วันปีใหม่
ตามจารีตประเพณีของไทยแต่โบราณ ถือเอาวันแรมหนึ่งค่ำ เดือนอ้าย (เดือนหนึ่ง) เป็นวันขึ้นปีใหม่ ซึ่งสอดคล้องกับ คติทางพระพุทธศาสนา ที่เริ่มฤดูหนาว (เหมันต์) เป็นจุดเริ่มต้น ของปีต่อมา จารีตดังกล่าวได้แปรเปลี่ยนไปตามคติของ พราหมณ์ ซึ่งใช้วันขึ้นหนึ่งค่ำเดือนห้าเป็นวันขึ้นปีใหม่ ที่กล่าวมาแล้วทั้งหมดเป็นการนับวัน เดือน ปี แบบจันทรคติ คือการใช้การโคจรของดวงจันทร์เป็นเกณฑ์
ต่อมาเมื่อทางราชการเปลี่ยนมาใช้แบบสุริยคติ คือ ใช้ดวงอาทิตย์เป็นเกณฑ์ จึงได้ถือเอา วันที่ 1 เมษายน เป็นวันขึ้นปีใหม่ เริ่มใช้เมื่อปี พ.ศ. 2432 เป็นต้นมา
วันขึ้นปีใหม่ของนานาอารยประเทศ ใช้วันที่ 1 มกราคม ซึ่งเป็นการนับตามสุริยคติ เมื่อประเทศไทยซึ่งเดิมใช้ วันแรมหนึ่งค่ำ เดือนอ้าย เป็นวันขึ้นปีใหม่ นับว่าเป็น ห้วงระยะเวลาใกล้เคียงกับวันที่ 1 มกราคม จึงเห็นว่าการที่ใช้ วันที่ 1 มกราคม เป็นวันขึ้นปีใหม่ของไทยเป็นการเหมาะสม
ตามทางดาราศาสตร์ การกำหนดอาศัยหลัก 2 ประการ คือ ใช้หลักวันที่ดวงอาทิตย์ อยู่ห่างจากเส้นศูนย์สูตรมากที่สุด ซึ่งจะตกประะมาณ วันที่ 22 ธันวาคม อีกประการหนึ่งใช้หลัก วันที่ดวงอาทิตย์ อยู่ใกล้เส้นศูนย์สูตรมากที่สุด ซึ่งจะตก ประมาณวันที่ 20 มีนาคม ประเทศไทยเคยใช้หลักประการแรก คือเดือนอ้าย แรมหนึ่งค่ำ ซึ่งใกล้เคียงกับวันที่ 22 ธันวาคม
พระบาทสมเด็จพระจอมเกล้าฯ ได้ทรงอธิบายไว้ เป็นใจความว่า ฤดูหนาวเป็นเวลาที่พ้นจากมืดฝน สว่างขึ้น เหมือนเวลาเช้า โบราณจึงถือเป็นต้นปี ฤดูร้อนเป็นเวลา สว่างเต็มที่เหมือนเวลากลางวัน โบราณจึงถือเป็นกลางปี ส่วนฤดูฝนเป็นห้วงเวลาที่มืดครื้ม เหมือนกลางคืน โบราณจึงถือเป็นปลายปีจึงได้เริ่มเดือนหนึ่งที่เดือนอ้าย และโบราณถือการเริ่มข้างแรมเป็นต้นเดือน
มีผู้ค้นพบว่า คติที่นับวันใดวันหนึ่งในห้วงระยะเวลาระหว่าง วันที่ 21 เดือนธันวาคม ถึงวันที่ 1 เดือนมกราคม เป็น วันขึ้นปีใหม่นี้ เป็นคติเก่าแก่ของชนชาติที่อยู่ใน เอเซียตะวันออกเฉียงใต้ หรือสุวรรณภูมิ ด้วยเหตุผลที่ พออธิบายได้ว่าในระยะเวลาดังกล่าวนี้ เป็นเวลาที่ แลเห็นดวงอาทิตย์มีขนาดโตที่สุด และเป็นเวลาที่ อากาศเริ่มเย็นสบาย หลังจากหมดฤดูฝนแล้ว ประเทศไทยเราอยู่ในย่านกลางของพื้นที่ดังกล่าว จึงไม่ต้องสงสัยเลยว่า ชาติไทยเราได้มีวันขึ้นปีใหม่ ตามคติดังกล่าวมาแต่โบราณกาล
จากการตรวจสอบในห้วงระยะเวลา 30 ปี จากปี พ.ศ. 2453 ถึงปี พ.ศ. 2483 พบว่าวันแรมหนึ่งค่ำ เดือนอ้าย เมื่อเทียบกับวันทางสุริยคติแล้วจะอยู่ในเดือนธันวาคม และส่วนใหญ่จะอยู่ห่างจากวันที่ 1 มกราคม ไม่เกิน 10 วัน ห่างกันมากที่สุด 30 วัน และน้อยที่สุดเพียง 2 วัน
อินเดียในสมัยโบราณก็ได้เคยใช้วันที่ 1 เดือนมกราคม เป็นวันขึ้นปีใหม่มาแล้ว เรียกว่ามกรสงกรานต์ การที่ อินเดียในยุคต่อมาใช้เดือนจิตรมาส หรือเดือนเมษายน เป็นต้นปีนั้น มีที่มาจากฝ่ายเหนือของอินเดีย เพราะ ในพื้นที่บริเวณดังกล่าว เดือนเมษายนเป็นเดือนที่ ลมฟ้าอากาศดีที่สุด มติได้แผ่เข้ามายังชนชาวไทย โดยพราหมณ์นำเข้ามาอิทธิพลของลัทธิพราหมณ์ ในครั้งนั้น สูงมากพอจนทำให้ไทยเราหันไปใช้ ตามแบบพราหมณ์ในหลายๆ เรื่อง รวมทั้งวันขึ้นปีใหม่ด้วย โดยนับเดือนห้าเป็นต้นปี ทำให้เราต้องขึ้นปีใหม่ 2 ครั้ง คือขึ้นหนึ่งค่ำเดือนห้าและวันสงกรานต์ ซึ่งไม่แน่นอน
พระบาทสมเด็จพระจุลจอมเกล้า ฯ ทรงเห็นความลำบาก ในกรณีดังกล่าว เมื่อไทยต้องมีการติดต่อกับ ต่างประเทศ มากขึ้น ดังนั้น เมื่อปี พ.ศ. 2432 วันขึ้นหนึ่งค่ำ เดือนห้า ไปตรงกับวันที่ 1 เดือนเมษายน พอดี จึงได้มีประกาศ บรมราชโองการให้ถือวันที่ 1 เดือนเมษายน เป็นวันขึ้นปีใหม่
ประเทศไทยเปลี่ยนวันขึ้นปีใหม่มาเป็นวันที่ 1 เดือนมกราคม ปี พ.ศ. 2484 ด้วยเหตุผลทั้งมวลที่ได้กล่าวมาแล้ว และที่สำคัญอีกประการคือ บรรดานานาประเทศ ได้ใช้ วันนี้เป็นวันขึ้นปีใหม่ ทำให้เหมาะสมด้วยประการทั้งปวง
ที่มา : "www.kidsquare.com"
ป.ล. แต่แหมทำไมปีใหม่ไทยเราปีนี้ฝนตกใน กทม. มากมาย อย่างมากเมื่อวานนี้ เฮ้อ เพราะความคิดการกระทำที่ วิปริตผิดธรรมของมนุษย์ที่เป็นใหญ่ บางคนทุกวันนี้ หรือเปล่าหนอ จึงทำให้ดินอากาศฟ้าวิปริตผิดไปจากเดิม
ไทยจะรู้รักสามัคคีได้ ก็ต่อเมื่อคนไทยทุกคนอยู่ภายใต้ มาตรฐานเดียวกัน ไม่เลือกปฏิบัติพวกเขาพวกเรานะจะบอกให้
Create Date : 07 มกราคม 2553 |
|
85 comments |
Last Update : 7 มกราคม 2553 12:38:12 น. |
Counter : 7064 Pageviews. |
|
|
|
เป็นเมืองที่สวย สงบ ร่มเย็น
ถือเป็นการเริ่มต้นปีที่ดีมากๆ
ขอถือโอกาศนี้สวัสดีปีใหม่คุณหอมกรอีกสักครั้งนะคะ
ขอให้คุณหอมมีความสุขมากๆนะค๊า