Group Blog All Blog
|
ตุลา ตูล่า หาชีวิตใหม่กัน #3
อย่างที่ได้เล่าไปในตอนก่อนหน้าแล้วว่า การรักษาโรคใดๆ ด้วยสเต็มเซลล์ ยังอยู่ในขั้นตอนการวิจัยทั้งสิ้น ดังนั้นการตัดสินใจเข้ารับสเต็มเซลล์เพื่อมุ่งหวังผลในการรักษา ในฐานะที่เป็นการแพทย์ทางเลือก มันจึงเป็นการ วัดดวง ล้วนๆ เนื่องจากไม่สามารถฉีดสเต็มเซลล์เข้าไปที่จอประสาทตาโดยตรงได้ เพราะฉันยังไม่เจอจักษุแพทย์ท่านใดที่ยอมทำให้ ก็เลยต้องให้เข้าทางเส้นเลือด ซึ่งสเต็มเซลล์จากน้ำคร่ำ รก สายสะดือ ก็ไม่ต่างอะไรกับเด็กที่ออกเดินทางตามลำพัง รู้สึกอยากไปตรงไหนก็จะไปตามใจชอบ ณ ปัจจุบัน ก็ยังไม่มีวิธีใดที่จะไปจูงมือหนูน้อยให้ไปตามจุดที่เราต้องการ ในปริมาณที่เราต้องการได้ ข้อยากต่อมาคือ สเต็มเซลล์ที่ใส่เข้าไป ส่วนใหญ่จะตายก่อนจะไปถึงจุดหมายปลายทางที่ต้องการ สำหรับการดูแลร่างกาย รอดไปเท่านั้น ก็พอเหลือเฟือแล้ว คุณสุบอกว่า เคสปกติ แค่ปีละ 1-2 ครั้ง ก็พอแล้ว แต่ในกรณีที่เซลล์ดั้งเดิมในจอประสาทตาของฉัน มันอ่อนแอ ป้อแป้ และเหลืออยู่น้อยนิด ตามประสบการณ์ของคุณสุ และข้อมูลจากการศึกษาในต่างประเทศ ร่างกายของฉันน่าจะมีการทำลายเซลล์ที่มากกว่าคนทั่วไป ดังนั้น ปีละ 2 หน ไม่พอให้เห็นการเปลี่ยนแปลงที่ชัดเจนแน่ๆ มันเลยกลายเป็นข้อยากที่สามตามมา เพราะสเต็มเซลล์เป็นของแพง ขนาดคุณสุใจดี คิดราคามิตรภาพแล้ว ก็ยังเป็นจำนวนเงินที่ค่อนข้างสูง แล้วยังต้องเติมแบบถี่ๆ บวกกับค่าเดินทางมาจากต่างจังหวัด ก็ยิ่งทวีคูณแบบที่ เห็นตัวเลขแล้วก็ท้อกันเลยทีเดียว แต่ในเมื่อมันดูเหมือนจะเป็นโอกาสเดียวในชีวิต ยังไงมันก็ต้องลองสู้กันสักตั้ง อย่างไรก็ตาม ทุกครั้งที่ฉันไปหาคุณสุเพื่อรับสเต็มเซลล์ ฉันบอกคุณสุอยู่เสมอว่า ฉันเป็นแค่คนทำมาค้าขายธรรมด๊า....ธรรมดา ไม่ได้เป็นคนร่ำรวยมาจากไหน แต่ฉันอยากหาย หรืออย่างน้อยก็ขอให้ได้ใช้ชีวิตให้สบายขึ้น สะดวกขึ้น ซึ่งคุณสุเอง ก็เป็นคนใจดีและเห็นว่า ฉันก็พูดตรงไปตรงมา คุณสุก็บอกฉันอย่างตรงไปตรงมาโดยตลอดว่า คุณสุพยายามเต็มที่แน่นอน ถึงจะไม่สามารถรับรองผลการรักษาได้ และความพยายามที่ว่า ก็ทำให้ฉันรู้สึกว่า บางอย่างก็ทำให้ฉันงง บางอย่างก็ทำให้ฉันปลื้ม สำหรับฉันซึ่งก็ต้องนับว่า เป็นคนแปลกหน้า แต่ตั้งแต่ครั้งแรกที่ไปเจอกัน คุณสุก็ให้ขนมมาหลายกล่อง เพราะใช้เวลาพูดคุย ทำความเข้าใจกันอยู่นาน ตั้งแต่สายๆจนเลยเที่ยง คุณสุบอกว่าให้กินรองท้อง แต่มันหลายกล่องมากจนเอาเผื่อให้คนที่บ้านได้กินด้วย จากเวเฟอร์ชอคโกแลตในครั้งแรก ฉันก็ได้ ขนมปังอบกรอบ ลูกสมออบแห้งที่คุณสุบอกว่า มันเป็นยาสมุนไพรอย่างดี ชาน้ำมันหอมของอินโดนีเซีย ซึ่งมันดีมากๆ สำหรับคนเป็นหวัด แล้วคุณสุยังเคยจัดขนมจีนน้ำเงี้ยวมากินเป็นมื้อกลางวัน ไปหาคุณสุทีไร ฉันเลยได้ความรู้สึกเหมือนไปหาญาติผู้ใหญ่แต่ใจดี มีขนมดีๆ ให้ติดมือกลับบ้านด้วย และเพราะฉันไม่ควรจะเครียด เพื่อให้สเต็มเซลล์ที่ใส่เข้าไป ไม่ถูกความเครียดฆ่าตายไปหมดก่อน คุณสุก็ได้เตรียมกล่องจุ่ม ลา บูบู้ ไว้ให้ฉันด้วย ตุ๊กตาปีศาจน้อย ตาโต ฉีกยิ้มกว้างโชว์ฟันเต็มปาก ตัวนั้น ทำให้ฉันยิ้มได้ทุกที จริงๆ ยิ้มเพราะสีหน้า แววตาสดใส แล้วยังได้ระลึกถึงน้ำใจของคนให้ ก็ยิ่งทำให้อุ่นใจว่า คุณสุจะต้องรักษาคำพูดที่บอกฉันแน่ๆ เคยมีคนถามฉันว่า เชื่อได้ยังไงว่า ที่ฉีดเข้าเส้นเลือดให้ฉัน มันเป็นสเต็มเซลล์จริงๆ ฉันตอบแบบปลงๆ ว่า มันก็เหมือนตอนไปผ่าตัดแหละ จะรู้ได้ยังไงว่า หมอตัดอะไรออกไปบ้าง ก็ต้องเชื่อหมอ ไว้ใจหมอ ว่าเขาจะรักษาจรรยาบรรณในวิชาชีพของเขา คุณสุเขาก็เป็นคนมีตำแหน่งแห่งหนอยู่ประมาณหนึ่ง คงไม่ลงทุนมาหลอกคนกระจอกๆ อย่างฉัน ที่วงเล็บไว้ในใจ ไม่ได้บอกเขา ก็คือ ขนมนมเนย ของขวัญของฝาก นี่แหละ ที่ทำให้ฉันมั่นใจ แต่คนฟัง เขาคงคิดว่า ฉันเห็นแก่ของแถมเล็กๆ น้อยๆ จนใครพูดอะไรก็ไม่ฟังเสียมากกว่า อย่างที่บอกแล้ว สเต็มเซลล์ไม่ใช่ของถูก และฉันไม่ได้รวย คุณสุซึ่งฉันก็แอบเข้าข้างตัวเองว่า ก็คงจะเอ็นดูฉันอยู่บ้าง ได้มอบกระเป๋าเงินใบเล็กๆ ให้ฉัน พร้อมกับเงินใส่อยู่ด้านในจำนวนหนึ่ง เป็นอั่งเปาในวันตรุษจีน คุณสุบอกว่า ให้เป็นเงินขวัญถุง เป็นกำลังใจให้ทำมาหากินได้คล่องๆ ในกระเป๋ามีทั้งใบร้อย ใบยี่สิบ และเหรียญอีก ฉันถามว่า ทำไมต้องเป็นจำนวนนี้ คุณสุบอกว่า มันเป็นตัวเลขที่ดี เหมาะกับเธอ และหลังจากนั้นอีกไม่นาน คุณสุก็ให้เหรียญครุฑของอาจารย์วราห์มาอีก พุทธคุณเด่นด้านค้าขาย เงินทอง มาหนึ่งองค์ อดไม่ได้จริงๆ ที่จะรู้สึกว่า ฉันมันเป็นคนพิเศษ เพิ่มไข่ ใส่ลูกชิ้นด้วย จริงๆ และเพราะยังไม่มีเทคโนโลยีที่จะจูงมือสเต็มเซลล์ให้ไปยังจุดที่ต้องการได้ ความหวังสุดท้ายจึงไปอยู่ที่ของขลัง วัตถุมงคลที่จะช่วยให้สิ่งที่ตั้งใจ ประสบผลสำเร็จ คุณสุให้ "ยาจินดามณี" มาหนึ่งเม็ด บอกให้ฉันพกติดตัวไว้ จะช่วยให้ฉันแข็งแรง ฉันไม่คุ้นเคยกับวัตถุมงคลใดๆ นอกจากพระที่แม่ให้มาห้อยคอตอนเด็กๆ ครั้งแรกที่ได้มา จำชื่อไม่ได้ด้วยซ้ำ ต้องไปถามคุณสุซ้ำ แล้วค่อยเอาไปถามอากู๋ ใครอยากรู้ว่า ดีเด่นอย่างไร ก็ลองไปค้นดู ตอนที่รู้ ฉันเองก็อึ้ง ตะลึงไปพอประมาณ เพราะดูจะเป็นของที่ทรงคุณค่าอยู่ไม่น้อย คุณสุไว้ใจให้มาอยู่ในการครอบครองของฉัน มันเหมือนกับเป็นเครื่องเตือนว่า เป็นคนดี ทำใจดี ให้สมกับที่ได้ของดีมาอยู่กับตัว พอเจอกันอีกครั้ง คุณสุบอกให้ฉันลองหัดนั่งสมาธิ แค่วันละ 5 นาทีก็ได้ ฉันก็นึกไปถึงที่เคยฟังมา ว่าการกำหนดลมหายใจ ทำสมาธิ ในทางวิทยาศาสตร์ มันพิสูจน์ได้ว่า มีประโยชน์กับร่างกาย แต่คุณสุพูดต่อจากนั้นว่า นั่งสมาธิ แล้วอุทิศบุญกุศลให้เจ้ากรรมนายเวรนะ เผื่อเขาจะยอมปล่อยเธอ เธอจะได้หาย มันดูแปลกๆ ที่คนที่กำลังใช้เทคโนโลยีที่ก้าวล้ำนำสมัย ขณะเดียวกันก็แนะนำให้ไปเจรจากับเจ้ากรรมนายเวร แต่อีกด้าน ฉันก็ยิ่งรู้สึกซาบซึ้งในความตั้งใจของคุณสุที่อยากให้ฉันดีขึ้นได้จริงๆ ดังนั้น ถึงแม้ฉันจะเคยคิดว่า ตัวเองไม่น่าทำได้ เพราะเคยลองแล้ว ไม่ได้สักกี่นานเลย มันคันยุบยับไปหมด ทั้งที่ไม่มีอะไรมากัด แต่คุณสุชงมาขนาดนี้ จะเชื่อไม่เชื่อ ฉันก็อยากทำให้ได้ อย่างน้อย คราวหน้าที่เจอกัน ฉันจะได้ตอบได้เต็มปากว่า ฉันได้ให้ความร่วมมือในการรักษาอย่างเต็มที่แล้ว ด้วยการนั่งสมาธิทุกวัน และฉันก็ได้ค้นพบว่า ฉันทำได้ว่ะ ไม่คัน ไม่ง่วง แถมยังรู้สึกสบาย รู้สึกอยากไปต่อ ฉันก็เลยเริ่มสวดมนต์ ใหม่ๆ ก็ได้แค่ อะระหัง สัมมา รู้สึกว่า มันสั้นจัง ก็ไปหายูทูป เจอทั้งพระคาถาและบทสวดมนต์เยอะไปหมด ก็เลยลองมั่วๆ สวดตามที่ได้ยิน อันไหนไม่ถนัดก็ปัดตกไป สวดทุกคืน ทุกเช้า จนจำได้ ไม่ต้องเปิดยูทูปแล้ว สวดเสร็จแล้วก็แผ่กุศลให้ตัวเอง พ่อแม่ ญาติมิตร ผู้มีพระคุณ อุทิศบุญให้เจ้ากรรมนายเวร เผื่อเขาจะมีความสุข ให้เทวดา จะได้ช่วยรักษาคุ้มครอง ทั้งหมดที่ทำไปนั้น ฉันเองก็บอกไม่ได้ว่า มันไปช่วยให้การมองเห็นของฉันดีขึ้นด้วยหรือไม่ แต่ที่ฉันเห็นแน่ๆ คือ ตัวเองทุกข์น้อยลง เหวี่ยงใส่ตัวเองน้อยลง กำจัดความโกรธ เกลียด เจ็บ ออกไปจากใจได้ง่ายขึ้น เร็วขึ้น อาการร้อนๆ อดรนทนไม่ได้ก็น้อยลง ทำใจให้ทอดธุระ เพราะสัตว์โลกย่อมเป็นไปตามกรรม ไม่อยากให้ช่วย ฉันก็ไม่พยายามละ จะเจ็บปวดดิ้นรนอย่างไร ก็ปล่อยเขาแล้ว ทำดีกับเขาแล้วไม่ได้อะไร ก็ไม่ต้องไปพยายาม สรุปรวมแล้ว ก็คือว่า เอามันทุกทาง เพื่อให้ฉันมีเงินมารักษาได้ตลอดรอดฝั่ง และหวังผลได้มากขึ้นด้วย แรกๆ ที่ไปหาคุณสุ ฉันก็ยังมีความหวังกับงานวิจัย เพราะฉันไม่รู้อะไร แต่พอเวลาผ่านไป รู้อะไรมากๆ เข้า ความหวังมันก็ค่อยๆ หมดไปเอง โรคจอประสาทตาเสื่อม ไม่ใช่โรคที่เป็นกันมาก แล้วยังมีความซับซ้อนมาก ถึงเป็นโรคเดียวกัน แต่ก็มีความเสียหายของการมองเห็นแตกต่างกัน ซึ่งก็อาจจะทำให้วิธีรักษาแบบหนึ่ง อาจจะไม่ได้ใช้ได้กับคนส่วนใหญ่ แล้วถ้าอะไรที่ทำมาแล้ว มีคนใช้ไม่มาก ไม่มีนัยสำคัญสำหรับการทำธุรกิจ ก็คงไม่มีใครอยากจะเอาเงินมาลงทุนทำวิจัย และสมมติว่า มีเงินมาทำวิจัยจริงๆ ฉันก็คิดว่า มันก็ยังยากมากที่จะได้ผลสำเร็จ ฉันได้มีโอกาสเฉียดๆ ไปอ่านงานวิจัยของหมอไทยท่านหนึ่ง ซึ่งระบุว่า การฉีดสเต็มเซลล์เข้าไปที่จอประสาทตา ได้ผลดีในช่วงแรก และในระยะเวลาแค่ช่วงสั้นๆ และมี 1 คนที่มีผลข้างเคียงที่ไม่น่าพอใจ งานวิจัยนั้น ใช้สเต็มเซลล์จากไขกระดูก ซึ่งฉันเข้าใจว่า จำเป็นต้องใช้สเต็มเซลล์ชนิดนี้ ไม่สามารถใช้สเต็มเซลล์จากรก สายสะดือ หรือ น้ำคร่ำได้ เนื่องจากติดขัดเรื่องข้อกฎหมาย ซึ่งผู้เชี่ยวชาญหลายท่านให้ข้อมูลเหมือนๆ กันว่า สเต็มเซลล์ที่แข็งแรงที่สุด เก่งที่สุด ก็คือสเต็มเซลล์ที่ใกล้จุดกำเนิดมากที่สุด สเต็มเซลล์จากไขกระดูก ยังไงมันก็แก่กว่า กำลังวังชาก็ลดน้อยถอยลง แถมยังจำได้แล้วด้วย ว่า ฉันคือสเต้มเซลล์จากไขกระดูก มันก็เลยมีโอกาสที่จะแบ่งตัวไปเป็นเซลล์กระดูก ถึงแม้ตรงนั้นจะไม่ควรมีกระดูกก็ตาม สมมติต่อไปอีกว่า เอาล่ะ มีการอนุญาตให้ใช้เพื่อการวิจัยได้ ก็ยังมีปัญหาต่อไปอีกว่า แม้จะฉีดสเต็มเซลล์ที่ดีที่สุดเข้าไปที่จอประสาทตาแล้ว ผลก็อาจจะดีอยู่ได้ไม่นาน เพราะถ้าพิจารณาจากภาพถ่ายจอประสาทตาของคน RP จะเห็นได้ชัดว่า เส้นเลือดที่มาเลี้ยงจอประสาทตานั้น มีลักษณะตีบ ซึ่งก็หมายถึงว่า การส่งสารอาหาร การเยียวยาต่างๆ ผ่านไปทางเส้นเลือด มันส่งผ่านไปได้น้อยมาก เหตุนี้จึงทำให้คน RP มีการมองเห็นที่ค่อยๆ ลดลง เพราะไม่มีอาหารเพียงพอไปเลี้ยง เซลล์มันก็ต้องค่อยๆ ตายไปอยู่แล้ว ดังนั้น แม้ว่าจะใส่เซลล์ที่แข็งแรงมากๆ เข้าไปทำงานข้างในได้ แต่ไม่มีเลือดไปเลี้ยง สุดท้าย มันก็คงตายหมด แล้วอาการก็คงจะ Drop ลงมาอยู่ที่เดิม ในเวลาไม่นาน ซึ่งภาษาในงานวิจัย เขาใช้คำประมาณว่า ได้ผลระยะสั้น ไม่เป็นที่น่าพอใจ นอกจากนี้ การมองเห็นไม่ได้ใช้แค่ตา แต่ยังมีการเชื่อมต่อไปถึงสมอง ซึ่งในคน RP ก็มีแนวโน้มว่า เส้นประสาทที่เชื่อมต่อเพื่อส่งสัญญาณ อวจจะเกิดความเสียหายอยู่ด้วย เพราะฉะนั้น ถ้าซ่อมจอประสาทตาให้รับภาพได้ดีขึ้นแล้ว แต่กลับยังส่งสัญญาณได้ไม่ดี ผลในการมองเห็น ก็อาจจะไม่ได้ดีขึ้นชัดเจนจนเป็นที่น่าพอใจ และฉันเคยถามจักษุแพทย์เรื่องของสมองส่วนที่ใช้แปลภาพที่อาจจะมีผลต่อการมองเห็นหรือไม่ คุณหมอตอบตรงๆ สั้นๆ ว่า ผมเป็นหมอตา เลยจากตาไป ผมไม่รู้แล้วครับ ก็เป็นอันว่า ถ้าเป็นงานวิจัย ที่มุ่งใช้สเต็มเซลล์ฉีดเข้าจอประสาทตาเพียงอย่างเดียว โอกาสที่จะได้ผลเป็นที่น่าพอใจ จนประกาศให้ใช้วิธีรักษานี้ได้เป็นการทั่วไป ก็แทบจะเป็น 0 ด้วยเหตุผลต่างๆ ที่ฉันประมวลมาได้จากข้อมูลที่ค่อยๆ ได้มาเพิ่มมากขึ้น ฉันก็ตัดสินใจเด็ดขาดแล้วว่า จะไม่ไม่ดิ้นรนหาทางไปอยู่ในงานวิจัย เพื่อให้ได้โอกาสในการรักษาอีกต่อไปแล้ว สเต็มเซลล์ที่เติมเข้ามาในตัวฉัน ยังคงทำงานอยู่ ฉันได้ลานสายตาที่เคยแคบมาก กลับมาค่อยๆ กว้างออก จุดบอดในลานสายตาก็ค่อยๆ ลดลง อ่านหนังสือได้เร็วขึ้น มองเห็นในระยะไกลได้ดีขึ้น เห็นหน้าตัวเองชัดขึ้นด้วย ถึงแม้จะยังไม่ได้กลับมาใกล้เคียงปกติ แต่มันก็ดีในระดับที่ทำให้ฉันสบายใจได้ว่า จนกว่าจะตาย การมองเห็นของฉันคงไม่เสื่อมถอยไปจนถึงขั้นตาบอดแล้ว ฉันเคยได้คุยกับจักษุแพทย์ท่านหนึ่ง และท่านบอกว่า ท่านไม่เชื่อในการใช้สเต็มเซลล์รักษาจอประสาทตาเสื่อม ไม่เชื่อถึงขั้นต่อต้านด้วยซ้ำ และคิดว่า คนที่ใช้วิธีนี้แล้วบอกว่า ดีขึ้น น่าจะคิดไปเองมากกว่า ตอนที่ได้คุยกับท่าน ฉันผ่านการรักษาจนเห็นผลดีขึ้นอย่างชัดเจนแล้ว แล้ะได้เข้าใจแล้วว่า การตรวจสภาพการมองเห็น ยังไม่มีเครื่องมือใดๆ ทำได้ การตรวจโรคจอประสาทตาเสื่อม ก็เป็นเพียงการตรวจทางกายภาพให้เห็นสภาพของจอประสาทตา ซึ่งมีลักษณะทางกายภาพแตกต่างกับคนปกติอย่างชัดเจน แต่ภาพที่ออกมานั้น ก็ไม่ได้บอกได้ว่า สภาพการมองเห็นมันเป็นอย่างไร ฉันก็เลยเข้าใจได้ว่า คุณหมอเองก็คงไม่อยากให้คนไข้ไปหาทางรักษาทางไหนที่ยังไม่ชัดเจน และเสี่ยงจะโดนหลอกได้ง่ายๆ แต่ถึงอย่างไร เทคโนโลยีมันพัฒนาไปตลอดเวลา อาการเสื่อมของอวัยวะใดๆ ก็เช่นกัน ถ้ารอได้ ก็รอ แต่สำหรับใครที่เป็นอย่างฉัน ซึ่งรอไม่ได้แล้ว เพราะรอนานไป ก็ยิ่งจะเสียหายไปจนอาจจะซ่อมไม่ได้ หรือไม่ก็ ไม่เหลืออะไรให้ซ่อมแล้ว การรอก็อาจจะกลายเป็น สายเกินไป ถ้ากล้าไปฉีดวัคซีนป้องกันโควิด ทั้งที่ก็ไม่ได้ผ่านการวิจัยตามระบบ ทำไมจะกล้าลองใช้เทคโนโลยีใหม่ๆ เพื่ออนาคตของตัวคุณเอง เวลาที่ต้องฟังใครพูดว่า เราเป็นโรคที่ไม่มีทางรักษา ไม่รู้หรอกว่า คนพูดรู้สึกอะไร แต่ที่แน่ใจ คือ เราซึ่งเป็นคนฟัง เจ็บ แน่นอน มันอาจฟังดูงี่เง่า แต่ฉันก็บอกกับทุกคนว่า ถึงแม้จะมีความหวังแค่ 0.01% ฉันก็ขอโอกาสให้ตัวเอง ถูกรางวัลที่ 1 มันยาก แต่ก็มีคนถูกรางวัลทุกงวดนั่นแหละ วันหนึ่ง มันอาจเป็นของฉันก็ได้ ใครจะรู้ ขอให้กล้าลองซื้อลอตเตอรี่ก่อนก็แล้วกัน คน สัตว์ ดราม่า คุณว่า ใครใจร้าย
เมื่อไม่กี่วันมานี้ มีคนมาเล่าให้ฟังว่า มีหน่วยงานหนึ่ง ซึ่งก่อตั้งตัวเองเป็นจิตอาสาเรื่องหมาจร ได้เข้าไปที่บ้านของผู้สูงยัยท่านหนึ่ง ตามการแจ้งของใครสักคน เพื่อไปช่วยแมวกว่า 30 ชีวิต ที่ติดอยู่ในกรงขัง และก็คล้ายๆ หลายข่าวที่เคยได้ยินมา ผู้สูงวัยไม่ยอมให้ขนเอาแมวในการดูแลออกไปโดยง่าย กลายเป็นเรื่องดราม่าในโซเชียลให้ติดตามความคืบหน้าของการแจ้งความดำเนินคดี และเชิญตำรวจมาไกล่เกลี่ยกันอยู่หลายชั่วโมง กว่าจะได้มีการย้ายแมวออกจากที่ขัง
ครั้งก่อนๆ ที่ได้ยินข่าวทำนองนี้ ความคิดในใจฉัน ก็เหมือนหลายๆ คอมเม้นท์ที่บอกว่า เก็บมาแล้วก็เลี้ยงไม่ไหว จะเอามาเป็นภาระทำไม มีคนมาช่วยออกไปก็ดี สบายทั้งคน สบายทั้งแมว แต่ครั้งนี้ เพราะรู้จักทั้งหน่วยงานที่ไปเอาแมวออกมา และ ลุงเจ้าของแมว มันก็เลยเป็นอีกครั้งที่ทำให้เห็นว่า การดัดสินอะไร จากเพียงสิ่งที่เห็นอยู่ตรงหน้า โดยไม่รู้บริบท สภาพแวดล้อม ความเป็นมา แล้วไปวิพากษ์วิยารณ์ เลือกข้าง ทัวร์ลง ไปตามกระแส มันบาปมหันต์ ที่จะเล่าต่อไปนี้ เป็นเรื่องที่แันรับรู้มากจากการบอกเล่าของผู้ที่อยู่ในเหตุการณ์ และจากที่ฉันได้พูดคุยกับคนที่เกี่ยวข้อง ซึ่งฉันไม่ได้ไปพิสูจน์ข้อเท็จจริงด้วยตนเอง ก็เอาเป็นว่า จะเชื่อไม่เชื่ออย่างไร ขอให้ใช้วิจารณญาณก่อนตัดสิน 1 ในผู้ก่อตั้งหน่วยงานนั้น เคยเก็บหมาที่ถูกรถชน เจ็บป่วย มาเลี้ยงไว้ในบ้านเช่าของตัวเองหลายตัว ฉันรู้ เพราะเขามาซื้อของที่ร้าน แล้วก็บ่นให้ฟังว่า คนข้างบ้านด่าเขาทุกวัน ว่าบ้านเขาสกปรก ส่งกลิ่นเหม็นรบกวน เพราะเขาเอาหมาใส่กรงไว้ตรงที่ว่างหน้าบ้าน หมาอึฉี่ลงพื้น เขาก็ฉีดน้ำไล่ให้ไปลงคูระบายน้ำ แต่หน้าร้อน คูไม่ค่อยมีน้ำ อึหมามันก็เลยไม่ค่อยไปไหน สะสมอยู่ตรงนั้น เขาว่าเขาก็เข้าใจ แต่ก็บ่นอีกว่า คนข้างบ้านไม่มีเมตตาเลย หมาที่เขาช่วยมา ทุกตัวก็ป่วย ต้องดูแล ต้องหาหมอ หมดเงินไปเยอะมากแล้ว แล้วก็เขาก็ให้ดูว่า เขาลงรูปและเรื่องในเพจตัวเอง เพื่อขอรับบริจาค ก็ไม่ค่อยมีใครเห็น พี่ที่ร้านเลยเื้อเฟื้อ บอกให้เขาพิมพ์ลงกระดาษ ทำเป็นแฟ่นๆ มา จะช่วยติดไว้ที่ร้าน คนจะได้เห็นเยอะขึ้น ซึ่งก็มีคนเห็นเยอะขึ้นจริงๆ แต่ 1 คนที่ไปช่วยเขา มาบอกให้เราเอาป้ายลงเถอะ รูปหมาที่เอามาลงว่าป่วยน่ะ โดนเอาลงซ้ำหลายครั้งแล้ว และที่สำคัญคือ เขาตามไปดูที่บ้านนั้น หมาตัวในรูปก็ไม่อยู่แล้วด้วย ช่วงเลานั้น ทางเทศบาลเริ่มมีการจัดพื้นที่ไว้สำหรับเลี้ยงหมาจรที่ชาวบ้านแจ้งให้ไปจับออกจากพื้นที่ เพื่อสุขอนามัยและความปลอดภัย ก็มีกลุ่มคน รวมทั้งบุคคลข้างต้น เอาหมาจร หมาเจ็บ ไปส่งไว้ที่สถานที่นั้น แล้วก็เริ่มมีการสื่อสารออกมาว่า เทศบาลไม่มีคนมาดูแล แค่เอามาปล่อยไว้ แล้วก็ให้อาหาร พวกเขาในฐานะคนรักหมา ก็เลยควมตัวกันตั้งหน่วยงานนั้นขึ้นมา เพื่อขอรับการสนับสนุนจากคนทั่วไป โดยมีพวกเขาเป็นคนเข้าไปดูแลคุณภาพชีวิตของหมาจรในพื้นที่เลี้ยงของเทศบาล ซึ่งก็ได้รับตอบรับมาตลอด หน่วยงานนั้นก็เลยยังคงอยู่มาจนถึงตอนนี้ แต่ ตลอดมานั้น หน่วยงานนี้ก็เหมือนวัด เงินบริจาคเท่าไหร่ เอาไปทำอะไร ไม่มีใครรู้ บางคนก็แค่รู้ว่า เขามีโครงการจะทำนั่นนี่ ลงโพสต์ขอสนับสนุน พอผู้มีจิตศรัทธาระดมทุนกันแล้วนำส่งเป็นเงินห้อนเข้าไป โครงการนั้น ก็ไม่ได้เกิดขึ้นครบถ้วนอย่างที่เคยสร้างภาพไว้ บางคนก็รู้ว่า บริจาคอิฐหินปูนทราย เพื่อสร้างและซ่อมแซมคอกหมา แต่พอตามไปดู ของก็กองอยู่อย่างนั้น ไม่มีการก่อสร้างใดๆ และโพสต์ขอบริจาคเงินก็ยังอยู่บนหน้าเพจ สัตวแพทย์ที่บ้านฉันพาหมาไปหาเขาเป็นประจำ ก็เคยไปช่วยฉีดวัคซีน ฉีดยากำจัดเห็บหมัดให้หมาที่หน่วยงานนี้ดูแล เขาว่าเขาก็พอรู้ว่า พวกนี้ หากินกับหมา แต่ก็คิดเสียว่า พวกนั้นก็ต้องเสี้ยงชีพ กินข้าว แล้วเขาก็ไม่ใช่คนรวย เงินที่บริจาคไป ก็ถือว่า จ่ายค่าแรงที่เขามาดุแลเลี้ยงหมา ก็ดีกว่าไม่มีใครมาดูแลเลย เพราะเทศบาลเอง ก็ไม่ได้มีงบประมาณมาทำได้ตลอด เคสที่เขาไปช่วยยิงยาสลบ จับหมาจรมาทำหมันก็มีจริงๆ หลายเคส ส่วนเรื่องระดมทุน ขอเงินบริจาค ก็ กรรมใครกรรมมัน ลุงเป็นลูกค้าที่ร้านมาเกิน 10 ปีแล้ว ลงแกชอบเลี้ยงแมวมาแต่ไหนแต่ไร แล้วก็อยู่ตัวคนเดียว อายุมากแล้ว แต่แกก็ยังมีงานทำ มีรายได้พอเลี้ยงตัวเองและแมวได้แบบสบายพอสมควร ไม่ดีนัก แต่ก็ไม่ขัดสน แมวก็มีทั้งเก็บมา ขอเขามา บางทีก็เกิดกันเอง ตายบ้าง หายบ้าง ก็มีแมวใหม่มาอีก ปริมาณก็ขึ้นๆ ลงๆ อยู่แถวหลักสิบ แกเคยมาเล่าว่า แกไม่ให้แมวไปไหน ทำกรงให้อยู่เรียบร้อย เพราะบ้านแกอยู่ริมคลอง พอถึงฤดู งูเหลือมก็มาเยี่ยมทุกปี มาทีไร แมวก็หาย แกเลยเลี้ยงให้อยู่แต่ในกรง จะได้ไม่โดนงูกิน ไม่ต้องห่วงว่าจะโดนรถชน ไม่ต้องห่วงว่าจะไปทะเลาะกัดกับแมวที่อื่นแล้วกลับมาให้รักษา เพราะแกก็ไม่มีเงินพอจะไปดูแลขนาดนั้น แต่ถ้าเห็นว่าไม่สบาย แกก็ซื้อยามาทาให้บ้าง ป้อนยาบ้าง ไหวก็หาย ตายก็ปล่อย แกก็เลี้ยงของแกมาแบบนี้ ตอนงานยังดี รายได้ยังดี ลุงซื้ออาหารให้แมวครั้งละ 8 ถุง แต่หลังจากโควิดระบาดจบลง เศรษฐกิจที่แย่ลงเรื่อยๆ ก็ทำให้ลุงมีงานน้อยลง รายได้ลดลง ลุงก็ซื้ออาหารแมวน้อยลง จนมาเหลือซื้อครั้งละถุงเดียว แต่ก็มาซื้อถี่กว่าเดิม ฉันไม่เห็นด้วย แต่ก็เห็นใจลุง แววตาของลุงเวลาพูดถึงแมวตัวโปรด มันเหมือนโลกทั้งใบที่มีแต่ความสดใส ถามที่ไร แกก็บอกว่า ยังไหว คนที่คิดว่าแกไม่น่าจะไหว ก็ได้แค่ช่วยกันซื้ออาหารแมวเอาไปบริจาคให้แก ตามกำลังความเห็นใจ ช่วยไปเท่าที่แกยอมให้ช่วย ภาพที่ปรากฏออกมาในสื่อโซเชียล คือแมวที่บ้านลุง ทุกตัวอยู่ในกรงขัง ตามตัวมีบาดแผล รอยโรคผิวหนัง มีรูปอาหารที่อยู่ในกรงแมว พร้อมข้อความประกอบว่า อาหารขึ้นรา แน่นอน เจ้าของสื่อนั้น คือ หน่วยงานที่เข้าไปเพื่อ "ช่วยแมว" มีการลงภาพการเจรจา ลงคลิปการพยายามพูดเพื่อให้ลุงยอมให้เอาแมวออกไปจากที่นั้น ซึ่งลุงก็ดื้อแพ่ง ไม่ยอมท่าเดียว หน่วยงานนั้น ก็เลยไปแจ้งตำรวจ และหลังจากที่มีการไลฟ์สด โพสต์รูป และเรื่อง อย่างต่อเนื่องถลอดทั้งวัน ยังกับมีเหตุคนร้ายกราดยิงในที่สาธารณะ ที่สุด ก็มีการโพสต์ว่า ลุงยอมแล้้ว กำลังขนย้ายตัวประกัน เอ่อ ไม่ใช่ แมวผู้น่าสงสารออกไป ราวกับเป็นการประกาศชัยชนะ และ ขอย้ำอีกครั้งว่า คนที่ติดตามสื่อนั้น กำลังเสพข้อมูลช่องทางเดียว ฉันตัดการรับรู้เอาไว้เพียงเท่านั้น เพราะไม่อยู่ในสถานะที่จะทำอะไรได้ ได้แต่สะท้อนใจว่า ในโลกโซเชียลนั้น ลุงช่างไร้ความหมาย มีกี่คนที่สนใจความรู้สึกของลุง คนแก่อายุ 70 กว่า อาศัยอยู่ตัวคนเดียว แมว ไม่ใช่แค่สัตว์เลี้ยง แต่เป็นเพื่อนเล่น เป็นเพื่อนคุย เป็นชีวิตที่รอแกกลับบ้าน เป็นภาระที่ผลักดันให้แกต้องพยายามมีชีวิตอยู่ ถึงการที่แกพยายามจะดูแลแมวทั้งหมด ทั้งที่แกไม่มีทางทำได้ดี มันเป็นเรื่องไม่เหมาะสม แต่การหักหาญน้ำใจคนแก่ จะต้องเอาแมวออกจากกรงให้ได้ภายในวันนั้น ถึงขั้นต้องใช้ตำรวจและกฏหมายมาบังคับ ฉันไม่เข้าใจจริงๆ ว่า หน่วยงานนั้น ทำเพื่ออะไร นึกไม่ออกเลยว่า ถ้าเป็นฉัน จู่ๆ ก็ถูกพรากทุกอย่างไปแบบไม่มีเวลาให้ตั้งตัว ฉันจะใช้ชีวิตต่อไปอย่างไร ฉันรู้ว่าตอนแมวอยู่กับลุง มันก็ไม่ได้สบายเท่าไหร่ แต่ถ้าจะใช้เหตุผลว่า เมตตาสงสารแมว โดยไม่เห็นแก่ใจคนแก่เลย ฉันก็ยังคิดว่า มันเกินไปอยู่ดี มันไม่มีทางประนีประนอมกันได้เลยหรือ อย่างน้อยก็ให้เวลาลุงได้บอกลาเพื่อน หรือ ได้เลือกตัวที่รัก เท่าที่พอสมควร เอาไว้เลี้ยงต่อ สวดมนต์ ไหว้พระ แผ่เมตตาทุกวัน ฉันก็ยังอดจะหลุดปากไม่ได้ว่า เอาไว้ให้แก่แล้วโดนแย่งของรักดูบ้างเถิด ฉันไม่รู้ว่า คนที่คอมเม้นท์ให้เอาแมวออกจากบ้านลุงให้ได้ ได้ติดตามต่อมั้ยว่า แมวถูกพาไปไหน หน่วยงานนั้น ลงรูปแมวที่ดูป่วยหลายรูป พร้อมคำบรรยายอาการต่างๆ นานา ถ้าต้องเอาทุกตัวไปหาหมอ จะเอาเงินที่ไหน เพราะฉันได้ข่าวที่กรองมาแล้วว่า มีร้านใจดี ขายอาหารหมาให้ในราคาส่ง บริการไปส่งถึงที่ และให้เครดิต เอาของไปก่อน จ่ายเงินทีหลัง แต่ก็จ่ายบ้าง ไม่จ่ายบ้าง จนร้านเขาไม่ให้ติดหนีเพิ่ม ไม่ส่งของให้ จนกว่าจะมาจ่ายหนี้ที่ค้างอยู่ และข่าวที่ไม่ต้องกรองในวันรุ่งขึ้น คือ รูปและข้อความขอระดมทุนจากผู้ใหญ่ใจดี เพื่อช่วยน้องแมวผู้ยากไร้ ลุงดูแลแมวไม่ดีนัก แต่ใครบอกได้ว่า หน่วยงานนั้น จะดูแลได้ดีกว่า แมวก็พูดไม่ได้เสียด้วยว่า อยากอยู่หรืออยากไป เล่าไว้ให้ใช้สติคิด อย่าเพิ่งรีบร้อนตัดสินแค่สิ่งที่เห็นอยู่ตรงหน้า เห็นด้วยหรือไม่ ก็ไม่ว่าอะไร เพราะเดี๋ยวมันก็เป็นแค่อีกเรื่องหนึ่งที่ผ่านไป พิจารณาให้เห็นแจ้ง แล้ววางอุเบกขา เอาเวลาไปสวดนนต์ รักษาศีล จะได้มีสติ ระวังตัว ไม่ไปเบียดเบียนใครให้บาปมันติดตัว ตุลา ตูล่า หาชีวิตใหม่กัน #2
หลังจากได้คุยกับผู้เชี่ยวชาญหลายครั้ง ฉันก็ตัดสินใจไปเข้ารับสเต็มเซลล์ เอาจริงๆ เวลานั้น ฉันไม่ได้มั่นใจเลยว่า วิธีนี้มันจะช่วยฉันได้ อย่างที่เคยได้ข้อมูลมา สิ่งที่ทำให้ฉันไป ก็คือ ฉันไม่มีอะไรให้เลือก ถึงมันไม่ใช่ทางรอด ถึงแม้ว่าโอกามสำเร็จจะมีแค่เปอร์เซ็นเดียว แต่มันก็เหมือนเป็นสิ่งสุดท้ายที่ฉันพอจะคว้าไว้ได้ ถ้ามันไม่ได้ผล อย่างน้อย ฉันก็ได้รู้สึกว่า ฉันได้พยายามแล้ว ;วันข้างหน้าจะได้ไม่ต้องคาใจว่า ถ้าวันนั้นทำ วันนี้จะเป็นยังไง ก่อนจะไปหาคุณสุ (ผู้เชี่ยวชาญ มันยาวไป ต่อไปจะขอใช้คำแทนว่า คุณสุ) ฉันได้พูดคุยทางโทรศัพท์ด้วยหลายครั้ง คุณสุคุยกับฉันอย่างเื้ออารี บอกฉันว่า อาการของฉัน แนะนำให้รับสเต็มเซลล์ 25 ครั้ง ฉันฟังแล้วแทบอยากจะเป็นลม แต่คุณสุก็บอกว่า แค่คำแนะนำ จริงๆ ก็เอาเท่าที่ไหว ฉันถามเรื่องที่มาของสเต็มเซลล์ที่จะเอามาฉีดให้ฉัน ก็ได้คำตอบว่า มันมาจากญี่ปุ่น ซึ่งเทคโนโลยีในเรื่องนี้ ที่บ้านเขา ไปไกลกว่าเรามาก สเต็มเซลล์เหล่านั้น ได้ผ่านการทดสอบความปลอดภัยด้วยมาตรฐานของประเทศญี่ปุ่น ขอให้มั่นใจว่า จะไม่มีของฝาก เป็นโรคแปลกๆ หรือ พันธุกรรมผิดปกติอื่นใดที่จะทำให้ฉันป่วยเพิ่ม ฉันถามเรื่องวิธีการดูแลตัวเอง ก่อนและหลังการรับสเต็มเซลล์ คุณสุก็บอกให้ดูแลสุขภาพตามปกติที่คนทั่วไปควรจะทำอยู่แล้ว ตอนรับสเต็มเซลล์ คุณสุจะเติมวิตามินและล้างโลหะหนักให้ฉันด้วย เพื่อเป็นอาหารให้กับสเต็มเซลล์ที่ใส่เข้าไปใหม่ และช่วยให้เลือดสะอาดขึ้น หลังจากนั้น ฉันก็ควรเดินออกกำลังกาย พาร่างไปโดนแดดเสียด้วย เพื่อให้ร่างกายได้รับออกซิเจนเต็มที่ ให้หัวใจได้ทำงานอย่างแข็งแรง จะได้สูบฉีดเลือดที่มีสเต็มเซลล์อยู่ในนั้น ไปยังส่วนต่างๆ ได้ดีขึ้น เพื่อจะได้ไปซ่อมแซมร่างกายส่วนที่เสื่อมได้เร็วขึ้น แต่ แต่ แต่ อาการจอประสาทตาเสื่อม มันอยู่ลึกเข้าไปด้านใน ซึ่งด้วยเทคโนโลยี และความรู้ที่มีอยู่ ณ ปี 2024 มันยังเสี่ยงเกินไป และผลสำเร็จจากการฉีดสเต็มเซลล์เข้าไปตรงๆ ที่จอประสาทตา ก็ไม่ได้ยืนยันได้ คุณสุอธิบายให้ฉันเข้าใจว่า พูดตรงๆ มันก็คือการ วัดดวง เพราะในเมื่อยังไม่สามารถฉีดเข้าไปที่อวัยวะที่ต้องการซ่อมได้โดยตรง วิธีที่ทำได้ก็คือ ฉีดสเต็มเซลล์เข้าไปในเส้นเลือด แล้วก็ลุ้นเอาว่า มันจะไปช่วยฉันได้แค่ไหน ฟังดูเลื่อนลอย เพราะฉันไม่ใช่คนชอบเล่นหวย แต่ ฟังข้อมูลจากแหล่งอื่นๆ เขาก็พูดคล้ายๆ กันว่า เท่าที่มีงานวิจัยออกมา ก็ยังไม่พบว่ามีอันตรายอะไร เพราะฉะนั้น ถ้าไม่ถูกรางวัล ฉันก็แค่ถูกหวยกิน ไม่ได้ถึงขึ้นจะต้องเป็นหนี้เป็นสิน ฉิบหายขายตัว คุณสุให้ฉันถามอะไรๆ ที่ฉันยังคาใจ ตอนนั้นรู้สึกว่าถามไปหลายอย่างมาก แต่ถึงตอนนี้ก็นึกไม่ออกเสียแล้ว เอาเป็นว่า ฉันตัดสินใจลองทำดู เพราะคุณสุบอกว่า ฉันจะรู้สึกถึงการเปลี่ยนแปลงตั้งแต่ครั้งแรกที่ทำ ตั้งแต่วันรุ่งขึ้นเลยด้วย เอาเถอะ ถ้าได้ผลจริง ก็มาทำต่อ ถ้าไม่ได้ก็จบแค่นี้ คุณสุไม่ได้คิดเงินเป็นคอร์ส ให้ฉันจ่ายเงินเป็นครั้งๆ ที่มาทำ เอาล่ะ อันดับแรก ฉันต้องตรวจร่างกายก่อน เพื่อดูว่า ร่างกายของฉันขาดวิตามินอะไร จะได้เสริมวิตามินได้ถูกต้องตรงกับที่ร่างกายฉันต้องการ ฉันก็ยังนึกว่า จะเหมือนเวลาไปตรวจสุขภาพ ที่ต้องเจาะเลือด โน่นนี่ แต่ที่นี่ ตรวจด้วยควอนตัม ตอนคุณสุบอก ก็งงๆ เพราะไม่รู้จัก เขาให้ทำอะไร ก็ทำไป ซึ่งก็ไม่ได้ต้องทำอะไรมาก แค่กำแท่งที่เขาบอก นั่งนิ่งๆ หายใจไปตามปกติ เขาคลิกๆ เมาส์ไม่กี่ครั้ง ก็บอกว่าเสร็จแล้ว ฉันก็คืนแท่งเขาไป รอแค่ไม่กี่นาที ก็ได้ผลตรวจร่างกายมาแบบครบถ้วน ซึ่งมันว้าวมาก มันไม่ได้แค่บอกปริมาณไขมัน น้ำตาล แต่ยังบอก ปริมาณความเครียด ความแข็งแรงของเส้นเลือดสมอง เส้นเลือดหัวใจ ประสิทธิภาพการทำงานของตับ ไต แล้วยังบอกได้ด้วยว่า ฉันแพ้นม และ น้ำยาย้อมผม ซึ่งถ้าตรวจด้วยวิธีที่ฉันรู้จัก มันน่าจะต้องตรวจกันหลายครั้ง แต่ควอนตัม ทำทีเดียวจบ ฉันก็สงสัยว่า ทำไมไม่เคยได้ยิน แม้แต่จากโรงพยาบาลเอกชนใหญ่ๆ แต่พอลองมาหาข้อมูลดู กลับพบว่า ตามศูนย์เวชศาสตร์ชะลอวัย กับ คลินิกเสริมความงาม เขามีใช้กันเยอะแล้ว ก็แปลก ดีหรือไม่ดี ก็ไม่รู้ ร่างกายของฉันโดยรวมแข็งแรงดี ไม่มีอะไรน่าเป็นห่วง ซึ่งถือว่า เป็นข่าวดี เพราะถ้าฉันมีอวัยวะภายในส่วนไหน มีภาวะเสื่อมอยู่ด้วย สเต็มเซลล์ที่ใส่เข้าไป ก็จะยิ่งหลงเหลือไปซ่อมจอประสาทตาให้ฉันน้อยลงไปอีกก็ได้ หลังจากฟังผลแล้ว ฉันถูกพาเข้าไปในห้องเล็กๆ ให้ฉันนอนบนเตียงคนไข้ หลังจากนั้น ฉันก็หลับๆ ตื่นๆ จนเสียงเครื่องร้องเตือน วิตามินและสเต็มเซลล์ถูกส่งผ่านเข้าเส้นเลือดของฉันครบถ้วนแล้ว ฉันก็ถูกพาไปพบคุณสุอีกครั้ง เพื่อดูอาการหลังรับวิตามินและสเต็มเซลล์ เพราะบางคนก็มีอาการมึนหัว เวียนหัว แต่ฉันไม่เป็นไร รอดตัวไป คืนนั้น ฉันกลับถึงบ้านด้วยความรู้สึกเครียดมากๆ จนตัวเองรู้สึก โชคดีที่น้องสนิทเขาว่างพอดี เลยได้คุย ได้บอกเขาว่า ฉันกำลังรู้สึกแย่มากๆ ฉันรู้สึกว่า นี่คือหนทางสุดท้ายที่จะทำให้ฉันหายจากโรคนี้ได้ เพราะฉะนั้น ถ้ามันไม่ได้ผล ชีวิตอันสว่างไสวก็คงจบลงแต่เพียงเท่านี้ เวลาที่เหลือ คือการนับถอยหลังสู่ความมืด ฉันรู้ว่าน้องจะพูดอะไร หลังจากฟังฉันจบ ถึงอย่างนั้น ฉันก็ยังรู้สึกดี รู้สึกขอบคุณ ที่น้องปลอบใจ ให้กำลังใจ ไม่เพิกเฉย ปล่อยให้ฉันวนเวียนอยู่คนเดียว ว่าจะรอดหรือไม่รอด คุณสุหลอกฉันหรือเปล่า เงินที่ฉันจ่ายไป จะมีค่าเท่ากับ 0 หรือไม่ ฉันตื่นขึ้นมาด้วยความไม่ได้คาดหวังอะไรเลย แต่ฉันกลับพบว่า ลานสายตามันกว้างขึ้นมานิดหนึ่ง ผ่านไปสองสามวัน ฉันก็เห็นไฟหน้ารถ ไฟถนน เป็นดวงกลม เป็นหลอดยาว ที่เป็นขอบเรียบ ไม่เป็นแสงฟุ้งๆ ไม่เป็นแฉกๆ การมองเห็นของฉันเปลี่ยนไปในทางดีขึ้นอย่างชัดเจน แต่มันเป็นส่งที่ฉันเห็นคนเดียว คนอื่นไม่ได้มาเห็นด้วย และฉันถูกถามว่า คิดไปเองหรือเปล่า แบบเสียเงินไปเยอะแล้ว เลยหลงมั่นใจไปเอง ฉันก็ได้แต่ยืนยันว่า ฉันไม่ได้คิดไปเอง ช่วยฉันต่อเถอะ คุณสุบอกฉันว่า เขาอยากให้มาทำทุกวันจนครบ 10 วัน แล้วค่อยเลื่อนเวลาห่างออกไป แต่เงินและเวลาของฉันไม่อำนวยขนาดนั้น ฉันขอไปอาทิตย์ละครั้ง คุณสุก็ตอบว่า เอาที่สะดวก ไม่บังคับ ฉันคิดเอาเองว่า จริงๆ ไม่ได้มีงานวิจัยมารองรับชัดเจน มีแค่ประสบการณ์จากการทำงานของคุณสุเอง ฉันว่า คุณสุก็บอกไม่ได้ว่า การรับทุกวัน กับ อาทิตย์ละครั้ง จะให้ผลต่างกันแค่ไหน และที่สำคัญ คุณสุรู้อาการของฉัน จากคำบอกเล่า ไม่ใช่การตรวจวินิจฉัย คุณสุบอกให้ฉันไปตรวจกับหมอประจำ ก่อนจะไปรับสเต็มเซลล์ไว้ก่อนก็ได้ แล้วหลังจากรับสเต็มเซลล์แล้ว ก็ไปตรวจซ้ำดูอีกทีว่า มีการเปลี่ยนแปลงทางกายภาพอะไร ที่สามารถเปรียบเทียบได้อย่างชัดเจนบ้าง แต่ฉันไม่ได้ทำ เพราะเท่าที่ฉันเคยคุยกับจักษุแพทย์ มันก็ไม่ได้มีเครื่องมืออะไรที่จะตรวจวัดการมองเห็นได้อย่างชัดเจน มีแต่เครื่องวัดลานสายตาที่จะพอเชื่อถือได้ ลานสายตาที่ค่อยๆ กว้างออกทีละน้อยๆ ทำให้ฉันมีกำลังใจ มีความสุข การได้ไปพบกับคุณสุ ได้พูดคุย ได้สอบถาม ได้แสดงความคิดเห็นอย่างตรงไปตรงมา ฉันก็ยิ่งรู้สึกว่า คิดถูกแล้วที่ไม่รอให้มีงานวิจัยออกมารองรับ ที่เคยเคืองจักษุแพทย์ที่บอกว่า ชั่วชีวิตนี้ก็ยังไม่รู้จะได้ใช้มั้ย ถึงตอนนั้น ฉันก็เริ่มรู้สึกว่า อาจจะจริงก็ได้ ด้วยอุปสรรคมากมายหลายอย่างที่คนที่ไม่ได้อยู่ในแวดวงนักวิจัยอย่างฉันก็พอดูออก ฉันเคยอ่านข่าวเรื่องความก้าวหน้าในการใช้สเต็มเซลล์รักษาโรคจอประสาทตาเสื่อม หนึ่งส่วนในเนื้อข่าวคือ มีหน่วยงานภาครัฐหน่วยงานหนึ่ง รับหน้าที่เลี้ยงและขยายจำนวนสเต็มเซลล์ เพื่อจะได้นำไปใช้กับคนไข้ได้หลายคน จะได้ไม่ต้องรอเก็บ รอเพาะเลี้ยงเพิ่มจำนวน ตอนนั้นอ่านแล้วก็เฉยๆ ไม่ได้คิดอะไร เพราะไม่รู้อะไร แต่พอรู้มากขึ้น ฏันก็เข้าใจความยากตั้งแต่จุดเริ่มต้น ตั้งแต่ หน่วยงานนั้น ใช้สเต็มเซลล์ของใคร ได้มาจากไหน (เพราะคงไม่ได้ซื้อมาแน่ๆ) คุณภาพ ความปลอดภัยของสเต็มเซลล์ ใครเป็นคนตรวจสอบรับรอง ได้มาแล้ว จะฉีดเข้าที่จุดไหน ฉีดในปริมาณเท่าไหร่ ความถี่แค่ไหน เพราะในคนไข้ที่มีระดับความรุนแรงของอาการไม่เท่ากัน ทำการทดลองอย่างเดียวกัน ก็น่าจะได้ผลไม่เหมือนกัน แล้วจะเอาตรงไหนเป็นเกณฑ์ การทดสอบทั้งหมดที่ว่า ต้องใช้เวลามากกกกกกก และปัญหาสุดท้ายที่ฉันเห็นว่า ยิ่งใหญ่ที่สุด คือ เงิน ใครเป็นคนออกทุนให้ทำวิจัย ฉันได้ข้อมูลตรงกันจากหลายแหล่งว่า อาหารที่ใช้เลี้ยงขยายจำนวนเซลล์มีราคาสูงมาก เนื่องจากไม่สามารถผลิตได้เองในประเทศ ต้องนำเข้าเท่านั้น ถ้ามีทุนในการทำวิจัยมากๆ ทีมคุณหมอนักวิจัย ก็สามารถทำการทดลองกับคนไข้ไปพร้อมๆ กัน หลายๆคนได้ แต่โดยหลักทั่วไป งานวิจัยที่จะนำผลมาต่อยอดทางธุรกิจได้ ย่อมดึงดูดเม็ดเงินได้มากกว่า งานวิจัยที่จะนำไปใช้ได้กับคนจำนวนน้อย เพราะยังไง จำนวนคนที่เป็นโรคจอประสาทตาเสื่อม ไม่มีวันมากไปกว่า เบาหวาน ความดัน หัวใจ มะเร็งอยู่แล้ว โอกาสที่จะได้ทุนมาทำวิจัยอย่างต่อเนื่อง ก็ไปใช่ง่าย ความจริงไม่น่ารัก แต่ก็จำต้องยอมรับว่า มันจริง คุณสุใจดี เห็นว่าฉันต้องเดินทางมาไกลมาก ก็ได้บอกฉันว่า ถ้าฉันติดต่อใครที่เข้าใจเรื่องการให้สเต็มเซลล์ และมีความพร้อมเรื่องสถานที่ คุณสุก็ยินดีจะส่งสเต็มเซลล์มาให้ ฉันจะได้ไม่ต้องเสียเวลาและค่าใช้จ่ายในการเดินทาง ฉันก็ได้ลองถามๆ คนที่อยู่ในวงการแพทย์ที่พอรู้จักเป็นการส่วนตัว ก็ได้คำตอบทำนองว่า มันคืออะไร มันยังใช้ไม่ได้ งานวิจัยยังไม่ไปถึงไหน มันผิดกฎหมาย สรุปว่า ปิดทุกช่องทาง ฉันก็เลยต้องเดินทางไปเหมือนเดิม ด้วยความเข้าใจที่มากขึ้นกว่าเดิมว่า ถูกแล้วที่ว่า ฉันแก่ตายแล้ว ก็ยังไม่รู้ว่า จะมีงานวิจัยออกมารองรับให้ใช้รักษาได้มั้ย และ ถึงฉันจะไม่ชอบอะไรเทาๆ แต่ในเมื่อแทบไม่มีใครยอมรับความเป็นสีขาว ฉันก็ต้องทำมันไปแบบเทาๆ ถึงจะไม่ถูกต้อง แต่มันก็ดีงามสำหรับฉัน ด้วยเหตุที่ว่ามา การใช้สเต็มเซลล์ในการรักษา จึงทำได้แค่โดยอ้อม จะไปหวังผลแบบมุ่งเป้า ก็ไม่สามารถเทใจไปขนาดนั้นได้ แต่ฉันว่า คุณสุคงเล็งเห็นอะไรสักอย่างในตัวฉัน จึงได้แนะนะให้ฉันได้ลองทำเพิ่มอีกอย่าง เผื่อมันจะเป็นกำลังเสริมให้มีโอกาสพบกับความสำเร็จได้มากขึ้น เป็นอะไรนั้น รบกวนติดตามตอนต่อไปจ้ะ ตุลา ตูล่า หาชีวิตใหม่กัน
เดือนตุลาคมปีที่แล้ว ฉันไปหาจักษุแพทย์ เพื่อทำหัตถการ สลายถุงหุ้มเลนส์ที่ขุ่นมัว หลังจากนั้น ฉันไปพบหมออีกครั้งที่คลินิก เพื่อให้หมอดูความเรียบร้อยของแผล ฉันถามหมอด้วยอารมณ์ปกติว่า คุณหมอพอรู้เรื่องการวิจัยเรื่องการรักษาโรคจอประสาทตาเสื่อม RP โดยใช้สเต็มเซลล์บ้างมั้ย เขาทำกันไปถึงไหนแล้ว หมอตอบกลับมาด้วยน้ำเสียงฉุนปนขำว่า ชั่วชีวิตคุณก็ยังไม่ได้ใช้หรอก ฉันจำได้ว่า ถามด้วยความรู้สึกแค่ว่า อยากรู้ แต่คำตอบที่ได้ ทำให้รู้สึกเหมือนอุกกาบาตตกใส่หัว ทำให้ มึน และ มืดแปดด้านไปเลย
ฉันเป็นโรคจอประสาทตาเสื่อมแบบ RP มาแต่กำเนิด เป็นของแถมที่ติดมากับยีน ซึ่งพ่อแม่ก็ไม่ได้ตั้งใจให้ ตอนยังอายุน้อยๆ ก็ไม่ได้รู้สึกว่า ตัวเองผิดปกติอะไรนัก ด้วยเพราะก็ไม่รู้ว่า ปกติ คือ แบบไหน ฉันก็เข้าใจว่า ที่ฉันมองเห็นมันคือ ปกติ ที่ทำให้รู้สึกชัดเจนในตอนนั้น คือ การสูญเสียการมองเห็นในที่มืด เช่น ในโรงหนังที่ปิดไฟหมด ฉันจะมองไม่เห็นทางเดิน ไม่เห็นขั้นบันได ระหว่างทางเดินมีเสาขวางก็มองไม่เห็น แต่ฉันชอบดูหนัง ก็ใช้วิธีรีบเข้าโรงหนังตั้งแต่เขาเริ่มเปิดให้เข้า ตอนที่ยังเปิดไฟอยู่ จะได้เดินเองได้ ความสว่างระดับนั้น ยังพอเห็นเลขที่นั่งที่เก้าอี้ แต่พอโตมา อายุ 20 กว่าๆ ชักจะมีปัญหาว่า เริ่มเห็นตัวเลขที่นั่งที่หลังเก้าอี้ไม่ชัดแล้ว ก็เปลี่ยนไปซื้อตั๋วโดยเลือกเก้าอี้ติดทางเดิน จะได้ไม่นั่งผิดที่ ตอนนั้น ก็เคยไปหาหมอ ได้คำตอบว่า เป็นตาฟาง แล้วหมอก็ไม่ได้บอกอะไรเพิ่ม ไม่ได้ให้ยา ไม่ได้ทำอะไร ฉันก็เข้าใจว่า ตัวเองมีปัญหาเฉพาะเวลาเข้าที่มืด ที่มืดมากๆ ก็ไม่ได้วิตกกังวลอะไร เพราะยังใช้ชีวิตแบบคนปกติได้ ตอนกลางคืน ถนนในเมืองที่มีไฟตลอดทาง ฉันก็ขับรถได้ ก็เลยไม่ได้รู้สึกว่า มันจะเป็นปัญหาอะไรกับชีวิต แต่มาถึงวันที่ถามคำถามนั้นกับหมอ ฉันเดินเองได้ โดยไม่ตก ไม่เตะ ไม่ชน ก็เฉพาะในที่ที่ฉันใช้ชีวิตอยู่เป็นประจำจนคุ้นเคยแล้วเท่านั้น เรียกว่า มืดก็เดินได้ เพราะใช้ความทรงจำ ความเคยชิน ไม่ได้ใช้สายตาเป็นหลัก ประสิทธิภาพในการมองเห็นที่ลดลงเรื่อยๆ มันทำให้ฉันกังวลกับอนาคตของตัวเอง และ ความรู้สึกของคนรอบข้าง ฉันได้ฟังจากหมอมาตลอดว่า โรคนี้ไม่มีทางรักษา ฉันลองหาข้อมูลเอง คำตอบก็ไม่ได้ต่างกัน จริงๆ ก็มีความพยายามในการค้นหาวิธีทำให้การมองเห็นกลับคืนมา แต่ก็เป็นแค่ข่าวของต่างประเทศ จนมาเจอว่า มีคุณหมอคนไทยกำลังทำวิจัย ทดลองใช้สเต็มเซลล์รักษาคนไข้ที่เป็นโรคเดียวกับฉัน มันจึงเป็นความหวังเดียวของฉัน และจักษุแพทย์ที่ดูแลฉันมาหลายปี ก็ทำมันพังไปแล้ว ชั่วชีวิตที่เหลือ มันยาวนานแค่ไหนกันนะ ถ้าโชคดี รีบตายได้ก่อน ฉันก็คงไม่ต้องรับรู้ว่า มันจะตกไปถังไหน แต่ถ้าฉันโชคร้าย มีชีวิตอยู่ไปอีกหลายสิบปี ถึงคุณหมอเจ้าของงานวิจัยจะบอกว่า อาการมันจะพัฒนาไปอย่างช้าๆ ฉันก็อดคิดต่อไม่ได้ว่า ช้า แต่ไม่ได้หยุด และเส้นชัย คือ บอด แต่ก่อนหน้าที่จะได้ขึ้นทะเบียนคนพิการ ฉันต้องหัดใช้ไม้เท้าขาวมั้ย จะกินข้าวยังไง ทำยังไงกับเสื้อผ้า อ่านหนังสือไม่ได้แล้ว ยังช้อปปิ้งได้มั้ยนะ ฉันลองดูคลิปสอนใช้มือถือสำหรับคนตาบอด ซึ่งฉันก็เพิ่งรู้ว่า มีฟีเจอร์รองรับอยู่มากมาย ดูเหมือนถ้าฝึกดีๆ ก็ใช้งานได้ใกล้เคียงคนปกติเลยทีเดียว แต่ฉันก็ไม่อยากไปถึงขั้นนั้นเร็วนักหรอก ลึกลงไปกว่านั้น เสียงที่ดังอยู่ในใจคือ ควรจะตายเสียก่อนที่จะตายด้วยตัวเองไม่ได้ )ันหมดอาลัยตายอยาก หมดสนุกกับการใช้ชีวิต ฉันพยายามค้นหาข้อมูลในอินเทอร์เน็ตที่มีเรื่องจอประสาทตาเสื่อม RP ซึ่งก็ไม่ได้มีเยอะนัก ข้อมูลในคลิปเมื่อ 5 ปีที่แล้ว 2 ปีที่แล้ว ปีที่แล้ว ไม่ได้ต่างอะไรกันเลย ขอให้มีความหวัง กำลังทำวิจัย ทดลองใช้สเต็มเซลล์ หวังว่าจะได้ผล...มันได้ผลกับฉันในทางที่ทำให้ฉันรู้สึกว่า คำพูดหมอมันช่างกลวงเหลือเกิน ออกข่าวมา 10 ปีแล้ว ยังไม่เห็นคืบหน้าไปไหน ทำไมมันถึงยากนัก สเต็มเซลล์ มันเป็นยังไงกันแน่ นั่นสิ สเต็มเซลล์ คืออะไร หมอเจ้าของงานวิจัย พูดในคลิปว่า ฉีดเข้าที่จอประสาทตา ซึ่งก็มีการฉีดในลักษณะนี้ ในการรักษาอาการเจ็บป่วยที่ดวงตาอยู่แล้ว ไม่ใช่เรื่องยาก เพียงแต่เปลี่ยนจากยา มาเป็น สเต็มเซลล์ แล้วมันคืออะไรกันแน่ ในอินเทอร์เน็ต น่าจะมีข้อมูลเยอะแยะ แต่ฉันอ่านหนังสือได้ช้ามาก ก็เลยหาแต่ที่เป็นคลิปวิดีโอ แล้วก็เปิดทิ้งๆ ขว้างๆ นอนฟังไปเรื่อยเปื่อย แค่อยากรู้จัก ไม่ได้คาดหวังจะได้ประโยชน์อะไร แต่นั่น กลับเป็นจุดเริ่มต้นให้ชีวิตฉันกลับมา จากคลิปแรกที่แค่ผ่านหู และได้มาตั้งใจดูอย่างจริงจัง ฉันพบว่า เรื่องของสเต็มเซลล์ เป็นเรื่องน่าสนุก มีสมมติฐาน วิวัฒนาการ และ จินตนาการที่พาเราโลดแล่นไปสู่ดินแดนที่มีแต่คนหนุ่มสาว นักวิทยาศาสตร์เขาคิดกันไปถึงขั้นว่า อีก 30 40 50 หรือ 100 ปีข้างหน้า มนุษย์อาจจะใช้สเต็มเซลล์นี้ ในการสร้างอวัยวะขึ้นมาใช้ทดแทน พูดง่ายๆ ว่า ถ้าคุณป่วย จำเป็นต้องเปลี่ยนหัวใจ ก็ไม่ต้องไปรอรับบริจาค แค่เก็บสเต็มเซลล์ออกมาจากตัวคุณ เอาไปเข้ากระบวนการทางวิทยาศาสตร์ สเต็มเซลล์นั้น ก็จะเติบโตมาเป็นหัวใจดวงใหม่ ให้คุณหมอเอาไปเลี่ยนใส่ให้คุณ คนที่เขาไม่อยากแก่ ไม่อยากตาย เขาคิดกันไปถึงขั้นนั้นแล้ว สเต็มเซลล์ มันมีอะไรดี มันจึงเชื้อเพลิงจุดประกายให้นักวิทยาศาสตร์คิดกันไปไกลได้ถึงขนาดนั้น เอาเถอะ ถึงจะช่วยอะไรฉันไม่ได้ แต่ก็สนุกที่จะรู้ ดีกว่านั่งจ้องผนังห้องด้วยความห่อเหี่ยว ฉันพบว่า สเต็มเซลล์ไม่ใช่เรื่องใหม่ ในประเทศไทย มีธนาคารสเต็มเซลล์เปิดให้บริการหลายแห่ง ซึ่งข้อมูลจากผู้ให้บริการ ก็บอกว่า เก็บสเต็มเซลล์ของเด็กน้อยที่เพิ่งเกิด หรือแม้แต่ของตัวเราเอง เพื่อไว้วันข้างหน้า ที่จำเป็นจะต้องใช้สเต็มเซลล์ในการบำบัดรักษา ก็สามารถนำออกมาใช้ได้ โดยไม่ต้องกังวลว่า จะผิดกฎหมาย หรือ จะเกิดการต่อต้านของร่างกาย เพราะมันเป็นของเรา ดูไปก็งงไป เพราะฉันยังเก็บข้อมูลได้ไม่มาก แต่ก็พอรู้ว่า ยังไม่มีการประกาศให้ใช้สเต็มเซลล์ในการรักษาแบบแพทย์แบบแผน ไม่มีกฎหมายข้อไหนรับรองให้ทำได้ แล้วทำไมถึงมีคนยอมจ่ายค่าฝากสเต็มเซชช์ในราคาที่ ไม่ใช่ว่าใครก็จ่ายได้ อ้อ มันอย่างนี้ หมอที่ศึกษาเรื่องเซลล์บำบัด บอกว่า มันใช้ในการรักษาแบบที่เรียกว่า Personal Medicine ได้ คำไทยเป๊ะๆ ไม่รู้ใช้ว่าอะไร แต่เอาจากความเข้าใจของฉัน ก็คือ การใช้วิธีการรักษาแบบเฉพาะตัว แบบเสื้อผ้าสั่งตัด ซึ่งข้อดี ก็ไม่แน่ชัด แต่ข้อเสียแน่ๆ คือ เบิกประกันไม่ได้จ้า....แอบเศร้าเบาๆ พร้อมไปกับการงงในข้อกฎหมาย ที่มีคุณหมออีกท่าน บอกว่า ในบ้านเรา ที่ถูกต้องให้ใช้ได้ล่าสุด ที่มีการอนุมัติให้ใช้ได้ คือ ใช้สเต็มเซลล์ ในการรักษามะเร็งเม็ดเลือดชนิดต่างๆ ส่วนอื่นๆ ใดๆ ยังอยู่ในขั้นของการทดลอง วิจัย ไม่มีประกาศอย่างเป็นทางการให้ใช้ได้ แต่คุณหมอซึ่งเป็นผู้เชี่ยวชาญประจำศูนย์เวชศาสตร์ชะลอวัยแห่งหนึ่ง ทำคลิป Unbox สเต็มเซลล์รกเด็กที่นำเข้ามาจากประเทศญี่ปุ่นอย่างถูกต้องตามกฎหมาย เออ...อะไรของท่านวะ ให้นำเข้าได้ แต่ไม่ให้ใช้รักษา แล้วคุณหมอเขาเอามาทำอะไร หมอตามศูนย์เวชศาสตร์ชะลอวัย หรือในชื่อฝรั่งว่า Anti Ageing Center บ้าง Welness Center บ้าง เขาว่า เอามาเติม เพื่อกระตุ้นให้สเต็มเซลล์ที่มีอยู่เดิมในร่างกาย ทำหน้าที่ของตัวเองได้ดีมากขึ้น ไม่อ่อนเปลี้ยเพลียแรงไปตามอายุที่เพิ่มมากขึ้น ซึ่งส่วนใหญ่ก็จะให้เข้าทางเส้นเลือด ซึ่งข้อเจ๋งของมัน คือ มันจะวิ่งไปหาอวัยวะใดๆ ที่กำลังอักเสบเจ็บป่วย ทั้งที่แสดงอาการ และไม่แสดงอาการได้เองโดยไม่ต้องมีใครนำทาง และเจ๋งยิ่งกว่า คือเซลล์ชนิดที่นิยมนำมาใช้นี้ ยังมีความสามารถในการสร้างสภาพแวดล้อมที่เหมาะสม เพื่อให้เซลล์ในบริเวณนั้น ทำงานได้ดีขึ้น เช่น สร้างเส้นเลือดฝอยใหม่ เมื่ออวัยวะต่างๆ ทำงานได้ดีขึ้น เราก็จะรู้สึกกระชุ่มกระชวยขึ้น มีกำลังวังชากลับมาเหมือนตอนอายุยังน้อยๆ กว่าปัจจุบันได้ ส่วนตามคลินิกเสริมความงาม เขาก็เอาไปฉีดโดยใช้เข็มฉีดยา ฉีดเข้าที่หน้าเลย เพื่อฟื้นฟูให้ผิวกลับมาแข็งแรง ไม่ตกห้อยไปตามแรงโน้มถ่วง ที่เขาบอก มีประมาณนี้ เพราะถ้าพูดมากกว่านี้ น่าจะโดนข้อหา โฆษณาเกินจริง แต่จริงๆ ในทางทฤษฎี Mesenchymal stem cell หรือ MSC มันทำได้มหาศาลกว่านั้นมาก อันนี้ไม่ได้พูดเอง หลังจากที่ดูคลิปสั้นของหลายที่ ที่เน้นพูดเรื่องชะลอวัย ทั้งที่เปิดหัวมา ก็ขึ้นต้นคล้ายๆ กันว่า MSC ช่วยรักษาอาการอักเสบ และ ไปแทนที่เซลล์ที่หมดสภาพ ซึ่งน่าจะมีประโยชน์ในการรักษาโรคได้ด้วย ฉันอยากรู้เสียแล้ว คลิปยาวเป็นชั่วโมงจากผู้เชี่ยวชาญ จากรายการที่เขาเอาข้อมูลต่างๆ นานา จากต่างประเทศ จากงานวิจัย มานั่งถกกันถึงความเป็นจริง และความเป็นไปได้ ยิ่งดูไปเรื่อยๆ ก็ยิ่งรู้สึกว่า มันว้าวจริงๆ MSC คือ สเต็มเซลล์ชนิดที่พร้อมจะแบ่งตัวไปเป็นเนื้อเยื่อ ซึ่งร่างกายเรามีเนื้อเยื่อเต็มไปหมด ผิว ผม กระดูก เล็บ ตับ ไต หัวใจ ปอด หัวเข่า เต้านม สเต็มเซลล์เข้าไปช่วยซ่อมได้หมด ที่จริงร่างกายเราเองก็มีอยู่แล้ว แต่ที่เห็นว่า มันเริ่มซ่อมได้ไม่ดีเหมือนตอนเราอายุยังน้อย ก็เพราะจำสวนมันไม่มากพอ ยิ่งอายุมากขึ้น สเต็มเซลล์ก็ยิ่งแบ่งตัวช้าลง การนำสเต็มเซลล์มาเลี้ยงในสภาพแวดล้อมที่เหมาะสม ให้มันแบ่งตัวให้ได้จำนวนมากๆ แล้วใส่เข้าไปในร่างกาย ก็เหมือนเราเอาช่างเข้าไปซ่อมบ้าน ช่างเดิมมี 4 เราเติมไปอีก 10 แล้วยังเป็นช่างที่เรี่ยวแรงดี ฝีมือเนี้ยบ งานซ่อมก็เสร็จเร็ว ได้คุณภาพดีกว่า ผู้เชี่ยวชาญเขาว่าอย่างนั้น เขายกตัวอย่างให้ฟังว่า ข้อเข่าที่เริ่มเสื่อม เพราะนน้ำในข้อเริ่มลดลง ก็ฉีดสเต็มเซลล์เข้าไปที่เข่า เพราะในน้ำที่ข้อเข่า ก็มีสเต็มเซลล์อยู่ พอใส่เพิ่มเข้าไป อาการเข่าเสื่อมแทนที่จะดำเนินต่อไปให้เราปวดเข่ามากขึ้น มันก็จะทรงตัว และค่อยๆ ดีขึ้นได้ ผิวหนังทุกส่วน สเต็มเซลล์ซ่อมได้หมด ไม่ว่าจะที่ตัว ที่หัว หรือที่หน้า สเต็มเซลล์จะเข้าไปจัดการทั้งเม็ดสี รอยแดง รอยดำ ตีนกา ร่องน้ำหมาก ซึ่งอันนี้ นอกจากจะขึ้นอยู่กับจำสวนเซลล์ที่ฉีดเข้าไปแล้ว ยังขึ้นอยู่กับฝีมือของหมอด้วยว่า จะฉีดเข้าเป้า เข้าจุดได้แค่ไหน มีกรรมวิธีเทคนิคการฉีดอย่างไร ผู้เชี่ยวชาญเขาบอกอีกว่า สเต็มเซลล์ช่วยฟื้นฟูน้องชายที่ออกจะเหี่ยวเฉา ตื่นยากแต่หลับง่าย ให้กลับมาอวบอิ่ม แข็งขันอยู่ได้ยาวนานมากขึ้น เพราะสเต็มเซลล์จะเข้าไปสร้างเส้นเลือดฝอยใหม่ๆ เพื่อส่งเลือดไปเลี้ยงได้ดีขึ้น เมื่อมีเลือดเข้าไปมากขึ้น เก็บกักเลือดได้ดีขึ้น จึงทำให้แข็งแรง ทนทาน ยาวนาน ทั้งหมดที่เล่ามา และอื่นใดที่สเต็มเซลล์ทำได้แต่ไม่ได้เอามาเล่า ล้วนเป็นคำบอกกล่าว ไม่มีงานวิจัยยืนยันผลการรักษา ฉันคิดถึงภาพถ่ายจอประสาทตา ที่มีเส้นเลือดตีบอยู่ตรงขั้วประสาทตา ก็ตีบอย่างนั้น เลือดก็คงผ่านไปเลี้ยงน้อยเต็มที สเต็มเซลล์จะสร้างเส้นเลือดใหม่ให้ฉันได้มั้ยนะ หมอที่ค้นคว้าข้อมูลเอามาพูดให้ฟังเป็นความรู้บอกว่า เท่าที่มีงานวิจัยมา ก็ยังไม่มีการกล่าวถึงอันตรายจากการใช้สเต็มเซลล์ ยิ่งเป็น MSC ที่ได้จากรกเด็ก มันยังไร้ความทรงจำ ทำให้กลมกลืนเข้ากับร่างกายของเราได้โดยไม่เกิดการต่อต้าน แต่ข้อเสียของมัน คือ แพง และมันทำหน้าที่ซ่อมได้เท่านั้น ตอนนี้ยังสร้างใหม่ไม่ได้ นั่นแปลว่า อวัยวะนั้นๆ ต้องยังใช้งานได้ ถ้าอาการหนักจนใช้งานไม่ได้ เช่นไตเสื่อมถึงขั้นต้องฟอกไตแล้ว ข้อเข้าที่เสื่อมไปถึงระดับ 4 อันเป็นระดับสูงสุด น้ำในข้อไม่เหลือแล้ว แบบนี้ ใส่สเต็มเซลล์เข้าไปก็ไม่สามารถช่วยอะไรได้แล้ว เจ้าของธนาคารรับฝากสเต็มเซลล์เขาบอกว่า มีงานวิจัยเพื่อการรักษาหลายชิ้นอยู่ในขั้น 4 คือ นำมาทดลองใช้กับคนแล้ว แต่ด้วยขั้นตอนของงานวิจัย กว่าจะประกาศรับรองให้ใช้รักษาได้ ก็น่าจะอีก 10 - 20 ปี ลานสายตาที่แคบลงเรื่อยๆ จนเหมือนมองผ่านช่องที่มีขนาดกว้างเท่าหน้าฉันเท่านั้น รออีก 20 ปี ถึงจะมี 100 งานวิจัยยืนยันว่า รักษาโรคของฉันได้ มันก็คงไม่มีประโยชน์อะไรกับฉันอีกแล้ว เพราะฉันคงไม่เหลือการมองเห็นให้ซ่อมแล้ว แต่ถ้าไม่มีงานวิจัยรับรอง ผู้เชี่ยวชาญไม่ได้พูดถึงโรคของฉันด้วยซ้ำ ไม่มีอะไร ไม่มีใครยืนยันว่า ฉันจะหายกลับมาเป็นปกติ ฉันควรเก็บเงินไว้เพื่อซื้อความสะดวก ซื้อความช่วยเหลือในอีกหลายเรื่อง ที่ต่อไป ฉันน่าจะทำเองไม่ได้ หรือจะเทเงินใส่เครื่องเล่นหยอดเหรียญ แล้วรอดูว่า ฉันจะได้รางวัล หรือ ความว่างเปล่า โปรดติดตามตอนต่อไป
เชื่อใจ กลัวอะไร
มีอยู่วันหนึ่ง ได้ยินคนพูดว่า การเชื่อใจคนอื่นมันน่ากลัว ฉันอยู่นอกวงสนทนานั้น เลยไม่มีโอกาสได้ถามว่า ไปเจออะไรมา จึงได้รู้สึกขนาดนั้น ครั้งแรกที่เจอเขา เขามาซื้อของที่ร้าน เขาขอดูอาหารเม่นซึ่งเป็นแบบบรรจุถุงเรียบร้อยมาจากผู้ผลิต เขาขอให้เราตัดถุงเปิดให้เขาดูเนื้ออาหารข้างใน เขาให้เหตุผลว่า เขาเคยซื้อยี่ห้อนี้จากร้านอื่น ซื้อครั้งแรกๆ ไม่มีปัญหา มาเจอครั้งที่ 10 เปิดออกมาเจอตัวมอดอยู่ในถุง เอากลับไปให้ร้านดู ร้านก็ไม่ได้รับผิดชอบอะไรให้ เขาก็เลยหาซื้อยี่ห้อเดิม จากร้านอื่น จนมาเจอที่ร้านของฉัน เอาล่ะ เอาเป็นว่า เราเข้าใจ แม้ว่าเราจะไม่เห็นด้วยนัก ก็เวลาซื้อขนมซองจากร้านสะดวกซื้อ ถ้าเจอหนอนอยู่ข้างใน เขาก็ไปร้องเรียนเอากับบริษัทผู้ผลิต ไม่ใช่กับร้านสะดวกซื้อ แต่เอาเถอะ เราไม่ได้ซีเรียส ลูกค้าต้องการความสบายใจ เราก็บริการให้ ตัดซองมา อาหารข้างในก็ปกติดี เขาก็ซื้อไป แล้วเขาก็มาอีก ขอซื้อยี่ห้อเดิม ขอตัดซองดูเหมือนเดิม จนครั้งที่ 4 ที่ 5 แล้ว ก็ยังขอตัดซองดู ก็เลยเกิดเป็นคำถามว่า ยังไม่เชื่อใจร้านอีกเหรอ และ ก็ได้คำตอบดังกล่าวข้างต้น ลูกค้าคนนั้นยังพยายามเล่าต่ออีกว่า ไม่เห็นข่าวเหรอ ไปเชื่อใจคนง่ายๆ โดนหลอกไปสามล้านกว่าบาท ฉันฟังแล้วก็นั่งอมยิ้มอยู่คนเดียว ตรรกะอันใดหนอ อาหารถุงละ 85 บาท กับ เงินสามล้าน ฉันติดใจจนต้องเก็บเรื่องนี้เอาไปถามน้องสนิทหลายคน ก็ได้คำตอบมาคล้ายๆ กันว่า ในฐานะคนขาย ก็ตกใจ เสียใจ ไม่แน่ใจว่า ทำอะไรผิดไป ลูกค้าจึงได้แสดงออกชัดเจนว่า ไม่เชื่อถือในคุณภาพของสินค้าที่เราเลือกมาขาย ก็ไม่น่าแปลกหรอก ที่อารมณ์นั้น จะแปรเป็นความไม่พอใจ แบบที่พี่สาวของฉันรู้สึก ส่วนในมุมของการเป็นลูกค้า น้องเขาก็บอกว่า เขาคงไม่ขอให้เปิดทุกครั้ง เพราะถ้ายังมาซื้อร้านเดิม ก็ต้องมั่นใจในคุณภาพของสินค้าประมาณหนึ่งอยู่แล้ว ฉันสะดุดใจเล็กๆ ถามต่อว่า เชื่อใจตัวเอง กับ เชื่อใจร้านค้า อย่างไหนมีน้ำหนักมากกว่า กาลครั้งหนึ่ง ไม่นานเท่าไหร่ ฉันได้ตกหลุมรักนักร้องตาใสเอาใกล้ๆ วันเกิดเขา ไม่รู้จักแฟนคลับสักคน ดูอะไรๆ ไป แล้วแต่ AI จะเมตตาส่งมาให้ โชคชะตาพาไปเจอ ประกาศรับ Donate หาปัจจัยไปทำโปรเจคท์ให้นักร้องน้องรักของเรา ได้ชื่นใจในวันเกิด เขาซึ่งเป็นใครก็ไม่รู้ สัญญาว่า จะให้ของกำนัล ตอบแทนน้ำใจที่เข้ามาช่วยกัน ด้วยความรักในนักร้อง ฉัน ซึ่งเห็นเพียงแต่ตัวหนังสือบนหน้าจอ ไม่ได้เสาะหาข้อมูลใดๆ ให้ตัวเองมั่นใจว่า ไม่ได้โดนหลอก ก็โอนเงินให้เขาไปง่ายๆ ด้วยความอิ่มใจว่า ฉันได้เป็นส่วนหนึ่งของลมใต้ปีกให้เธอแล้ว ถ้าถามว่า ฉันเชื่ออะไร ถึงได้ยอมเสียเงินง่ายๆ แบบนั้น ฉันก็ตอบได้ว่า ฉันเชื่อความรู้สึกตัวเอง เชื่อว่าทำแล้ว ตัวเองมีความสุข เชื่อว่าฉันเป็นคนดี ตั้งใจทำดี ฉันได้รับความรู้สึกดีๆ แล้ว ถ้าเขาหลอกฉัน ความซวยก็อยู่ที่เขา ให้เขารับไป ฉันเคยตั้งใจว่าจะไม่ให้ใครยืมเงินอีกแล้ว แต่ก็มีคนมาขอยืมเงิน เป็นคนที่เคยคุยกันทางโซเชียลไม่กี่ครั้ง ด้วยเรื่องที่ไม่เป็นงานเป็นการ ไม่เคยพูดเรื่องส่วนตัวกันเลยแม้แต่นิดเดียว เข้าใจว่า เขาคงไล่ยืมไปตามชื่อใน Contact List จนมาถึงชื่อฉัน มาถึงก็ไม่มีเกริ่น พิมพ์มาเลยว่า ขอยืมเงิน ไม่ให้ไม่เป็นไร มันก็เป็นแค่ตัวหนังสือ แต่ฉันกลับรู้สึกว่า มันมีความร้อนรนอยู่ในนั้น ฉันถามว่า ทำไมมายืมเงิน เหตุผลก็พอฟังได้หรอก แต่เอาจริงๆ ฉันก็ไม่ได้คิดว่า จริงหรือไม่จริง แค่คิดว่า ฉันตั้งใจสวดมนต์ทุกวัน ฟังเทศน์ ฟังธรรม ฟังคนเล่าว่า เจอคนต้องการความช่วยเหลือแบบรีบด่วน ก็ให้รีบช่วย อย่าไปลังเลสงสัย ทำแบบนี้เราได้บุญใหญ่ ส่วนคนที่เขารับไป ถ้าเอาไปทำไม่ดี ก็กรรมของเขา เพิ่งฟังมาได้ 2 วัน ก็เจอคนมายืมเงิน ก็เลยให้เขาไป ไม่ได้ให้เลขบัญชีให้เขาโอนเงินคืนด้วย เพราะไม่อยากไปจดจ่อว่า จะได้คืนมั้ย เงินไม่มากนัก ไม่ได้คืน ก็ไม่ถึงกับลำบาก ฉันให้เพราะเชื่อความต้องการของตัวเอง ไม่ได้ให้เพราะเชื่อว่า เขาจะคืนเงินแน่ๆ ไม่ได้กังวลว่าเขามาหลอก ฉันได้ช่วยเขา ฉันมีความสุข พอแล้ว น้องสนิทให้คำตอบคล้ายๆ กัน สรุปความได้ว่า เขาก็เชื่อว่าตัวเองเลือกร้านที่ดี เพราะฉะนั้นก็เชื่อใจร้านได้ ฉันบอกน้องสนิทว่า ฉันไม่ได้ติดใจหรอก เพราะฉันรู้สึกว่า ที่เขาไม่เชื่อ ไม่ใช่แค่ร้าน แต่เป็นตัวเขาเองด้วย สมัยนมนานมาแล้ว คูระบายน้ำหลังบ้านไม่มีฝาปิด มีแต่แผ่นไม้กว้างใหญ่เวางไว้ให้เดินข้าม ฉันก็ข้ามไปข้ามมาทุกวัน ปะเหมาะเคราะห์ร้ายมาตกที่ฉัน ไม้มันผุได้ที่ ตอนที่ฉันก้าวลงไปพอดี ผลคือไม้หัก และฉันลงไปอยู่ในคูทั้งตัว ดีว่าคูไม่มีน้ำ ฉันเลยไม่ได้สกปรกอะไร แค่ขาแพลง แต่หลังจากนั้น ฉันก็รู้สึกว่าตัวเองจะตกคูนี้ทุกครั้ง ก็เลยเลือกก้าวยาวๆ ข้ามคูไปเลย ไม่ยอมเหยียบบนไม้แผ่นอื่น แม้ภายหลัง เทศบาลจะมาทำฝาปูนปิดแล้ว ฉันก็ยังรู้สึกว่า ถ้าเหยียบลงไป ฉันจะตกคูอีก ทั้งที่ฉันรู้ว่าปูนมันไม่หักง่ายๆ หรอก มันเป็นความทุกข์จากการผลิตซ้ำของข้อมูลในอดีต ซึ่งมันทำงานได้ ก็เพราะเราไม่จดจ่ออยู่กับลมหายใจ ไม่จดจ่ออยู่กับปัจจุบัน พระท่านสอนไว้อย่างนี้ ฉันตกคูแค่หนเดียว แต่ภาพมันถูกผลิตซ้ำเป็นสิบ เป็นร้อยรอบ แล้วฉันก็เชื่อภาพในอดีตนั้น มากกว่าภาพจริงที่เห็นอยู่ตรงหน้า ฉันต้องสั่งตัวเองให้เหยียบลงไป ตรงจุดที่เคยตก อย่าเดินข้าม ทำอยู่หลายครั้ง จนตัวเองเชื่อว่า เดินได้สบาย ไม่ต้องกลัวตก ฉฉันไม่รู้ว่า ลูกค้าคนนั้นเจอเรื่องอะไรมาบ้าง ที่แน่ๆ คือ ระบบผลิตซ้ำของเขา ยังทำงานไม่หยุดหย่อน และการปล่อยตัวเองให้อยู่ไปแบบนั้น ชีวิตก็คงจะหาความสุขยากมากขึ้นไปเรื่อยๆ ฉันได้เห็นโปรเจคท์วันเกิดของนักร้องน้องรัก ได้รับของกำนัลตามคำสัญญา และ ได้เงินที่ให้ยืมไปคืนมาครบถ้วน แต่ฉันไม่ได้โชคดีไปทุกเรื่อง ฉันโดนระบบผลิตซ้ำเล่นงานจนสะบักสะบอมมาแล้วหลายครั้ง กว่าจะรู้ว่า ฉันเองเป็นคนต้องวาง ต้องปิดระบบ ไม่ต้องหาว่าใครถูกผิด สมควรหรือไม่สมควร อะไรที่มันเกิดแล้ว ให้มันอยู่ตรงนั้น ไม่ต้องเอามาผลิตซ้ำ เพราะคนที่ทำร้ายเธอซ้ำแล้วซ้ำเล่า ก็อาจเป็นตัวเธอเอง ลองสำรวจตัวเองดูสักนิด ที่คิดว่าน่ากลัว เพราะเขาไม่น่าเชื่อใจ หรือเป็นใจเราที่ไม่กล้าเชื่อเขาเอง เพราะที่ทำร้ายฉัน คือ ฝาคูน้ำหลังบ้านเท่านั้น ไม่ใช่ฝาคูน้ำทุกอันที่ฉันเจอ |
Link |