ร้านอาหารที่ได้รับ รางวัล 2 ดาวมิชลิน ได้แก่
Gaggan
Le Normandie at The Mandarin Oriental Hotel
Mezzaluna at The Lebua Hotel
ร้านอาหารที่ได้ รับรางวัล 1 ดาวมิชลิน ได้แก่
Bo.lan (โบ.ลาน)
Chim by Siam Wisdom
Nahm at The Como Metropolitan
Elements at The Okura Prestige
Ginza Sushi-Ichi
JAIME by Jean-Michel Lorain
Jay Fai (เจ๊ไฝ)
Paste
Saneh Jaan (เสน่ห์จันทน์)
Savelberg at The Oriental Residence
Sra Bua by Kiin Kiin (สระบัว บาย กิน กิน) at The Siam Kempinski Hotel
Sühring (ซูห์ริง)
Upstairs at Mikkeller
นอกจากนี้ยังมีร้านอาหารที่ได้รับการจัดให้อยู่ในประเภท บิบ กูร์มองด์ (Bib Gourmand) หรือร้านอาหารยอดเยี่ยมในราคาย่อมเยา อีก 35 ร้าน และมีร้านอาหารที่เสิร์ฟอาหารง่ายๆ ที่ได้คุณภาพ เรียกว่า The Plate MICHELIN อีก 76 ร้านทั่วกรุงเทพ ซึ่งสามารถติดตามได้ใน
เว็บไซต์หลักของ The Michelin Guide
สำหรับร้าน Upstairs at Mikkeller พิกัดจะอยู่ซอยเอกมัย 10 แยก 2 สามารถใส่ชื่อร้านใน google map ได้เลยค่ะ
วันนั้นเราขับรถไปนะคะ แนะนำว่าถ้าใครจะเอารถส่วนตัวไป ให้ไปเร็วหน่อยค่ะ เพราะที่จอดรถคือจอดข้างทางในซอย มีไม่กี่ที่นะคะ ถ้าไปช้าหรือช่วงมีงาน อาจจะไม่มีที่จอดรถได้ค่ะ หรือเอาชัวร์ก็ใช้รถสาธารณะดีกว่าน่อ จุดสังเกต ร้านจะอยู่ตรงข้ามกับบ้านที่มีโลโก้โคคาโคล่า หาดทิพย์อยู่ค่ะ
ร้านร่มรื่นมากๆ ลักษณะเอาบ้านเก่ามาทำเป็นร้านหละนะคะ
ที่นั่งจะมีทั้งเอาท์ดอร์และห้องแอร์นะคะ ห้องแอร์ด้านล่างนี่จะเป็นส่วนของนักเน้นดื่มโดยเฉพาะค่ะ ส่วนร้านอัพสแตร์ที่เราจะมานี่ก็ชั้นบนตามชื่อเลยค่ะ ระหว่างรอเวลาก็เลยเก็บภาพไปก่อนค่ะ
Mikkeller เป็นคราฟท์เบียร์ชื่อดังจากโคเปนเฮเกน ประเทศเดนมาร์ก เป็น Gypsy Brewery แห่งวงการกลั่นเบียร์เลยหละค่ะ
อันนี้เป็นห้องน้ำนะคะ ดูออกมั้ยคะว่าอันไหนชายอันไหนหญิง? อิอิ
มีเกมให้เล่นด้วยนะคะ
ที่ชั้นล่างนี่จะเป็นบาร์เบียร์เลยค่ะ มีเบียร์แท็ปเต็มเลย เราสั่งเบอร์ 12 มาลองค่ะ เพราะพนักงานแจ้งว่าฟรุตตี้สุด แต่ก็ฟรุตตี้แค่เบาๆ นะคะ ไม่ค่อยหวานมากด้วยค่ะ เราเลยยังชอบตัวอื่นมากกว่า ไซส์เล็กราคาแก้วละ 200 บาทค่ะ
เอาเมนูพร้อมราคาเบียร์มาให้ดูละกันนะคะ เผื่อใครเป็นสายเบียร์จะได้ไปชิมกันได้ ราคาก็มีตั้งแต่หลักร้อยถึงหลักพันหละนะคะ
ได้เวลาพอสมควรแล้ว Elite Users ทั้งหมดก็ย้ายกายหยาบขึ้นสู่ชั้นบนกันค่ะ มีที่นั่งไม่กี่ที่นะคะ และครัวเป็นครัวเปิด เห็นการทำงานของเชฟอย่างใกล้ชิดมากกกกกค่ะ ที่สำคัญ...เชฟหล่อโฮกมากกกก (แต่แต่งงานแล้วค่ะ 555 #หัวเราะร่าน้ำตาริน)
สำหรับอาหารของเชฟ Dan Bark ซึ่งเป็นชาวเกาหลี-อเมริกัน เคยเป็น Sous Chef จากร้าน Grace ที่ได้มิชลิน 3 ดาวในเมืองชิคาโก้นะคะ แต่อาหารของที่ร้าน Upstairs at Mikkeller จะเป็นสไตล์ Progressive American โดยเชฟเองใช้เวลาครีเอตคอร์สอาหารเป็นเวลากว่าหนึ่งปี แต่ละจานถูกออกแบบให้เป็น Interactive Dish ที่นอกจากจะได้ชมการปรุงอาหารของเชฟจานต่อจานอย่างใกล้ชิดแล้ว ยังสามารถมีส่วนร่วมกับประสบการณ์แบบใหม่ที่เปิดโอกาสให้ทุกคนได้เลือกผสมผสานอาหารที่ตกแต่งและจัดเสิร์ฟมาอย่างสวยงาม ด้วยการเลือกที่จะคลุกเคล้าทุกอย่างเข้าด้วยกัน หรือเลือกทานเพียงอย่างใดอย่างหนึ่งก็อาจให้รสชาติที่แตกต่างกันไปด้วยค่ะ
เมนูที่เตรียมไว้ให้กินกันวันนั้นค่ะ แต่ก็มีมานอกเมนูอีกนะคะ ที่นี่จะขายเป็นคอร์สเท่านั้นนะคะ
สำหรับรูปแบบของอาหารมื้อนี้จะเป็น Progressive American 10-course tasting menu 3,300++ บ. (ไม่รวมเครื่องดื่ม) โดยเมนูจะเปลี่ยนไปเรื่อยๆ นะคะ ซึ่งเชฟจะเป็นคนกำหนดเองว่าจะทำอะไรให้ แต่จะมีการสอบถามก่อนว่ากินอะไรไม่ได้หรือเปล่า (อย่างที่ไปรอบนี้ก็มีท่านหนึ่งไม่กินเนื้อวัวค่ะ) ร้านนี้จะ เปิดแค่มื้อเย็นวันพฤหัส-ศุกร์-เสาร์ และเห็นว่าต้องจองล่วงหน้ากันเป็นเดือนเลยนะคะ
น้ำดื่มมาก่อนเลยค่ะ เขาให้เลือกระหว่างสติลล์และสปาร์คลิ่ง น้องจั๊กเลือกสติลล์ง่ะ (ที่จริงพี่อยากกิน sparkling 555)
ยี่ห้อเดียวกับรร.เชอราตันที่เราไปกินที่เบซิลเลยนะคะ
สักพักพนักงานก็เอาที่รองโทรศัพท์มาให้ค่ะ ใส่ใจและละเอียดอ่อนดีมาก ชอบ
อันแรกเป็นอมุสบุช นะคะ
ตัวนี้รสเปรี้ยวจะค่อนข้างเด่นกว่ารสอื่น เป็นความเปรี้ยวจากเสาวรสค่ะ แต่ก็มีการทำให้รสกลมนุ่มละมุนขึ้นด้วยความนวลจากครีม ค่อนข้างกระตุ้นน้ำย่อยได้ดีสมกับหน้าที่อมุสบุชนะคะ
จากนั้นพนักงานก็นำเบียร์ลิสต์ที่แนะนำสำหรับการกินแต่ละเมนูมาให้ดูค่ะ (พนักงานบริการด้านบนปกติมี 2 ท่านและเป็นคนแนะนำเบียร์ให้แพร์ริ่งกับอาหารอีก 1 ท่านนะคะ แต่วันนั้นมีเพิ่มอีกหนึ่งท่านค่ะ เพราะแขกเต็มหมดเลย) ซึ่งวันนั้นก็มีสองสามคนที่สั่งเบียร์มาแพร์ริ่งนะคะ แต่เรานี่เจอแก้วเดียวที่ลองชิมตั้งแต่ข้างล่างก็จอดแล้วค่ะ ขับรถมาด้วยง่ะนะ (เพราะฉะนั้นย้ำอีกทีค่ะ ใครมาร้านนี้ไม่เอารถมาน่าจะฟินกว่า เพราะจะชิมเบียร์ได้อย่างปลอดโปร่งและไม่ต้องห่วงเรื่องที่จอดรถด้วยค่ะ)
ต่อไปนอกเมนูค่ะกับ เบคอนมามาร์เลด มีการคลุกกับเบียร์เล็กน้อย มีเมเปิ้ลไซรัปด้วยนะคะ ส่วนตัวแผ่นนั่นคือคีนัวร์ชิปส์นะคะ
อันดับแรกเลยที่เด่นสุดๆ คือ กลิ่นค่ะ กลิ่นพุ่งมาก่อนเลย เป็นกลิ่นสโมคเบคอนหละค่ะ รสชาติก็กำลังดีเลยค่ะ เป็นอีกตัวที่เรียกน้ำย่อยได้ดีนะคะ เรียกว่าเป็นเมนูยั่วน้ำย่อยจริงๆ เลยค่ะ 555
เมนูต่อไป เชฟเรียกว่า IKURA ค่ะ
ซึ่งแน่นอนว่ามีอิคุระหรือไข่ปลาแซลมอนนะคะ นอกจากนั้นก็ยังมีบลูเบอร์รี่ น้ำกระเจี๊ยบโฟรเซ่น และมีโยเกิร์ตอยู่ด้านล่างค่ะ ตอนแรกจะเห็นว่าเสิร์ฟมาแบบไม่มีนมก่อน จากนั้นพนักงานก็จะมารินไธม์มิลค์ใส่ลงไปให้ค่ะ
ก่อนอื่นเลยคือ เมนูนี้เด่นมากเรื่องเทกซเจอร์ค่ะ หลากหลายมาก ทั้งความเต่งแตกโป๊ะของไข่แซลมอน แถมมีความหนึบของสาคูแทรกมานิดๆ ความกรอบของชิปส์ ส่วนตัวรสชาติก็ผสานกันมาทั้งรสเค็มของไข่แซลมอน ความเปรี้ยวของกระเจี๊ยบ เปรี้ยวอมหวานของบลูเบอร์รี่ และความหอมมันของไธม์มิลค์นะคะ กินไปสามเมนูรู้สึกเลยว่าเชฟคนนี้ชอบการผสานของหลายอย่างทั้งเทกซเจอร์และรสชาติค่ะ แต่ละเมนูจะไม่มีอะไรอย่างใดอย่างหนึ่งโดดๆ เลย น่าจะเป็นคนที่ค่อนข้างชอบความหลากหลายนะคะนี่
จากนั้นก็เป็นอีกเมนูค่ะ (แต่ละเมนู พนักงานจะเปลี่ยนอุปกรณ์กันตามเมนูเลยนะคะ)
ตัวนี้คือเมนู CARROT ค่ะ
จะเห็นว่ามีวัตถุดิบหลักคือเบบี้แคร์รอทซึ่งมีการปรุงและทำด้วยหลากหลายวิธีค่ะ (ทำทั้งหมด 7 วิธี) มีทั้งทำเป็นพาวเดอร์ ต้ม ฯลฯ และมีนมแพะรวมทั้ง fennel ด้วยค่ะ
ตัวนี้จะว่าไปก็กึ่งๆ สลัดกรายๆ หละค่ะ รสชาติของจานนี้ยังคงผสมผสานกันหลายรส มีทั้งเปรี้ยว หวาน มัน นวล อร่อยนะคะ กินคำหนึ่งก็ได้รสแบบหนึ่ง สนุกลิ้นและความรู้สึกมากๆ 555
ต่อไปมีคั่นนอกเมนูเช่นเคยค่ะ (น่าจะเอามาปรับลิ้นกระมัง)
Brioche Buns พร้อมแยมน้ำมันมะกอกและเนยแบล็คลาวาซอส นะคะ
ก่อนอื่นเลยที่กรี๊ดสุดคือขนมปังค่ะ อร่อยมากกกกก อร่อยเวอร์วังจนอยากยุให้เปิดเบเกอรี่ 555 ขนมปังเนื้อนุ่มขั้นสุด แน่นแต่ไม่แข็ง หอมนุ่มชุ่มเนยเลยค่ะ
แล้วทั้งเนยและแยมก็ดีงามมาก เนยนี่แบบอย่างชุ่มหอม เต็มความเป็นเนยมากๆ แยมก็หวานอ่อนๆ หวานแบบนวลๆ มีกลิ่นหอมกำลังดี
เป็นเมนูเสริมที่ถูกจริตเรามากค่ะ อร่อยหละ ช้อบ ชอบ
Seafood Bisque
ตัวนี้มีคนเชียร์ให้แพร์ริ่งกับเบียร์มะกรูดตามภาพนี้นะคะ บอกว่าเข้ากันมากๆ
เมนูนี้รสเค็มจะเด่นขึ้นมาก่อนค่ะ (แต่ไม่ได้โดดนะคะ) กลิ่นดีมาก ซีฟู้ดชัดมากๆ ค่ะ กุ้งสดหวานดีนะคะ มีไรซ์ชิปเพิ่มเทกซเจอร์เวลากิน และมีการผสานรสอื่นๆ ด้วยค่ะ (ในลิสต์บอกว่ามีผสมมะละกอ ฝรั่งและเห็ดชิเมจิ (เป็นชิเมจิรมควัน) ด้วยค่ะ และพนักงานแจ้งว่ามีไวท์ไวน์ด้วยนะคะ)
Cauliflower มีใบชะพลู องุ่น กะเพรา ข้างในจะมีน้ำมะนาวเพิ่มความเปรี้ยวแกมมา และมีเมอแรงค่ะ
เราชอบการพรีเซนต์เตชั่นอาหารของที่นี่จัง สวยอ้ะ 555
ตัวนี้ค่อนข้างมีความหลากหลายมากเลยค่ะ ทั้งรสชาติและเทกซเจอร์ ตัวครีมเหลืองๆ นั่นมีรสเผ็ดซ่าหน่อยๆ ด้วยนะคะ ซึ่งพนักงานบอกว่าเป็นผงกะหรี่หละค่ะ ตัว cauliflower เองก็หวานอ่อนๆ สรุปแล้วมีทั้งหวาน เปรี้ยว เผ็ด หลากหลายค่ะ 555
สักพัก โต๊ะที่จองไว้ก็เริ่มมากันค่ะ แล้วพอแขกชุดเดิมไป สักพักชุดใหม่ก็มานะคะ เพราะฉะนั้นถ้าใครไปเย็นวันเสาร์ แนะนำให้จองล่วงหน้าค่ะ เพราะมีโอกาสเต็มสูงเลยแหละ
ต่อไปเป็นเมนู Super Wow ของเราในมื้อนั้นนะคะกับ Wagyu Beef
ทำมาแบบ medium rare นะคะ แบบที่เราชอบเลย
คุยกับเชฟ เชฟบอกว่าเป็นเนื้อวัวจากมิซากิ (หรือน่าจะมิยาซากิค่ะ เพราะมิยาซากิจะดังมากเรื่องเนื้อเอสี่ อย่างที่เรากินที่ Rokkasen (คลิกเพื่ออ่าน) ก็ใช้เนื้อนี้นะคะ) โดยเชฟเลือกเนื้อเอสี่เพราะทำแล้วเหมาะกว่าเอห้าในการปรุงอาหาร ซึ่งก่อนจะคุยและรู้ข้อมูล ขอบอกก่อนว่าตอนเรากินนี่แบบ...อย่างฟิน อร่อยมากกกก เนื้อนุ่ม มีรสและกลิ่นของเนื้อที่พอดิบพอดีมาก นุ่มแต่ก็ไม่ถึงกับไม่มีเทกซเจอร์ในการเคี้ยวนะคะ เคี้ยวแบบกอดฟันกำลังดีเลยค่ะ ตัวซอสเองก็ช่วยชูรสชาติเนื้อได้ดีมาก แม้ว่าซอสเองรสชาติจะดีแต่ก็ไม่กลบรสเนื้อ กุ้ยช่ายผงและดอกกุ่ยช่ายเล็กๆ ก็แอบส่งกลิ่นและรสแบบเบาๆ เหมือนตัวประกอบที่มาในจังหวะที่ดีค่ะ ตัวทรัฟเฟิลก็ส่งรสและกลิ่นที่กำลังพอดิบพอดีมาก แน่นอนว่าฟินมาก ฟินจนเชฟเห็นและผู้จัดการร้าน (aka ภรรยาเชฟ ) บอกว่าเชฟดีใจมากที่เห็นอาการเรา (แบบว่า...ป้าก็ออกนอกหน้าเกินไปนะป้านะ 555)
สำหรับใครที่กินเนื้อไม่ได้ ก็จะเป็นฮอกไกโดสแกลล็อปแทนนะคะ แต่ไม่ได้ถามคนกินนะคะว่าเป็นไงบ้างค่ะ
ต่อไปเป็นซุปค่ะ Tortellini มาด้วยอุปกรณ์แบบนี้นะคะ เชฟได้แรงบันดาลใจมาจากเครื่องชงกาแฟของญี่ปุ่นหละค่ะ
VIDEO
จะเห็นตามคลิปนะคะว่าจะมีการทำให้ตัวน้ำซุปขึ้นไปคละเคล้ากับพวกเครื่องเทศต่างๆ ด้านบนค่ะ จากนั้นก็จะไหลกลับลงมา จากนั้นก็จะมีการเสิร์ฟชามซุปซึ่งจะมีที่เป็นเหมือนเกี๊ยวอยู่แล้วก็รินน้ำซุปที่ผ่านขั้นตอนดังกล่าวลงไปค่ะ
รสชาติจะออกแนวกึ่งๆ ระหว่างซุปใสของทางตะวันตกกับซุปแบบเอเชียค่ะ รสชาติไม่เชิงเบานะคะ แต่ออกแนวอ่อนๆ ค่ะ ตัวเกี๊ยวอร่อยหละ
ต่อไปเป็นอีกหนึ่งเมนูที่ดีเกินคาดมาก และค่อนข้างแปลกใจที่เชฟเลือกให้เราได้กินกันหลังเนื้อวัวนะคะ (ปกติที่อื่นจะเสิร์ฟเนื้อหลังเป็ดมากกว่าน่อ)กับเมนู Duck ตัวนี้ทำมาจากหลายส่วนของเป็ดค่ะ หลักเลยคืออกเป็ด ที่นำไปซูวีให้นุ่ม รองด้วยมันฝรั่งบดที่เนี้ยนเนียน และมีหนังเป็ด กรอบกับขาเป็ด ที่นำไปคลุกกับมันเป็ดด้วยค่ะ มีโอลีฟทำที่ทำเป็นซอส และมี Leek Gel เพิ่มรสชาติ แต่ตัวนี้จะยังมีความคลาสสิคจากการใช้ซอสส้มด้วยนะคะ (อย่างที่บอกว่าส่วนใหญ่อาหารของเชฟจะเน้น progressive น่ะค่ะ) ซึ่งตัวส้มนี่นอกจากซอสแล้วก็มีมาร์มาเลดและส้มสดอยู่ด้วยนะคะ
เป็ดนุ่มมากกกกกกกกกก และไม่มีกลิ่นเลยอ้ะ แตกต่างจากที่เคยกินๆ มาเลยค่ะ ซอสส้มก็ไม่ปรี๊ดเกินอีกเช่นกัน (เราว่าเชฟเก่งที่บาลานซ์รสได้ดี ไม่กลบวัตถุดิบหลักที่ควรชูเลยสักจานนะคะ) เป็นจานที่ดีอีกจานเลยค่ะ ถ้าใครที่กินเนื้อวัวไม่ได้ กินตัวนี้ก็ยังดีงามอยู่นะคะ
แอบถ่ายเชฟกับภรรยาค่ะ น่ารักทั้งคู่เลย
หมดคาวแล้ววววววววววววววว
คั่นกันด้วยตัวนี้ค่ะ Apple พรีเซนต์เตชั่นชนะเลิศอีกแระ 555 (นี่ถ้าเป็นเซอร์ไพรซ์ขอแต่งงาน ต้องมาตอนเสิร์ฟเมนูเน้ อิอิ)
ข้างในเป็นน้ำแอปเปิ้ลสดเย็นๆ เคลือบด้วยไวท์ช็อกโกแลต เวลากินเอาเข้าปากแล้วปิดปากก่อนเริ่มเคี้ยวนะคะ ไม่งั้นน้ำแอปเปิ้ลอาจจะพุ่งออกมาได้ 555
เป็นเมนูล้างปากก่อนจะถึงของหวานจริงๆ หละค่ะ รสชาติเปรี้ยวแกมหวานและสดชื่นดีนะคะ อร่อยหละ
ของหวานเมนูแรกค่ะ (ใช่ค่ะ ของหวานมีสองเมนูนะคะ) กับ Longan
ตัวลำไยจะนำมาทำสามแบบค่ะ คือ ไอศกรีม โมจิ และลำไยสด มีซอร์เบย์มัลเบอร์รี่ มีพิตตาชิโอแครกเกอร์ และตอนก่อนจะกินจะมีการเติมนมข้าวคั่วให้ด้วยค่ะ
ลำไยสดนี่ดีนะคะ หวานเย็น ตัวโมจิหนึบหนับมาก หลายคนชอบเลย และมีความเปรี้ยวนิดๆ แต่กินๆ ไปรู้สึกว่ามีอย่างหนึ่งที่ไม่เข้ากับเมนูนี้ค่ะ แต่ไม่แน่ใจว่าม้ันคืออะไรง่ะ
ปิดท้ายด้วยอีกหนึ่งเมนูของหวานค่ะ กับ Chocolate
ทำมาจากดาร์กช็อกโกแลตจากเปรูค่ะ และมีการใส่ใบชาเพิ่มความขมไปด้วยนะคะ (ตัวที่เป็นเส้นๆ) มีช็อกโกแลตเมอร์แรง ส่วนที่เป็นทรงกระบอกนั่นเป็น banana tube นะคะ ด้านในจะเป็นโยเกิร์ตผสมรัม (พอเคาะแล้วก็จะไหลออกมาค่ะ) และมีแยมแครนเบอร์รี่แซมๆ อยู่ด้วยนะคะ
เมนูนี้เรียกว่าค่อนช้างออกแนว Bitter Sweet ค่ะ ซึ่งเป็นรสของของหวานที่เราไม่ค่อยถูกจริตเท่าไหร่ แหะๆ (ชีวิตก็ขมขื่นพอแล้ว #ดราม่าได้อีกป้า) แต่สาวกดาร์กช็อกฯ น่าจะฟินกันนะคะ โดยรวมแล้วเราว่าสำหรับเชฟ...ของคาวเด่นกว่าของหวานค่ะ ถูกจริตเรามากกว่าง่ะ
จบทุกเมนูแล้วก็ขอถ่ายรูปเชฟและคุณเฟย์ ผู้จัดการร้าน (และภรรยาเชฟ) นะคะ น่ารักทั้งคู่เลยค่ะ เฟรนด์ลี่สุดๆ
และนี่คือรูปหมู่ของอีลิทวงในที่ไปร่วมงานวันนั้นค่าาา
ก่อนกลับทางร้านมีขนมให้ติดไม้ติดมือกันด้วยค่ะ (บางคนก็กินเลย ส่วนข้าพเจ้านั้นกินไม่ไหวแล้วววว อิ่มเวอร์วัง) มีคำแนะนำให้กินอะไรก่อนหลังด้วยนะคะ อิอิ
ส่วนนี่เป็นค่าเสียหายเบียร์สองแก้ว (เรากับพี่แหม่ม) ที่ดื่มกันที่ด้านล่างค่ะ รับบัตรเครดิตโดยไม่มีชาร์จนะคะ
สรุปสำหรับที่นี่นะคะ
เราค่อนข้างชอบการสร้างสรรค์เมนูของเชฟที่มีความแปลกใหม่แต่ยังคงไว้ซึ่งรสชาติที่ดีนะคะ อาจจะไม่ใช้รสชาติที่คุ้นเคยหรือคลาสสิคแบบที่เรากินๆ กัน แต่ก็อร่อยไปในแบบที่สร้างความตื่นลิ้นได้ดีค่ะ ประทับใจมากกับเมนูหลักทั้งคู่ทั้งเนื้อวากิวและเป็ดที่ทำออกมาได้ดีมากๆ จริงๆ พนักงานบริการดีมาก เอาใจใส่และให้ข้อมูลดีมากค่ะ (แม้จะให้ข้อมูลแบบมีศัพท์ภาษาอังกฤษปนมาด้วยตลอดก็ตาม 555) สรุปแล้วเป็นอีกร้านที่ได้ดาวมิชลินที่ไม่ผิดหวังนะคะ
อ้อ ถ้าใครไป แนะนำให้เผื่อเวลาหน่อยนะคะ ค่อนข้างใช้เวลาในการกินพอควรเลย อย่างโต๊ะเราวันนั้นกินกันจนถึงสี่ทุ่ม (แต่ได้ข่าวว่าโต๊ะอื่นเขาลุกกันไปก่อนโต๊ะป้านะ สามทุ่มก็ครบกันแล้ว) ยังไงก็จะใช้เวลาราวๆ 3 ชม.ค่ะ เพราะจะไล่เสิร์ฟเป็นคอร์สๆ นะคะ
เมนูแนะนำ : Wagyu Beef / Duck
ปฏิทินธรรม
วันอาทิตย์ที่ 1 เมษายน 2561 (ปกติกิจกรรมจัดทุกวันอาทิตย์แรกของเดือน แต่เดือนมกราคม จะจัดวันปีใหม่) 1.ทำบุญกับพระกรรมฐานสายพระอาจารย์มั่น ภูริทัตโต ณ มูลนิธิพระอาจารย์มั่น ภูริทัตโต ถ.จรัญสนิทวงศ์ซอย 37 เวลา 06.30-10.30 น. ดูรายละเอียดพระที่มารับบาตรและแผนที่ได้ที่ https://www.watpa.com/board_detail.asp?board_id=3447
2. งานไถ่ชีวิตโคกระบือ ทุกวันอาทิตย์แรกของเดือนณ. วัดพระศรีมหาธาตุวรมหาวิหาร เขตบางเขน กรุงเทพฯhttps://web.facebook.com/bogboon/photos/a.614964165213890.1073741836.335629013147408/540852169291757/
วันพุธที่ 4 เมษายน 2561
1. ฟังธรรมพระอาจารย์บุญมี ธัมมรโต วัดป่าศรัทธาถวาย จ.อุดรธานี
ณ ชมรมพระพุทธศาสนา บริษัท เอไอเอ จำกัด ชั้น 8 อาคาร เอไอทาวเวอร์ ถ.สุรวงค์
วันพฤหัสบดีที่ 5 เมษายน 2561
1. บำเพ็ญกุศลปัญญาสมวาร ครบ 50 วัน การละสังขาร น้อมถวายองค์หลวงปู่เปลี่ยน ปัญญาปทีโป
ณ วัดอรัญญวิเวก (บ้านปง) จ.เชียงใหม่
วันเสาร์ที่ 7 เมษายน 2561
1. ทำบุญตักบาตร ณ วัดพุทธบูชา (กิจกรรมจัดทุกวันเสาร์แรกของเดือน)
วันอาทิตย์ที่ 8 เมษายน 2561
1. พระอาจารย์มานพ อุปสโม ศูนย์ปฏิบัติธรรมเฉลิมพระเกียรติ เขาดินหนองแสง จ.จันทบุรี
แสดงธรรมและนำปฏิบัติกรรมฐาน
ตั้งแต่เวลา 9.30-13.30 น. พัก 11.00-12.00 น.
ณ ศาลาไตรสิกขา บ้านจิตสบาย พุทธมณฑลสาย 2
วันอาทิตย์ที่ 14 และ 28 เมษายน 2561 (กิจกรรมจัดทุกๆ วันอาทิตย์ที่ ๒ และ ๔ ของเดือน) 1. ทำบุญ ฟังธรรม จากครูบาอาจารย์พระป่าสายกัมมฐาน ณ ศาลาลุงชิน แจ้งวัฒนะ 14 กิจกรรมจะเริ่มจากการถวายภัตตาหารร่วมกันเวลา ๘:oo น. สำหรับท่านที่สนใจนำอาหารมาร่วมทำบุญ แนะนำให้มาก่อนเวลาเพื่อจัดเตรียมอาหารใส่ภาชนะ ซึ่งจะเริ่มลำเลียงถาดอาหารเพื่อเตรียมประเคนเวลาประมาณ ๗:๔๕ น. ดูรายละเอียดเพิ่มเติมที่ https://www.facebook.com/SalaLungChin?fref=ts
วันอาทิตย์ที่ 21 เมษายน 2561 (จัดทุก อาทิตย์ที่สามของเดือน)
1. 19 มีนาคม- ตักบาตร พระกัมมัฏฐาน และ ฟังพระธรรมเทศนา เวลา 7.00 น.
ณ ชมรมกลุ่มพุทธธรรมลานทอง หมู่บ้านลานทอง อ.ปากเกร็ด จ.นนทบุรี
วันเสาร์ที่ 28 เมษายน 2561 (กิจกรรมทุกเสาร์ที่ 4 ของเดือน)
1. ทำบุญตักบาตร ถวายภัตตาหารโดยพระเถระวัดป่ากรรมฐาน
เมตตารับบาตรโดย
เวลา ๐๗.๐๐-๑๐.๐๐ น. ณ ศาลาปันมี มูลนิธิบ้านอารีย์
วันเสาร์และอาทิตย์ที่ 28 และ 29 เมษายน 2561 (ทุกเสาร์และอาทิตย์สุดท้ายของเดือน)
1. งานบุญประจำเดือน (ทุกเสาร์และอาทิตย์สุดท้ายของเดือน) ทำบุญบำรุงรักษาสวนแสงธรรม และถวายปัจจัยร่วมสร้างพิพิธภัณฑ์ธรรมเจดีย์ หลวงตาพระมหาบัว ญาณสัมปันโน ณ วัดป่าบ้านตาด
ณ สวนแสงธรรม พุทธมณฑล สาย 3 แขวงบางไผ่ เขตบางแค กรุงเทพมหานคร
วันอาทิตย์ที่ 29 เมษายน 2561
1. พระภาวนาเขมคุณ วิ. (หลวงพ่อสุรศักดิ์ เขมรังสี) วัดมเหยงคณ์ จ.อยุธยา อบรมปฏิบัติธรรม
ตั้งแต่เวลา 15.00 - 16.30 น.
ณ ศาลาไตรสิกขา บ้านจิตสบาย พุทธมณฑลสาย 2
ขอบคุณทุกท่านที่แวะมาค่ะ1469696+6063954=7533650/13182/1642
อ่านทีหลัง