ตุลา ตูล่า หาชีวิตใหม่กัน #3
อย่างที่ได้เล่าไปในตอนก่อนหน้าแล้วว่า การรักษาโรคใดๆ ด้วยสเต็มเซลล์ ยังอยู่ในขั้นตอนการวิจัยทั้งสิ้น ดังนั้นการตัดสินใจเข้ารับสเต็มเซลล์เพื่อมุ่งหวังผลในการรักษา ในฐานะที่เป็นการแพทย์ทางเลือก มันจึงเป็นการ วัดดวง ล้วนๆ เนื่องจากไม่สามารถฉีดสเต็มเซลล์เข้าไปที่จอประสาทตาโดยตรงได้ เพราะฉันยังไม่เจอจักษุแพทย์ท่านใดที่ยอมทำให้ ก็เลยต้องให้เข้าทางเส้นเลือด ซึ่งสเต็มเซลล์จากน้ำคร่ำ รก สายสะดือ ก็ไม่ต่างอะไรกับเด็กที่ออกเดินทางตามลำพัง รู้สึกอยากไปตรงไหนก็จะไปตามใจชอบ ณ ปัจจุบัน ก็ยังไม่มีวิธีใดที่จะไปจูงมือหนูน้อยให้ไปตามจุดที่เราต้องการ ในปริมาณที่เราต้องการได้ ข้อยากต่อมาคือ สเต็มเซลล์ที่ใส่เข้าไป ส่วนใหญ่จะตายก่อนจะไปถึงจุดหมายปลายทางที่ต้องการ สำหรับการดูแลร่างกาย รอดไปเท่านั้น ก็พอเหลือเฟือแล้ว คุณสุบอกว่า เคสปกติ แค่ปีละ 1-2 ครั้ง ก็พอแล้ว แต่ในกรณีที่เซลล์ดั้งเดิมในจอประสาทตาของฉัน มันอ่อนแอ ป้อแป้ และเหลืออยู่น้อยนิด ตามประสบการณ์ของคุณสุ และข้อมูลจากการศึกษาในต่างประเทศ ร่างกายของฉันน่าจะมีการทำลายเซลล์ที่มากกว่าคนทั่วไป ดังนั้น ปีละ 2 หน ไม่พอให้เห็นการเปลี่ยนแปลงที่ชัดเจนแน่ๆ มันเลยกลายเป็นข้อยากที่สามตามมา เพราะสเต็มเซลล์เป็นของแพง ขนาดคุณสุใจดี คิดราคามิตรภาพแล้ว ก็ยังเป็นจำนวนเงินที่ค่อนข้างสูง แล้วยังต้องเติมแบบถี่ๆ บวกกับค่าเดินทางมาจากต่างจังหวัด ก็ยิ่งทวีคูณแบบที่ เห็นตัวเลขแล้วก็ท้อกันเลยทีเดียว แต่ในเมื่อมันดูเหมือนจะเป็นโอกาสเดียวในชีวิต ยังไงมันก็ต้องลองสู้กันสักตั้ง อย่างไรก็ตาม ทุกครั้งที่ฉันไปหาคุณสุเพื่อรับสเต็มเซลล์ ฉันบอกคุณสุอยู่เสมอว่า ฉันเป็นแค่คนทำมาค้าขายธรรมด๊า....ธรรมดา ไม่ได้เป็นคนร่ำรวยมาจากไหน แต่ฉันอยากหาย หรืออย่างน้อยก็ขอให้ได้ใช้ชีวิตให้สบายขึ้น สะดวกขึ้น ซึ่งคุณสุเอง ก็เป็นคนใจดีและเห็นว่า ฉันก็พูดตรงไปตรงมา คุณสุก็บอกฉันอย่างตรงไปตรงมาโดยตลอดว่า คุณสุพยายามเต็มที่แน่นอน ถึงจะไม่สามารถรับรองผลการรักษาได้ และความพยายามที่ว่า ก็ทำให้ฉันรู้สึกว่า บางอย่างก็ทำให้ฉันงง บางอย่างก็ทำให้ฉันปลื้ม สำหรับฉันซึ่งก็ต้องนับว่า เป็นคนแปลกหน้า แต่ตั้งแต่ครั้งแรกที่ไปเจอกัน คุณสุก็ให้ขนมมาหลายกล่อง เพราะใช้เวลาพูดคุย ทำความเข้าใจกันอยู่นาน ตั้งแต่สายๆจนเลยเที่ยง คุณสุบอกว่าให้กินรองท้อง แต่มันหลายกล่องมากจนเอาเผื่อให้คนที่บ้านได้กินด้วย จากเวเฟอร์ชอคโกแลตในครั้งแรก ฉันก็ได้ ขนมปังอบกรอบ ลูกสมออบแห้งที่คุณสุบอกว่า มันเป็นยาสมุนไพรอย่างดี ชาน้ำมันหอมของอินโดนีเซีย ซึ่งมันดีมากๆ สำหรับคนเป็นหวัด แล้วคุณสุยังเคยจัดขนมจีนน้ำเงี้ยวมากินเป็นมื้อกลางวัน ไปหาคุณสุทีไร ฉันเลยได้ความรู้สึกเหมือนไปหาญาติผู้ใหญ่แต่ใจดี มีขนมดีๆ ให้ติดมือกลับบ้านด้วย และเพราะฉันไม่ควรจะเครียด เพื่อให้สเต็มเซลล์ที่ใส่เข้าไป ไม่ถูกความเครียดฆ่าตายไปหมดก่อน คุณสุก็ได้เตรียมกล่องจุ่ม ลา บูบู้ ไว้ให้ฉันด้วย ตุ๊กตาปีศาจน้อย ตาโต ฉีกยิ้มกว้างโชว์ฟันเต็มปาก ตัวนั้น ทำให้ฉันยิ้มได้ทุกที จริงๆ ยิ้มเพราะสีหน้า แววตาสดใส แล้วยังได้ระลึกถึงน้ำใจของคนให้ ก็ยิ่งทำให้อุ่นใจว่า คุณสุจะต้องรักษาคำพูดที่บอกฉันแน่ๆ เคยมีคนถามฉันว่า เชื่อได้ยังไงว่า ที่ฉีดเข้าเส้นเลือดให้ฉัน มันเป็นสเต็มเซลล์จริงๆ ฉันตอบแบบปลงๆ ว่า มันก็เหมือนตอนไปผ่าตัดแหละ จะรู้ได้ยังไงว่า หมอตัดอะไรออกไปบ้าง ก็ต้องเชื่อหมอ ไว้ใจหมอ ว่าเขาจะรักษาจรรยาบรรณในวิชาชีพของเขา คุณสุเขาก็เป็นคนมีตำแหน่งแห่งหนอยู่ประมาณหนึ่ง คงไม่ลงทุนมาหลอกคนกระจอกๆ อย่างฉัน ที่วงเล็บไว้ในใจ ไม่ได้บอกเขา ก็คือ ขนมนมเนย ของขวัญของฝาก นี่แหละ ที่ทำให้ฉันมั่นใจ แต่คนฟัง เขาคงคิดว่า ฉันเห็นแก่ของแถมเล็กๆ น้อยๆ จนใครพูดอะไรก็ไม่ฟังเสียมากกว่า อย่างที่บอกแล้ว สเต็มเซลล์ไม่ใช่ของถูก และฉันไม่ได้รวย คุณสุซึ่งฉันก็แอบเข้าข้างตัวเองว่า ก็คงจะเอ็นดูฉันอยู่บ้าง ได้มอบกระเป๋าเงินใบเล็กๆ ให้ฉัน พร้อมกับเงินใส่อยู่ด้านในจำนวนหนึ่ง เป็นอั่งเปาในวันตรุษจีน คุณสุบอกว่า ให้เป็นเงินขวัญถุง เป็นกำลังใจให้ทำมาหากินได้คล่องๆ ในกระเป๋ามีทั้งใบร้อย ใบยี่สิบ และเหรียญอีก ฉันถามว่า ทำไมต้องเป็นจำนวนนี้ คุณสุบอกว่า มันเป็นตัวเลขที่ดี เหมาะกับเธอ และหลังจากนั้นอีกไม่นาน คุณสุก็ให้เหรียญครุฑของอาจารย์วราห์มาอีก พุทธคุณเด่นด้านค้าขาย เงินทอง มาหนึ่งองค์ อดไม่ได้จริงๆ ที่จะรู้สึกว่า ฉันมันเป็นคนพิเศษ เพิ่มไข่ ใส่ลูกชิ้นด้วย จริงๆ และเพราะยังไม่มีเทคโนโลยีที่จะจูงมือสเต็มเซลล์ให้ไปยังจุดที่ต้องการได้ ความหวังสุดท้ายจึงไปอยู่ที่ของขลัง วัตถุมงคลที่จะช่วยให้สิ่งที่ตั้งใจ ประสบผลสำเร็จ คุณสุให้ "ยาจินดามณี" มาหนึ่งเม็ด บอกให้ฉันพกติดตัวไว้ จะช่วยให้ฉันแข็งแรง ฉันไม่คุ้นเคยกับวัตถุมงคลใดๆ นอกจากพระที่แม่ให้มาห้อยคอตอนเด็กๆ ครั้งแรกที่ได้มา จำชื่อไม่ได้ด้วยซ้ำ ต้องไปถามคุณสุซ้ำ แล้วค่อยเอาไปถามอากู๋ ใครอยากรู้ว่า ดีเด่นอย่างไร ก็ลองไปค้นดู ตอนที่รู้ ฉันเองก็อึ้ง ตะลึงไปพอประมาณ เพราะดูจะเป็นของที่ทรงคุณค่าอยู่ไม่น้อย คุณสุไว้ใจให้มาอยู่ในการครอบครองของฉัน มันเหมือนกับเป็นเครื่องเตือนว่า เป็นคนดี ทำใจดี ให้สมกับที่ได้ของดีมาอยู่กับตัว พอเจอกันอีกครั้ง คุณสุบอกให้ฉันลองหัดนั่งสมาธิ แค่วันละ 5 นาทีก็ได้ ฉันก็นึกไปถึงที่เคยฟังมา ว่าการกำหนดลมหายใจ ทำสมาธิ ในทางวิทยาศาสตร์ มันพิสูจน์ได้ว่า มีประโยชน์กับร่างกาย แต่คุณสุพูดต่อจากนั้นว่า นั่งสมาธิ แล้วอุทิศบุญกุศลให้เจ้ากรรมนายเวรนะ เผื่อเขาจะยอมปล่อยเธอ เธอจะได้หาย มันดูแปลกๆ ที่คนที่กำลังใช้เทคโนโลยีที่ก้าวล้ำนำสมัย ขณะเดียวกันก็แนะนำให้ไปเจรจากับเจ้ากรรมนายเวร แต่อีกด้าน ฉันก็ยิ่งรู้สึกซาบซึ้งในความตั้งใจของคุณสุที่อยากให้ฉันดีขึ้นได้จริงๆ ดังนั้น ถึงแม้ฉันจะเคยคิดว่า ตัวเองไม่น่าทำได้ เพราะเคยลองแล้ว ไม่ได้สักกี่นานเลย มันคันยุบยับไปหมด ทั้งที่ไม่มีอะไรมากัด แต่คุณสุชงมาขนาดนี้ จะเชื่อไม่เชื่อ ฉันก็อยากทำให้ได้ อย่างน้อย คราวหน้าที่เจอกัน ฉันจะได้ตอบได้เต็มปากว่า ฉันได้ให้ความร่วมมือในการรักษาอย่างเต็มที่แล้ว ด้วยการนั่งสมาธิทุกวัน และฉันก็ได้ค้นพบว่า ฉันทำได้ว่ะ ไม่คัน ไม่ง่วง แถมยังรู้สึกสบาย รู้สึกอยากไปต่อ ฉันก็เลยเริ่มสวดมนต์ ใหม่ๆ ก็ได้แค่ อะระหัง สัมมา รู้สึกว่า มันสั้นจัง ก็ไปหายูทูป เจอทั้งพระคาถาและบทสวดมนต์เยอะไปหมด ก็เลยลองมั่วๆ สวดตามที่ได้ยิน อันไหนไม่ถนัดก็ปัดตกไป สวดทุกคืน ทุกเช้า จนจำได้ ไม่ต้องเปิดยูทูปแล้ว สวดเสร็จแล้วก็แผ่กุศลให้ตัวเอง พ่อแม่ ญาติมิตร ผู้มีพระคุณ อุทิศบุญให้เจ้ากรรมนายเวร เผื่อเขาจะมีความสุข ให้เทวดา จะได้ช่วยรักษาคุ้มครอง ทั้งหมดที่ทำไปนั้น ฉันเองก็บอกไม่ได้ว่า มันไปช่วยให้การมองเห็นของฉันดีขึ้นด้วยหรือไม่ แต่ที่ฉันเห็นแน่ๆ คือ ตัวเองทุกข์น้อยลง เหวี่ยงใส่ตัวเองน้อยลง กำจัดความโกรธ เกลียด เจ็บ ออกไปจากใจได้ง่ายขึ้น เร็วขึ้น อาการร้อนๆ อดรนทนไม่ได้ก็น้อยลง ทำใจให้ทอดธุระ เพราะสัตว์โลกย่อมเป็นไปตามกรรม ไม่อยากให้ช่วย ฉันก็ไม่พยายามละ จะเจ็บปวดดิ้นรนอย่างไร ก็ปล่อยเขาแล้ว ทำดีกับเขาแล้วไม่ได้อะไร ก็ไม่ต้องไปพยายาม สรุปรวมแล้ว ก็คือว่า เอามันทุกทาง เพื่อให้ฉันมีเงินมารักษาได้ตลอดรอดฝั่ง และหวังผลได้มากขึ้นด้วย แรกๆ ที่ไปหาคุณสุ ฉันก็ยังมีความหวังกับงานวิจัย เพราะฉันไม่รู้อะไร แต่พอเวลาผ่านไป รู้อะไรมากๆ เข้า ความหวังมันก็ค่อยๆ หมดไปเอง โรคจอประสาทตาเสื่อม ไม่ใช่โรคที่เป็นกันมาก แล้วยังมีความซับซ้อนมาก ถึงเป็นโรคเดียวกัน แต่ก็มีความเสียหายของการมองเห็นแตกต่างกัน ซึ่งก็อาจจะทำให้วิธีรักษาแบบหนึ่ง อาจจะไม่ได้ใช้ได้กับคนส่วนใหญ่ แล้วถ้าอะไรที่ทำมาแล้ว มีคนใช้ไม่มาก ไม่มีนัยสำคัญสำหรับการทำธุรกิจ ก็คงไม่มีใครอยากจะเอาเงินมาลงทุนทำวิจัย และสมมติว่า มีเงินมาทำวิจัยจริงๆ ฉันก็คิดว่า มันก็ยังยากมากที่จะได้ผลสำเร็จ ฉันได้มีโอกาสเฉียดๆ ไปอ่านงานวิจัยของหมอไทยท่านหนึ่ง ซึ่งระบุว่า การฉีดสเต็มเซลล์เข้าไปที่จอประสาทตา ได้ผลดีในช่วงแรก และในระยะเวลาแค่ช่วงสั้นๆ และมี 1 คนที่มีผลข้างเคียงที่ไม่น่าพอใจ งานวิจัยนั้น ใช้สเต็มเซลล์จากไขกระดูก ซึ่งฉันเข้าใจว่า จำเป็นต้องใช้สเต็มเซลล์ชนิดนี้ ไม่สามารถใช้สเต็มเซลล์จากรก สายสะดือ หรือ น้ำคร่ำได้ เนื่องจากติดขัดเรื่องข้อกฎหมาย ซึ่งผู้เชี่ยวชาญหลายท่านให้ข้อมูลเหมือนๆ กันว่า สเต็มเซลล์ที่แข็งแรงที่สุด เก่งที่สุด ก็คือสเต็มเซลล์ที่ใกล้จุดกำเนิดมากที่สุด สเต็มเซลล์จากไขกระดูก ยังไงมันก็แก่กว่า กำลังวังชาก็ลดน้อยถอยลง แถมยังจำได้แล้วด้วย ว่า ฉันคือสเต้มเซลล์จากไขกระดูก มันก็เลยมีโอกาสที่จะแบ่งตัวไปเป็นเซลล์กระดูก ถึงแม้ตรงนั้นจะไม่ควรมีกระดูกก็ตาม สมมติต่อไปอีกว่า เอาล่ะ มีการอนุญาตให้ใช้เพื่อการวิจัยได้ ก็ยังมีปัญหาต่อไปอีกว่า แม้จะฉีดสเต็มเซลล์ที่ดีที่สุดเข้าไปที่จอประสาทตาแล้ว ผลก็อาจจะดีอยู่ได้ไม่นาน เพราะถ้าพิจารณาจากภาพถ่ายจอประสาทตาของคน RP จะเห็นได้ชัดว่า เส้นเลือดที่มาเลี้ยงจอประสาทตานั้น มีลักษณะตีบ ซึ่งก็หมายถึงว่า การส่งสารอาหาร การเยียวยาต่างๆ ผ่านไปทางเส้นเลือด มันส่งผ่านไปได้น้อยมาก เหตุนี้จึงทำให้คน RP มีการมองเห็นที่ค่อยๆ ลดลง เพราะไม่มีอาหารเพียงพอไปเลี้ยง เซลล์มันก็ต้องค่อยๆ ตายไปอยู่แล้ว ดังนั้น แม้ว่าจะใส่เซลล์ที่แข็งแรงมากๆ เข้าไปทำงานข้างในได้ แต่ไม่มีเลือดไปเลี้ยง สุดท้าย มันก็คงตายหมด แล้วอาการก็คงจะ Drop ลงมาอยู่ที่เดิม ในเวลาไม่นาน ซึ่งภาษาในงานวิจัย เขาใช้คำประมาณว่า ได้ผลระยะสั้น ไม่เป็นที่น่าพอใจ นอกจากนี้ การมองเห็นไม่ได้ใช้แค่ตา แต่ยังมีการเชื่อมต่อไปถึงสมอง ซึ่งในคน RP ก็มีแนวโน้มว่า เส้นประสาทที่เชื่อมต่อเพื่อส่งสัญญาณ อวจจะเกิดความเสียหายอยู่ด้วย เพราะฉะนั้น ถ้าซ่อมจอประสาทตาให้รับภาพได้ดีขึ้นแล้ว แต่กลับยังส่งสัญญาณได้ไม่ดี ผลในการมองเห็น ก็อาจจะไม่ได้ดีขึ้นชัดเจนจนเป็นที่น่าพอใจ และฉันเคยถามจักษุแพทย์เรื่องของสมองส่วนที่ใช้แปลภาพที่อาจจะมีผลต่อการมองเห็นหรือไม่ คุณหมอตอบตรงๆ สั้นๆ ว่า ผมเป็นหมอตา เลยจากตาไป ผมไม่รู้แล้วครับ ก็เป็นอันว่า ถ้าเป็นงานวิจัย ที่มุ่งใช้สเต็มเซลล์ฉีดเข้าจอประสาทตาเพียงอย่างเดียว โอกาสที่จะได้ผลเป็นที่น่าพอใจ จนประกาศให้ใช้วิธีรักษานี้ได้เป็นการทั่วไป ก็แทบจะเป็น 0 ด้วยเหตุผลต่างๆ ที่ฉันประมวลมาได้จากข้อมูลที่ค่อยๆ ได้มาเพิ่มมากขึ้น ฉันก็ตัดสินใจเด็ดขาดแล้วว่า จะไม่ไม่ดิ้นรนหาทางไปอยู่ในงานวิจัย เพื่อให้ได้โอกาสในการรักษาอีกต่อไปแล้ว สเต็มเซลล์ที่เติมเข้ามาในตัวฉัน ยังคงทำงานอยู่ ฉันได้ลานสายตาที่เคยแคบมาก กลับมาค่อยๆ กว้างออก จุดบอดในลานสายตาก็ค่อยๆ ลดลง อ่านหนังสือได้เร็วขึ้น มองเห็นในระยะไกลได้ดีขึ้น เห็นหน้าตัวเองชัดขึ้นด้วย ถึงแม้จะยังไม่ได้กลับมาใกล้เคียงปกติ แต่มันก็ดีในระดับที่ทำให้ฉันสบายใจได้ว่า จนกว่าจะตาย การมองเห็นของฉันคงไม่เสื่อมถอยไปจนถึงขั้นตาบอดแล้ว ฉันเคยได้คุยกับจักษุแพทย์ท่านหนึ่ง และท่านบอกว่า ท่านไม่เชื่อในการใช้สเต็มเซลล์รักษาจอประสาทตาเสื่อม ไม่เชื่อถึงขั้นต่อต้านด้วยซ้ำ และคิดว่า คนที่ใช้วิธีนี้แล้วบอกว่า ดีขึ้น น่าจะคิดไปเองมากกว่า ตอนที่ได้คุยกับท่าน ฉันผ่านการรักษาจนเห็นผลดีขึ้นอย่างชัดเจนแล้ว แล้ะได้เข้าใจแล้วว่า การตรวจสภาพการมองเห็น ยังไม่มีเครื่องมือใดๆ ทำได้ การตรวจโรคจอประสาทตาเสื่อม ก็เป็นเพียงการตรวจทางกายภาพให้เห็นสภาพของจอประสาทตา ซึ่งมีลักษณะทางกายภาพแตกต่างกับคนปกติอย่างชัดเจน แต่ภาพที่ออกมานั้น ก็ไม่ได้บอกได้ว่า สภาพการมองเห็นมันเป็นอย่างไร ฉันก็เลยเข้าใจได้ว่า คุณหมอเองก็คงไม่อยากให้คนไข้ไปหาทางรักษาทางไหนที่ยังไม่ชัดเจน และเสี่ยงจะโดนหลอกได้ง่ายๆ แต่ถึงอย่างไร เทคโนโลยีมันพัฒนาไปตลอดเวลา อาการเสื่อมของอวัยวะใดๆ ก็เช่นกัน ถ้ารอได้ ก็รอ แต่สำหรับใครที่เป็นอย่างฉัน ซึ่งรอไม่ได้แล้ว เพราะรอนานไป ก็ยิ่งจะเสียหายไปจนอาจจะซ่อมไม่ได้ หรือไม่ก็ ไม่เหลืออะไรให้ซ่อมแล้ว การรอก็อาจจะกลายเป็น สายเกินไป ถ้ากล้าไปฉีดวัคซีนป้องกันโควิด ทั้งที่ก็ไม่ได้ผ่านการวิจัยตามระบบ ทำไมจะกล้าลองใช้เทคโนโลยีใหม่ๆ เพื่ออนาคตของตัวคุณเอง เวลาที่ต้องฟังใครพูดว่า เราเป็นโรคที่ไม่มีทางรักษา ไม่รู้หรอกว่า คนพูดรู้สึกอะไร แต่ที่แน่ใจ คือ เราซึ่งเป็นคนฟัง เจ็บ แน่นอน มันอาจฟังดูงี่เง่า แต่ฉันก็บอกกับทุกคนว่า ถึงแม้จะมีความหวังแค่ 0.01% ฉันก็ขอโอกาสให้ตัวเอง ถูกรางวัลที่ 1 มันยาก แต่ก็มีคนถูกรางวัลทุกงวดนั่นแหละ วันหนึ่ง มันอาจเป็นของฉันก็ได้ ใครจะรู้ ขอให้กล้าลองซื้อลอตเตอรี่ก่อนก็แล้วกัน
Create Date : 10 กรกฎาคม 2568 |
|
0 comments |
Last Update : 10 กรกฎาคม 2568 14:42:31 น. |
Counter : 66 Pageviews. |
|
 |
|