<<
มีนาคม 2563
1234567
891011121314
15161718192021
22232425262728
293031 
 
21 มีนาคม 2563
 

ขนม ในทรงจำ

โควิด 19 ทำให้ชีวิตเราวุ่นวายมากพักเรื่องยากๆไว้  ไปหาของหวานกินกันดีกว่า

ขนมอย่างแรก  ที่ผุดขึ้นมาในความทรงจำ คือ เอแคลร์
จำได้ว่า รู้จักับขนมชนิดนี้ตั้งแต่ยังเล็กมากๆ  น่าจะอยู่ชั้นอนุบาล  จำได้ว่า ทุกครั้งที่เห็นจะดีใจมาก
เพราะมันเป็นเอแคลร์ที่ปั้นเป็นรูปหงส์คอยาว  มีครีมอัดแน่นอยุ่ในช่องท้อง  เวลากิน  ก็ต้องค่อยๆกัดจากหัว  กัดคอ  แล้วกินไส้
ได้กินที 1-2 ตัวเท่านั้น  เพราะว่ามันแพงมาก

ขนมอีกอย่างที่มาในช่วงเดียวกันของชีวิต คือ น้ำแข็งกด  คนขายมาจอดรถหน้าโรงเรียนทุกวัน
วิธีทำก็แสนง่าย  ไสน้ำแข็งจากก้อนใหญ่ๆ ให้กลายเป็นเกล็ดน้ำแข็งละเอียดยิบ  อัดลงในแก้วพลาสติกให้แน่น  เอาไม้ลูกชิ้นเสียบตรงกลาง  ดึงน้ำแข็งออกจากแก้ว  แล้วก็ราดน้ำหวานตามชอบ  คนขายใจดี  ให้ราดกี่สีก็ได้  อยากให้เด็ดกว่านั้น  ต้องโรยนมข้นหวาน  แต่ฉันไม่เคยกินหรอกนะ  เพราะมันเพิ่มตังค์  ซึ่งฉันก็ไม่ค่อยมี  แค่ราดน้ำหวานสีเหลืองกลิ่นกล้วยหอม  ก็พอได้ฟินแล้ว

ขนมโปรดของฉันอีกอย่างคือ ลูกชุบ  ถั่วกวนกับกะทิ น้ำตาล  ปั้นให้เป็นรูปผัก ผลไม้ เติมสีสรรหลายหลายให้เหมือนจริง  เคลือบชั้นนอกสุดด้วยวุ้นใสๆ  ให้ความแวววาว  สวย น่ารัก  จนทำให้เห็นทีไร  ก็แทบจะอดใจไว้ไม่ได้ทุกที  ลูกชุบนี้  ตอนที่อยู่บ้านตัวเอง  ไม่ค่อยมีโอกาสได้กิน  แต่พอปิดเทอม  แม่พานั่งรถไฟจากขอนแก่น  มาลงหัวลำโพง  แล้วเปลี่ยนไปขึ้นรถไฟต่อมาที่สงขลา  มาอยู่บ้านป้า  ซึ่งอยู่ใกล้ตลาดขนาดเดินแป๊บเดียวถึง  และป้าก็ใจดี  ซื้อให้กินทุกวัน
จำได้ว่า การซื้อลูกชุบเป็นเรื่องลำบากใจอยู่พอสมควร  ด้วยว่า ผัก ผลไม้ สีสวย หลากหลายแบบนั้น  ทำให้รักพี่ เสียดายน้อง  จะเอาหมดทุกแบบก็ไม่ได้  ซื้อมาแล้ว เวลากินก็นานอีก  เพราะค่อยๆพิจารณาว่า  จะกินอะไรก่อนดี  มะม่วงดีมั้ย  หรือ มะละกอดีกว่า พริกก็น่ากิน  ส้มก็น่ารัก  เลือกไม่ถูกกันเลยทีเดียว  ลูกชุบ  ทำให้ปิดเทอมที่ไม่มีแม่อยุ่ด้วย  เป็นช่วงเวลาที่น่าจดจำมาถึงตอนนี้

ขนมหน้าโรงเรียนอีก 1 อย่าง  ที่แม้ตอนนี้จะมีขายอยุ่ทั่วไป  แต่ก็ไม่เห็นมีเจ้าไหนขายแบบที่เคยกินตอนเด็กๆ  นั่นคือ ขนมถังแตก
ตอนนั้น  ได้เงินไปโรงเรียนวันละ 4 บาท  เช้าก่อนเข้าโรงเรียน  ซื้อตุ๊กตากระดาษ  ที่มาพร้อม เสื้อผ้า เครื่องแต่งตัว ขายเป็นแผ่น แผ่นละ 1 บาท  ตกเย็น  มารอกินขนมถังแตก  ชิ้นละ 2 บาท
ฉันชอบดูเวลาพอ่ค้าค่อยๆตักแป้งใส่ตัวกะทะที่ออกแบบมาเฏพาะ  เป็นหลุมกลม 2 หลุม  ต้องค่อยๆหยอดให้แม้งมีขอบด้วย  เสร็จแล้วก็ปิดฝา  ทำแบบเดียวกันกับอีกหลุม  พอทำหลุมที่ 2 เสร็จ  แป้งในหลุมแรกก็สุกพอดี  โรยมะพร้าวขูดเป็นเส้น  งาดำคั่วหอมๆ  กับน้ำตาลทรายลงไป  แล้วก็พับครั่งขนมให้เป็นรูปครึ่งวงกลม  ไส้จะได้อยู่ตรงกลาง  แค่นี้ก็เรียบร้อย  มันเป็นขนมถังแตกที่อร่อยมาก  กินแล้วก็อิ่มมากเพราะชิ้นใหญ่
ขนมถังแตกสมัยนี้  ใส่กันแต่ไส้สังขยา สีเขียว สีส้ม ดูน่ากลัวมากกว่าน่ากิน
ไม่เคยเจอขนมถึงแตกไส้มะพร้าวอีกเลย  ตั้งแต่ย้ายโรงเรียน  ก็เลยไม่ได้กินขนมถึงแตกอีกเลย  เศร้ามั้ย

มีขนมอีกอย่างที่ฉันชอบ  แต่ไม่รู้จักชื่อจริงๆของมัน  รู้แต่ชื่อที่เรียกตามรูปทรงขนมว่า ลูกระเบิด
มันเป็นไส้กรอกชิ้นเล็กมากๆ เสียบอยู่ที่ปลายไม้  แล้วก็เอาไปชุบแป้ง  เอาลงทอดในน้ำมันร้อนๆ  สนุกนักตอนได้เห็นแป้งค่อยๆฟูขึ้นมาจนกลายเป็นลูกกลมๆสีเหลืองทอง  แต่มันกินไม่ได้  ต้องพกไว้ให้เย็น  แล้วก็เอาไปชุบแป้งทอดอีก  มันก็จะฟู กลม ใหญ่ขึ้นอีก  พอทำแบบนี้เป็นครั้งที่ 3   จากไส้กรอกชิ้นนิดเดียว  กลายเป็นลูกระเบิดลูกใหญ่ๆ  หอมๆ  กรอบๆ  อร่อยอย่าบอกใคร แถมสนนราคาก็ถูกแสนถูก
กินทีไร  ก็คิดทุกทีว่า คนขายช่างใจดี  ต้องทอดตั้ง 3 ทีกว่าจะได้ขาย  แล้วตอนที่รู้จักกันครั้งแรก  ขนมนี่  ไม้ละบาทเดียวเท่านั้น  แจ่มสุดสุด

ยังมีขนมไข่ในตำนานเมืองสงขลา  ฉันกินมาตั้งแต่อาแปะเจ้าของสูตร  เข็นรถมาตั้งขายอยุ่แถวบ้านป้า  ขนมที่เห็นที่นี่เป็นที่แรก  ที่เห็นหลังจากนั้น  ก็ดูเหมือนจะเป็นของที่ทำตามๆกันมา  ขนมไข่ของแปะ  มีทั้งความกรอบ  หอม นุ่ม  รสชาติ หวานนิด เค็มหน่อย มันกำลังดี  ทำให้แปะขายดี  จนมีเงินไปสร้างตึกแถวได้เลย  แต่ที่ฉันชอบมาก  คือ ลีลาการทำขนมของแปะ  จังหวะการหยอดแป้ง  ซึ่งใช้ช้อนยาว  ตักแป้งที่มีึความหนืดอยู่พอควร  ปาดมาให้พูนช้อน  แล้วสะบัดแรงๆส่งแป้งลงหลุมขนมแบบพอดีเป๊ะ  แบบไม่มีกระจาย ไม่มีเลอะเทอะ  และ สะบัดทีเดียว ได้ปริมาณพอดีทุกหลุม  เสร็จแล้ว  ใช้ช้อนตักมาการีน  ใช้ส้อมปาดให้ได้ปริมาณที่ต้องการ สะบัดส้อมให้เนยลงไปอยู่ในแป้ง  ดูแปะสะบัดแป้ง สะบัดเนย  ความรู้สึกฉันในตอนนั้น  เหมือนกำลังดูศิลปินผู้ยิ่งใหญ่  กำลังสะบัดแปรง สาดสี ใส่ผืนผ้าใบ  อย่างไรอย่างนั้น

ขนมอย่างสุดท้ายที่อยากเล่าถึง คือ ขนมกาลอจี๊  พ่อบอกว่า มันเป็นขนมของคนไม่มีตังค์  เพราะขนมอย่างงอื่นๆของคนจีน  มักมีส่วนผสมเยอะ  ขั้นตอนมาก  แต่ขนมชนิดนี้  มีแค่แป้งข้าวเหนียว  เอาไปนวด  แล้วก็ทอดในกะทะแบนๆ  จริงๆ  เหมือนเอาแป้งมาย่างมากกว่า ก้ย่างมันไปเรื่อยๆ  ด้วยไฟอ่อน  แป้งข้างในสุก็จะนุ่มๆ  แป้งข้างนอกโดนความร้อนก็จะหนึบๆเหนียวๆ  จะซื้อเท่าไหร่  แม่ค้าก็จะตัดจากแป้งก้อนใหญ่ๆในกะทะ  ออกมาเป็นชิ้นเล็กๆพอคำ  เอาลงคลุกในน้ำตาลทรายที่ผสมกับถั่วลิสงคั่วบด  และ งาดำหอมๆ  แค่นี้  ก็ได้ขนมกินง่ายในราคาเบาๆแล้ว
เบาแค่ไหนเหรอ...  ตอนลูกระเบิด 1 บาท  กาลอจี๊ห่อละ 2 บาท เบามั้ย
ฉันเป็นลูกค้าประจำของอาซิ้มที่มาจอดรถขายอยุ่หน้าโรงเรียนที่ไปเรียนพิเศษ  แกมีถาดใส่น้ำตาลถั่วงา  มีช้อนไว้คลุกส่วนผสมให้เข้ากันกับแป้งที่ตัดเป็นชิ้นเล็กๆแล้ว  แต่พอจะใส่ห่อ  แกใช้ตะเกียบคีบใส่ห่อทีละชิ้น  ซึ่งแน่นอนว่า มันออกจะช้า  มักไม่ค่อยทันกับเด็กที่มายืนออรอซื้อ
วันหนึ่งที่ไม่มีคนซื้อมากนัก  ฉันถามแกด้วยความสงสัยว่า ช้อนก็มี  ทำไมไม่ใช้ช้อนตักเอา  จะได้เร็วๆ  ตักทีเดียวได้หลายชิ้น ดีกว่าคีบเอา  แกทำหน้างงๆ  เดาเอาว่า แกเองก็คงไม่เคยนึก  ทำกันมา  ก็ทำกันต่อ  แต่แกก็เชื่อนะ  ใช้ช้อนตักขนมใส่ห่อ  ฉันเห็นทำอยู่ 2-3 วัน  แกก็กลับไปใช้ตะเกียบคีบชนมทีละชิ้นเหมือนเดิม
พอสบโอกาสเข้าไปถาม  แกบอกว่า ใช้ช้อนตักมันเปลืองน้ำตาล  มันติดไปเยอะ  น้ำตาลหมดก่อนแป้ง  คีบเอา ม้ันจะหมดพอดีกัน
คนเก่าๆเขาทำอะไรกันมา  ใช่ว่าจะไร้สาระไปหมดหรอก

ใครเกิดทันยุคขนมบาทสองบาท  เอามาแชร์  แก้เครียดกันบ้างก็ดีนะจ๊ะ
เพราะช่วงเวลาที่ได้กินขนม  ก็มักจะเป็นช่วงเวลาดีๆเสมอ


Create Date : 21 มีนาคม 2563
Last Update : 22 มีนาคม 2563 9:48:45 น. 0 comments
Counter : 972 Pageviews.  
 
Name
Opinion
*ใช้ code html ตกแต่งข้อความได้เฉพาะสมาชิก

วัลยา
 
Location :


[ดู Profile ทั้งหมด]

ฝากข้อความหลังไมค์
Rss Feed

ผู้ติดตามบล็อก : 2 คน [?]




[Add วัลยา's blog to your web]

 
pantip.com pantipmarket.com pantown.com