ถ้าพระเจ้าไม่มีจริง คุณได้หรือเสียอะไร? แต่ถ้าพระเจ้ามีจริง คุณได้หรือเสียอะไร?

 
มกราคม 2550
 123456
78910111213
14151617181920
21222324252627
28293031 
 
25 มกราคม 2550
 

ยำเกรงพระเจ้า

17 กันยายน 2006
คริสตจักร ยะลา

ปฐมกาล 22:1-18
1ต่อมาพระเจ้าทรงลองใจอับราฮัม และตรัสกับท่านว่า "อับราฮัม" ท่านทูลว่า "พระเจ้าข้า" 2พระองค์ตรัสว่า "จงพาบุตรของเจ้าคืออิสอัค บุตรคนเดียวของเจ้าผู้ที่เจ้ารัก ไปยังแคว้นโมริยาห์ และถวายเขาที่นั่นเป็นเครื่องเผาบูชา บนภูเขาลูกหนึ่งซึ่งเราจะบอกแก่เจ้า" 3อับราฮัมจึงลุกขึ้นแต่เช้ามืด ผูกอานลาของท่านพาคนใช้หนุ่มไปกับท่านด้วยสองคนกับอิสอัคบุตรของท่าน ท่านตัดฟืนสำหรับเครื่องเผาบูชา เดินทางไปยังที่ซึ่งพระเจ้าทรงบอกแก่ท่าน 4พอถึงวันที่สามอับราฮัมเงยหน้าขึ้นแลเห็นที่นั้นแต่ไกล 5อับราฮัมจึงพูดกับคนใช้ของท่านว่า "อยู่กับลาที่นี่เถิด เรากับลูกจะเดินไปที่โน้นนมัสการพระ แล้วจะกลับมาพบเจ้า" 6อับราฮัมเอาฟืนสำหรับเครื่องเผาบูชาใส่บ่าอิสอัคบุตรชาย ถือไฟและมีดแล้วพ่อลูกไปด้วยกัน 7อิสอัคพูดกับอับราฮัมบิดาว่า "คุณพ่อ" และท่านตอบว่า "ลูกเอ๋ย มีอะไรรึ" ลูกจึงว่า "นี่ไฟและฟืน แต่ลูกแกะสำหรับเครื่องเผาบูชาอยู่ที่ไหน" 8อับราฮัมตอบว่า "ลูกเอ๋ย พระเจ้าจะทรงจัดหาลูกแกะสำหรับพระองค์เองเป็นเครื่องเผาบูชา" พ่อลูกทั้งสองก็เดินต่อไปด้วยกัน 9เมื่อเขาทั้งสองมาถึงที่ซึ่งพระเจ้าตรัสบอกเขาไว้ อับราฮัมก็สร้างแท่นบูชาที่นั่น เรียงฟืนเป็นระเบียบ แล้วมัดอิสอัคบุตรชายวางไว้บนแท่นบูชาบนฟืน 10แล้วอับราฮัมก็ยื่นมือจับมีดจะฆ่าบุตรชาย 11แต่ทูตของพระเจ้าเรียกเขาจากฟ้าสวรรค์ว่า "อับราฮัม อับราฮัม" และท่านตอบว่า "พระเจ้าข้า" 12ทูตสวรรค์ว่า "อย่าแตะต้องเด็กนั้นหรือกระทำอะไรเขาเลย เพราะบัดนี้เรารู้แล้วว่าเจ้ายำเกรงพระเจ้า ด้วยเห็นว่าเจ้ามิได้หวงบุตรชายของเจ้า แต่ยอมถวายบุตรชายคนเดียวของเจ้าให้เรา" 13อับราฮัมเงยหน้าขึ้นมองดู เห็นข้างหลังท่านมีแกะผู้ตัวหนึ่ง เขาของมันติดอยู่ในพุ่มไม้ทึบ อับราฮัมก็ไปจับแกะตัวนั้นมาถวายเป็นเครื่องเผาบูชาแทนบุตรชาย 14อับราฮัมจึงเรียกสถานที่นั้นว่า เยโฮวาห์ยิเรห์ {แปลว่า พระเจ้าจะทรงจัดหาไว้ให้} อย่างที่เขาพูดกันทุกวันนี้ว่า "จะจัดไว้บนภูเขาของพระเยโฮวาห์" 15ทูตของพระเจ้าเรียกอับราฮัมครั้งที่สองมาจากฟ้าสวรรค์ว่า 16"พระเจ้าตรัสว่า เราปฏิญาณในนามของเราว่า เพราะเจ้ากระทำอย่างนี้และมิได้หวงบุตรชายของเจ้า คือบุตรชายคนเดียวของเจ้า 17เราจะอวยพรเจ้าแน่ เราจะทวีเชื้อสายของเจ้าให้มากขึ้น ดังดวงดาวในท้องฟ้า และดังเม็ดทรายบนฝั่งทะเล เชื้อสายของเจ้าจะได้ประตูเมืองศัตรูของเจ้าเป็นกรรมสิทธิ์ 18ประชาชาติทั้งหลายทั่วโลกจะได้พรเพราะเชื้อสายของเจ้า เหตุว่าเจ้าฟังเสียงของเรา"

คำว่า “ยำเกรงพระเจ้า” เป็นคำหนึ่งที่เราพบได้บ่อยครั้งในพระคัมภีร์ ทั้งภาคพันธสัญญาเดิมและภาคพันธสัญญาใหม่ ถ้าเราได้อ่านพระคัมภีร์
และเรายังได้ยินคำสอน คำตักเตือน รวมถึงคำหนุนน้ำใจ โดยการใช้คำว่า “ยำเกรงพระเจ้า” อีกบ่อยครั้ง ถ้าเราเข้าร่วมสามัคคีธรรมกับพี่น้องคริสเตียน
แต่ปัญหาคือเราเองมีประสพการณ์ในการมีชีวิตที่ยำเกรงพระเจ้าบ่อยแค่ไหน?
ความจริงแล้วควรถามก่อนว่าเรามีความเข้าใจอย่างไรกับคำว่า “ยำเกรงพระเจ้า” เพราะถ้าหากยังเข้าใจไม่ถูก จะสามารถประพฤติถูกได้อย่างไร

อธิษฐาน
ขอพระเจ้าทรงเมตตาเราทุกคนที่นี่ ให้เราทุกคนได้รับการเปิดเผยจากพระเจ้าถึงสิ่งที่เป็นน้ำพระทัยของพระเจ้า เพื่อเราจะดำเนินไปตามนั้น ขอให้เราได้อยู่ในพระเยซูคริสต์และพระเยซูคริสต์ทรงอยู่ในเรา ขอทรงชำระเราให้สะอาด ขอพระองค์ทรงนำสิ่งที่ไม่เป็นของพระองค์ออกไปจากชีวิตของเรา ให้เราเป็นคนที่ยำเกรงพระเจ้า และหลีกหนีเสียจากความชั่วร้ายทั้งมวล ขอทรงเจิมเราด้วยฤทธิ์พระวิญญาณบริสุทธิ์ของพระองค์ เพื่อเราจะมีฤทธิ์เดชของพระองค์ในการดำเนินชีวิต


การที่จะพยายามเข้าใจความหมายของการยำเกรงพระเจ้านั้น อาจทำได้หลากหลายวิธี เช่นการมองหาคำอธิบายความหมายของคำๆนี้จากพจนานุกรม การเปรียบเทียบความหมายของคำจากพระคัมภีร์ในภาษาต่างๆ บ้างก็ว่าภาษาจีนให้ความหมายลึกกว่าภาษาไทย บ้างก็ว่าฉบับไทยแปลเก่า ให้ความหมายดีกว่าฉบับแปลใหม่ หรือจากการสรรหาตัวอย่างเปรียบเทียบจากเรื่องรอบตัว
แต่วันนี้ผมอยากให้เราได้ลองพิจารณาดูตัวอย่างจากพระคัมภีร์เป็นหลัก เพื่อให้เข้าใจความหมายของคำนี้ อย่างที่พระเจ้าประสงค์ให้เราเป็นผู้ที่ยำเกรงพระองค์

จากตัวอย่างของอับราฮัมใน ปฐมกาล 22:12 ได้อธิบายให้เห็นภาพแรกของการยำเกรงพระเจ้า ซึ่งอับราฮัมได้แสดงออก นั่นคือการ “ไม่หวงสิ่งใดไว้จากพระเจ้า”

12ทูตสวรรค์ว่า "อย่าแตะต้องเด็กนั้นหรือกระทำอะไรเขาเลย เพราะบัดนี้เรารู้แล้วว่าเจ้ายำเกรงพระเจ้า ด้วยเห็นว่าเจ้ามิได้หวงบุตรชายของเจ้า แต่ยอมถวายบุตรชายคนเดียวของเจ้าให้เรา"

พระคัมภีร์ตอนนี้ได้สำแดงให้เห็นว่า พระพรมากมายได้มาถึงประชาชาติในโลกโดยผ่านอับราฮัมได้อย่างไร ก็คือเมื่ออับราฮัมไม่หวงบุตรคนเดียวต่อพระเจ้า พระเจ้าก็ได้ทรงประทานพระบุตรองค์เดียวของพระเจ้าเช่นกัน คำถามที่น่าสนใจคือ เรายังหวงสิ่งใดไว้จากพระเจ้าหรือไม่ ?

ในพระคัมภีร์ภาคพันธสัญญาเดิม นอกจากเรื่องของอับราฮัมที่เราได้อ่านไปแล้วเมื่อสักครู่ ยังมีเรื่องราวของบุคคลอื่นๆอีกที่พระคัมภีร์ได้ระบุไว้ว่า เป็นลักษณะของชีวิตที่ยำเกรงพระเจ้า
อพยพ 1:15-17
15ฝ่ายกษัตริย์อียิปต์ทรงรับสั่งนางผดุงครรภ์ชาวฮีบรูคนหนึ่งชื่อชิฟราห์อีกคนหนึ่งชื่อปูอาห์ 16ว่า "เมื่อเจ้าไปทำการคลอดให้แก่หญิงฮีบรูเห็นเด็กคลอด ถ้าเป็นเด็กชายก็ให้ฆ่าเสีย ถ้าเป็นเด็กหญิงก็ให้ไว้ชีวิต" 17แต่นางผดุงครรภ์ยำเกรงพระเจ้า จึงมิได้ทำตามพระบัญชาของกษัตริย์อียิปต์ ปล่อยให้บุตรชายรอดชีวิต

นางผดุงครรภ์ 2 คนนี้ยำเกรงพระเจ้าอย่างไร ถ้าจะบอกว่าโดยไม่ฝ่าฝืนธรรมบัญญัติ เพราะธรรมบัญญัติบอกว่า อย่าฆ่าคน ก็คงฟังดูแปลกๆ เพราะธรรมบัญญัตินั้น พระเจ้าประทานให้เมื่ออิสราเอลอพยพออกจากอียิปต์แล้ว โดยการนำของโมเสส แต่นี่เป็นเรื่องที่เกิดขึ้นตอนที่โมเสสกำลังจะเกิด แล้วอย่างไรล่ะ

โรม 2:14-16
14เมื่อชนต่างชาติซึ่งไม่มีธรรมบัญญัติได้ประพฤติตามธรรมบัญญัติโดยปกติวิสัย คนเหล่านั้นแม้ไม่มีธรรมบัญญัติก็เป็นธรรมบัญญัติให้ตัวเอง แม้ว่าเขาจะไม่มีธรรมบัญญัติก็ตาม 15เขาแสดงให้เห็นว่าหลักความประพฤติที่เป็นตามธรรมบัญญัตินั้นมีจารึกอยู่ในจิตใจของเขา และใจสำนึกผิดชอบก็เป็นพยานของเขาด้วย ความคิดขัดแย้งต่างๆของเขานั้นแหละจะกล่าวโทษตัวเขา หรืออาจจะแก้ตัวให้เขา 16ในวันที่พระเจ้าทรงพิพากษาความลับของมนุษย์โดยพระเยซูคริสต์ ทั้งนี้ตามข่าวประเสริฐที่ข้าพเจ้าได้ประกาศนั้น

อาจเรียกได้ว่า ความยำเกรงพระเจ้า สำแดงออกโดย “มโนธรรมที่พระเจ้าใส่ไว้ในใจ” ไม่จำเป็นต้องอ้างธรรมบัญญัติว่า ไม่มีข้อห้ามในเรื่องโน้นเรื่องนี้ แต่มโนธรรมนั้นเองจะเป็นสิ่งที่ฟ้องร้องต่อพระพักตร์พระเจ้า คำถามที่น่าสนใจคือ เราเคยคิดซอกแซกในใจ หาข้ออ้าง เพื่อจะทำให้สามารถทำสิ่งที่ไม่สู้ดีให้ดูดี เพื่อจะไม่รู้สึกผิด หรือไม่?

อพยพ 18:17-22
17ฝ่ายพ่อตาของโมเสสจึงกล่าวแก่ท่านว่า "ท่านทำอย่างนี้ไม่ดี 18ทั้งท่านและประชาชนที่มาหาท่านนั้นคงจะอ่อนระอาใจ เพราะภาระอันหนักนี้เหลือกำลังของท่าน ท่านไม่สามารถที่จะทำแต่ผู้เดียวได้ 19ฟังเราบ้าง เราจะให้คำแนะนำแก่ท่าน และขอให้พระเจ้าทรงสถิตอยู่กับท่าน ท่านจงเป็นผู้แทนของประชาชนต่อพระเจ้า นำความกราบทูลพระเจ้า 20ท่านจงสั่งสอนเขาให้รู้กฎเกณฑ์ และข้อตัดสินและแสดงให้เขารู้จักทางที่เขาต้องดำเนินชีวิตและสิ่งที่ต้องปฏิบัติ 21ยิ่งกว่านั้น ท่านจงเลือกคนที่สามารถจากพวกประชาชน คือคนที่ยำเกรงพระเจ้าไว้ใจได้ และไม่กินสินบน แต่งตั้งคนอย่างนี้ไว้เป็นผู้ปกครองคนพันคนบ้าง ร้อยคนบ้าง ห้าสิบคนบ้าง สิบคนบ้าง
22ให้เขาพิพากษาความของประชาชนอยู่เสมอ ส่วนคดีใหญ่ๆก็ให้เขานำมาแจ้งต่อท่าน แต่คดีเล็กๆน้อยๆให้เขาตัดสินเอง การงานของท่านจะเบาลง และพวกเขาจะแบกภาระร่วมกับท่าน

จากข้อที่อ่านไปนี้ เห็นว่าคุณสมบัติอย่างหนึ่งของผู้ที่ยำเกรงพระเจ้าคือ “เป็นผู้ที่ไว้ใจได้” ซึ่งผู้ที่มีคุณสมบัติดังกล่าว พระคัมภีร์ได้แนะนำว่าเป็นผู้สมควรถูกเลือกใช้ในการดูแลประชากรของพระเจ้า คำว่าไว้ใจได้ในที่นี้คงไม่ได้หมายความเพียงไว้ใจได้ต่อหน้ามนุษย์ แต่เป็น “ผู้ที่พระเจ้าทรงไว้ใจได้” คำถามที่น่าสนใจคือ เราเป็นคนที่พระเจ้าทรงไว้ใจได้หรือเปล่า ?
เลวีนิติ 19:14-15
14เจ้าอย่าแช่งคนหูหนวก หรือวางของให้คนตาบอดสะดุด แต่เจ้าจงยำเกรงพระเจ้าของเจ้า เราคือพระเจ้า 15"เจ้าอย่าพิพากษาด้วยความอยุติธรรม เจ้าอย่าลำเอียงเข้าข้างคนจนหรือเห็นแก่หน้าผู้เป็นใหญ่ แต่เจ้าจงพิพากษาเพื่อนบ้านของเจ้าด้วยความชอบธรรม

ข้อนี้เป็นอีกข้อที่ขยายความถึงความหมายของการ “เป็นผู้ที่ไว้ใจได้”

แท้จริงแล้วคำว่า “ยำเกรงพระเจ้า” นั้น มีความหมายอีกอย่างคือการ “เกรงกลัวพระเจ้า” การแปลโดยใช้คำที่นุ่มนวลกว่า อาจทำให้ข้อความไพเราะน่าฟัง แต่บางครั้งก็ทำให้ “สูญเสียน้ำหนัก” ของพระวจนะด้วยเช่นกัน

โยบ 1:1
1มีชายคนหนึ่งในแผ่นดินอูส ชื่อโยบ ชายคนนั้นเป็นคนดีรอบคอบและเที่ยงธรรม เป็นผู้เกรงกลัวพระเจ้าและหันเสียจากความชั่วร้าย

โยบ เป็นบุคคลผู้หนึ่งในพระคัมภร์เดิมที่เรารู้จักเป็นอย่างดี สิ่งที่พระคัมภีร์ระบุไว้คือโยบเป็น “ผู้ที่เกรงกลัวพระเจ้า และหันเสียจากความชั่วร้าย” ซึ่งก็คือความหมายเดียวกับยำเกรงพระเจ้า แต่คำว่าเกรงกลัวพระเจ้าให้ภาพที่แจ่มชัดขึ้นมาก

ทำไมจึงควรให้ความสนใจความหมายของคำว่า “ยำเกรงพระเจ้า” ในแง่ของการ “เกรงกลัวพระเจ้า”

หากเราอ่านพระคัมภีร์บ้าง เราจะเห็นพระลักษณะของพระเจ้าผู้ยิ่งใหญ่ที่เราติดตามนั้น ทรงเปี่ยมด้วยความเมตตา ทรงให้การช่วยเหลือ ทรงตอบคำอธิษฐาน ทรงปกป้องคุ้มครอง ทรงประทานการเลี้ยงดู และ ฯลฯ แต่ขณะเดียวกันทรงเข้มงวดและไม่ประนีประนอมต่อบาป และทรงลงโทษอย่างจริงจังด้วย

หากเรามีภาพของพระเจ้าในด้านของความเมตตาอย่างเดียว ผมคิดว่าเราจะดำเนินชีวิตคริสเตียนที่สมบูรณ์ไม่ได้ เพราะเราอาจมองหาแต่ “ของหวาน” จากการดำเนินชีวิตคริสเตียนเท่านั้น ซึ่งไม่ต่างกับชาวโลกทั่วไปที่ติดสอยห้อยตามพระของเขาเพราะหวังแต่การได้ความพึงพอใจจากพระเหล่านั้น สักวันหนึ่งหากพระที่เขาติดตามนั้นไม่ได้ให้ตามที่เขาปรารถนา เขาก็จะเปลี่ยนไปหาความพึงพอใจจากพระอื่นๆต่อ เรากำลังมีพฤติกรรมเดียวกันกับเขาเหล่านั้นหรือเปล่า

ลองดูชีวิตของโยบ แม้ว่าจะสูญเสียสิ่งที่มีอยู่หมด แต่การเกรงกลัวพระเจ้าของเขาได้ปกป้องชีวิตเขาไว้จากการทำบาปด้วยการแช่งด่าพระเจ้า คำถามที่น่าสนใจคือ เรารับรู้พระลักษณะของพระเจ้าในด้านความเข้มงวดต่อความบาปมากน้อยแค่ไหน ?
สดุดี 34:9-22
9ท่านวิสุทธิชนทั้งหลายของพระองค์ จงยำเกรงพระเจ้าเพราะผู้ที่ยำเกรงพระองค์ไม่ขาดแคลน 10เหล่าสิงห์หนุ่มยังขาดแคลนและหิวโหย แต่บรรดาผู้ที่แสวงพระเจ้า ไม่ขาดของดีใดๆ 11บุตรชายทั้งหลายเอ๋ย มาเถิด มาฟังเรา เราจะสอนเจ้าถึงความเกรงกลัวพระเจ้า 12มนุษย์คนใดผู้ปรารถนาชีวิต และรักวันคืนทั้งหลาย เพื่อเขาจะได้เห็นของดี 13จงระวังลิ้นของเจ้าจากความชั่ว และอย่าให้ริมฝีปากพูดเป็นอุบายล่อลวง 14จงหนีการชั่ว และกระทำการดี แสวงสันติภาพ และติดตามไป 15พระเนตรของพระเจ้า เห็นคนชอบธรรม และพระกรรณของพระองค์สดับคำอ้อนวอนของเขา 16แต่พระพักตร์ของพระเจ้า ตั้งต่อสู้คนทั้งหลายที่ทำการชั่ว เพื่อจะตัดอนุสรณ์ของเขาเสียจากแผ่นดินโลก 17เมื่อคนชอบธรรมร้องทูลขอ พระเจ้าทรงสดับ และทรงช่วยเขาให้พ้นจากความยากลำบากทั้งสิ้นของเขา 18พระเจ้าทรงอยู่ใกล้ผู้ที่จิตใจฟกช้ำ และทรงช่วยผู้ที่จิตใจสำนึกผิด 19คนชอบธรรมนั้นถูกข่มใจหลายอย่าง แต่พระเจ้าทรงช่วยกู้เขาออกมาให้พ้นหมด 20พระองค์ทรงรักษากระดูกเขาไว้ทั้งหมด ไม่หักสักซี่เดียว 21ความชั่วจะสังหารคนอธรรม และบรรดาผู้ที่เกลียดชังคนชอบธรรมจะถูกปรับโทษ 22พระเจ้าทรงไถ่ชีวิตผู้รับใช้ของพระองค์ ผู้ที่เข้าลี้ภัยในพระองค์ ไม่มีสักคนหนึ่งที่จะถูกปรับโทษ

จากพระธรรมสดุดีที่ได้อ่านไป แสดงให้เห็นพระลักษณะของพระเจ้าคือมีทั้งพระกรุณา และมีทั้งความเข้มงวดจริงจังกับความชั่วร้าย
และยังแสดงให้เห็นอีกว่า “การเกรงกลัวพระเจ้า” จะแสดงออกมาด้วย “การระวังลิ้นจากความชั่วร้าย หนีจากการทำชั่ว กระทำการดี แสวงสันติภาพและติดตามไป”

สดุดี 112:1-3
1จงสรรเสริญพระเจ้าเถิด คนที่เกรงกลัวพระเจ้าก็เป็นสุข คือผู้ปีติยินดีเป็นอันมากในพระบัญญัติของพระองค์ 2เชื้อสายของเขาจะทรงอานุภาพในแผ่นดิน พวกคนเที่ยงธรรมจะรับพระพร 3ทรัพย์ศฤงคารและความมั่งคั่งมีอยู่ในเรือนของเขา และความชอบธรรมของเขาดำรงอยู่เป็นนิตย์

สดุดี 128:1-6
1ทุกคนที่เกรงกลัวพระเจ้า ก็เป็นสุข คือผู้ที่ดำเนินในมรรคาของพระองค์ 2เมื่อท่านกินผลน้ำมือของท่าน ท่านจะเป็นสุข และท่านจะเจริญ 3ภรรยาของท่านจะเป็นอย่างเถาองุ่นลูกดก อยู่ภายในเรือนของท่าน เด็กๆ ของท่านจะเป็นเหมือนหน่อมะกอกเทศ รอบสำรับของท่าน 4ดั่งนี้แหละ คนที่ยำเกรงพระเจ้าจะได้รับพระพร 5ขอพระเจ้าทรงอำนวยพระพรท่านจากศิโยน ขอให้ท่านเห็นความเจริญของเยรูซาเล็ม ตลอดวันเวลาชีวิตของท่าน 6ขอให้ท่านเห็นแก่ลูกหลานของท่าน ขอให้สันติภาพมีอยู่ในอิสราเอล

เหล่านี้คือสิ่งที่พระวจนะบอกไว้ว่า ผู้ที่ยำเกรงพระเจ้าหรือเกรงกลัวพระเจ้าจะได้รับคืออะไร? คุ้มค่าเพียงใด?

ลองมาดูในพระคัมภีร์ภาคพันธสัญญาใหม่บ้าง
พระเยซูทรงเป็นตัวอย่างของชีวิตที่ยำเกรงพระเจ้าอย่างไร? จริงอยู่เรารู้และยอมรับว่าพระองค์ทรงเป็นพระเจ้าด้วย แต่การดำเนินชีวิตในโลกในฐานะของพระบุตรของพระเจ้า พระเยซูก็ได้สำแดงให้เราเห็นชีวิตที่ยำเกรงพระเจ้าด้วย

ในด้านของการ “ไม่หวงสิ่งใดไว้จากพระเจ้า” เราจะเห็นได้จากคำอธิษฐานของพระองค์ ในสวนเกทเสมเน พระองค์ทรงสำแดงให้เห็นว่า พระองค์ไม่ได้หวงชีวิตของพระองค์ไว้จากพระเจ้า แต่ทรงมอบไว้เพื่อพระเจ้าจะทรงใช้เป็นค่าไถ่ความผิดบาปของมนุษย์

ในด้านของการ “ดำเนินชีวิตที่มีมโนธรรม” จริงอยู่ที่พระองค์เกิดในวงศ์วานของยิวและทรงดำเนินชีวิตตามธรรมบัญญัติอย่างไม่มีที่ติ จริงๆแล้วมีหลายคนพยายามจะติพระองค์เช่นเรื่องของการรักษาโรคในวันสะบาโต ซึ่งถ้านับกันตามตัวอักษรก็เรียกว่าผิดธรรมบัญญัติ แต่พระองค์ทรงเข้าถึงหัวใจของธรรมบัญญัติมากกว่า ในขณะที่คนเหล่านั้นยึดธรรมบัญญัติตามตัวอักษร แต่พระองค์รู้ถึงน้ำพระทัยของพระเจ้าสำหรับธรรมบัญญัติแต่ละข้อ และที่สำคัญพระองค์ทรงเป็นผู้ที่เติมเต็มให้ธรรมบัญญัตินั้นสมบูรณ์ (มัทธิว 5:17) พระเจ้าได้ทรงใช้พระวิญญาณบริสุทธิ์มาในนามของพระเยซูคริสต์(ยอห์น 14:26) เพื่อให้อยู่ในใจของผู้เชื่อ เพื่อนำผู้เชื่อไปสู่ความจริงทั้งมวล (ยอห์น 16:13) และทำให้ผู้เชื่อไม่ต้องอยู่ใต้ธรรมบัญญัติอีกต่อไป(กาลาเทีย 5:18)

คุณสมบัติในด้านของการ “เป็นผู้ที่พระเจ้าทรงไว้ใจได้” ก็ไม่มีจุดใดที่จะตำหนิได้ ตรงข้ามพระเจ้าทรงให้การรับรองด้วยพระดำรัสจากฟ้าสวรรค์ว่า “ท่านผู้นี้เป็นบุตรที่รักของเรา เราชอบใจท่านมาก” นอกจากนี้พระองค์ยังทรงเป็นผู้ที่มนุษย์ทุกคนจะไว้วางใจอีกด้วย พระองค์ตรัสว่า “จงวางใจในเรา” (ยอห์น 14:1)

นอกจากนี้ชีวิตของเหล่าอัครสาวกของพระเยซูคริสต์ เมื่อได้รับการเจิมจากพระวิญญาณของพระเจ้าแล้ว เขาเหล่านั้นล้วนมีชีวิตที่ยำเกรงพระเจ้า โดยไม่หวงสิ่งใดไว้จากพระเจ้า จะเห็นได้ว่าเขาต้องตกทุกข์ได้ยาก ส่วนใหญ่ต้องเสียชีวิตเพราะข่าวประเสริฐด้วยซ้ำไป นอกจากนี้จะเห็นได้ว่าจดหมายฝากไปยังคริสตจักรต่างๆที่อัครสาวกได้เขียนไปนั้นก็ได้เน้นให้ผู้เชื่อดำเนินชีวิตที่ไม่ประนีประนอมกับบาป เป็นคนงานที่พระเจ้าทรงไว้ใจมอบหมายให้ประกาศข่าวประเสริฐยังที่ต่างๆ จนข่าวประเสริฐสามารถแผ่ขยายออกไปทั่วโลก

สำหรับชีวิตของเราทั้งหลายที่เป็นผู้เชื่อแม้จะอยู่ในช่วงเวลาที่ห่างไกลจากยุคของพระคัมภีร์มาก แต่ “ความยำเกรงพระเจ้า” หรือ “ความเกรงกลัวพระเจ้า” ก็ยังเป็นสิ่งสำคัญมากที่จำเป็นจะต้องมีในชีวิตของผู้เชื่อทุกคน

สดุดี 128:1-6
1ทุกคนที่เกรงกลัวพระเจ้า ก็เป็นสุข คือผู้ที่ดำเนินในมรรคาของพระองค์ 2เมื่อท่านกินผลน้ำมือของท่าน ท่านจะเป็นสุข และท่านจะเจริญ 3ภรรยาของท่านจะเป็นอย่างเถาองุ่นลูกดก อยู่ภายในเรือนของท่าน เด็กๆ ของท่านจะเป็นเหมือนหน่อมะกอกเทศ รอบสำรับของท่าน 4ดั่งนี้แหละ คนที่ยำเกรงพระเจ้าจะได้รับพระพร 5ขอพระเจ้าทรงอำนวยพระพรท่านจากศิโยน ขอให้ท่านเห็นความเจริญของเยรูซาเล็ม ตลอดวันเวลาชีวิตของท่าน 6ขอให้ท่านเห็นแก่ลูกหลานของท่าน ขอให้สันติภาพมีอยู่ในอิสราเอล



Create Date : 25 มกราคม 2550
Last Update : 25 มกราคม 2550 16:32:09 น. 0 comments
Counter : 1105 Pageviews.  
 
Name
* blog นี้ comment ได้เฉพาะสมาชิก
Opinion
*ส่วน comment ไม่สามารถใช้ javascript และ style sheet

ksk
 
Location :
ยะลา Thailand

[ดู Profile ทั้งหมด]

ฝากข้อความหลังไมค์
Rss Feed
Smember
ผู้ติดตามบล็อก : 10 คน [?]




ผมเป็นคริสเตียนครับ
เป็นชาวยะลา เกิดปัตตานี ลูกจีนไหหลำ
จบวิศวกรรมไฟฟ้า(ระบบควบคุม) จากพระจอมเกล้าพระนครเหนือ EL รุ่น 24 รหัส 31 (เคยเรียน ป.วส. IE ห้องอิเล็ก ที่ วทอ. 2 ปี รหัส 29 ห้องเดียวกับ ศิริ แว่น สมชาย สุกิตติ จั๊บ ไพบูลย์ จ่าบุญเลิศ ก่อนย้อนไปเริ่มต้นป.ตรี ปี 1 ใหม่กับรุ่นน้องในคณะวิศวฯ พูดง่ายๆว่า ซิ่ว 2 ปี)
ป.โท วิศวกรรมการบิน(Avionique) จาก SUPAERO
Toulouse FRANCE ปี 1994
เคยรับราชการเป็นอาจารย์ในคณะวิศวฯที่พระนครเหนือ 8 ปี ผลงานก็ไม่มีอะไรมาก KMITNB Robot Camp เป็นสิ่งที่ยังพอให้ภาคภูมิใจเมื่อมองกลับไปที่เทคโนฯ ด้วยความคิดถึง 14 ปี อันแสนหวานกับชีวิตในพระนครเหนือ(มิย.ปี 29 - มิย.ปี 43)
ตอนนี้ลาออกจากราชการ มาหากินด้วยลำแข้ง(ไม่ใช่เป็นนักมวยไทยนะ)
ที่จังหวัดยะลาบ้านเกิด ตั้งแต่มิถุนายน ปี Y2K
กำลังจะรุ่งเรืองแล้วเชียว 4 มกราคม 2547
สถานการณ์ไฟใต้ก็เริ่มขึ้น
สิ่งที่เคยคิดว่าสักวันหนึ่งจะต้องเกิด มันก็เกิด
และยาวมาจนถึงตอนนี้
ผมยังนึกไม่ออกมันจะจบลงแบบไหน free counter

free counter

New Comments
[Add ksk's blog to your web]

 
pantip.com pantipmarket.com pantown.com