เอมิลยอดนักสืบ : Erich Kastner
“ถ้าไม่ลำบากก็ไม่ได้อะไรมา” -ป้ามาร์ธา- . .
เอมิล ต้องเดินทางไปเยี่ยมคุณยายและนำเงินที่คุณแม่ฝากไว้ไปให้คุณยาย เด็กชายนั่งรถไฟเพียงลำพังจากเมืองนอยซ์ดัตช์ไปยังกรุงเบอร์ลิน ระหว่างทางได้พบเจอคนรู้จักและคนแปลกหน้า เอมิลเผลอหลับไปวูบหนึ่ง แต่ตื่นมาก็ต้องเจอเรื่องเศร้าใจยิ่งกว่าเรื่องร้ายในฝันเมื่อกี้ เพราะเงินที่ติด ตั ว ม า ด้ ว ย ห า ย ไ ป !!!!
เอมิลสงสัยว่า ชายไว้หนวดสวมหมวกที่ชื่อ กรุนไดส์ คนที่นั่งตรงข้ามกันในตู้รถไฟ และทำทีมาตีซี้เขาเมื่อกี้เป็นผู้ขโมยไป เอมิลลงรถไฟและไล่ตามชายคนนั้นอย่างไม่คลาดสายตา เอมิลคิดถี่ถ้วนแล้วว่าคำพูดของเด็กคงไม่มีน้ำหนักเท่าผู้ใหญ่ตัวโต ถ้าเมื่อกี้เขาดึงสัญญาณเตือนภัยในรถไฟให้ จนท.มาช่วย แต่ถ้าไม่มีใครเชื่อเขา กลายเป็นว่าเขาต้องเสียเงินไปกับค่าดึงสัญญาณฉุกเฉินโดยพลการแทนหรือเปล่า? หรือตอนนี้ถ้าเขาตะโกนขอความช่วยเหลือ แล้วโจรโบ้ยว่าเขาเป็นเด็กเลี้ยงแกะล่ะ? และเอมิลก็ขยาดตำรวจเพราะตนเคยไปก่อเรื่องซุกซนเอาไว้ จึงต้องไล่ตามโจรและหอบหิ้วกระเป๋าสัมภาระและช่อดอกไม้ที่จะให้คุณยายไปอย่างทุลักทุเล ระหว่างทาง เอมิลได้เจอกับ กุ๊สต๊าฟ เด็กชายรุ่นเดียวกับเขา หลังจากกุ๊สต๊าฟได้รู้เรื่องทั้งหมดจึงขออาสาและรวบรวมเพื่อนๆ กลุ่มใหญ่มาช่วยให้เอมิลปฏิบัติการจับโจรให้สำเร็จ . ทีมเวิร์กที่มีประสิทธิภาพย่อมก่อให้เกิดความสำเร็จ และสิ่งที่จะต่อกรกับผู้ร้ายปากแข็งได้คือไหวพริบในตัวเอมิล!
(อีกภาพปกหนึ่งของเอมิล : ภาพจากอินเตอร์เน็ต)
เอมิล ยอดนักสืบ เป็นวรรณกรรมเยาวชนที่เด็กอ่านได้ผู้ใหญ่อ่านดี ( เดี๋ยว..แย่งเด็กอ่านหรือเปล่า^^ ) นอกจากพล็อตสะกดรอยตามจับโจรที่น่าติดตามแล้ว แต่หนังสือเล่มเล็กเล่มนี้ยังทำให้ผู้อ่านอิ่มเอมกับมุมมองเรื่องครอบครัวและมิตรภาพอันน่าประทับใจอีกด้วย
.
ฉากที่เด็กสองคนคือ เอมิล และ ศาสตราจารย์ (เด็กแว่นในกลุ่มของกุ๊สต๊าฟที่มีนิสัยเหมือนคุณครู เพื่อนๆ จึงเรียนเขาว่าศาสตราจารย์) พูดคุยกันเรื่องที่บ้าน เอมิลรับรู้เรื่องเงินของที่บ้านจนชิน เพราะบ้านเขาไม่ค่อยมีตังค์ แม่คือฮีโร่ที่มีเงินไว้สำหรับเรื่องของเอมิลได้ทุกครั้ง แม้ในยามที่รายจ่ายในบ้านพร่องก็ตาม แม่มักจะให้เอมิลไปสนุกกับเพื่อนๆ ได้ถึงมืดค่ำ ไม่ต้องมาพะวงกับที่บ้าน แต่เอมิลมักจะกลับก่อนเวลาเพื่อจะได้มากินมื้อเย็นพร้อมแม่ เพราะเอมิลรู้ว่าแม่คงเหงา เขาเองก็เช่นกัน และสังเกตเห็นรอยยิ้มดีใจของแม่ทุกครั้งไป . ส่วนบ้านของ ศาสตราจารย์นั้นแทบตรงข้ามกับเอมิลเลย ที่บ้านเขาไม่เคยพูดคุยเรื่องเงินให้ผ่านหู แต่ต่างคนต่างอยู่ ไม่ค่อยได้เจอหน้าพร้อมเพรียงกัน แม้จะรักกันชอบกันแต่ก็ต่างคนต่างไป เขาจึงรู้สึกว่าชีวิตของเอมิลดูสมบูรณ์แบบเพราะ ”การอยู่พร้อมหน้ากันจะไม่ทำให้เราสูญเสียสิ่งใดไป”
.
และเราก็ยังชอบวิธีคิดในเวลาต้องตัดสินใจโดยลำพังของศาสตราจารย์ซึ่งเป็นสิ่งที่เขาได้จากพ่อมา ที่ว่า “ลูกจงคิดว่าจะทำเหมือนกับเวลาที่พ่อยืนอยู่ข้างๆ”
**หมายเหตุ : เวอร์ชั่นที่นำมารีวิวเป็นหนังสือแปลในเวอร์ชั่นพิมพ์เก่า ซึ่งในเวอร์ชั่นใหม่อาจมีการแปลชื่อ และสำนวณที่ต่างไปจากเดิมอยู่บ้าง
(ชอบรูปปกเวอร์ชั่นนี้จัง ดูเก๋ดี : ภาพจากอินเตอร์เน็ต)
เอมิล ยอดนักสืบ แปลจาก Emil und die Detektive (Emil and the Detectives) (1929) ผู้เขียน : แอริค เคสต์เนอร์ ผู้แปล : บันลือ ถิ่นพังงา สนพ. : บรรณกิจ ผู้แปลเวอร์ชั่นพิมพ์ปัจจุบัน : ชลิต ดุรงค์พันธุ์ สนพ. : แพรวเยาวชน
Create Date : 24 ตุลาคม 2564 |
Last Update : 24 ตุลาคม 2564 13:28:07 น. |
|
39 comments
|
Counter : 7235 Pageviews. |
|
|
ถ้าเป็นสมัยนี้ อย่างน้อยก็คงมีกล้องวงจรปิดนะคะ อิอิ
------------------
เรื่องนัดหมอแมว ...
ของที่บ้าน รพ. เขาจะโทรมาเตือนก่อนวันนัดทุกครั้ง
ไม่พลาดแน่นอนค่ะ