่ยวกับคำพูดของบิลดัดว่า “ความพิโรธของเราพลุ่งขึ้นต่อเจ้า และต่อสหายทั้งสองของเจ้า เพราะเจ้ามิได้พูดถึงเราอย่างที่ถูก” (โยบ ๔๒:๗) น่าเสียดายที่คนมากมายรับเอาคุณค่าของตนเองจากคำพูดของบิลดัด คงไม่แปลกที่คุณจะเคยได้ยินใครสักคนอธิษฐานว่า “ข้าพระองค์เป็นเพียงดักแด้ ข้าพระองค์เป็นเพียงหนอน สาธุการแด่พระนามของพระเจ้า” ฝ่ายธรรมชาติ ดักแด้และหนอนไม่สามารถสามัคคีธรรมใกล้ชิดกับคุณได้ฉันใด ฝ่ายวิญญาณ การเข้าใจว่าตนไร้ค่าดังดักแด้และหนอนก็เป็นอุปสรรคต่อความใกล้ชิดกับพระเจ้าฉันนั้น


กลับกัน ผู้เขียนสดุดีกล่าวถึงสาเหตุที่พระเจ้าทรงระลึกถึงมนุษย์ และทรงเยี่ยมมนุษย์ เอาไว้ว่า “เพราะพระองค์ทรงสร้างเขาให้ต่ำกว่าพระเจ้าแต่หน่อยเดียว และสวมศักดิ์ศรีกับเกียรติให้แก่เขา ” (สดุดี ๘:๕)


มนุษย์อยู่ในสถานะสูงสุดท่ามกลางสรรพสิ่งที่ทรงสร้างขึ้น และ “ต่ำกว่าพระเจ้าแต่หน่อยเดียว”


แน่นอนว่าเราไม่ต่ำกว่าพระเจ้าแต่หน่อยเดียวในด้าน “ความสามารถ” แต่เราต่ำกว่าพระองค์แต่หน่อยเดียวในด้านตำแหน่งในครอบครัว


โดยการสิ้นพระชนม์บนไม้กางเขนและเป็นขึ้นจากความตายของพระคริสต์ สำหรับทุกคนที่ต้อนรับพระองค์และเชื่อในพระนามของพระองค์ พระองค์ได้ “ประทานสิทธิให้เป็นบุตรของพระเจ้า” (ยน. ๑:๑๒) คุณคือบุตรของพระเจ้า และพระเจ้าทรงเป็นพระบิดาของคุณ คุณอยู่ในครอบครัวของพระองค์


เมื่อคุณบังเกิดใหม่ พระเจ้าทรงสร้างคุณขึ้นใหม่ “ตามแบบอย่างของพระเจ้า ในความชอบธรรมและความบริสุทธิ์ที่แท้จริง” (อฟ. ๔:๒๔) ท่ามกลางสรรพสิ่งทั้งปวงที่ทรงสร้างขึ้นมา ไม่มีสิ่งใดที่ถูกสร้างตามแบบอย่างของพระเจ้า ยกเว้นคุณ


ส่วนสรรพสิ่งทั้งปวงที่ทรงสร้างขึ้นนั้น ผู้เขียนสดุดีกล่าวต่อไปว่า “พระองค์ทรงมอบอำนาจให้ครอบครองบรรดาพระหัตถกิจของพระองค์ พระองค์ทรงให้สิ่งทั้งปวงอยู่ใต้ฝ่าเท้าของเขา” (สดุดี ๘:๖)


บุคคลที่บังเกิดใหม่ ได้รับการยกขึ้นอยู่เบื้องขวาพระหัตถ์ของพระบิดาเจ้าในสวรรคสถาน อยู่ในสถานะที่สูงยิ่งเหนือเทพทั้งปวง (อฟ. ๑:๑-๒๐-๒๑, ๒:๖) และเพราะสิ่งสารพัดอยู่ใต้พระบาทของพระคริสต์ จึงอยู่ใต้เท้าของคุณ เพราะคุณเป็นอวัยวะในพระกายของพระคริสต์ (อฟ. ๑:๒๒-๒๓)


จากพระธรรมข้อหลัก พระเจ้าทรง “สวมศักดิ์ศรีกับเกียรติ” ให้แก่คุณ


คำว่า “สวม” ยังหมายถึง “สวมมงกุฎ, ล้อมรอบ”


พระเยซูตรัสเรื่องเกียรติไว้ว่า “ถ้าเราให้เกียรติแก่ตัวเราเอง เกียรติของเราก็ไม่มีความหมาย พระองค์ผู้ทรงให้เกียรติแก่เรานั้นคือ พระบิดาของเรา ผู้ซึ่งพวกท่านกล่าวว่าเป็นพระเจ้าของพวกท่าน” (ยน. ๘:๕๔) สำหรับพระองค์แล้ว เกียรติที่ไม่ได้มาจากพระบิดา ไม่มีความหมายใดใดทั้งสิ้น


พระคัมภีร์บันทึกเรื่องการที่พระเยซูได้รับพระเกียรติจากพระบิดาไว้ว่า “เพราะว่าคราวเมื่อพระองค์ได้ทรงรับเกียรติและสง่าราศีจากพระบิดา และพระสุรเสียงจากพระสิริอันยิ่งใหญ่ได้มาถึงพระองค์ ตรัสแก่พระองค์ว่า “ท่านผู้นี้เป็นบุตรที่รักของเรา เราชอบใจท่านผู้นี้มาก” (๒ ปต. ๑:๑๗)


การได้รับเกียรติสูงสุดจากพระบิดา ไม่ใช่การได้รับการแต่งตั้งให้มีตำแหน่งในงานรับใช้ แต่เป็นการได้รับสิทธิให้เป็นบุตรของพระบิดา น่าเสียดาย แทนที่คนมากมายจะรู้สึกขอบคุณพระเจ้าสำหรับเกียรติสูงสุดที่ตนได้รับไว้แล้ว กลับยังคงมองตนเองต่ำต้อย ด้อยค่า เป็นเพียงหนอนและดักแด้ กระเสือกกระสนแสวงหาเกียรติจากมนุษย์ผ่านตำแหน่งต่างๆ ในคริสตจักร เพื่อที่ตนจะรู้สึกดีขึ้น แต่ปัญหาคือ คนอื่นๆ ก็กำลังแสวงหาสิ่งเดียวกัน การทะเลาะเบาะแว้งและการแทงกันข้างหลัง จึงเกิดขึ้นอย่างเลี่ยงไม่ได้ พระคัมภีร์กล่าวว่า “อะไรเป็นสาเหตุของการทะเลาะวิวาทกันในพวกท่าน มิใช่กิเลสตัณหาของท่านหรือ ที่ทำให้ท่านต่อสู้กัน” (ยก. ๔:๑)


หากตลอดมา คุณแสวงหาศักดิ์ศรีและเกียรติจากมนุษย์ และต้องพบกับความเจ็บปวดรายวัน ตัดสินใจวันนี้ที่จะตระหนักตามพระวจนะของพระเจ้าถึงสถานะ ศักดิ์ศรีกับเกียรติที่พระองค์ทรงสวมและล้อมรอบคุณไว้ เมื่อคุณตระหนักเช่นนี้ คุณจะไม่ละอายที่จะกระทำการซึ่งคนอื่นถือว่าต่ำ อย่างเช่นยอมตนเป็นทาสสมัครรับใช้คนอื่น คุณจะไม่เจ็บเมื่อคนไม่เห็นความดีของคุณ หรือไม่ให้เกียรติคุณ คุณจะมีความมั่นคงและชื่นชมยินดีอยู่เสมอ คุณจะมีความสัมพันธ์อันใกล้ชิดกับพระองค์ และจะมีประสบการณ์กับชีวิตครบบริบูรณ์ที่พระเยซูได้เสด็จมาเพื่อประทานแด่คุณ


คำอธิษฐานด้วยความเชื่อ: พระบิดาเจ้า ลูกขอบพระคุณพระองค์ที่ทรงสร้างลูกให้ต่ำกว่าพระองค์แต่หน่อยเดียว โดยทรงสร้างลูกขึ้นใหม่ตามแบบอย่างของพระองค์ และสวมศักดิ์ศรีกับเกียรติให้แก่ลูก โดยประทานสิทธิให้ลูกเป็นบุตรของพระองค์ ลูกสรรเสริญพระองค์ ในพระนามของพระเยซูคริสต์เจ้า อาเมน




 

Create Date : 08 เมษายน 2552   
Last Update : 8 เมษายน 2552 12:21:19 น.   
Counter : 837 Pageviews.  


ความรักมั่นคงของพระองค์ (คริสเตียน)



ความรักมั่นคงของพระองค์



ข้าแต่พระเจ้า ขอทรงหันมาช่วยชีวิตของข้าพระองค์ให้รอดด้วยเถิด ขอทรงช่วยกู้ข้าพระองค์ เพราะเห็นแก่ความรักมั่นคงของพระองค์ – สดุดี ๖:๔


คุณเคยอธิษฐานแล้วอธิษฐานอีกแต่กลับไม่ได้รับคำตอบหรือไม่ ขณะที่กำลังสับสน ใครบางคนกล่าวว่า “ชีวิตนี้อย่าไปหวังอะไรมากนักเลย เราหวังได้แค่ความรอดหลังความตายเท่านั้นแหละ”


ทราบหรือไม่ว่า “ความรอด” เป็นมากกว่าประสบการณ์หลังความตาย


สำหรับผู้เชื่อในพันธสัญญาเดิม คำว่า “ช่วยให้รอด” ไม่ถูกจำกัดอยู่ที่ชีวิตหลังความตาย ความรอดครอบคลุมถึงการช่วยกู้จากปัญหาที่พวกเขากำลังเผชิญในชีวิตก่อนความตาย


คำว่า “ช่วยให้รอด” ในพันธสัญญาใหม่ไม่ถูกจำกัดอยู่ที่ชีวิตหลังความตายเช่นกัน


ทูตสวรรค์กล่าวถึงพระเยซูว่าทรงเป็นผู้ที่จะโปรดช่วยชนชาติของท่านให้รอดจากความผิดบาปของเขา” (มธ. ๑:๒๑) แม้พระเยซูทรงเสด็จมาช่วยให้รอดจากความผิดบาป แต่พระราชกิจของพระองค์ไม่ถูกจำกัดอยู่ที่การช่วยให้พ้นจากความผิดบาปเท่านั้น


พระเยซูตรัสถึงการหายโรคของหญิงตกโลหิตว่า “ที่เจ้าหายโรคนั้นก็เพราะเจ้าเชื่อ” นับตั้งแต่เวลานั้น ผู้หญิงนั้นก็หายป่วยเป็นปกติ (มธ. ๙:๒๒) คำว่า “หายโรค และหายป่วยเป็นปกติ” ในข้อนี้ เป็นคำๆ เดียวกับที่ทูตสวรรค์กล่าวถึงพระเยซูว่า พระองค์เป็นผู้ที่จะโปรด “ช่วยให้รอด” ความจริงคือ หญิงที่หายจากอาการตกโลหิต ได้ยินพระองค์ตรัสแก่นางว่า “ที่เจ้ารอดก็เพราะเจ้าเชื่อ” และพระคัมภีร์กล่าวถึงนางต่อมาว่า “นับตั้งแต่เวลานั้น ผู้หญิงนั้นก็รอด” คำว่า “รอด” ในข้อนี้ไม่ได้หมายความว่า นางยังคงป่วยต่อไป เพียงได้รับพระสัญญาจากพระองค์ว่า ตายแล้วจะได้ขึ้นสวรรค์ คำว่า “รอด” ในข้อนี้ เป็นการรอดพ้นจากความเจ็บป่วยที่เธอต้องทนทุกข์ตลอดมา


คำว่า “ช่วยให้รอด” ยังปรากฏในข้ออื่นๆ ดังต่อไปนี้


ขณะที่ทรงรักษาคนมือลีบข้างหนึ่ง พระองค์ตรัสว่า “ในวันสะบาโตควรจะทำการดี หรือควรจะทำร้าย จะช่วยชีวิต (ช่วยให้รอด) ดีหรือจะผลาญชีวิตเสียดี” (มาระโก ๓:๔)


เมื่อพระเยซูเสด็จไปที่ไหนๆ เขาก็เอาคนเจ็บป่วยมาวางตามตลาด ทูลขอพระองค์โปรดให้คนเจ็บป่วยแตะต้องแต่ชายฉลองพระองค์ และผู้ใดได้แตะต้องแล้วก็หายป่วยทุกคน (และผู้ใดได้แตะต้องแล้วก็รอดทุกคน) (มก. ๖:๕๖)


พระเยซูตรัสกับคนที่หายจากโรคเรื้อนว่า “จงลุกขึ้นไปเถิด ความเชื่อของเจ้าได้กระทำให้ตัวเจ้าหายปกติ (ความเชื่อของเจ้าได้กระทำให้ตัวเจ้ารอด)” (ลูกา ๑๗:๑๙)


ก่อนที่คนง่อยตั้งแต่กำเนิดจะเดินได้เป็นปกติ เปโตร “เขม้นดูเขา เห็นว่ามีความเชื่อพอจะหายโรคได้ (เห็นว่ามีความเชื่อพอจะรอดได้)” (กจ. ๑๔:๙)


ยากอบกล่าวถึงการอธิษฐานด้วยความเชื่อว่า “จะช่วยให้ผู้ป่วยรอดชีวิต และองค์พระผู้เป็นเจ้าจะทรงโปรดให้เขาหายโรค...” (ยก. ๕:๑๕)


จากข้อดังกล่าว ความรอดเป็นประสบการณ์ของคนมากมายในขณะที่ยังมีชีวิตอยู่ และการหายจากโรคเป็นส่วนหนึ่งของพระราชกิจในการช่วยให้รอดของพระเยซู


ผู้เชื่อในพันธสัญญาใหม่สามารถคาดหวังความรอดในด้านต่างๆ ในขณะที่ยังมีชีวิตอยู่ได้เช่นกัน


พระคัมภีร์กล่าวถึงทางของพระเจ้าว่า “มีประโยชน์ในทุกทาง เพราะทรงไว้ซึ่งประโยชน์ (เพราะทรงไว้ซึ่งพระสัญญา) สำหรับชีวิตปัจจุบันและชีวิตอนาคตด้วย” (๑ ทธ. ๔:๘) น่าเสียดายที่บางคนเลื่อนประโยชน์และพระสัญญาไปในอนาคตในชีวิตหลังความตาย โดยไม่ทราบว่าการดำเนินในทางของพระเจ้ามีประโยชน์และมีพระสัญญามากมายสำหรับชีวิตปัจจุบัน


บางครั้งเราอธิษฐานแล้วไม่ได้คำตอบ เพราะเราจดจ่อผิดที่ เราจดจ่อที่สิ่งดีๆ ที่เราได้ทำเพื่อพระองค์ และคิดเหมาว่าพระองค์ต้องตอบแทนเราคืน ความจริงคือ พระเจ้าไม่ทรงติดหนี้ใคร หากเราไม่รอดจากบึงไฟเพราะความดีของเรา เราก็ไม่รอดจากสถานการณ์ต่างๆ เพราะมัวแต่ระลึกถึงความดีของเราเช่นกัน


สำหรับผู้เขียนสดุดี ท่านเข้าใจดีว่า หากพระเจ้าจะทรงช่วยท่านให้รอด ก็เพราะทรง “เห็นแก่ความรักมั่นคงของพระองค์”


คำว่า “ความรักมั่นคง” ยังหมายถึง “พระเมตตา”


ในพันธสัญญาใหม่ เราจะเห็นความเกี่ยวพันของพระเมตตากับความรอด หรือพระเมตตากับการรักษานั่นเอง


พระคัมภีร์กล่าวถึงบารทิเมอัส ชายตาบอดซึ่งร้องขอพระเมตตาจากพระเยซู พระเยซูตรัสแก่เขาว่า “จงไปเถิด ความเชื่อของเจ้าได้กระทำให้เจ้าหายปกติแล้ว (ความเชื่อของเจ้าได้กระทำให้เจ้ารอดแล้ว)” ในทันใดนั้นคนตาบอดนั้นก็เห็นได้ และได้เดินทางตามพระองค์ไป (มก. ๑๐:๕๒)


หากวันนี้คุณอยู่ในสภาพเดียวกันกับบารทิเมอัส คุณมองไม่เห็นทางออกจากปัญหาที่คุณกำลังเผชิญ คุณตระหนักว่าคุณไม่สามารถทวงโดยอ้างสิ่งดีๆ ที่คุณได้ทำลงไปเพื่อให้พระเจ้าตอบแทนคุณได้ จงตัดสินใจที่จะทูลขอพระเมตตาจากพระองค์ พระองค์จะทรงช่วยชีวิตของคุณให้รอดและทรงช่วยกู้คุณจากสถานการณ์ต่างๆ เพราะเห็นแก่ความรักมั่นคงของพระองค์ และคุณจะมีประสบการณ์กับชัยชนะและชีวิตครบบริบูรณ์ที่พระเยซูได้เสด็จมาเพื่อประทานแด่คุณ


คำอธิษฐานด้วยความเชื่อ: พระบิดาเจ้า ขอทรงหันมาช่วยชีวิตของลูกให้รอดจากสถานการณ์ต่างๆ ที่ลูกกำลังเผชิญอยู่ในขณะนี้ด้วยเถิด ขอทรงช่วยกู้ลูก เพราะเห็นแก่ความรักมั่นคงของพระองค์ ลูกขอบพระคุณพระองค์ ในพระนามของพระเยซูคริสต์เจ้า อาเมน




 

Create Date : 08 เมษายน 2552   
Last Update : 8 เมษายน 2552 12:18:39 น.   
Counter : 1063 Pageviews.  


1  2  3  4  5  6  7  8  9  10  11  12  13  14  15  16  17  18  19  

ชาญชิต
 
Location :
กรุงเทพฯ Thailand

[Profile ทั้งหมด]

ให้ทิปเจ้าของ Blog [?]
ฝากข้อความหลังไมค์
Rss Feed

ผู้ติดตามบล็อก : 5 คน [?]


ผู้ติดตามบล็อก : 5 คน [?]




[Add ชาญชิต's blog to your web]

 
pantip.com pantipmarket.com pantown.com