ถ้าพระเจ้าไม่มีจริง คุณได้หรือเสียอะไร? แต่ถ้าพระเจ้ามีจริง คุณได้หรือเสียอะไร?

<<
มกราคม 2551
 12345
6789101112
13141516171819
20212223242526
2728293031 
 
14 มกราคม 2551
 

เข้าส่วนในศักดิ์ศรีกับพระองค์

13 มกราคม 2008
คริสตจักร ยะลา


โรม 8:14-18
14 เพราะว่าพระวิญญาณของพระเจ้าทรงนำผู้ใด ผู้นั้นก็เป็นบุตรของพระเจ้า
15 เหตุว่าท่านไม่ได้รับน้ำใจทาสซึ่งทำให้ตกในความกลัวอีก แต่ท่านได้รับพระวิญญาณผู้ทรงให้เป็นบุตรของพระเจ้า ให้เราทั้งหลายร้องเรียกพระเจ้าว่า "อับบา" คือพระบิดา
16 พระวิญญาณนั้นเป็นพยานร่วมกับวิญญาณจิตของเราทั้งหลายว่า เราทั้งหลายเป็นบุตรของพระเจ้า
17 และถ้าเราทั้งหลายเป็นบุตรแล้ว เราก็เป็นทายาท คือเป็นทายาทของพระเจ้า และเป็นทายาทร่วมกับพระคริสต์ เมื่อเราทั้งหลายทนทุกข์ทรมานด้วยกันกับพระองค์นั้น ก็เพื่อเราทั้งหลายจะได้ศักดิ์ศรีด้วยกันกับพระองค์ด้วย
18 เพราะข้าพเจ้าเห็นว่าความทุกข์ลำบากแห่งสมัยปัจจุบัน ไม่สมควรที่จะเอาไปเปรียบกับศักดิ์ศรี ซึ่งจะเผยให้แก่เราทั้งหลาย


อธิษฐาน
ข้าแต่พระเจ้า ขอบพระคุณพระองค์สำหรับศักดิ์ศรีที่พระองค์ทรงโปรดประทานให้กับเรา ขอพระองค์ทรงชูใจเราด้วยพระวจนะของพระองค์ เพื่อให้เราเห็นถึงความสำคัญของการมีศักดิ์ศรีร่วมกับพระคริสต์ เพื่อว่าชีวิตของเราจะจำเริญขึ้นสู่ความไพบูลย์ในองค์พระเยซูคริสต์ และเป็นชีวิตที่ถวายสง่าราศีแด่พระองค์ และคนทั่วไปจะเห็นพระสิริของพระเจ้าผ่านทางชีวิตของเรา

วันนี้เป็นตอนที่ 4 ของเส้นทางของการเติบโตขึ้นในพระเจ้า ซึ่งมีปลายทางอยู่ที่ความไพบูลย์ในพระเยซูคริสต์ สามตอนก่อนหน้านี้คือ การแสวงหาพระเจ้าด้วยสุดใจ การดำเนินกับพระเจ้าวันต่อวัน การร่วมแบกแอกของพระเยซูคริสต์ และสำหรับวันนี้คือ การ “เข้าส่วนในศักดิ์ศรีกับพระองค์”

เรื่องของศักดิ์ศรี เป็นเรื่องที่คนไทยถือกันมาก หลายครั้งที่เราได้ยินข่าวทางโทรทัศน์หรือหนังสือพิมพ์ว่า วัยรุ่นทะเลาะกันและทำร้ายกันถึงชีวิต ด้วยสาเหตุเพียงแค่เดินไหล่ชนกัน ถือเป็นการหยามศักดิ์ศรี เด็กๆวัยประถมชกต่อยกันด้วยสาเหตุว่าเพื่อนเดินมาเหยียบเงาหัว ถือเป็นการหมิ่นศักดิ์ศรี ยังมีอีกหลายเรื่องที่ถูกนำมาอ้างว่าเป็นการรักษาศักดิ์ศรีของตน ไม่ต้องการให้ผู้ใดดูหมิ่น แต่เรากลับพบว่าการกระทำในเรื่องอื่นๆนั้นกลับกระทำผิดกันอย่างไม่กลัวเสียศักดิ์ศรีเลย เช่นการคดโกง การแซงคิว การหนีภาษี การเอารัดเอาเปรียบ การโกหกมดเท็จ การรังแกผู้อ่อนแอกว่า การไม่ยอมให้อภัย การบิดพลิ้วเรื่องผิดให้เป็นถูก ฯลฯ

สิ่งที่กล่าวมานั้น ผมกำลังชี้ให้เห็นว่า เราพูดถึงเรื่องของศักดิ์ศรีอย่างไม่ถูกต้อง เราอ้างถึงการรักษาศักดิ์ศรีอย่างสุดโต่งในบางเรื่อง ขณะที่เราทิ้งขว้างศักดิ์ศรีอย่างไม่ใยดีในหลายเรื่องที่ควรกระทำ

พระคัมภีร์ได้พูดถึงศักดิ์ศรีอยู่หลายประการด้วยกัน แม้แต่ดวงอาทิตย์ กับดวงจันทร์ก็มีศักดิ์ศรีต่างกัน ดวงดาวต่างๆก็มีศักดิ์ศรีต่างกัน นอกจากนี้ยังพูดถึงศักดิ์ศรีของคริสเตียนด้วย คำว่าศักดิ์ศรี ดูเหมือนจะมีความหมายที่คลุมเครืออยู่ไม่น้อย ถ้าถามว่า ศักดิ์ศรีแปลว่าอะไร ผมคิดว่า เราคงให้คำตอบยาก แค่ถ้าถามว่ารู้จักคำว่าศักดิ์ศรีไหม ผมคิดว่าทุกคนคงตอบว่ารู้จัก

คำว่าศักดิ์ศรีที่พระคัมภีร์ใช้ หมายถึง “ความมีคุณค่าควรแก่การยกย่อง” ซึ่งก็ควรจะเป็นความหมายเดียวกับคำว่าศักดิ์ศรีที่เราใช้กันในชีวิตประจำวัน ลองเอาคำว่า “มีค่าควรแก่การยกย่อง” ไปใส่แทนที่คำว่าศักดิ์ศรี ก็อาจจะช่วยให้เราตรวจสอบได้ว่า เราใช้คำว่าศักดิ์ศรีถูกที่ถูกทางหรือเปล่า เมื่อใดที่เราอ้างว่า “ผมเป็นคนมีศักดิ์ศรี” ลองเปลี่ยนเป็นคำว่า “ผมเป็นคนที่มีคุณค่าควรแก่การยกย่อง” แล้วลองถามตัวเองอีกทีว่า ละอายใจกับคำพูดของตัวเองหรือไม่

การมีศักดิ์ศรีไม่ได้ขึ้นกับ ฐานะการเงิน ชาติตระกูล ตำแหน่งหน้าที่การงาน หรือการศึกษา น่าเสียดายที่คนในปัจจุบันตีค่าของศักดิ์ศรีจากสิ่งที่มองเห็นภายนอก เช่นการที่มีเสื้อผ้าราคาแพงใส่ มีเครื่องประดับหรูหรา มีการศึกษาสูง มีฐานะดี มียศมีตำแหน่ง กลับได้รับคำว่าเป็นผู้มีศักดิ์ศรี แม้ว่าเขาเหล่านั้นจะเป็นผู้ที่ที่ไม่มีความซื่อสัตย์ ไม่ยอมเสียสละใดๆ หน้าซื่อใจคด คดในข้องอในกระดูก แต่พี่น้องที่รัก จงรู้เถิดว่า พระเจ้าไม่ได้มองอย่างที่มนุษย์มอง พระองค์ทรงเห็นเข้าไปข้างใน และนี่เป็นสิ่งที่คริสเตียนควรรับรู้ว่า พระเจ้าประสงค์ให้คริสเตียนเป็นผู้มีศักดิ์ศรีนั้น มีความหมายว่าอย่างไร

โรม 8:30
30และบรรดาผู้ที่พระองค์ได้ทรงตั้งไว้นั้น พระองค์ได้ทรงเรียกมาด้วย และผู้ที่พระองค์ได้ทรงเรียกมานั้น พระองค์ทรงโปรดให้เป็นผู้ชอบธรรม และผู้ที่พระองค์ทรงโปรดให้เป็นผู้ชอบธรรม พระองค์ก็ทรงโปรดให้มีศักดิ์ศรีด้วย


ในสายพระเนตรของพระเจ้า เราได้รับศักดิ์ศรีที่พระเจ้าประทานให้เมื่อเรามีฐานะเป็นผู้ชอบธรรม ซึ่งหมายถึง “ผู้ที่พระเจ้าทรงถือว่าไม่มีบาป” สิ่งที่พระองค์ประสงค์จากเราไม่ใช่สิ่งใดๆของโลกนี้ ลองพิจารณาดูชีวิตของพระเยซูคริสต์ ที่พระเจ้าทรงตรัสจากฟ้าสวรรค์ว่า “ท่านผู้นี้เป็นบุตรที่รักของเรา เราชอบใจท่านมาก” อะไรคือสิ่งที่พระเยซูมี และทำให้พระเจ้าพอพระทัย พระเยซูมี ฐานะดี ความรู้สูง ชาติตระกูลสูง อย่างนั้นหรือ เรารู้จากพระคัมภีร์ว่าครอบครัวของพระเยซูมีอาชีพช่างไม้ แม้จะเกิดในวงศ์วานของกษัตริย์ดาวิด แต่ก็ไม่ได้มีฐานะดี สังเกตได้ว่า เมื่อพระองค์ประสูติ พระองค์ทรงเข้าพิธีถวายบุตรหัวปี และถูกไถ่ไว้ด้วยนกคู่หนึ่ง แทนที่จะเป็นแกะ เนื่องจากฐานะที่ยากจน ในด้านความรู้สมัยนั้นไม่มีมหาวิทยาลัย ไม่มีปริญญา การศึกษาจะอยู่ในรั้วในวังและในกลุ่มของนักการศาสนา แต่พระองค์ไม่ได้อยู่ในวังหรือในคณะนักการศาสนาใดๆ จึงเรียกได้ว่าพระองค์ไม่ได้รับการศึกษาในระดับสูง แต่พระวิญญาณของพระเจ้าสถิตอยู่กับพระองค์

สิ่งที่พระเจ้าทรงพอพระทัยในพระเยซูคริสต์ก็คือ การที่พระเยซูทรงดำเนินชีวิตตามพระประสงค์ของพระเจ้าทุกประการ และนั่นคือสิ่งที่บอกว่า “พระองค์ไม่มีบาปเลย”

ผมหวังว่าเรายังจำความหมายของคำว่า “บาป” ได้นะครับ คำว่าบาปที่พระคัมภีร์พูดถึง และที่คริสเตียนทุกคนต้องเข้าใจและตอบได้ ไม่ได้หมายถึงการฆ่าสัตว์ การโกหก การดื่มของมึนเมา ฯลฯ สิ่งเหล่านั้นเป็นเพียงปลายเหตุ เป็นเพียงผลของบาป แต่คำว่าบาปที่พระคัมภีร์พูดถึง หรือบาปในสายตาของพระเจ้าคือ “การกระทำใดๆที่ผิดไปจากพระประสงค์ของพระเจ้า” ผู้ที่ไม่เชื่อในพระเจ้าเมื่อรับรู้ถึงความหมายนี้มักจะไม่ยอมรับ มนุษย์ได้พยายามกำหนดมาตรฐานบางอย่างเพื่อจะบอกว่าสิ่งใดดี สิ่งใดไม่ดี แต่มาตรฐานเหล่านั้นก็ไม่สามารถใช้การได้ เพราะสิ่งเลวในสังคมหนึ่ง กลับเป็นสิ่งดีงามในอีกสังคมหนึ่ง

และสิ่งเดียวที่เป็นข้อสรุปตรงนี้คือ พระเจ้าทรงพอพระทัยเมื่อเรามีชีวิตที่ไม่มีบาป และนั่นคือศักดิ์ศรีที่พระเจ้าทรงมอบให้ เมื่อเราเป็นผู้ชอบธรรมในสายพระเนตรของพระองค์ ลองดู พระธรรมโรม 8:30 อีกครั้ง

ลองมาดูว่า การที่พระเยซูดำเนินชีวิตตามพระประสงค์ของพระเจ้าทุกประการนั้น เป็นอย่างไร เกิดอะไรขึ้นบ้างกับพระองค์ และเราทั้งหลายในฐานะบุตรของพระเจ้า ควรดำเนินตามนั้นเช่นกัน

ยอห์น 6:14-15
14เมื่อคนทั้งหลายได้เห็นหมายสำคัญซึ่งพระองค์ได้ทรงกระทำ เขาก็พูดกันว่า "แท้จริงท่านผู้นี้ เป็นผู้เผยพระวจนะนั้นที่ทรงกำหนดให้มาในโลก"
15เมื่อพระเยซู ทรงทราบว่าเขาทั้งหลายจะมาจับพระองค์ไปตั้งให้เป็นกษัตริย์ พระองค์ก็เสด็จไปที่ภูเขาอีกแต่ลำพัง


พระธรรมยอห์นที่อ่านไปนั้น เป็นเหตุการณ์ที่เกิดขึ้น หลังจากที่พระเยซูทรงเลี้ยงคนห้าพันคนด้วยขนมปังห้าก้อนกับปลาสองตัว ประชาชนเห็นหมายสำคัญ และพยายามจะตั้งพระเยซูให้เป็นกษัตริย์ แต่พระองค์ทรงหนีไปจากเขา เพราะนั่นไม่ใช่พระประสงค์ของพระเจ้าที่ให้พระองค์เข้ามาในโลก

หากมองด้วยความคิดของโลกนี้ เราอาจคิดเลยเถิดไปว่า พระเยซูพลาดโอกาสครั้งยิ่งใหญ่ เพราะหากพระองค์ได้ขึ้นเป็นกษัตริย์ พระองค์จะสามารถช่วยคนได้อย่างมากมาย ยิ่งพระองค์สามารถทำการอัศจรรย์รักษาคนป่วยได้ เรียกคนตายให้เป็นขึ้นได้ กองทัพของพระองค์จะไม่มีใครสู้ได้เลย แต่นั่นเป็นความคิดของมนุษย์ไม่ใช่ความคิดของพระเจ้า

การร่วมในศักดิ์ศรีกับพระเยซู บางครั้งเราอาจจะต้องสูญเสียโอกาสครั้งสำคัญในชีวิต ทำให้เรานึกเสียดายแทบขาดใจ แต่จงดูแบบอย่างของพระเยซูคริสต์ พระองค์ทรงทราบพระประสงค์ของพระเจ้า และดำเนินตามนั้นไป

แม้จะดูเหมือนสูญเสียโอกาสครั้งใหญ่ แต่พระองค์ก็เลือกที่จะดำเนินตามพระประสงค์ของพระเจ้า และนั่นคือศักดิ์ศรีของพระองค์ เราจะร่วมในศักดิ์ศรีอย่างนั้นไหม

มัทธิว 4:1-4
1ครั้งนั้น พระวิญญาณทรงนำพระเยซูเข้าไปในถิ่นทุรกันดาร เพื่อมารจะได้มาผจญ
2และพระองค์ทรงอดพระกระยาหารสี่สิบวันสี่สิบคืน ภายหลังพระองค์ก็ทรงอยากพระกระยาหาร
3ส่วนผู้ผจญมาหาพระองค์ทูลว่า "ถ้าท่านเป็นพระบุตรของพระเจ้า จงสั่งก้อนหินเหล่านี้ให้กลายเป็นพระกระยาหาร"
4ฝ่ายพระองค์ตรัสตอบว่า "มีพระคัมภีร์เขียนไว้ว่า "มนุษย์จะบำรุงชีวิตด้วยอาหารสิ่งเดียวหามิได้ แต่บำรุงด้วยพระวจนะทุกคำ ซึ่งออกมาจากพระโอษฐ์ของพระเจ้า


พระธรรมมัทธิวที่ได้อ่านไปเป็นเหตุการณ์ที่พระเยซูทรงถูกทดลองในถิ่นทุรกันดาร ในเวลานั้นพระองค์ทรงอดอาหาร 40 วัน เป็นการเข้าสู่สภาพที่ทุกข์ยากและอดอยากอย่างสาหัส และการทดลองแรกก็เกี่ยวกับปากท้อง ซึ่งเป็นเรื่องจำเป็นมากสำหรับชีวิตทุกยุคทุกสมัย พระเยซูได้สำแดงให้เห็นว่าสิ่งที่สำคัญยิ่งกว่าอาหารคือพระวจนะของพระเจ้า พระองค์ไม่ยอมให้ซาตานยั่วยวนพระองค์ด้วยเรื่องปากท้อง คริสเตียนก็ควรกระทำอย่างนั้นด้วยเมื่อมาถึงจุดที่เราต้องตัดสินใจเลือก ไม่ว่าจะต้องอดอยากเพียงใดจงเลือกที่จะรอการเลี้ยงดูของพระเจ้า เพราะเข้าใจถึงพระประสงค์แห่งการอดอยากนั้น

เฉลยธรรมบัญญัติ 8:3-4
3พระองค์ทรงกระทำให้ท่านถ่อมใจ และปล่อยท่านให้หิวและเลี้ยงท่านด้วยมานา ซึ่งท่านเองหรือปู่ย่าตายายของท่านก็ไม่ทราบว่าเป็นอะไร เพื่อพระองค์จะทรงกระทำให้ท่านตระหนักแก่ใจว่า มนุษย์จะบำรุงชีวิตด้วยอาหารสิ่งเดียวก็หามิได้ แต่มนุษย์จะมีชีวิตอยู่ได้ด้วยทุกสิ่งที่ออกมาจากพระโอษฐ์ของพระเจ้า
4ในเวลาสี่สิบปีนั้น เสื้อผ้าของท่านก็ไม่ขาดวิ่น และเท้าของท่านก็ไม่บวม


ผมนึกถึงภาพของสุนัขที่ได้รับการฝึกเป็นอย่างดี มันจะไม่ยอมกินอาหารจากผู้ใดนอกจากเจ้าของของมันเท่านั้น ดูแล้วอาจคิดว่าเป็นเรื่องโง่และอาจอดตายได้ แต่กรณีที่สุนัขตัวนั้นต้องทำหน้าที่ที่สำคัญมากๆ ศัตรูจะไม่สามารถใช้ยาเบื่อมาทำร้ายสุนัขตัวนั้นได้ หรือว่าเราอยากจะลองชิมยาเบื่อจากซาตาน

ไม่ว่าจะต้องอดอยากเพียงใดจงเลือกที่จะรอการเลี้ยงดูของพระเจ้า เพราะเข้าใจถึงพระประสงค์แห่งการอดอยากนั้น เราจะร่วมในศักดิ์ศรีอย่างนั้นไหม

มัทธิว 4:5-7
5แล้วมารก็นำพระองค์ไปยังนครบริสุทธิ์ และให้พระองค์ประทับที่ยอดหลังคาพระวิหาร
6แล้วทูลพระองค์ว่า "ถ้าท่านเป็นพระบุตรของพระเจ้า จงโจนลงไปเถิด เพราะพระคัมภีร์มีเขียนไว้ว่า พระเจ้าจะรับสั่งให้เหล่าทูตสวรรค์ของพระองค์รักษาท่าน และเหล่าทูตสวรรค์จะเอามือประคองชูท่านไว้ มิให้เท้าของท่านกระทบหิน
7พระเยซูจึงตรัสตอบว่า "พระคัมภีร์มีเขียนไว้อีกว่า อย่าทดลองพระองค์ผู้เป็นพระเจ้าของท่าน


เรื่องการทดลองในถิ่นทุรกันดารยังไม่หมด เรื่องที่สองซาตานได้นำพระเยซูไปยังยอดหลังคาพระวิหาร แล้วท้าทายพระองค์ในเรื่องความปลอดภัยต่อชีวิต ในครั้งนี้ซาตานได้ยกเอาพระวจนะของพระเจ้ามาเป็นเครื่องทดสอบพระเยซู มันเคยใช้วิธีนี้สำเร็จในการล่อลวงเอวา และมันคิดว่าจะสามารถล่อลวงพระเยซูได้สำเร็จด้วย และแน่นอนว่าซาตานจะใช้วิธีนั้นกับคริสเตียนเช่นกัน

อุบายของซาตานในครั้งนี้ คือการล่อให้เกิดความสงสัยในคำตรัสหรือในพระสัญญาของพระเจ้า สดุดีบทที่ 91 เป็นพระสัญญาของพระเจ้าที่จะปกป้องประชากรของพระองค์ และซาตานก็ได้ใช้คำสัญญานี้เพื่อสร้างความสงสัยในพระเจ้า เมื่อเกิดความสงสัย ก็จะเกิดความไม่แน่ใจตามมา และส่งผลไปถึงการไม่ไว้วางใจพระเจ้า ซึ่งนั่นก็คือการผิดไปจากพระประสงค์ของพระเจ้าที่ต้องการให้เราวางใจในพระองค์

สิ่งที่สร้างความสับสนสำหรับคนในยุควิทยาศาสตร์อย่างพวกเราคือคำว่า “อย่าทดลองพระองค์ผู้เป็นพระเจ้าของท่าน” เพราะสิ่งที่ดูเหมือนจะเป็นมาตรฐานทางความคิดของคนปัจจุบันคือ “ของแท้ต้องพิสูจน์ได้” ซึ่งก็พูดได้ไม่ผิด ในเมื่อเป็นของแท้จะกลัวการพิสูจน์ทำไม ถ้าพระเจ้าบอกว่าอย่าทดลอง หมายความว่าพระองค์กลัวการพิสูจน์หรือ คำตอบคือพระเจ้าไม่ได้กลัวการพิสูจน์ใดๆ แต่การที่พระเยซูได้ยกพระวจนะของพระเจ้าจากพระธรรมเฉลยธรรมบัญญัติ 6:16 มาตอบโต้กับซาตาน มีที่มาที่เราควรรู้

เมื่อสืบย้อนกลับไปจะพบว่า พระธรรมเฉลยธรรมบัญญัติ 6:16 ได้อ้างถึงเหตุการณ์ในพระธรรมอพยบบทที่ 17 เป็นเรื่องราวในขณะที่ชนชาติอิสราเอลกำลังเดินอยู่ในถิ่นทุรกันดาร เขาได้ผ่านเหตุการณ์ที่ยิ่งใหญ่ที่พระเจ้าได้ช่วยกู้เขาจากการเป็นทาสในอียิปต์มาแล้ว ทั้งภัยพิบัติ 10 ประการที่เกิดแก่ชาวอียิปต์ ทั้งการเดินข้ามทะเลแดง เสาเมฆเสาไฟที่นำหน้าเขา มานาที่พระเจ้าเลี้ยงดูเขา แต่วันนั้นพวกเขาหิวน้ำ แล้วก็เริ่มที่จะบ่นว่าท้าทายพระเจ้า ลองดูคำพูดของชาวอิสราเอลในเวลานั้นว่าเป็นอย่างไร

อพยบ 17:7
7โมเสสเรียกชื่อตำบลนั้นว่า มัสสาห์ {แปลว่า การทดลอง} และเมรีบาห์ {แปลว่า การต่อสู้กัน} ด้วยเหตุว่า คนอิสราเอลกล่าวหาตน ณ ที่นั้น และลองดีกับพระเจ้าว่า "พระเจ้าทรงสถิตอยู่ท่ามกลางพวกข้าพเจ้าจริงหรือ"


จะเห็นว่า แม้ชนชาติอิสราเอลได้มีประสพการณ์กับความยิ่งใหญ่ของพระเจ้ามามากมาย แต่ความวางใจในพระเจ้าไม่มีอยู่ในพวกอิสราเอลเลย พระเจ้าไม่ได้กลัวการพิสูจน์ใดๆ พระองค์ได้สำแดงให้เห็นแล้วว่าทรงช่วยได้โดยไม่ต้องมีใครมาท้าพิสูจน์ แต่ความวางใจในพระเจ้าที่ควรเกิดขึ้นในชนชาติอิสราเอลหายไปไหน

และนี่เป็นปัญหาที่จะเกิดขึ้นในการดำเนินชีวิตคริสเตียนด้วย ซาตานจะพยายามทำให้เราสงสัยในพระเจ้า และความไว้วางใจในพระเจ้าซึ่งควรจะมีอย่างเต็มเปี่ยมก็ถูกซาตานขโมยไป

แม้จะถูกทำให้สงสัยในพระเจ้าเรื่องความปลอดภัยในชีวิต พระเยซูคริสต์มิได้ตกหลุมพรางนั้น แต่ทรงยืนหยัดในความวางใจในพระเจ้า เราร่วมในศักดิ์ศรีอย่างนั้นไหม

มัทธิว 4:8-10
8อีกครั้งหนึ่งมารได้นำพระองค์ขึ้นไปบนภูเขาอันสูงยิ่งนัก และได้แสดงบรรดาราชอาณาจักรในโลก ทั้งความรุ่งเรืองของราชอาณาจักรเหล่านั้นให้พระองค์ทอดพระเนตร
9แล้วได้ทูลพระองค์ว่า "ถ้าท่านจะกราบลงนมัสการเรา เราจะให้สิ่งทั้งปวงเหล่านี้แก่ท่าน"
10พระเยซูจึงตรัสตอบว่า "อ้ายซาตาน จงไปเสียให้พ้น เพราะพระคัมภีร์มีเขียนไว้ว่า จงกราบนมัสการพระองค์ผู้เป็นพระเจ้าของท่าน และปรนนิบัติพระองค์แต่ผู้เดียว


ซาตานยังคงทดลองพระเยซูอีก ด้วยการนำเสนอสิ่งของสิ้นทั้งโลก แต่พระเยซูก็ไม่ทรงผิดพลาดไป เพราะพระองค์ทรงรู้ฐานะของพระองค์ดี ราชอาณาจักรของพระองค์ไม่ใช่บนแผ่นดินโลกที่ต้องเสื่อมสลายไป แต่ราชอาณาจักรของพระองค์นั้นนิรันดร์ในแผ่นดินสวรรค์

ซาตานกำลังใช้ “สิ่งของสิ้นทั้งโลก” ในการหลอกลวงคริสเตียนด้วย โดยข้อเสนอที่ง่ายมากคือ “เพียงท่านจะกราบนมัสการเรา” ดูเหมือนว่าเป็นข้อแลกเปลี่ยนที่น่าสนใจจริงๆ แต่พระเยซูเคยตรัสไว้ว่า “ถ้าผู้ใดจะได้สิ่งของสิ้นทั้งโลก แต่ต้องเสียชีวิตของตน ผู้นั้นจะได้ประโยชน์อะไร” ข้อแลกเปลี่ยนของซาตานนั้นเจ้าเล่ห์ เหมือนเงื่อนไขบางประการที่พิมพ์ไว้ตัวเล็กๆที่มุมกระดาษ ถ้าไม่สังเกตดีๆก็เสียท่า

คริสเตียนต้องไม่ลืมฐานะของเราที่พระเจ้าทรงประทานให้ คือเป็นบุตรของพระเจ้า เป็นทายาท ซึ่งจะได้รับส่วนในแผ่นดินสวรรค์ อะไรๆในโลกนี้เป็นสิ่งที่ต้องผุผัง และไม่มีอะไรสามารถติดตามเราไปได้เลยเมื่อเราจากโลกนี้ไป เรายอมเอาฐานะบุตรของพระเจ้าไปแลกอย่างนั้นหรือ

เราอาจบอกว่าเราไม่มีทางก้มกราบซาตานหรอก แค่มันโผล่หัวมา มีเขา หน้าตาหน้าเกลียด ตัวดำๆ ถือไม้สามง่าม มีหางเป็นลูกศร เห็นแค่นี้เราก็ไม่ยุ่งด้วยแล้ว ถ้าเราคิดอย่างนี้เราก็ตกหลุมพรางแล้ว ซาตานนั้นรูปงาม เฉลียวฉลาด และชวนให้ลุ่มหลงต่างหาก มันจะมาหาเราอย่างที่เราดูไม่ออกเลยถ้าเราไม่ติดสนิทกับพระเจ้า และการก้มกราบนั้นก็ไม่ใช่แค่การโก้งโค้งต่อหน้าใครบางคน แค่จิตใจที่หันออกจากการเชื่อฟังพระเจ้าก็คือการกราบซาตานแล้ว

พระเยซูตอกย้ำการดำเนินตามพระประสงค์ของพระเจ้า ด้วยการปฏิเสธสิ่งที่ไม่ใช่พระประสงค์ของพระเจ้าแม้จะเป็นสิ่งของสิ้นทั้งโลก เราเข้าร่วมในศักดิ์ศรีกับพระองค์หรือเปล่า

ยังมีเรื่องราวของพระเยซูอีกหลายประการที่ท้าทายเราว่า เราจะเข้าร่วมในศักดิ์ศรีกับพระองค์หรือไม่ ซึ่งคงไม่สามารถกล่าวถึงได้ทั้งหมดในวันนี้



Create Date : 14 มกราคม 2551
Last Update : 14 มกราคม 2551 11:45:26 น. 1 comments
Counter : 1323 Pageviews.  
 
 
 
 
มาเยี่ยมครับอาจารย์

 
 

โดย: =lord gary= IP: 58.8.220.216 วันที่: 15 มกราคม 2551 เวลา:22:22:26 น.  

Name
Opinion
*ใช้ code html ตกแต่งข้อความได้เฉพาะสมาชิก

ksk
 
Location :
ยะลา Thailand

[ดู Profile ทั้งหมด]

ฝากข้อความหลังไมค์
Rss Feed
Smember
ผู้ติดตามบล็อก : 10 คน [?]




ผมเป็นคริสเตียนครับ
เป็นชาวยะลา เกิดปัตตานี ลูกจีนไหหลำ
จบวิศวกรรมไฟฟ้า(ระบบควบคุม) จากพระจอมเกล้าพระนครเหนือ EL รุ่น 24 รหัส 31 (เคยเรียน ป.วส. IE ห้องอิเล็ก ที่ วทอ. 2 ปี รหัส 29 ห้องเดียวกับ ศิริ แว่น สมชาย สุกิตติ จั๊บ ไพบูลย์ จ่าบุญเลิศ ก่อนย้อนไปเริ่มต้นป.ตรี ปี 1 ใหม่กับรุ่นน้องในคณะวิศวฯ พูดง่ายๆว่า ซิ่ว 2 ปี)
ป.โท วิศวกรรมการบิน(Avionique) จาก SUPAERO
Toulouse FRANCE ปี 1994
เคยรับราชการเป็นอาจารย์ในคณะวิศวฯที่พระนครเหนือ 8 ปี ผลงานก็ไม่มีอะไรมาก KMITNB Robot Camp เป็นสิ่งที่ยังพอให้ภาคภูมิใจเมื่อมองกลับไปที่เทคโนฯ ด้วยความคิดถึง 14 ปี อันแสนหวานกับชีวิตในพระนครเหนือ(มิย.ปี 29 - มิย.ปี 43)
ตอนนี้ลาออกจากราชการ มาหากินด้วยลำแข้ง(ไม่ใช่เป็นนักมวยไทยนะ)
ที่จังหวัดยะลาบ้านเกิด ตั้งแต่มิถุนายน ปี Y2K
กำลังจะรุ่งเรืองแล้วเชียว 4 มกราคม 2547
สถานการณ์ไฟใต้ก็เริ่มขึ้น
สิ่งที่เคยคิดว่าสักวันหนึ่งจะต้องเกิด มันก็เกิด
และยาวมาจนถึงตอนนี้
ผมยังนึกไม่ออกมันจะจบลงแบบไหน free counter

free counter

New Comments
[Add ksk's blog to your web]

 
pantip.com pantipmarket.com pantown.com