ถ้าพระเจ้าไม่มีจริง คุณได้หรือเสียอะไร? แต่ถ้าพระเจ้ามีจริง คุณได้หรือเสียอะไร?

<<
ตุลาคม 2552
 123
45678910
11121314151617
18192021222324
25262728293031
 
25 ตุลาคม 2552
 

เส้นทางชีวิตคริสเตียน

25 ตุลาคม 2009
คริสตจักร ยะลา

มัทธิว 7:13-14
13 "จงเข้าไปทางประตูแคบ เพราะว่าประตูใหญ่ และทางกว้างซึ่งนำไปถึงความพินาศ และคนที่เข้าไปทางนั้นมีมาก
14 เพราะว่าประตูซึ่งนำไปถึงชีวิตนั้นก็คับและทางก็แคบ ผู้ที่หาพบก็มีน้อย


อธิษฐาน
ข้าแต่พระบิดา ขอบพระคุณพระองค์สำหรับความรอดที่เราได้รับโดยทางพระเยซูคริสต์ พระบุตรองค์เดียวของพระองค์ เป็นพระคุณของพระองค์ที่ทำให้เราได้เข้ามามีส่วนในความรอดนี้ วันนี้เราทั้งหลายเข้ามาอยู่ต่อหน้าพระพักตร์พระองค์ ขอทรงโปรดตรัสกับเราแต่ละคน ด้วยพระทัยอันเมตตา เพื่อเราจะหันกลับจากการกระทำที่ไม่ถูกต้องในขณะที่เราติดตามพระองค์ เพื่อเราจะเป็นผู้ที่พระองค์ทรงพอพระทัยและเป็นผู้ที่พระองค์จะทรงใช้การได้



ผมได้จบเรื่องราวของคำอธิษฐานของพระเยซูในพระธรรมยอห์นบทที่ 17 ไปแล้ว ซึ่งก็ไม่แน่ใจว่าจะหวังได้หรือไม่ว่า พี่น้องจะจำอะไรได้บ้าง วันนี้หากถามคงจะจำไม่ได้ แต่ก็ยังแอบหวังไว้ว่า เมื่อพี่น้องมีโอกาสเปิดอ่านพระธรรมยอห์นบทที่ 17 ในวันใดวันหนึ่ง คงจะพอระลึกได้บ้างว่าผมเคยนำเสนอไว้อย่างไรบ้าง

อย่างไรก็ตาม พระวจนะของพระเจ้านั้น แต่ละครั้งที่เราอ่านก็จะมีเรื่องราวให้เราได้เรียนรู้ใหม่ๆเสมอ แต่เรื่องราวที่ดูว่าจะไม่เหมือนกันในแต่ละครั้งนั้น หากเราจะสังเกตให้ดีเราจะพบว่า ไม่เป็นสิ่งที่ขัดแย้งกัน แต่จะเสริมมุมมองให้กว้างขึ้น เพื่อเราจะเข้าใจพระประสงค์ของพระเจ้าดีขึ้น

เรื่องราวที่ผมจะนำเสนอกับพี่น้องในวันนี้ เป็นสิ่งที่เกิดขึ้นไม่ไกลจากตัวเราในยุคนี้ เป็นพฤติกรรมบางอย่างที่ปรากฏในวิถีชีวิตปัจจุบัน และเมื่อพิจารณาดูแล้ว ก็พบว่า พฤติกรรมนั้นไม่ได้เกิดขึ้นกับเฉพาะในชีวิตฝ่ายเนื้อหนัง แต่เกิดขึ้นกับชีวิตฝ่ายวิญญาณด้วยเช่นกัน

เมื่อต้นเดือนที่ผ่านมา ภรรยาของผมได้ไปพบแพทย์เพื่อตรวจรักษาอาการปวดท้อง แพทย์ที่ทำการตรวจรักษาก็ได้เล่าให้ฟังถึงกรณีที่เคยพบในผู้ป่วยบางราย ซึ่งเมื่อฟังดูแล้วก็ทำให้ผมรู้สึกว่า คล้ายกับปัญหาในฝ่ายวิญญาณของคริสเตียนเช่นกัน

แพทย์ได้เล่าให้ฟังว่า มีผู้ป่วยรายหนึ่งเกิดอาการปวดท้องมาก เมื่อทำการผ่าตัดส่องกล้องเข้าไปในช่องท้อง ก็ไปพบกับวัตถุก้อนแข็ง สีเขียวๆ กระจุกอยู่ในระบบทางเดินอาหาร จึงได้นำก้อนดังกล่าวออกมา และในที่สุดก็พบว่า เป็นอาหารเสริมที่ผู้ป่วยรายนั้นรับประทานเข้าไป เป็นจำพวกสารสกัดจากผัก อัดเม็ด เพื่อทดแทนสำหรับคนที่ไม่ชอบกินผัก หรือคิดว่าอาหารที่ตนเองรับประทานมีคุณค่าทางอาหารไม่เพียงพอ

ปัจจุบันนี้เราเห็นได้ว่า วิถีชีวิตของคนเรานั้นมีการดิ้นรนแข่งขันกันสูง ทำให้เวลาสำหรับการกินอาหารก็แทบจะไม่มี รูปแบบของอาหารที่เรากินก็เปลี่ยนไปเพื่อตอบสนองต่อวิถีชีวิตที่รีบเร่งนั้น และสิ่งที่ปรากฏมากมายในท้องตลาดปัจจุบันก็คือ อาหารเสริม ซึ่งมีมากมายนับร้อยนับพันชนิด แต่ละชนิดก็ประกาศสรรพคุณไว้อย่างหรูหรา สามารถทำให้ร่างกายแข็งแรง แก้และป้องกันโรคได้ทุกชนิด บ้างก็อ้างถึงต้นตอวัตถุดิบว่าเป็นของมีค่าหายากเป็นของสูงสำหรับกษัตริย์ในสมัยโบราณเท่านั้น หรือไม่ก็ประกอบขึ้นจากของดีราคาแพงเกือบร้อยชนิด และแน่นอนถ้าราคาถูกๆ ก็จะดูเป็นของที่ไม่ค่อยมีคุณค่า ราคาจึงต้องแพงขนาดซื้อข้าวกินได้ทั้งเดือน

อะไรคือปัจจัยที่ทำให้สินค้าเหล่านี้ขายได้ ส่วนหนึ่งอาจซื้อด้วยความเกรงใจคนขายก็มี เพราะคนขายเป็นคนรู้จักกัน จะปฏิเสธก็พูดไม่ออก จำใจต้องซื้อไป ส่วนซื้อไปแล้วไม่กล้ากิน ตั้งไว้จนเสียต้องนำไปทิ้งก็มี หรือให้คนอื่นเอาไปกินก็มี

อีกส่วนหนึ่งก็เพราะรู้สึกว่าสรรพคุณนั้นตรงกับความต้องการ เพราะพฤติกรรมการดำเนินชีวิตของตนเองไม่อยู่ในสภาวะปกติ ทำให้รู้สึกว่ามีบางอย่างบกพร่อง ซึ่งอาจจะมีภาวะบกพร่องจริงๆก็เป็นได้ หรือคิดไปเองก็เป็นได้ หรือเกิดจากความไม่รู้จักตนเองก็เป็นได้ ดังนั้นอาหารเสริมสุดวิเศษที่ปรากฏอยู่ตรงหน้าเวลานี้ก็คือ “ทางลัด” ที่จะทำให้ “ได้ทั้งขึ้นและล่อง” คือ “มีสุขภาพดี โดยไม่ต้องดูแลสุขภาพให้ดี”

สิ่งที่ผมกำลังให้ความสนใจก็คือกรณีหลัง ซึ่งเป็นพฤติกรรมที่คล้ายกับปัญหาในฝ่ายวิญญาณของคริสเตียนจำนวนไม่น้อย ซึ่งดำเนินชีวิตประจำวันไม่เป็นปกติวิสัยตามที่ควรเป็น แล้วกำลังมองหา “ทางลัด” ในการที่จะได้มาซึ่งสุขภาพฝ่ายวิญญาณที่แข็งแรง แต่นั่นไม่ใช่เส้นทางชีวิตที่พระเจ้าทรงพอพระทัย และอันที่จริง เราไม่สามารถมีสุขภาพฝ่ายวิญญาณที่แข็งแรงได้ด้วยทางลัดใดๆ

จากพระธรรมมัทธิว 7:13-14 ที่ได้อ่านไปตอนต้น เราทุกคนที่เรียกตัวเองว่าเป็นคริสเตียน บอกกับคนอื่นๆว่าเราเป็นคริสเตียน จะเข้าใจว่าเราได้หาประตูคับพบแล้ว และได้เดินในทางแคบแล้ว และกำลังจะมีปลายทางที่สดใสตามที่พระคัมภีร์บอกไว้

เรามาดูความหมายของ “ประตูคับ” กันก่อน

ตามปกติแล้วแต่ละวันเราก็มีโอกาสเดินผ่านประตูบ่อยจนไม่เคยได้สนใจนับว่าแต่ละวันเราผ่านเข้าออกกี่ประตู แต่ประตูที่เราพบเจอในชีวิตประจำวันนั้น เป็นประตูที่ออกแบบมาเพื่อความสะดวกสบาย บางประตูก็กว้างขนาดรถบรรทุกเข้าออกสวนทางกันได้ บางประตูรถผ่านเข้าออกได้ทีละคัน บางประตูสำหรับเข้าหรือออกทางเดียว บางประตูก็ใช้ทั้งเข้าและออก บางประตูก็เป็นแบบอัตโนมัติ แค่เดินไปใกล้ๆ ก็เปิดให้เองโดยไม่ต้องใช้มือผลัก บางประตูต้องใช้เท้าถีบถึงจะเปิดออกได้ ประตูบางชนิดก็ทึบมองไม่เห็นว่าหลังประตูมีอะไร บางชนิดก็ใสแจ๋วมองเห็นได้ว่ามีอะไรอยู่ข้างใน ประตูบางชนิดก็ต้องใช้บัตรประจำตัวหรือลายนิ้วมือในการตรวจสอบว่าได้รับอนุญาตให้ผ่านเข้าออกได้หรือไม่ ประตูบางชนิดใครจะผ่านก็ได้ไม่มีใครสนใจ ประตูบางชนิดก็ไม่เปิดมาหลายสิบปีแล้ว และประตูบางชนิดไม่เคยปิดเลย ประตูบางชนิดสำหรับคนเข้าออก ประตูบางชนิดสำหรับสิ่งที่ไม่ใช่คนเข้าออก ประตูบางชนิดเปิดผิดที่ผิดเวลาทำให้เป็นอันตรายได้ ประตูบางแห่งนำไปสู่การปลดปล่อยทุกข์

พระเยซูตรัสถึงประตูคับ น่าจะต้องมีความหมายบางสิ่งซ่อนอยู่ โดยปกติแล้วประตูที่เราจะรู้สึกได้ว่าแคบนั้น มักจะต้องเป็นประตูที่ทำให้เรารู้สึกอึดอัดเมื่อต้องผ่านเข้าออก เช่นบางครั้งเราเดินคุยกับเพื่อน เมื่อมาถึงประตู ถ้าประตูไม่แคบนัก ก็จะผ่านประตูไปโดยที่ยังเดินคุยกันโดยไม่ขาดตอน แต่ถ้าประตูไม่กว้างมาก จะเรียกว่าแคบก็ได้ อาจต้องชะลอเล็กน้อยให้อีกคนนำหน้าจึงจะเข้าได้ อาจพูดอีกอย่างว่า การผ่านเข้าออกแต่ละครั้งจะไปได้เพียงคนเดียว
ตรงนี้มีความหมายที่บอกถึง การที่แต่ละคนจะต้องรับผิดชอบตนเองในเรื่องการเข้าประตูแห่งความรอด ไม่สามารถจะเดินกอดคอพาใครเข้าไปได้ และไม่สามารถให้ใครกอดคอพาเข้าไปได้ สามี ไม่สามารถพาภรรยาไปได้ ภรรยาก็ไม่สามารถพาสามีเข้าไปได้ แต่ละคนต้องผ่านเข้าไปด้วยตนเอง พ่อแม่ ไม่สามารถพาลูกเข้าไปได้ และลูกก็ไม่สามารถพาพ่อแม่เข้าไปได้ เป็นเรื่องของแต่ละคนที่ต้องผ่านเข้าไปด้วยตัวเอง ไม่มีช่องทางลัดใดๆ ไม่มีตั๋วพิเศษ หรือบัตรเบ่งใดๆที่จะทำให้สามารถทำให้ประตูนี้กว้างออกได้

และประตูคับแคบที่ว่าพระเยซูตรัสถึงนั้น ก็แคบจนกระทั่งคนที่เดินเข้าประตู ก็จะไปได้แต่ตัวเท่านั้น สัมภาระต่างๆที่หอบหิ้วมา ก็ไม่สามารถเอาติดตัวผ่านไปได้

ตรงนี้เล็งถึงการที่เราเข้าสู่ความรอดนั้น ไม่ใช่ด้วยความสามารถหรือคุณงามความดีใดๆของเรา เรามาถึงความรอดด้วยตัวเปล่าๆเท่านั้น เหมือนกันทุกคน ดังนั้นเมื่อผ่านประตูคับนี้ไปแล้ว โดยทั่วไป ก็ไม่ควรจะมีการอวดอ้างทับถมกันอีกว่า ใครมีสัมภาระมากกว่ากัน เพราะเราได้มาถึงความรอดในสภาพเดียวกันคือ ด้วยตัวเปล่าๆ ทรัพย์สมบัติ หรือคุณความดี ฐานะทางสังคม หรือความรู้คุณวุฒิต่างๆ ไม่ได้มีส่วนใดๆในความรอดที่เราได้รับ อาจกล่าวอีกอย่างว่า ไม่มีสิ่งใดสำคัญสำหรับเราอีกนอกจากพระเจ้า

บางทีอาจรู้สึกค้านในใจว่า เอ๊ะ ก็เห็นคริสเตียนทั้งหลายมีทรัพย์มากมาย มีความรู้ มีหน้ามีตาในสังคม ทั้งก่อนและหลังที่มาเชื่อในพระเยซูมิใช่หรือ ก็ไม่ผิดครับ ผมไม่ได้หมายความว่าเมื่อมาเชื่อในพระเยซู มาผ่านเข้าประตูแคบแล้วจะต้องละทิ้งทรัพย์สมบัติที่มีอยู่ทั้งหมด ความรู้ที่มีอยู่ก็ลืมหายไปหมดสิ้น หรือเลิกเป็นคนดี แต่กำลังพูดถึงความหมายที่ลึกกว่านั้น นั่นคือ

มนุษย์ทุกคนเมื่อมีทรัพย์สมบัติก็มักจะภาคภูมิใจในทรัพย์ที่หามาได้นั้น ด้วยความรู้สึกว่า เหล่านี้คือ “ทรัพย์ของฉัน”
มนุษย์ทุกคนเมื่อมีความรู้มีคุณวุฒิสูง ก็อดที่จะภาคภูมิใจในความรู้ความสามารถของตนเองไม่ได้ ด้วยความรู้สึกว่า เหล่านี้คือ “ความสามารถของฉัน”
มนุษย์ทุกคนเมื่อสังคมยกย่องว่าเป็นคนดี ก็มักจะภาคภูมิใจในตนเองว่า เหล่านี้คือ “คุณงามความดีของฉัน”

ซึ่ง นั่นก็คือสัมภาระที่มนุษย์แต่ละคนแบกไว้เมื่อก่อนที่จะเข้าทางประตูแคบ

แต่เมื่อคนคนหนึ่งมาถึงประตูคับแคบ มาถึงความรอดในพระเยซู ความรู้สึกที่ควรจะต้องเกิดขึ้นคือ สัมภาระที่เคยแบกไว้ก็ต้องถูกละทิ้งไปที่ภายนอก หมายความว่า ทรัพย์นั้นเราก็ยังมีอยู่ คุณวุฒิความรู้เราก็มีอยู่ ฐานะในสังคมเราก็ยังมีอยู่ แต่ไม่ใช่สิ่งที่เราจะตั้งไว้เป็นรูปเคารพแห่งความภาคภูมิใจในความเก่งกาจของตัวเองอีกต่อไป แต่บนเส้นทางที่จะเดินต่อไปนี้ มีเพียงเรากับพระเจ้าเท่านั้น จำประโยคที่พระเยซูตรัสไว้ประโยคหนึ่งได้ไหมครับที่ว่า “ตัวอูฐจะลอดรูเข็มก็ง่ายกว่าคนมั่งมีจะเข้าในแผ่นดินของพระเจ้า” เห็นท่าจะจริง เพราะหากเราไม่ค่อยมีทรัพย์มาก การละทิ้งไว้ภายนอก ก็ไม่ใช่เรื่องใหญ่อะไร

ความหมายของ “ทางแคบ” คืออะไร

เราคงได้ยินว่าทางแคบคือทางที่ไม่สะดวก เดินยาก ซึ่งก็คงจะจริง ผมเคยอ่านพบในหนังสือพิมพ์ที่มีประชาชนเขียนไปร้องเรียนว่า แม่ค้าที่ขายของบนทางเท้า ตั้งโต๊ะขายของจนมีทางเดินเหลือแคบนิดเดียว ประชาชนจะเดินสวนกันก็แทบจะไม่ได้ ภาพนี้สะท้อนให้เราเห็นได้เป็นอย่างดีว่า ทางแคบนั้น เป็นทางที่เดินไม่สะดวก

ลองนึกภาพของทางเท้าที่มีแม่ค้าขายของเต็มไปหมด ทั้งปลาหมึกย่าง หมูปิ้ง ส้มตำ ข้าวแกง หอยทอด และอื่นๆอีกมากมาย แล้วเรากำลังต้องเดินผ่านทางนั้น โดยที่กำลังสะพายเป้ใบใหญ่ไว้บนหลังมือข้างหนึ่งกำลังหอบถุงที่ใส่เสื้อผ้าโหลใบโตที่เพิ่งซื้อจากตลาดโบ๊เบ๊ นอกจากนี้ยังกระเตงเด็กอ่อนไว้ในมืออีกข้าง ปากก็คาบ ตะกร้าใส่ขวดนมลูก เราจะผ่านทางเส้นนี้ไปได้อย่างไร

และถ้าทางแคบนั้นยังแคบไม่พอ ลองนึกภาพว่า เรากำลังจะต้องเดินไต่สะพานที่ทำด้วยเชือกข้ามเหวลึกไปอีกฝั่ง ด้วยสัมภาระแบบนั้น เราจะข้ามไปได้อย่างไร

คงพอจะทำให้มองเห็นภาพนะครับว่า ทำไมจึงมีประตูแคบ เพื่อให้เราทิ้งสัมภาระต่างๆไว้ข้างนอก ก่อนที่จะมาเดินในทางแคบ พระเยซูทรงบอกเราแล้วว่า หนทางในการเดินติดตามพระองค์นั้น เป็นหนทางที่ยากลำบาก สิ่งที่เราต้องการที่สุดคือพระองค์ ที่จะร่วมทางไปกับเรา ไม่ใช่สัมภาระหนักอึ้ง

แต่ปัญหาของผู้ที่เรียกตัวเองว่าคริสเตียนจำนวนไม่น้อยก็คือ การไม่ยอมละทิ้งสัมภาระไว้ข้างนอก ทำให้ผ่านประตูแคบไม่ได้ ต้องไปผ่านประตูกว้าง สัมภาระที่แบกอยู่ทำให้เดินในทางแคบก็ไม่ได้ จึงต้องเดินในทางกว้าง ซึ่งในที่สุด ปลายทางก็คือความพินาศ

ลักษณะชีวิตของผู้ที่เรียกตัวเองว่าคริสเตียนแต่เดินในทางกว้าง ก็เปรียบได้กับพฤติกรรมของคนในสังคมปัจจุบัน ที่ไม่ต้องการเสียเวลาในการดูแลสุขภาพ แต่จะใช้วิธีซื้อสุขภาพ ด้วยการซื้ออาหารเสริมต่างๆมากิน คนที่เดินในทางกว้างก็จะไม่ยอมรับความยากลำบากของการเดินทางแคบ แต่จะแสวงหาสิ่งอื่นมาทดแทน เช่นการพยายามไปมีส่วนร่วมการประชุมฟื้นฟูที่มีปรากฏการณ์ตื่นเต้นต่างๆ, การเข้าร่วมเป็นกรรมการในการทำกิจกรรมต่างๆ โดยหวังว่านั่นจะเป็นสิ่งที่ทำให้สุขภาพฝ่ายวิญญาณดี โดยที่ยังไม่ยอมวางสัมภาระต่างๆลง ไม่ยอมเข้าประตูคับ ไม่ยอมเดินในทางแคบ ต้องการสิ่งอื่นมากกว่าพระเจ้า




 

Create Date : 25 ตุลาคม 2552
0 comments
Last Update : 4 พฤศจิกายน 2552 14:49:06 น.
Counter : 2905 Pageviews.

 
Name
Opinion
*ใช้ code html ตกแต่งข้อความได้เฉพาะสมาชิก

ksk
 
Location :
ยะลา Thailand

[ดู Profile ทั้งหมด]

ฝากข้อความหลังไมค์
Rss Feed
Smember
ผู้ติดตามบล็อก : 10 คน [?]




ผมเป็นคริสเตียนครับ
เป็นชาวยะลา เกิดปัตตานี ลูกจีนไหหลำ
จบวิศวกรรมไฟฟ้า(ระบบควบคุม) จากพระจอมเกล้าพระนครเหนือ EL รุ่น 24 รหัส 31 (เคยเรียน ป.วส. IE ห้องอิเล็ก ที่ วทอ. 2 ปี รหัส 29 ห้องเดียวกับ ศิริ แว่น สมชาย สุกิตติ จั๊บ ไพบูลย์ จ่าบุญเลิศ ก่อนย้อนไปเริ่มต้นป.ตรี ปี 1 ใหม่กับรุ่นน้องในคณะวิศวฯ พูดง่ายๆว่า ซิ่ว 2 ปี)
ป.โท วิศวกรรมการบิน(Avionique) จาก SUPAERO
Toulouse FRANCE ปี 1994
เคยรับราชการเป็นอาจารย์ในคณะวิศวฯที่พระนครเหนือ 8 ปี ผลงานก็ไม่มีอะไรมาก KMITNB Robot Camp เป็นสิ่งที่ยังพอให้ภาคภูมิใจเมื่อมองกลับไปที่เทคโนฯ ด้วยความคิดถึง 14 ปี อันแสนหวานกับชีวิตในพระนครเหนือ(มิย.ปี 29 - มิย.ปี 43)
ตอนนี้ลาออกจากราชการ มาหากินด้วยลำแข้ง(ไม่ใช่เป็นนักมวยไทยนะ)
ที่จังหวัดยะลาบ้านเกิด ตั้งแต่มิถุนายน ปี Y2K
กำลังจะรุ่งเรืองแล้วเชียว 4 มกราคม 2547
สถานการณ์ไฟใต้ก็เริ่มขึ้น
สิ่งที่เคยคิดว่าสักวันหนึ่งจะต้องเกิด มันก็เกิด
และยาวมาจนถึงตอนนี้
ผมยังนึกไม่ออกมันจะจบลงแบบไหน free counter

free counter

New Comments
[Add ksk's blog to your web]

 
pantip.com pantipmarket.com pantown.com