สัตว์เล็กในป่าใหญ่ - บทที่ 14




จันทร์ครึ่งดวงลอยอยู่บนท้องฟ้าคืนที่อบอุ่นของฤดูใบไม้ผลิ สาดส่องแสงริบหรี่ลงมาบนใบไม้แรกผลิของป่ามอสส์ฟลาวเวอร์ นางสุนัขจิ้งจอกฟอร์จูนาต้าซึ่งไม่สนใจใยดีกับผืนป่าซึ่งเป็นทุ่งหญ้าสีเขียวเข้มแตะแต้มดารดาษไปด้วยดอกบลูแบลสีฟ้าและดอกนาซิสซัส หยุดเดินโดยกระทันหันพร้อมกับยกมือขึ้นเป็นสัญญานให้เงียบเสียง เจ้าตัววีเซอร์ทั้งสองคือเจ้าบร๊อคค์และสแครชยั้งตัวไม่ทันจึงชนนางเข้าโครมใหญ่ ส่วนตัวพังพอนและวีเซอร์ก็เดินชนกันเองเพราะความง่วง

นางฟอร์จูนาต้าแยกเขี้ยวด้วยความโกรธ “ยืนเฉยๆเป็นไหม? ข้าได้ยินเสียงอะไรบางอย่าง”

ทั้งกลุ่มกลั้นลมหายใจและพยายามเงี่ยหูฟังอย่างตั้งอกตั้งใจ สแครทช์ทำโล่ห์ที่ถืออยู่หลุดมือตกลงบนพื้นดังโครม ทำให้สัตว์ตัวอื่นๆกระโดดโหยงด้วยความตกใจกลัว นางสุนัขจิ้งจอกส่งเสียงด่าออกมา แต่สแครทช์ทั้งเหนื่อยและเบื่อหน่ายที่จะต้องฟังแต่คำสั่งให้ทำโน่นทำนี่อยู่ตลอดเวลา

“เฮ้ แล้วเป็นไงล่ะ? เรามาทำงานบ้าๆอะไรในป่านี้ หึหึ แบกย่ามแถมใส่เสื้อเกราะเดินไปเดินมากันทั้งวันโดยไม่ได้กินอะไรเลย ไม่มีสิ่งมีชีวิตอยู่ที่ไหนเลยในป่านี้ มีก็แต่รอยเท้าของพวกเราที่เดินวนไปเวียนมาเท่านั้นแหละ เรามาทำอะไรกันที่นี่น่ะ ไหนช่วยบอกข้าหน่อยซิ?

พวกทหารต่างส่งเสียงพึมพำเป็นเชิงเห็นด้วย นางสุนัขจิ้งจอกผู้กลัวว่าพวกมันจะคิดกบถรีบเข้ามาแก้ไขสถานการณ์ทันที “พวกเจ้าจงฟังข้า ลองคิดดูสิว่าอะไรจะเกิดขึ้นถ้าพวกเจ้ากลับไปที่ปราสาทโกร์ตีมือเปล่า พวกเจ้าคิดหรือว่าราชินีทซาร์มีน่าจะต้อนรับขับสู้พวกเจ้าโดยพูดว่า ‘โอ้ ข้าสงสารพวกเจ้าจริงๆ พวกเจ้าไม่พบพวกสัตว์ในป่าบ้างเลยหรือ? แต่ก็ไม่เป็นไรหรอกนะ เข้ามาข้างในแล้วถอดเสื้อเกราะออกเสีย มาผิงไฟให้อุ่นแล้วก็กินข้าวกินปลาเสียสิ ‘ ”

เจ้าทหารเฟอร์เร่งี่เง่าตัวหนึ่งยิ้มเผล่ด้วยความหวัง “โอ้ ดีจังเลย”

ก่อนที่นางฟอร์จูนาต้าจะพูดอะไรที่แย่ๆกับทหารผู้นั้น นางก็ได้ยินเสียงดังมาอีกครั้งหนึ่ง

“จุ๊จุ๊ !! ได้ยินเสียงนั่นไหม กำลังมุ่งหน้ามาทางนี้ ตอนนี้เป็นโอกาสของพวกเจ้าแล้วที่จะทำงานให้สำเร็จ พวกเจ้าทั้งหมดเข้าไปซ่อนตัวตรงหลังต้นไม้และแถวพุ่มไม้โน่น พอข้าให้สัญญาณจึงค่อยออกมา หวดพวกมันด้วยด้ามหอก โล่ กิ่งไม้ อะไรก็ได้ ข้าต้องการจับเป็นพวกมัน เร็ว!!! มันมากันแล้ว รีบเข้าไปซ่อนเร็ว!!”

ทันทีที่พวกทหารหายตัวไปหลังพุ่มไม้ ก้อนเมฆก็เคลื่อนตัวมาบดบังแสงจันทร์เสียสิ้น และในขณะเดียวกันก็ปรากฏเงามืดๆของอะไรอย่างหนึ่ง

นางสุนัขจิ้งจอกวิ่งพลางตะโกนพลางว่า “ทหาร!! ออกมาจัดการกับพวกมันเลย!!

พวกทหารพากันกระโดดออกมาจากที่ซ่อนแล้วเผ่นเข้าใส่ผู้บุกรุกพร้อมกับส่งเสียงคำรามขู่ขวัญไปด้วย แล้วทั้งต่อย เตะ กัด ข่วนศัตรูเต็มแรง ในอากาศเต็มไปด้วยเสียงชกต่อยโครมครามและ เสียงกรีดร้องด้วยความเจ็บปวด นางฟอร์จูนาต้าซึ่งรู้สึกตื่นเต้นกับความสับสนวุ่นวายของการลอบโจมตีของพวกทหาร คว้าได้ร่างที่อยู่ใกล้ตัวที่สุดแล้วใช้ไม้ที่ถืออยู่ฟาดเข้าไปอย่างแรงโดยไม่ปราณีปราศัย ทแวค ปัง ปัง แครก!!!

“โอ๊ย อ๊าว อู้ว์ ช่วยด้วย!!!”

นางฟอร์จูน่าเพิ่งจะรู้ว่าร่างที่นางกระหน่ำตีนั้นคือเจ้าแอชเลคก็หลังจากที่นางเตะมันเต็มเหนี่ยวจนขาไม้ของมันแตกออกเป้นเสี่ยงๆและเกือบจะฆ่ามันตายเสียแล้ว

“หยุด! เลิกเดี๋ยวนี้ ไอ้พวกโง่ เรากำลังสู้กันเอง!” นางร้องตะโกนสุดเสียง

ตอนที่เมฆที่บดบังแสงจันทร์อยู่ลอยพ้นไป บริเวณนั้นก็สว่างขึ้นทำให้เห็นสภาพที่น่าสมเพชจากการต่อสู้กันเองได้ชัดเจน พวกทหารโกร์ตีนั่งอยู่บนพื้นดินและร้องครวญครางอย่างน่าเวทนา บางตัวขาหัก และบางตัวก็แขนหัก หัวปูดหัวโน ตามเนื้อตัวมีรอยฟกช้ำดำเขียว และบางตัวก็มีรอยขูดข่วนตามร่างกาย
แอชเลคซึ่งนั่งอยู่บนพื้นดินกำลังประคับประคองขาข้างที่หัก

“ไอ้โง่ ไอ้หัวตะปุ่มตะป่ำ นังกะเทยหมาจิ้งจอก แก…แก..!”
“เอ้อ..ขอโทษทีนะ แอชเลค ข้าจะรู้ได้อย่างไรล่ะว่าเป็นเจ้า? ทำไมเจ้าไม่ส่งสัญญาณก่อนเข้ามาล่ะ?”
“สัญญาณ!! ชะชะ นังหัวไม้!! นี่ไงล่ะสัญญาณ!!”
เจ้าตัวมาร์เต็นขว้างขาไม้ที่หักไปโดนปลายจมูกของนางฟอร์จูนาต้าอย่างจัง
“โอ๊ยยยยย!! ไอ้บ้าจอมบิดเบือน ช่วยไม่ได้หรอกนะ เกิดความผิดพลาดขึ้นเพราะพวกเราคิดว่าเจ้าเป็นสัตว์ที่อยู่ในป่าน่ะสิ”

แอชเลคใช้มือถูหูที่บวมเป่ง “สัตว์ในป่างั้นหรือ!! อย่ามาอ้างหน่อยเลย เราเดินลาดตระเวณอยู่ในป่านี้จนเท้าระบมโดยไม่พบร่องรอยแม้แต่หนูสักตัว ไม่พบแม้แต่ขนสักเส้นจากหางของกะรอกหรือเมือกจากหลังของตัวนาก”

นางสุนัขจิ้งจอกกระแทกตัวลงนั่งข้างๆเจ้าแอชเลคอย่างอารมณ์ไม่ดี “พวกเราก็ไม่พบร่องรอยอะไรเหมือนกันแหละ เจ้าคิดว่าสัตว์พวกนั้นหายไปไหนกันหมด?”
“เฮอะ คอยดูสิ นางทซาร์มิน่าจะต้องถลกหนังหัวพวกเราแน่ๆตอนที่เรากลับไปพบนาง”
สแครทช์โยนหอกไปทางหนึ่งแล้วเดินมาสมทบกับสัตว์ทั้งสอง “ใช่แล้ว เจ้าพูดถูกแล้วละ แต่ตอนสว่างเราอาจจะโชคดีก็ได้นะ ข้าคิดว่าเราควรจะตั้งค่ายพักนอนตรงนี้ พรุ่งนี้เช้าเราอาจจะพอขุดหารากไม้และ
ลูกเบอร์รี่ได้บ้าง”
นางฟอร์จูนาต้าและแอชเลคมองหน้ากัน
“รากไม้และลูกเบอร์รี่……แหวะ!!!”

เจ้าชิบบ์บินวนไปรอบๆยอดโดมของปราสาทโกร์ตียามรุ่งอรุณ ไม่มีอะไรน่าสนใจสำหรับมัน พวกกองทหารยังหลับอยู่ มันสำรวจหน้าต่างแต่ละบานว่ามีอะไรอยู่ภายในบ้าง และเห็นพวกทหารพังพอนที่กำลังนอนกรนสนั่นหวั่นไหว ทหารวีเซอร์ที่กำลังหลับอย่างสบาย และตัวสโต๊ทที่นั่งสัปหงก แม้แต่นางทซาร์มีน่าก็กำลังนอนเหยียดแข้งขาเหยียดขาหลับอย่างสุโขอยู่บนขนสัตว์หนานุ่มในห้องนอนชั้นบน นางพญาแมวป่ากำลังฝันร้ายว่าตกอยู่ในกระแสน้ำ นางพึมพำทั้งๆกำลังหลับ แขนขาขวักไขว่แหวกว่ายอากาศไปมาราวกับกำลังตะเกียกตะกายให้พ้นจากน้ำที่กำลังท่วมหัวท่วมหูอยู่

เจ้าชิบบ์ลงมาเกาะอยู่บนทางเดินใกล้กำแพง มันกินอาหารเช้าไปพลางก็คอยเหลียวซ้ายแลขวาระวังระไวเจ้านกอินทรีย์ไปพลาง อาหารเช้าของมันก็คือลูกกวาดเกาลัดที่เลือกหยิบออกมาจากถุงที่ห้อยคออยู่ มันเลือกเฉพาะลูกกวาดเม็ดเล็กๆที่ขรุขระซึ่งมีน้ำตาลฉาบอยู่เต็มตามรอยแยก มันชอบลูกกวาดแบบนี้มากกว่าเม็ดใหญ่ๆกลมเกลี้ยงที่มีน้ำตาลน้อยกว่า

ชิบบ์สังเกตเห็นว่ามันอยู่ไม่ห่างจากอะไรบางอย่างที่มีลักษณะคล้ายท่อระบายน้ำเท่าไรนัก ท่อที่ว่าเจาะลอดกำแพงออกมาข้างนอกและอยู่ในระดับพื้น มันกระโดดเข้าไปในท่อและสำรวจอย่างสนอกสนใจพร้อมๆกับเคี้ยวลูกกวาดเกาลัดไปด้วย พื้นท่อหรืออุโมงค์นี้ค่อนข้างแห้ง

เจ้านกโรบินเอียงคอไปข้างหนึ่งเพื่อฟังเสียงหายใจหอบๆของอะไรอย่างหนึ่งที่ดังมาจากปลายสุดของอุโมงค์ที่อยู่ลึกลงไป “ฮะแอ้ม…แอ้ม คงมีใครนอนหลับอยู่แหละ”

ชิบบ์เดินลึกลงไปเรื่อยๆจนมาสิ้นสุดลงที่บานลูกกรงเหล็กสามบานที่กั้นปลายอุโมงค์เอาไว้ ตอนนี้มันรู้แล้วว่าที่มันเข้ามานี่ไม่ใช่ท่อระบายน้ำ แต่เป็นหน้าต่างบานบนสุดของห้องขัง มันบินขี้นไปบนขอบแผ่นลูกกรงแล้วมองลงไปในห้องขังและประสานสายตาเข้าพอดีกับแมวป่าผอมโซตัวหนึ่งที่นั่งอยู่บนกองหินที่ชื้นแฉะ

“ฮะแอ้ม..แอ้ม…แอ้ม…เอ้อ…ขอโทษที”
จินจิเวียร์ยกมือขึ้นป้องตาแล้วเงยหน้าขึ้นมองแขกแปลกหน้าของเขา “ได้โปรดเถอะ อย่าเพิ่งบินหนีไป ข้าไม่ทำอันตรายเจ้าหรอก ข้าขื่อจินจิเวียร์”
เจ้าชิบบ์เอียงหัวไปมาด้วยท่าทางอวดเก่ง “ฮะแอ้ม..แอ้ม อย่าโกรธนะถ้าข้าจะบอกว่าสภาพของท่านห่างไกลเกินกว่าจะมาทำอันตรายข้าได้ เอ้อ…อ้า ข้าต้องไปแล้วละ แล้วข้าจะแวะมาเยี่ยมท่านใหม่”

เจ้านกอกแดงรีบถอยออกจากอุโมงค์นั้นอย่างรวดเร็ว มันรู้สึกอ่อนไหวกับสภาพของเจ้าแมวป่าที่จ้องมองมันอย่างแน่วแน่ มันกินลูกกวาดเกาลัดเม็ดสุดท้ายหมดพอดีเมื่อมาถึงทางออก ชิบบ์บินขึ้นแล้วมุ่งตรงไปที่บร๊อคฮอลล์เพื่อรายงานข่าวที่หามาได้

เช้าวันนั้นเบลล่าซึ่งเป็นคนนอนไวตื่นนอนแต่เช้ามืดได้พบกับเจ้าชิบบ์ซึ่งรายงานเกี่ยวกับจินจิเวียร์ที่ถูกจำคุกอยู่ที่โกตีร์ ถึงแม้จะรู้เรื่องนี้มาก่อนแล้วจากมาร์ตินและกอนฟฟ์ แต่มันก็ทำให้เบลล่าฉุกคิดได้ว่าเป็นที่แน่นอนแล้วว่าตอนนี้นางทซาร์มีน่าผู้ชั่วร้าย เป็นผู้มีอำนาจเด็ดขาดแต่เพียงผู้เดียวในการปกครองโกตีร์
ก่อนอาหารเช้ามาร์ตินและเบลล่าออกไปเดินเล่นด้วยกันในป่า นางแบดเจอร์มีเรื่องที่ต้องการปรึกษาหารือกับนักรบมาร์ติน

“มอสฟลาวเวอร์ใกล้จะต้องเผชิญหน้ากับสงครามแล้วละ มาร์ติน ข้ารู้สึกอย่างนั้น ตอนนี้สัตว์ทุกตัวมาอยู่ที่บร๊อคฮอลล์แล้วและคงปลอดภัย แต่ข้าฟังเสียงจากสภาคอริมตอนประชุมกัน พวกกะรอกและพวกนากไม่ต้องการเพียงแค่ต่อต้านคัดค้านการปกครองของพวกแมวป่าที่โกตีร์เท่านั้น แต่พวกเขาคิดว่าเราควรต่อต้านท้าทายอำนาจพวกมันด้วย”

มาร์ตินลูบคลกำดาบหักที่คอแล้วพูดว่า “อาจเป็นความคิดที่ดีก็ได้นะเบลล่า ป่ามอสส์ฟลาวเวอร์เป็นของพวกสัตว์ที่อาศัยอยู่ในนั้น ข้าจะทำทุกอย่างที่ทำได้เพื่อช่วยให้เพื่อนๆของข้าอยู่ในป่านี้ได้โดยไม่ต้องเกรงกลัวอะไร”

“ข้ารู้ว่าท่านช่วยพวกเราแน่ แต่พวกเราก็ไม่เข้มแข็งนัก มีพวกเราไม่กี่คนเองที่เคยฝึกการสู้รบ ถ้านักรบโบอาร์ พ่อของข้ายังอยู่เขาจะต้องเป็นผู้นำในการต่อสู้และพาพวกเราไปสู่ชัยชนะอย่างแน่นอน”

มาร์ตินสังเกตเห็นความเศร้าในดวงตาของนางเบลล่า “พ่อของท่านคงเป็นนักรบที่เก่งกาจ เขายังมีชีวิตอยู่หรือไม่?”

เบลล่ายักไหล่ “ใครจะรู้? เขาดำเนินรอยตามบิดาของเขาเดินทางไปไกลเพื่อการแสวงหานานมาแล้วก่อนหน้าที่เวอร์เดาก้าและพวกของมันเข้ามาถึงป่ามอสส์ฟลาวเวอร์ บาร์คสไตรป์ สามีของข้าถูกฆ่าตายในสงครามครั้งแรกกับพวกที่โกตีร์ และซันแฟลช ลูกชายของข้าก็หายสาปสูญไป สามีข้าเป็นชาวนาไม่ใช่นักรบ
ถ้าเปลี่ยนบาร์สไตรป์ไปเป็นพ่อข้า ข้าแน่ใจว่าเราต้องชนะพวกที่โกตีร์ในตอนนั้นอย่างแน่นอน”

มาร์ตินหันหลังกลับตรงไปที่บร๊อคฮอลล์

นางกู๊ดดี้ยืนอยู่ที่ช่องประตูพลางถูมือไปมาอย่างกระวนกระวายใจ ก่อนจะถึงประตู เบลล่ากระซิบบอกมาร์ตินว่า “อย่าบอกใครเรื่องที่เราคุยกันเมื่อกี้ ข้าจะพูดเรื่องสำคัญกับเจ้าทีหลัง”
มาร์ตินพยักหน้ารับรู้ “ข้าจะคอย ท่านทำให้ข้าอยากรู้แล้วสิ เบลล่า อ้าว กู๊ดดี้ ทำไมท่านดูกังวลจัง มีอะไรหรือ?”
นางกู๊ดดี้ปัดผ้ากันเปื้อนไปมา “อรุณสวัสดิ์ คุณเบลล่า อรุณสวัสดิ์ มาร์ติน ท่านพบเจ้าตัวน้อยสองตัวของข้าในป่าโน่นหรือเปล่า?”
“เจ้าเฟอร์ดี้กับเจ้าค๊อกส์น่ะเหรอ?” เบลล่าส่ายศรีษะปฏิเสธ “ไม่เห็นเลย มีอะไรหรือกู๊ดดี้?”

นางเม่นขบริมฝีปาก “พวกมันไม่ได้นอนในบ้านเมื่อคืนนี้ แถมเค็กข้าวโอ๊ต สองก้อน เนยแข็ง และเครื่องดื่มน้ำแบล็คเคอเรนท์ยังหายไปจากตู้กับข้าวด้วย”
มาร์ตินอดยิ้มไม่ได้เมื่อนึกถึงเจ้าเม่นน้อยสองตัวที่ทำท่าเป็นนักรบ “ทั้งหมดนั่นคืออาหารเช้าของพวกมันหรือ? ถ้ากินเข้าไปหมดคงต้องท้องแตกตายเข้าสักวันหนึ่ง อย่ากังวลเกินไปเลย คุณกู๊ดดี้ ตอนถึงเวลาอาหารกลางวันก็คงกลับมาเองแหละ”

เบน สติคเกิล เดินออกมาสมทบ “ข้าก็คิดเหมือนมาร์ตินแหละ อย่าคิดวุ่นวายให้ปวดหัวไปเลย เจ้าสองตัวนั่นก็เหมือนเห็ดน่ะแหละ มักจะโผล่ขึ้นมาทันเวลาอาหารทุกที”

เบนลงนั่งพิงต้นไม้ต้นหนึ่งแล้วควักกล้องยาเส้นออกมา
กอนฟฟ์และนางสาวโคลัมไบน์เดินออกมาสมทบกับพวกเขา กอนฟฟ์ใช้มือตบท้องตัวเอง
“รีบๆไปกินอาหารเช้ากันเถอะ สหายทั้งหลาย อาหารเกือบหมดแล้วนะ เฮ้ กู๊ดดี้ ข้าได้ยินว่าเจ้าเฟอร์ดี้กับเจ้าค๊อกส์หายไป พวกเราจะช่วยกันตามหาให้นะ อย่าวิตกไปเลย ข้าคิดว่าพวกมันคงไปเล่นฝึกทหารกันอยู่ที่ไหนสักแห่งน่ะแหละ”

นางกู๊ดดี้ผูกปลายเชือกผ้ากันเปื้อนของนางอย่างร้อนใจ “ขอบใจมากนะกอนฟฟ์ โอ้ ข้าหวังว่าพวกมันคงจะไม่มีอันตรายอะไรนะ เบน ลุกขึ้นแล้วไปช่วยกอนฟฟ์กับโคลัมไบน์ด้วย ข้าคงจะไม่มีความสุขเลยจนกว่าจะได้เห็นหน้าพวกมัน”

เบนลุกขึ้นยืนบิดตัวแก้เมื่อย “ตามใจเจ้าเถอะกู๊ดดี้ เจ้าทั้งสองไปด้วยกันกับข้า”
เบลล่าปลอบว่า “อย่าเพิ่งตีตนไปก่อนไข้ กู๊ดดี้ เดี๋ยวข้าจะสั่งพวกสัตว์ให้ออกไปช่วยตามหาด้วย คงต้องเจอในไม่ช้า ส่วนมาร์ตินกับข้าจะอยู่ที่บร๊อคฮอลล์นี่เผื่อเจ้าตัวน้อยสองตัวนั่นจะกลับมาที่นี่ สวนทางกับพวกที่ออกไปตามหา”

นางกู๊ดดี้ยิ้มอย่างขอบคุณทั้งๆที่น้ำตาใกล้จะหยดออกมาอยู่แล้ว “ขอบคุณมากนะคุณเบลล่า เดี๋ยวข้าจะไปเตรียมอาหารกลางวัน”

หลังจากนั้นไม่นาน เบลล่าเรียกประชุมสัตว์ทั้งหมดและขออาสาสมัครที่จะออกไปตามหาเจ้าลูกเม่นทั้งสอง

“สหาย เราต้องพยายามตามหาเจ้าเฟอร์ดี้และเจ้าค๊อกส์ให้พบก่อนมืด แยกกันออกเป็นกลุ่มเล็กๆหลายๆกลุ่ม ค้นให้ทั่ว โดยเฉพาะอย่างยิ่งแถวถ้ำเล็กๆและที่ที่อาจเป็นที่หลบซ่อน---พวกมันอาจจะแอบไปนอนหลับอยู่แถวๆนั้นก็ได้ แต่ก็ต้องระวังตัวให้ดี เพราะอาจมีพวกทหารจากโกตีร์อยู่ในป่ามอสส์ฟลาวเวอร์ อย่าตะโกนหรือส่งเสียงดัง ถ้าได้เรื่องอย่างไรหรือไม่ก็มารายงานให้ข้าหรือมาร์ตินก็ได้ ออกเดินทางกันได้แล้ว ขอให้โชคดี”

พวกสัตว์กระจายตัวกันพร้อมออกเดินทาง สัตว์แต่ละตัวก็ทำการค้นหาตามวิธีการของตัวเอง พวกกะรอกวิ่งไปตามยอดไม้และมองหาลงมาบนพื้นดิน พวกนากไปค้นหาตามฝั่งน้ำและในแม่น้ำตามซอกหินผาริมน้ำ ในขณะที่พวกหนูและสัตว์รูอื่นๆมุดลงไปค้นหาแถวโคนและรากต้นไม้ ส่วนพวกตัวตุ่นมุดลงไปใต้ดิน

นกสีดำที่เกาะอยู่บนต้นมะเดื่อชูจงอยปากสีอำพันของมันขึ้นไปในอากาศ ส่งเสียงฮัมเพลงเบาๆอย่างมีความสุขปลุกแอชเลคให้ลืมตาตื่น ตัวมันสั่นด้วยความหนาวจนต้องกระโดดออกไปยืนพิงต้นไม้กลางแสงแดด

สแครทช์ออกไปยืนผึ่งแดดด้วยหลังจากแอบเตะนางสุนัขจิ้งจอกที่กำลังหลับอยู่หนึ่งทีและพูดว่า “จะนอนอยู่อย่างนั้นทั้งวันหรือไง หา นังจอมขี้เกียจ?”

เจ้าตัววีเซอร์ชักอุ้งมือออกจากขากรรไกรของนางสุนัขจิ้งจอกอย่างรวดเร็ว นางฟอร์จูนาต้าซึ่งเคยชินกับการนอนกลางแจ้งมากกว่าสัตว์อื่นๆจากโกตีร์ สามารถหาความสบายให้ตัวเองได้ด้วยการยัดตัวเองลงไปในแอ่งดินที่อ่อนนุ่ม

“ระวังปากของเจ้าหน่อยนะก่อนจะเรียกใครว่าจอมขี้เกียจน่ะ ไอ้หัวลีบ ข้าลืมตาตื่นมาตั้งสองชั่วโมงแล้ว ได้ยินแต่เสียงกรนราวกับคางคกป่วยของเจ้า”

แอชเลคหลับตาลงปล่อยให้แสงแดดอ่อนๆส่องทะลุเสื้อคลุมที่เปียกชื้นของมันเข้าไป มันทอดถอนใจอย่างปลงตกเมื่อหวนคิดถึงสิ่งที่ผจญมา

“เจ้าทั้งสองหยุดทะเลาะกันสักครู่ได้ไหม เราจะได้มาพิจารณากันว่าสถานการณ์ของพวกเราตอนนี้เป็นอย่างไร? เราต่อสู้กันเอง แถมเมื่อคืนนี้ก็พากันหลับไหลไปโดยไม่ได้ตั้งเวรยาม แล้วตอนนี้เราก็ต้องกลับไปสู้หน้ากับนางทซาร์มิน่า ถ้าจะต้องถกเถียงกันล่ะก้อ ทำไมไม่ถกเถียงกันในเรื่องที่มีประโยชน์ล่ะ? เช่นว่าเราจะทำอย่างไรต่อไปกับความล้มเหลวของเรา”

นางฟอร์จูนาต้าสบัดเสื้อคลุมให้เศษดินจากแอ่งที่ลงไปนอนหลุดออกไปเสียงดังกราว

“เราส่งหน่วยลาดตระเวณออกไปทั้งหมดสามหน่วย ตอนนี้เจ้าคลัดด์กับพวกของมันไปอยู่เสียที่ไหนล่ะ?”

และทันใดนั้นคลัดด์และทหารของเขาก็เดินเข้ามาพอดี สแครทช์เป็นคนแรกที่มองเห็น

“แน่ะ คลัดช์ มาโน่นแล้วไง ไปอยู่ที่ไหนมา? เราไม่เห็นเจ้าอีกเลยตั้งแต่ออกมาจากป้อมทหาร”

เจ้ากัปตันทหารวีเซอร์ยัดอุ้งมือลงไปในเข็มขัด เอนกายพิงด้ามหอก แล้วแสยะยิ้มอย่างรู้เท่า “เราก็ไปทำงานของเราน่ะสิ ไม่ต้องห่วงหรอก สแครทช์ แล้วทางนี้เกิดอะไรขึ้นล่ะ? ต้นไม้ล้มทับเจ้าหรือไง?”

“ไม่มีอะไรหรอก—แค่เข้าใจผิดกันนิดหน่อย ใครๆก็เจอแบบนี้ได้ทั้งนั้นแหละ” แอชเลคอธิบายด้วยสุ้มเสียงเหมือนไม่มีอะไรผิดปกติ “เราไม่เจอสัตว์มีชีวิตสักตัวแม้แต่ขนหรือหนังของมันในแถบนี้ ราชินีคงเอาพวกเราตายแน่”

คลัดด์ยิ้มอย่างเป็นต่อ “นั่นคงหมายถึงเฉพาะตัวเจ้าเท่านั้นแหละ แอชเลค เราไม่ได้กลับไปมือเปล่า อ้อ—ไม่ใช่เราสินะ”

“ทำไม เจ้าหมายความว่าอย่างไ?” นางฟอร์จูนาต้าถามแซงขึ้นมาอย่างสนอกสนใจ “เจ้าจับเชลยได้หรือ? จับได้ที่ไหน?”

คลัดด์มองนางสุนัขจิ้งจอกอย่างเยาะเย้ย “อ้อ—สวัสดี นางหมาจิ้งจอก ท่าทางเจ้าสนุกสนานมากนะ อ้อ แอชเลค เกิดอะไรขึ้นกับขาไม้ของเจ้าหรือ?”
เจ้าตัวมาร์เตนกระแทกกิ่งไม้ที่ใช้ยันค้ำขาข้างที่เจ็บอย่างอารมณ์ไม่ดี
“เจ้าตัววีเซอร์ หยุดพล่ามเสียทีแล้วบอกมาสิว่าเจ้าได้อะไรมาบ้าง เลิกยืนเบิ่งทำท่าสำคัญได้แล้ว”
คลัดด์ใช้หอกกวักเรียกสมุน “ได้เลย ทหาร เอาเชลยมาให้พวกมันดูซิ”

ทหารกระจายแถวออกให้เห็นร่างของลูกเม่นสองตัวที่ถูกผูกปากและห้อยแขวนในลักษณะเอาหัวลงอยู่กับเสาที่ทหารสี่คนแบกไว้
เฟอร์ดี้และค๊อกส์ยังมีชีวิตอยู่และถูกจับเป็นเชลย!!!



























Create Date : 29 ตุลาคม 2555
Last Update : 2 กุมภาพันธ์ 2556 11:00:48 น.
Counter : 1632 Pageviews.

9 comments
  
สวัสดีค่ะพี่ตุ้ย
อัพบล็อคใหม่พรุ่งนี้มาโหวตนะตะ

อากาศร้อนๆเสริฟด้วยน้ำแดงค่ะ

โดย: pantawan วันที่: 29 ตุลาคม 2555 เวลา:23:30:24 น.
  
ขอบคุณสำหรับโหวตนะคะ

วันนี้ปีกไก่อบพริกแกงค่ะ
มาพร้อมข้าวเหนียวร้อนๆ

โดย: Schnuggy ชนุ๊กกี้ วันที่: 30 ตุลาคม 2555 เวลา:2:27:49 น.
  
ตามมาอ่านมอสฟลาวเว่อร์ค่ะพี่ตุ้ย
คิดถึงจังเลย กำลังคิดว่าพี่ตุ้ยซุ่มเขียนนิยายเรื่องใหม่อยู่รึป่าว
ขอบคุณมากๆ สำหรับโหวตนะคะ
ไว้รอติดตามอ่านนิยายจากบ้านนี้อีกแน่นอนค่ะ

โดย: diamondsky วันที่: 30 ตุลาคม 2555 เวลา:2:56:25 น.
  
บันทึกการโหวตเรียบร้อยแล้วค่ะ



บันทึกการโหวต Blog ในวันนี้

ผู้เขียน Blog หมวดเนื้อหา Blog ได้รับโหวต
Schnuggy ชนุ๊กกี้ Food Blog ดู Blog
ดอยสะเก็ด Literature Blog ดู Blog

ระบบจะบันทึกคะแนนโหวต เฉพาะการโหวต 3 ครั้งล่าสุดในแต่ละวันเท่านั้น


ท่าทางน่าสนุกคงหาเวลามาอ่าน...สัตว์พูดได้แสดงว่าไม่ธรรมดาแน่ๆ
โดย: Opey วันที่: 30 ตุลาคม 2555 เวลา:4:56:55 น.
  



More Beautiful Comments

-----------------------------------
แม้ยามหลับขอให้ฝันแต่สิ่งสวยงามนะคะ ราตรีสวัสดิ์ค่ะคุณตุ้ย
โดย: เกศสุริยง วันที่: 1 พฤศจิกายน 2555 เวลา:22:31:48 น.
  
ส่งความคิดถึงค่ะคุณตุ้ย

สวรรค์ในอก .... หายไปนานเลย ยังรออยู่ค่ะ

พรุ่งนี้จะมาโหวตนะคะ
โดย: ร่มไม้เย็น วันที่: 2 พฤศจิกายน 2555 เวลา:9:29:21 น.
  
มากับความคิดถึง และกำลังใจค่ะคุณตุ้ย

ผู้เขียน Blog หมวดเนื้อหา Blog ได้รับโหวต
พรไม้หอม Health Blog ดู Blog

โอน่าจอมซ่าส์ Travel Blog ดู Blog

ดอยสะเก็ด Literature Blog ดู Blog

ระบบจะบันทึกคะแนนโหวต เฉพาะการโหวต 3 ครั้งล่าสุดในแต่ละวันเท่านั้น
โดย: ร่มไม้เย็น วันที่: 3 พฤศจิกายน 2555 เวลา:14:47:22 น.
  
แวะมาเยี่ยมยามเย็น...สวัสดีครับ

ขอขอบคุณสำหรับโหวตให้ที่บล็อก นะครับ

บันทึกการโหวต Blog ในวันนี้

ผู้เขียน Blog หมวดเนื้อหา Blog ได้รับโหวต
ดอยสะเก็ด Literature Blog ดู Blog
โดย: **mp5** วันที่: 3 พฤศจิกายน 2555 เวลา:18:14:23 น.
  
สวรรค์ในอก .... หายไปนานเลย นะค่า พี่ตุ้ย


บันทึกการโหวต Blog ในวันนี้

ผู้เขียน Blog หมวดเนื้อหา Blog ได้รับโหวต
tuk-tuk@korat Travel Blog ดู Blog
ดอยสะเก็ด Literature Blog ดู Blog
ระบบจะบันทึกคะแนนโหวต เฉพาะการโหวต 3 ครั้งล่าสุดในแต่ละวันเท่านั้น
โดย: ลงสะพาน...เลี้ยวขวา วันที่: 4 พฤศจิกายน 2555 เวลา:13:42:08 น.
ชื่อ :
Comment :
 *ใช้ code html ตกแต่งข้อความได้เฉพาะสมาชิก
 

ดอยสะเก็ด
Location :
  

[ดู Profile ทั้งหมด]
 ฝากข้อความหลังไมค์
 Rss Feed
 Smember
 ผู้ติดตามบล็อก : 54 คน [?]



New Comments
Group Blog
ตุลาคม 2555

 
1
2
3
4
5
6
7
8
9
10
11
12
13
14
15
16
17
19
20
21
22
23
25
26
27
28
30
31
 
 
All Blog
Friends Blog
[Add ดอยสะเก็ด's blog to your weblog]
  •  Bloggang.com