รู้จักพระเยซูผ่านพระธรรม 2 เปโตร
12 สิงหาคม 2012 คริสตจักรยะลา 2 เปโตร 3:9 9องค์พระผู้เป็นเจ้าไม่ได้ทรงเฉื่อยช้าในเรื่องพระสัญญาของพระองค์ ตามที่บางคนคิดนั้น แต่พระองค์ได้ทรงอดกลั้นพระทัยไว้เพราะเห็นแก่ท่านทั้งหลายมาช้านาน พระองค์ไม่ทรงประสงค์ที่จะให้ผู้หนึ่งผู้ใดพินาศเลยแต่ทรงปรารถนาที่จะให้คนทั้งปวงกลับใจเสียใหม่ อธิษฐาน ข้าแต่พระเจ้าผู้ทรงสมควรแก่การสรรเสริญขอให้พระนามของพระองค์ได้รับการยกย่อง ขอให้พระเกียรติทั้งสิ้นเป็นของพระองค์ขอบพระคุณที่พระองค์ทรงเอาพระทัยใส่ชีวิตของเราทุกคน พระหัตถ์ของพระองค์ไม่สั้นเกินไปพระองค์ทรงทันเวลาเสมอ ขอบพระคุณพระเยซูพระผู้ช่วยให้รอดสำหรับพระสัญญาที่จะทรงเสด็จกลับมารับเราทั้งหลายไปอยู่กับพระองค์ขอบพระคุณพระวิญญาณบริสุทธิ์ผู้ทรงชูกำลังเราและเตือนสติเราในการดำเนินชีวิตในแต่ละวันขอให้เราทุกคนได้ถวายตัวเป็นเครื่องบูชาที่มีชีวิตอันเป็นที่พอพระทัยของพระองค์ วันนี้เป็นวันสุดท้ายของมหกรรมกีฬาโอลิมปิค2012 พี่น้องหลายท่านอาจได้ติดตามดูการแข่งขันบ้างผมเองเพิ่งมีโอกาสได้ดูการแข่งขันยิงธนูเป็นครั้งแรก และรู้สึกชอบมากแม้จะดูว่าเป็นการแข่งขันที่เรียบๆ ไม่รวดเร็วตื่นเต้น หรือปะทะกันด้วยกำลังแต่ก็เป็นการแข่งขันที่ดูสง่างามมาก ภาพที่ถ่ายทอดออกมาก็มีมุมมองที่สวยงามที่สำคัญการแข่งขันมองไม่เห็นโอกาสที่จะใช้กลโกงในการเอาเปรียบคู่แข่งและไม่ได้ใช้ความเห็นของกรรมการในการให้คะแนนทำให้การแข่งขันเป็นไปอย่างตรงไปตรงมา ใครทำคะแนนได้ดีหรือไม่ดีอย่างไรก็เห็นได้โดยชัดเจน โอกาสหน้าขอเชิญพี่น้องที่จะลองติดตามดูครับ ในการแข่งขันครั้งนี้มีกรณีอื้อฉาวที่อาจจะทำให้ต้องมีการปรับกติกาการแข่งขันกันใหม่ในการแข่งขันครั้งต่อไปนั่นก็คือการที่นักกีฬาไม่แข่งขันอย่างเต็มที่ มีการพยายามทำคะแนนเสีย ให้ทีมตัวเองแพ้เพื่อผลในการเข้าสู่รอบต่อไปจะได้พบกับคู่แข่งที่ไม่เก่งนักทั้งนี้นักกีฬาที่ถูกกล่าวหาก็ได้รับการลงโทษ ทำให้เราเห็นได้ว่า สปิริตหรือน้ำใจนักกีฬา ได้หายไปจากวงการกีฬา อันเนื่องมาจากความคิดฉ้อฉนและการหวังผลโดยไม่คำนึงถึงความถูกต้องชอบธรรม สำหรับนักกีฬาตัวแทนจากประเทศไทยปีนี้ก็มีผลงานที่สร้างความยินดีได้พอสมควรแม้ว่าบางการแข่งขันเรารู้สึกว่าไม่ได้รับความเป็นธรรมแต่ก็ดีกว่าที่จะเกิดเรื่องว่าเราได้ชัยชนะอย่างไม่เป็นธรรม วันนี้เราจะมาติดตามเรื่องราวการค้นหาพระเยซูในพระคัมภีร์พันธสัญญาใหม่กันต่อซึ่งเราได้มาถึงจดหมายฝาก 2 เปโตร จดหมายฝากฉบับนี้มีชื่อระบุไว้ชัดเจนว่า ซีโมน เปโตร เป็นผู้เขียน แต่กระนั้นก็ตามนักวิชาการหลายคนก็ยังตั้งข้อสงสัยว่าผู้เขียนเป็นเปโตรจริงหรือไม่ ผมเคยอ่านพบว่าจดหมายฝาก 1 เปโตร เป็นหนังสือที่ได้รับการยกย่องว่า มีการใช้ภาษาได้อย่างสละสลวยและการศึกษาภาษากรีกในปัจจุบัน ก็มักจะใช้จดหมายฝาก 1 เปโตรเป็นตัวอย่างสำหรับการเรียนภาษาด้วย แต่สำหรับ 2 เปโตรนักวิชาการพบว่า ลักษณะของการใช้ภาษาแตกต่างไป ซึ่งในเรื่องนี้เราอาจจะอธิบายได้ว่า ในจดหมายฝาก 1 เปโตรนั้น ผู้ที่ลงมือบันทึกจริงๆคือสิลวานัส(1ปต 5:12) ในขณะที่จดหมายฝาก 2เปโตร เป็นเปโตรเองที่เขียน จึงมีรูปแบบของการใช้ภาษาที่แตกต่างกัน อย่างไรก็ตามเมื่อพิจารณาเนื้อหาของจดหมายฝากทั้งสองฉบับแล้วก็ยังคงมีความคล้ายคลึงกันมากกว่าเล่มอื่นๆ ดังนั้นจึงไม่มีหลักฐานอื่นๆที่มีน้ำหนักเพียงพอที่จะคัดค้านว่าเปโตรไม่ได้เป็นผู้เขียนจดหมายฉบับนี้ วัตถุประสงค์ของจดหมายฝาก2 เปโตรคือการพูดถึงปัญหาเรื่องการสอนเท็จที่เกิดขึ้นในคริสตจักรและการหนุนใจให้ผู้เชื่อรอคอยการเสด็จกลับมาของพระเยซู วันนี้เราจะมามองหาพระเยซูในจดหมายฝาก2 เปโตร เพื่อจะรู้จักกับพระองค์มากขึ้นจากจดหมายฝากฉบับนี้ 2 เปโตร 1:16-18 16เพราะว่าเมื่อเราได้ประกาศให้ท่านทั้งหลายทราบถึงฤทธิ์เดชของพระเยซูคริสต์ของเราและการที่พระองค์จะเสด็จมานั้น เราไม่ได้คล้อยตามนิยายที่เขาแต่งขึ้นอย่างชาญฉลาดแต่เราเป็นพยานผู้รู้เห็นความยิ่งใหญ่ของพระองค์ 17เพราะว่าคราวเมื่อพระองค์ได้ทรงรับเกียรติและสง่าราศีจากพระบิดาและพระสุรเสียงจากพระสิริอันยิ่งใหญ่ได้มาถึงพระองค์ ตรัสแก่พระองค์ว่า"ท่านผู้นี้เป็นบุตรที่รักของเรา เราชอบใจท่านผู้นี้มาก" 18เราก็ได้ยินพระสุรเสียงนี้จากสวรรค์เพราะว่าเราได้อยู่กับพระองค์ที่ภูเขาบริสุทธิ์นั้น เปโตร เป็น 1 ใน 3 สาวกผู้ใกล้ชิดพระเยซูมากที่สุดทำให้เขาได้มีโอกาสอยู่ในเหตุการณ์สำคัญๆที่สาวกคนอื่นๆอาจไม่ได้อยู่ด้วยและการที่เขาอยู่ในเหตุการณ์ด้วยตัวเองจึงถือว่าเป็นประจักษ์พยานที่ยืนยันเรื่องราวได้ชัดเจนและมีน้ำหนักมากหากเขาเพียงผู้รับฟังเรื่องราวแล้วนำมาเล่าต่อความชัดเจนหรือความน่าเชื่อถือก็น้อยกว่า เปโตรได้เคยอยู่ในเหตุการณ์ที่พระเยซูทรงจำแลงพระกายเขาได้เห็นกับตาของตัวเอง พร้อมๆกับยากอบและยอห์น(เรื่องราวปรากฏในพระกิตติคุณมัทธิว 17:1-13) และได้ยินเสียงพระเจ้าทรงตรัสลงมาจากฟ้าสวรรค์ว่าท่านผู้นี้เป็นบุตรที่รักของเรา เราชอบใจท่านผู้นี้มากจงเชื่อฟังท่านเถิด พระเยซูทรงเป็นพระบุตรที่รักของพระบิดา ในหลักข้อเชื่อสำคัญของคริสเตียนพระเจ้าทรงสภาพเป็นตรีเอกานุภาพ พระบิดา พระบุตร พระวิญญาณบริสุทธิ์ ทรงเป็นพระเจ้าเดียวทรงดำรงอยู่นอกเหนือกฏเกณฑ์ของกาลเวลาพระองค์ทรงกระทำสิ่งต่างๆด้วยความเป็นอันหนึ่งอันเดียวกันไม่มีเรื่องราวใดๆที่พระบิดา พระบุตร และพระวิญญาณบริสุทธิ์ทรงขัดแย้งกันและในแผนการแห่งการช่วยคนบาปให้รอด ก็เป็นการงานที่ทรงกระทำร่วมกัน พระบุตรจึงได้เสด็จเข้ามาในโลกและกระทำให้แผนการแห่งการช่วยคนบาปสำเร็จซึ่งเป็นงานที่พระบุตรต้องยอมถ่อมพระองค์ลงมารับสภาพเป็นมนุษย์และทนทุกข์ทรมาณบนไม้กางเขน หากจะมองเรื่องราวในโลกรอบตัวเรางานที่ยากลำบากและอันตรายนั้น เรามักจะไม่ส่งคนที่เรารักและเป็นห่วงเข้าไปเสี่ยงเรามักจะเลือกคนที่มีฝีมือ มีความสามารถ และแม้ว่าคนที่เรารักมีคุณสมบัติอย่างนั้นเราก็จะยังไม่ตัดสินใจส่งเขาไป หากว่าเรายังสามารถเลือกที่จะส่งผู้อื่นไปแทนได้ในการรบที่หมู่เกาะฟอร์คแลนด์แม้ว่าเจ้าชายแห่งอังกฤษจะทรงเป็นทหารและออกรบร่วมกับทหารธรรมดาทั่วไปแต่เมื่อการรบดุเดือดและรุนแรงขึ้นกองทัพก็ได้ขอเชิญให้เจ้าชายแห่งอังกฤษเสด็จออกจากสมรภูมิเพื่อไม่ให้ทรงเสี่ยงต่ออันตรายแม้ว่าพระองค์จะทรงได้รับการฝึกฝนและมีสมรรถภาพเพียงพอที่จะออกรบได้เหมือนทหารที่ชำนาญแต่พระองค์ทรงอยู่ในฐานะที่สำคัญกว่าภาระกิจนั้นและมีทหารคนอื่นๆที่สามารถทำหน้าที่แทนที่พระองค์ได้ การที่เราจะยินยอมส่งคนที่เรารักมากเข้าไปเสี่ยงอันตราย แสดงว่า เรื่องราวนั้นต้องไม่ใช่เรื่องธรรมดาการที่พระเจ้าทรงให้พระบุตรเสด็จเข้ามาในโลกก็เช่นกัน ต้องเป็นเรื่องไม่ธรรมดา ประการแรกคือ พระบุตรทรงอยู่ในฐานะที่เหมาะสมที่จะกระทำภารกิจนี้ เหตุผลก็คือ ปัญหาเรื่องความบาปของมนุษย์ทั้งโลกมีเพียงพระเจ้าเท่านั้นที่ทรงแก้ไขได้ พระบุตรทรงเป็นพระเจ้า แต่อาจมีคำถามว่าทำไมไม่เป็นพระบิดา หรือพระวิญญาณบริสุทธิ์ ที่เสด็จมาบังเกิดเป็นมนุษย์ผมคงไม่ทราบคำตอบที่แท้จริง (ไว้เมื่อไปถึงสวรรค์เราจะได้ทราบคำตอบ)แต่จากการสังเกตเรื่องราวในพระคัมภีร์เดิม นักวิชาการพระคัมภีร์เชื่อว่าหลายๆเหตุการณ์พระบุตรได้ทรงเสด็จมาปรากฏพระองค์ในสภาพมนุษย์ ในขณะที่พระบิดาและพระวิญญาณไม่ทรงปรากฏพระองค์ในลักษณะนั้น นอกจากนี้ พระคัมภีร์หลายข้อได้ให้เหตุผลต่างๆไว้ว่าพระบุตรทรงเป็นคนกลางระหว่างมนุษย์กับพระเจ้า(1ทธ 2:5), พระเจ้าทรงเป็นพระวิญญาณ(ยอห์น 4:24) และ มนุษย์จะเห็นพระพักตร์พระเจ้าไม่ได้(อพยพ 33:20) ประการที่สอง พระเจ้าไม่ทรงเหลวไหลไร้ความรับผิดชอบ เรื่องราวการทรงสร้างในปฐมกาลบทที่ 1 และในพระกิตติคุณยอห์นบทที่ 1 ได้บอกให้เรารู้ว่า พระเจ้าทรงสร้างสรรพสิ่งโดยพระวาทะและพระวาทะได้ทรงมาบังเกิดเป็นมนุษย์ ซึ่งหมายความว่า พระผู้ทรงสร้างได้ทรงกระทำหน้าที่สำคัญ เมื่อมนุษย์ที่ทรงสร้างได้ล้มลงในบาปพระผู้สร้างจึงได้ทรงชดใช้โทษแทนมนุษย์ที่ได้ทรงสร้างนั้น ไม่ใช่เพราะพระองค์ทำผิดจึงต้องรับผิดชอบ แต่เพราะมนุษย์ที่ทรงสร้างนั้นได้ทำผิด และพระองค์ได้ทรงชดใช้ ประการที่สาม ต้องใช้สิ่งที่มีคุณค่าเท่ากันหรือมากกว่าไปแลก ในพระกิตติคุณยอห์น 3:16 เป็นบทสนทนาของพระเยซูกับนิโคเดมัส ได้บอกไว้ว่า เพราะว่าพระเจ้าทรงรักโลกจนได้ทรงประทานพระบุตรองค์เดียวของพระองค์ เพื่อทุกคนที่วางใจในพระบุตรนั้นจะไม่พินาศ แต่มีชีวิตนิรันดร์ ซึ่งหมายความว่าเหตุผลที่ทรงให้พระบุตรที่ทรงรัก เสด็จเข้ามาทำหน้าที่นี้ก็เพราะพระเจ้าทรงมีอีกสิ่งหนึ่งที่ทรงรักและเห็นคุณค่าอย่างมากถึงขนาดทรงยอมให้ผู้ที่ทรงรักนั้นต้องเข้าสู่การทนทุกข์ทรมาณพระเจ้าทรงรักมนุษย์แม้ว่ามนุษย์จะทำบาปและกบฏต่อพระองค์หากจะเปรียบเทียบมูลค่าของคนบาปกับพระบุตรของพระเจ้าสูงสุดแล้วบอกได้ว่าไม่อาจจะเปรียบเทียบได้เลย แต่พระเจ้าไม่ได้ทรงพิจารณาที่มูลค่าสิ่งที่พระเจ้ากระทำเพื่อคนบาปทุกคนนั้นเป็นพระคุณที่ทรงประทานให้ เราชอบใจท่านผู้นี้มาก พระเจ้าทรงพอพระทัยพระเยซูหากเราอยากจะเป็นที่พอพระทัยของพระเจ้า เราก็ต้องมาดูว่าพระเยซูทรงเป็นอย่างไรและให้เราเป็นเหมือนอย่างนั้น พระเยซูทรงเชื่อฟังพระบิดามีปรากฏในบันทึกคำตรัสของพระองค์ที่ว่า เราจะทำสิ่งใดตามอำเภอใจไม่ได้ เราได้ยินอย่างไรเราก็พิพากษาอย่างนั้น และการพิพากษาของเราก็ยุติธรรม เพราะเรามิได้มุ่งที่จะทำตามใจของเราเอง แต่ตามพระประสงค์ของพระองค์ผู้ทรงใช้เรามา(ยอห์น 5:30) พระเยซูทรงดำเนินชีวิตเป็นที่ชอบพระทัยพระเจ้ามีปรากฏในพระคัมภีร์ว่า พระเยซูก็ได้จำเริญขึ้นในด้านสติปัญญาในด้านร่างกาย และเป็นที่ชอบจำเพาะพระเจ้า และต่อหน้าคนทั้งปวงด้วย ลูกา 2:52) พระเยซูทรงสุภาพ เป็นการดำเนินชีวิตที่คนรอบข้างสามารถเห็นได้เป็นหนึ่งในผลแห่งพระวิญญาณบริสุทธิ์ที่คริสเตียนจะต้องมี จงเอาแอกของเราแบกไว้ แล้วเรียนจากเรา เพราะว่าเราสุภาพและใจอ่อนน้อม และจิตใจท่านทั้งหลายจะได้พัก (มัทธิว 11:29) พระเยซูทรงมีความเมตตาและความรักยิ่งใหญ่ผู้คนมากมายที่ลำบาก ยากจน และมีโรคต่างๆได้มาขอให้พระองค์ทรงช่วย พระองค์ก็ทรงช่วยเขาทุกคน พระเยซูทรงเป็นอย่างที่พระองค์ทรงสอนหากว่าพระเยซูทรงสอนคนทั้งหลายว่า จงรักศัตรู และอธิษฐานเผื่อผู้ที่ข่มเหงแต่พระองค์ไม่ได้กระทำอย่างนั้น คำสอนของพระองค์ก็ไม่มีความหมาย แต่เราเห็นได้ว่าเมื่อทรงถูกจับไปตรึงที่กางเขน ทรงถูกกระทำอย่างทารุณ พระองค์ก็ไม่ได้ทรงปริปากต่อว่าคนเหล่านั้นแต่กลับทรงอธิษฐานขอให้พระเจ้ายกโทษคนเหล่านั้นและผู้ที่ยืนเฝ้าอยู่ที่โคนไม้กางเขนก็ได้ยินคำอธิษฐานนั้น พระเยซูทรงสั่งสอนพระวจนะอย่างตรงไปตรงมาไม่เห็นแก่หน้าผู้ใด ทั้งคนที่มีตำแหน่งสูง และชาวบ้านทั่วไป และแม้ว่าการสั่งสอนของพระองค์จะทำให้คนเหล่านั้นเกิดความไม่พอใจแต่ก็ทรงยืนยันความจริง ความถูกต้องของพระวจนะ หากเราได้ดำเนินชีวิตเหมือนอย่างพระเยซูได้ทรงดำเนินเราก็จะเป็นผู้ที่พระเจ้าทรงชอบพระทัยเช่นกัน 2 เปโตร 3:9 9องค์พระผู้เป็นเจ้าไม่ได้ทรงเฉื่อยช้า ในเรื่องพระสัญญาของพระองค์ตามที่บางคนคิดนั้น แต่พระองค์ได้ทรงอดกลั้นพระทัยไว้เพราะเห็นแก่ท่านทั้งหลายมาช้านานพระองค์ไม่ทรงประสงค์ที่จะให้ผู้หนึ่งผู้ใดพินาศเลยแต่ทรงปรารถนาที่จะให้คนทั้งปวงกลับใจเสียใหม่ พระประสงค์ของพระเจ้านั้นก็เพื่อคนบาปทั้งปวงจะกลับใจใหม่หันจากการประพฤติเลวทราม และรับการยกโทษจากพระเจ้า เพื่อเขาจะพ้นจากโทษแห่งความบาป หลายคนที่ไม่เข้าใจ ก็ตั้งคำถามว่าถ้าพระเจ้ารักมนุษย์ แล้วสร้างนรกไว้ทำไมถ้าพระเจ้ารักมนุษย์ทำไมไม่สร้างให้โลกนี้มีแต่ความสุข ถ้าพระเจ้ารักมนุษย์ทำไมไม่ทำอย่างโน้นอย่างนี้สุดแล้วแต่จะสรรหาเรื่องมาต่อว่าต่อขาน คำถามแบบนี้หลายๆครั้งสามารถตอบได้จากเรื่องราวรอบๆตัว เช่น เด็กอาจถามแม่ว่าถ้าแม่รักลูกจริงๆ ทำไมต้องให้ลูกไปโรงเรียน ถ้าแม่รักลูกทำไมไม่ทำการบ้านให้ลูกถ้าแม่รักลูกทำไมลูกถึงสอบตก ถ้าแม่รักลูกทำไมไม่ซื้อรถซิ่งให้ลูก และอีกมากมายซึ่งทั้งหมดนั้น คนที่มีความคิดเป็นผู้ใหญ่ก็จะตอบได้ว่าเป็นการที่ลูกเข้าใจความว่าความรักผิดไปลูกเข้าใจไปว่าความรักคือการที่ต้องตามใจลูกทุกอย่าง เช่นเดียวกันมนุษย์จำนวนมากเข้าใจความรักของพระเจ้าผิดไปจึงเกิดคำถามต่างๆที่แสดงให้เห็นว่าขาดความเป็นผู้ใหญ่ เหตุการณ์ในโลกปัจจุบันที่เราเห็นในข่าวเรามักจะคิดว่า พระเจ้าทรงมัวแต่ทำอะไรอยู่ ทำไมไม่ลงโทษคนชั่วร้ายเหล่านั้นทันทีถ้าเราเป็นพระเจ้าเอง คงจะให้ฟ้าผ่าลงมาใส่คนเหล่านั้นทันทีทันใด หลายครั้งคริสเตียนก็อยากให้พระเยซูเสด็จกลับมาเร็วๆเพื่อจะได้ทรงจัดการคนชั่วร้ายเหล่านั้น อย่างไรก็ตาม 2 เปโตร 3:9 ได้บอกเราว่า พระเยซูได้ทรงอดกลั้นพระทัยไว้เพื่อเป็นการเปิดโอกาสให้กับคนบาปทั้งหลาย ซึ่งก็รวมถึงตัวเราเองด้วยในการที่จะกลับใจใหม่ มาหาพระองค์ เพื่อจะรับการช่วยให้รอดจากความบาปหากพระองค์รีบกลับมาเมื่อ 30 ปีที่แล้วพวกเราในที่นี้หลายคนคงจะตกนรกแน่เพราะยังไม่ได้มารับความรอดในพระเยซูการที่พระองค์ยังไม่กลับมาจนกระทั่งวันนี้ เราเองก็เป็นคนหนึ่งที่ได้รับผลดีดังนั้นหากจะนานขึ้นอีกหน่อย ก็เพื่ออีกหลายคนจะได้มาถึงความรอด แต่พระองค์จะทรงเสด็จกลับมาแน่นอนตามที่ได้ทรงสัญญาไว้ขอให้ผู้เชื่อในพระองค์มีความหวังและยืนหยัดในการรอคอยพระองค์ด้วยความเชื่อที่มั่นคงและไม่ละทิ้งความเชื่อเมื่อต้องประสพกับความยากลำบาก
Create Date : 27 ตุลาคม 2555 |
Last Update : 27 ตุลาคม 2555 19:19:16 น. |
|
0 comments
|
Counter : 835 Pageviews. |
|
|
|