ถ้าพระเจ้าไม่มีจริง คุณได้หรือเสียอะไร? แต่ถ้าพระเจ้ามีจริง คุณได้หรือเสียอะไร?

<<
กันยายน 2552
 12345
6789101112
13141516171819
20212223242526
27282930 
 
14 กันยายน 2552
 

ปลายทางของผู้เชื่อ

13 กันยายน 2009
คริสตจักร ยะลา

ยอห์น 17:24-26
24พระบิดาเจ้าข้า ข้าพระองค์ปรารถนาให้คนเหล่านั้น ที่พระองค์ได้ประทานให้แก่ข้าพระองค์ อยู่กับข้าพระองค์ ในที่ซึ่งข้าพระองค์อยู่นั้น เพื่อเขาจะได้เห็นความยิ่งใหญ่ของข้าพระองค์ ซึ่งพระองค์ได้ประทานแก่ข้าพระองค์ เพราะพระองค์ทรงรักข้าพระองค์ก่อนที่จะทรงสร้างโลก
25ข้าแต่พระบิดาผู้ทรงธรรม โลกนี้ไม่รู้จักพระองค์ แต่ข้าพระองค์รู้จักพระองค์ และคนเหล่านี้รู้ว่า พระองค์ทรงใช้ข้าพระองค์มา
26ข้าพระองค์ได้กระทำให้เขารู้จักพระนามของพระองค์ และจะกระทำให้เขารู้อีก เพื่อความรักที่พระองค์ได้ทรงรักข้าพระองค์ จะดำรงอยู่ในเขา ข้าพระองค์อยู่ในเขา"


อธิษฐาน
ข้าแต่พระบิดา ขอบพระคุณพระองค์สำหรับความรักของพระองค์ที่ทรงสำแดงผ่านมาทางพระเยซูคริสต์ ทำให้เราทั้งหลายผู้เป็นคนบาปได้กลับคืนดีกับพระเจ้า และเข้ามีส่วนในอาณาจักรของพระองค์ ขอบพระคุณพระเจ้าที่ปลายทางของเราทั้งหลายที่เชื่อวางใจในพระเยซูคริสต์ คือการได้อยู่ร่วมกับพระองค์ในแผ่นดินสวรรค์ ขอให้เรามีความชื่นชมยินดีกับความจริงที่พระเยซูได้ทรงเปิดให้เรารับรู้


วันนี้เรามาถึงช่วงสุดท้ายของพระธรรมยอห์น บทที่ 17 แล้ว เราได้ร่วมกันพิจารณาคำอธิษฐานของพระเยซูที่ทรงตรัสไว้ในบทนี้ ตลอดครึ่งปีที่ผ่านมา เมื่อเราได้รู้ว่าพระเยซูทรงเข้าใจความทุกข์ลำบากของเราเพียงใด ทรงห่วงใยเราเพียงใด และได้ทรงจัดเตรียมอะไรไว้เพื่อเรา ทรงแนะนำเราอย่างไร เชื่อว่าจะช่วยให้เรามีความหวังใจ มีเรี่ยวแรง มีกำลัง ในการยืนหยัดรักษาความเชื่อในท่ามกลางยุคสุดท้ายนี้

เมื่อคราวที่แล้ว เราได้พูดถึงข้อ 20-23 ผมจะขอทบทวนให้ดังนี้

ข้อที่ 20 พระเยซูได้ทรงเปิดเผยอย่างชัดเจนว่า คำอธิษฐานของพระองค์นั้น ไม่ได้เป็นไปเพียงเพื่อเหล่าสาวกคนสนิทจำนวนสิบเอ็ดคนเท่านั้น แต่กำลังอธิษฐานเผื่อพวกเราในเวลานี้ด้วย

สิ่งสำคัญที่สุดในการนำคนมาถึงความรอดในพระเยซู นั้นคือเราต้องนำให้เขามาถึงความไว้วางใจในพระเยซู ไม่ใช่นำมาถึงความสะดวกสบาย หรือนำมาถึงความสนุกสนาน หรือนำมาถึงการรักษาโรค หรือนำมาถึงการสังคมสงเคราะห์ หรือนำมาถึงสิ่งอื่นๆที่ไม่ใช่ “การวางใจในพระเยซู”

ข้อที่ 21 ความเป็นห่วงที่พระเยซูทรงมีต่อผู้เชื่อในทุกยุคสมัยก็คือ การที่ผู้เชื่อจะได้เป็นอันหนึ่งอันเดียวกัน โดยพระเยซูได้ทรงให้แบบอย่างของการเป็นอันหนึ่งอันเดียวกันไว้ว่า เป็นเหมือนที่พระบิดาทรงสถิตย์ในพระเยซู และพระเยซูอยู่ในพระบิดา

ความเป็นอันหนึ่งอันเดียวกันในลักษณะที่ว่านี้ เป็นอย่างไร เราสังเกตเห็นได้ 4 ประการ
- พระเยซูทรงสนิทสนมกับพระบิดา ผู้เชื่อก็เช่นกัน ควรมีโอกาสที่จะใช้เวลาด้วยกันในการสามัคคีธรรม ในการพูดคุย ในการอธิษฐาน เพื่อการสนิมสนมจะเกิดขึ้นในท่ามกลางผู้เชื่อทุกคน
- การเป็นอันหนึ่งอันเดียวกันในท่ามกลางผู้เชื่อนั้น ต้องประกอบไปด้วยความรัก ดังเช่นพระบิดาทรงรักพระบุตร และพระบุตรทรงรักพระบิดา
- พระเยซูไม่ทรงกระทำสิ่งใดตามอำเภอใจ ผู้เชื่อก็ควรแสดงออกอย่างนั้น คือไม่กระทำสิ่งใดตามอำเภอใจ แต่มีการหารือกัน มีการร่วมมือกัน
- พระเยซูทรงเชื่อฟังพระบิดาทุกประการ ในท่ามกลางผู้เชื่อนั้น การเป็นอันหนึ่งอันเดียวกันสามารถแสดงออกได้โดยการยอมรับฟังความคิดเห็น ยอมรับฟังเหตุผลของกันและกัน

ข้อที่ 22 พระเยซูทรงประทานเกียรติให้เราบรรดาผู้เชื่อ เพื่อให้ผู้เชื่อเป็นอันหนึ่งอันเดียวกัน เกียรติที่เราได้รับร่วมกับพระองค์ คือการทนทุกข์เพื่อพระนามของพระเยซู ตามปกติแล้ว ไม่มีใครอยากประสบความทุกข์ยากลำบาก แต่หลายๆครั้งเราก็พบว่า โดยความทุกข์ยากที่ผู้เชื่อต้องแบกรับร่วมกันนั้น ทำให้เกิดความเป็นอันหนึ่งอันเดียวกัน นอกจากนี้การทนทุกข์ก็เป็นการทดสอบชีวิตของเรา ซึ่งจะสำแดงหรือพิสูจน์ให้เห็นผลของชีวิตที่ถูกสร้างขึ้นใหม่แล้ว

วันนี้เราจะมาพิจารณาข้อที่ 24 -26

24พระบิดาเจ้าข้า ข้าพระองค์ปรารถนาให้คนเหล่านั้น ที่พระองค์ได้ประทานให้แก่ข้าพระองค์ อยู่กับข้าพระองค์ ในที่ซึ่งข้าพระองค์อยู่นั้น เพื่อเขาจะได้เห็นความยิ่งใหญ่ของข้าพระองค์ ซึ่งพระองค์ได้ประทานแก่ข้าพระองค์ เพราะพระองค์ทรงรักข้าพระองค์ก่อนที่จะทรงสร้างโลก
เมื่อเราอ่านข้อความในข้อที่ 24 นี้ เราคงจะมองไปถึงเหตุการณ์ที่น่าตื่นเต้นในอนาคต ที่เราจะได้ไปอยู่ในแผ่นดินสวรรค์ ร่วมกับพระเยซู ซึ่งก็ไม่ผิด เพราะเป็นพระสัญญาของพระเจ้าสำหรับผู้ที่เชื่อวางใจในพระเยซูคริสต์ เราจะได้อยู่กับพระองค์แน่ เราจะได้เห็นสง่าราศีอันรุ่งเรืองของพระเยซูในแผ่นดินสวรรค์แน่

แต่ผมอยากให้เราพิจารณาข้อที่ 24 นี้ในอีกมิติหนึ่งด้วย

ข้อความที่พระเยซูทรงตรัสว่า “อยู่กับข้าพระองค์ ในที่ซึ่งข้าพระองค์อยู่นั้น” ในภาษาอังกฤษใช้คำว่า “be with me where I am” เป็นประโยคในรูปแบบ “ปัจจุบัน” ซึ่งเป็นเรื่องที่เป็นจริงในทุกเวลา ไม่ใช่สิ่งที่เกิดขึ้นและจบไปแล้ว และไม่ใช่สิ่งที่ยังไม่เกิดขึ้น นั่นคือพระเยซูไม่เพียงปรารถนาให้ผู้เชื่อได้อยู่กับพระองค์ในแผ่นดินสวรรค์เท่านั้น แต่หมายถึงเวลาปัจจุบัน ในขณะที่ผู้เชื่อยังดำเนินชีวิตอยู่ในโลกนี้

พี่น้องจำได้ไหมครับ เมื่อ 2 ปีก่อน เรามีค่ายประจำปีในหัวข้อ “เดินกับพระเยซู” หลายท่านก็ประทับใจกับคำเทศนาในค่าย แม้ว่าจะไม่ตรงกับหัวข้อค่ายนัก แต่เราก็ได้เรียนรู้เรื่องราวการดำเนินชีวิตของบรรพบุรุษในพระคัมภีร์ ได้รับรู้เรื่องราวของวงศ์ตระกูลที่เดินติดตามพระเจ้า และเห็นความย่อยยับของวงศ์ตระกูลที่ไม่เดินติดตามพระเจ้า

ดังนั้น หากเราจะมองความหมายของข้อ 24 นี้ในมิติที่ว่า พระเยซูทรงปรารถนาที่จะให้เรามีส่วนร่วมกับพระองค์เสมอ ในทุกที่ ทุกเวลา ไม่ว่าพระองค์จะทรงกระทำพระราชกิจที่ไหน ก็จะมีเราติดสอยห้อยตาม พระองค์ไป หรือพูดอีกอย่างว่า เรากระทำกิจต่างๆร่วมกับพระองค์เสมอในทุกเรื่อง ทุกที่ ทุกเวลา

พูดถึงการที่จะต้องมีใครอยู่กับเราตลอดเวลา ทุกที่ทุกแห่ง ไม่ว่าจะไปไหนมาไหน ทำกิจธุระต่างๆนั้น เราจะมีความรู้สึกอย่างไร ความรู้สึกที่เกิดขึ้นอาจเป็นไปได้ 2 อย่าง
- ไม่สะดวกใจ เพราะบางครั้งสิ่งที่ทำนั้น เป็นสิ่งที่ไม่ต้องการให้มีใครรู้เห็น
- รู้สึกดี เพราะมีผู้คอยให้การช่วยเหลือ ให้การแนะนำ หรือให้การคุ้มครอง

สำหรับเรา หากพระเยซูทรงเรียกร้องให้เราอยู่ด้วยกับพระองค์ หรือมีพระองค์อยู่ด้วยกับเราในทุกที่ทุกเวลา เรามีความรู้สึกอย่างไร?

บางที ความรู้สึกที่เกิดขึ้นนี้ เป็นสิ่งที่ชี้ให้เราเห็นว่า เรากำลังดำเนินชีวิตอย่างเหมาะสมหรือไม่ !!

การดำเนินชีวิต โดยมีพระเยซูอยู่ด้วยในทุกที่ทุกเวลาดีอย่างไร?

เราควรจะมีความยินดีกับการที่เราได้อยู่กับพระเยซูในทุกที่ทุกเวลา เพราะเราจะได้เห็นความยิ่งใหญ่ ที่พระบิดาได้ทรงประทานให้ หากพี่น้องได้มีโอกาสอ่านหนังสือที่บันทึกเรื่องราวของผู้รับใช้พระเจ้าที่เดินกับพระเยซูด้วยความเชื่อ เราจะเห็นได้ชัดว่า พระเยซูทรงกระทำสิ่งที่ยิ่งใหญ่ให้เขาได้ประจักษ์แก่ตาเสมอ ในเรื่องที่ดูเหมือนไม่มีหนทาง ในเรื่องที่ดูเหมือนว่าเป็นไปไม่ได้ แต่พระเยซูได้ทรงกระทำให้เขาเห็นว่า ความยิ่งใหญ่ของพระเจ้าที่ทรงประทานให้นั้นเป็นอย่างไร

เราจะได้รับประสพการณ์อย่างเดียวกันนั้น หากเราอยู่กับพระเยซูในทุกที่ ทุกเวลา


25ข้าแต่พระบิดาผู้ทรงธรรม โลกนี้ไม่รู้จักพระองค์ แต่ข้าพระองค์รู้จักพระองค์ และคนเหล่านี้รู้ว่า พระองค์ทรงใช้ข้าพระองค์มา

ทำไมโลกนี้จึงไม่รู้จักพระเจ้าผู้ทรงธรรม คำว่าโลกนี้ หมายถึงผู้คนทุกชาติ ทุกภาษา ทุกวัฒนธรรม ที่อาศัยในโลก เขาไม่รู้จักพระเจ้าผู้ทรงธรรม อาจมีคนจำนวนหนึ่งพยายามที่จะรู้จักพระเจ้า แต่ก็ไม่สามารถรู้จักพระเจ้าได้ อาจมีคนจำนวนหนึ่งที่รู้สึกถึงความผิดบาป ความอธรรมที่เขาพยายามดิ้นรนหนีให้พ้น แต่ก็ไม่สามารถทำได้

1 โครินธ์ 1:21
21เพราะตามที่ทรงกำหนดไว้ตามพระสติปัญญาของพระเจ้า โลกไม่รู้จักพระเจ้าได้โดยปัญญาของตน พระเจ้าจึงทรงโปรดช่วยคนที่เชื่อให้รอดโดยคำเทศนาเรื่องโง่ๆ
22พวกยิวขอเห็นนิมิต และพวกกรีกเสาะหาปัญญา
23แต่พวกเราประกาศเรื่องพระคริสต์ผู้ทรงถูกตรึงที่กางเขนนั้น อันเป็นสิ่งที่ให้พวกยิวสะดุด และให้พวกต่างชาติถือว่าเป็นเรื่องโง่
24แต่สำหรับผู้ที่พระเจ้าทรงเรียกนั้น ทั้งพวกยิวและพวกกรีก ต่างถือว่า พระคริสต์ทรงเป็นฤทธานุภาพและพระปัญญาของพระเจ้า


นี่คือสิ่งสำคัญในการประกาศข่าวประเสริฐแห่งความรอดที่เราต้องไม่ลืม การที่คนคนหนึ่งจะรู้จักพระเจ้าได้ ก็โดยทางพระเยซูคริสต์เท่านั้น การนำคนให้มาถึงความรอดที่พระเจ้าจัดเตรียมไว้ให้ มีหนทางเดียวคือให้เขาได้มารู้จักกับพระเยซูคริสต์เท่านั้น


26ข้าพระองค์ได้กระทำให้เขารู้จักพระนามของพระองค์ และจะกระทำให้เขารู้อีก เพื่อความรักที่พระองค์ได้ทรงรักข้าพระองค์ จะดำรงอยู่ในเขา ข้าพระองค์อยู่ในเขา"

การรู้จักพระนามของพระเจ้านั้นสำคัญอย่างไร?

สำหรับเราทั้งหลายที่เป็นมนุษย์ ชื่อของเราอาจไม่ค่อยสัมพันธ์กับความเป็นจริงสักเท่าไร บางคนชื่อนายสมบูรณ์ แต่ตัวจริงผอมแห้งแรงน้อย บางคนชื่อนางสาวโฉมสคราญ ซึ่งคงจะแปลว่าสวยอย่างบาดใจ แต่ตัวจริงอาจสวยกว่าที่คาดไว้

แต่พระนามของพระเจ้านั้นมีความหมาย เพราะเป็นการสำแดงให้เราได้รู้ถึงพระลักษณะของพระเจ้า ดังที่ผมได้เคยแบ่งปันไว้แล้วในช่วงต้นของบทนี้ ว่าเราควรจะให้คนทั้งปวงได้รู้จักพระเจ้าของเราโดยการที่เราสำแดงพระนามอันยิ่งใหญ่ของพระเจ้านั้นให้ปรากฏชัดในชีวิตของเรา

ตัวอย่างเช่น ในเมื่อพระเจ้าของเราทรงพระนามว่า พระเจ้าผู้ชอบธรรม พระเยซูได้ทรงสำแดงให้เราเห็นว่า พระเจ้าผู้ชอบธรรมนั้นเป็นอย่างไร โดยผ่านทางชีวิตของพระเยซู เราเองเมื่อจะให้คนทั้งปวงเห็นพระเจ้าของเรา ก็จงให้คนทั้งปวงได้เห็น พระเจ้าผู้ชอบธรรม ปรากฏผ่านชีวิตของเราด้วย

พระนามของพระเจ้านั้นมีหลายพระนาม ผมท้าทายให้เราได้ค้นหาดูโดยการอ่านพระวจนะของพระเจ้าทุกวัน เพื่อว่าเราจะรู้ว่าพระเจ้าของเรานั้นทรงพระนามว่าอย่างไร และเราจะดำเนินชีวิตที่สำแดงพระนามนั้น

พระเยซูทรงให้ความสำคัญกับการทำให้เรารู้จักพระนามของพระเจ้า เพราะแม้เรารู้บ้างแล้ว แต่พระเยซูยังไม่หยุด แต่จะทรงกระทำให้เรารู้อีก ทั้งนี้เพื่อให้ความรักของพระเจ้าดำรงจะอยู่ในบรรดาผู้เชื่อวางใจในพระเยซู

ประโยคสุดท้าย เป็นการตอบคำถามที่ว่า ปัจจุบันนี้พระเยซูอยู่ที่ไหน?

พระเยซูทรงอยู่ในผู้เชื่อทุกคน เรื่องนี้บางคนพยายามอธิบายว่า เมื่อคริสเตียนดำเนินชีวิตติดสนิทกับพระเจ้า มีวิถีชีวิตเหมือนพระเยซู ประพฤติปฏิบัติเหมือนพระเยซู ก็ทำให้มองได้เหมือนกับว่า คนนั้นมีพระเยซูอยู่ภายใน แต่ผมรู้สึกว่า เป็นคำอธิบายที่ทำให้ฤทธานุภาพของพระเยซูหายไปหมด เพราะมันคล้ายกับว่า นักฟุตบอลหน้าใหม่คนหนึ่ง ประทับใจนักฟุตบอลที่ชื่อโรนัลโด้มาก ทำให้เขาฝึกฝนวิธีการเล่นตามแบบของโรนัลโด้อย่างจริงจัง จนกระทั่งสามารถเล่นฟุตบอลได้เหมือนกับโรนัลโด้ในทุกๆลีลา แต่ในความเป็นจริง โรนัลโด้ไม่ได้อยู่ในตัวของนักฟุตบอลหน้าใหม่คนนั้น แม้คนจะชื่นชมว่า เขาเล่นได้ดีมากจนเหมือนกับมีโรนัลโด้มาเข้าสิง

การที่พระเยซูอยู่ในผู้เชื่อนั้น สามารถสังเกตได้โดยดูการประำพฤติ การกระทำ หรือวิถีชีวิตของผู้เชื่อ ก็ถูกต้องแล้ว แต่ที่สำคัญด้วยคือ ฤทธิ์เดชของพระเยซู จะปรากฏในชีวิตของเขาด้วย เพราะพระเยซูทรงอยู่ด้วยจริงๆ ผมไม่ได้หมายความว่า ทุกวันเขาจะต้องกระทำการอัศจรรย์เหมือนกับที่พระเยซูกระทำในพระคัมภีร์ แต่หมายความว่าการงานทุกอย่างที่ผู้เชื่อกระทำนั้น เป็นพระเยซูเองที่ทรงกระทำการงานนั้นผ่านทางเขา ดังนั้นหากเป็นการงานที่ต้องทำด้วยการอัศจรรย์ มันก็จะเป็นการอัศจรรย์ที่พระเยซูทรงกระทำผ่านทางเขา และหากเป็นงานธรรมดาๆที่ไม่จำเป็นต้องเป็นการอัศจรรย์พิเศษใดๆ ก็ยังคงเป็นการกระทำงานของพระเยซูผ่านทางผู้เชื่อคนนั้นเช่นกัน


Create Date : 14 กันยายน 2552
Last Update : 14 กันยายน 2552 7:54:57 น. 2 comments
Counter : 796 Pageviews.  
 
 
 
 
พระเจ้าอวยพรคะ อาเมน
 
 

โดย: lovelylk วันที่: 14 กันยายน 2552 เวลา:12:33:28 น.  

 
 
 
เอิ๊ก ๆ สวัสดีครับอาจารย์ ^ ^

ห้องหลักยังเป็นแบบนี้อยู่ ยังมีแต่การเมือง ยังมีแต่เหลืองตีกับแดง ยังมีแต่อคติกันอยู่ ผมก็ไม่รู้จะเล่นทำไมล่ะครับอาจารย์ เฮ้อออ
 
 

โดย: Skyman (Analayo ) วันที่: 17 กันยายน 2552 เวลา:22:05:58 น.  

Name
Opinion
*ใช้ code html ตกแต่งข้อความได้เฉพาะสมาชิก

ksk
 
Location :
ยะลา Thailand

[ดู Profile ทั้งหมด]

ฝากข้อความหลังไมค์
Rss Feed
Smember
ผู้ติดตามบล็อก : 10 คน [?]




ผมเป็นคริสเตียนครับ
เป็นชาวยะลา เกิดปัตตานี ลูกจีนไหหลำ
จบวิศวกรรมไฟฟ้า(ระบบควบคุม) จากพระจอมเกล้าพระนครเหนือ EL รุ่น 24 รหัส 31 (เคยเรียน ป.วส. IE ห้องอิเล็ก ที่ วทอ. 2 ปี รหัส 29 ห้องเดียวกับ ศิริ แว่น สมชาย สุกิตติ จั๊บ ไพบูลย์ จ่าบุญเลิศ ก่อนย้อนไปเริ่มต้นป.ตรี ปี 1 ใหม่กับรุ่นน้องในคณะวิศวฯ พูดง่ายๆว่า ซิ่ว 2 ปี)
ป.โท วิศวกรรมการบิน(Avionique) จาก SUPAERO
Toulouse FRANCE ปี 1994
เคยรับราชการเป็นอาจารย์ในคณะวิศวฯที่พระนครเหนือ 8 ปี ผลงานก็ไม่มีอะไรมาก KMITNB Robot Camp เป็นสิ่งที่ยังพอให้ภาคภูมิใจเมื่อมองกลับไปที่เทคโนฯ ด้วยความคิดถึง 14 ปี อันแสนหวานกับชีวิตในพระนครเหนือ(มิย.ปี 29 - มิย.ปี 43)
ตอนนี้ลาออกจากราชการ มาหากินด้วยลำแข้ง(ไม่ใช่เป็นนักมวยไทยนะ)
ที่จังหวัดยะลาบ้านเกิด ตั้งแต่มิถุนายน ปี Y2K
กำลังจะรุ่งเรืองแล้วเชียว 4 มกราคม 2547
สถานการณ์ไฟใต้ก็เริ่มขึ้น
สิ่งที่เคยคิดว่าสักวันหนึ่งจะต้องเกิด มันก็เกิด
และยาวมาจนถึงตอนนี้
ผมยังนึกไม่ออกมันจะจบลงแบบไหน free counter

free counter

New Comments
[Add ksk's blog to your web]

 
pantip.com pantipmarket.com pantown.com