ช่วงนี้มัวแต่ปั่นจักรยาน แทบไม่ค่อยได้ดูหนังเลยครับ อาทิตย์นี้ดูไป 2 เรื่อง นำมาเล่าให้ฟังเหมือนเดิมครับ
เรื่องแรก Apprentice : เพชฌฆาตร้องไห้เป็น (27)
เมื่อ " ความแค้น " กับ " ความตาย " เดินทางมาพบกัน
" ไอมาน " ตำรวจหนุ่มก้าวเข้ารับหน้าที่ในแดนประหาร เพื่อพบว่า...
เขากำลังใกล้ชิดกับคนที่เคยแขวนคอพ่อของตัวเอง...
ดราม่า-ระทึกขวัญที่ดีที่สุดในรอบทศวรรษจากสิงคโปร์
ตัวแทนชิงออสการ์ปีนี้
ไอมาน (ฟีร์ดาอุส รามาน) พัศดีหนุ่มวัย 28 ปี ถูกย้ายมาประจำการณ์ที่เรือนจำลารางกัน คุกที่ได้ชื่อว่ามีระบบป้องกันแน่นหนาที่สุด กิจวัตรในแต่ละวันของไอมานคือการยืนคุมนักโทษ ไม่มีอะไรมากกว่านั้น ไม่มีความบันเทิงเริงใจ ไม่มีความก้าวหน้าในหน้าที่การงาน จน ซูไฮลา พี่สาวของเขานึกสงสัยว่าไอมานเลือกทำอาชีพที่น่ารังเกียจเช่นนั้นไปทำไม
วันหนึ่งไอมานได้เจอกับ ราฮิม (วาน ฮานาฟี ซู) พัศดีอาวุโส ที่กำลังเวียนหัวกับการต้องหาซื้อเชือกมัดใหญ่ หลังจากที่ร้านเจ้าประจำไม่ขายเชือกชนิดนี้แล้ว ไอมานพอรู้ว่าจะหาเชือกแบบนั้นได้ที่ไหน เขาเป็นคนพาราฮิมไปซื้อ ก่อนจะได้ทราบในเวลาต่อมาว่า ราฮิมนั้นทำหน้าที่เป็นเพชฌฆาตประจำคุกแห่งนี้ และเชือกที่ชายแก่กำลังหาซื้อ คืออาวุธสังหารบนตะแลงแกงสำหรับเหล่านักโทษชะตาขาด
ความสัมพันธ์ระหว่างไอมานและราฮิม พัฒนาไปอย่างช้าๆ ทว่าแน่นแฟ้น ราฮิมเปรียบเสมือนพ่อ...พ่อที่ไอมานไม่มีโอกาสได้สนิทชิดใกล้ ส่วนราฮิมนั้นก็มองเห็นไอมานเป็นผู้สืบทอดตำแหน่งหลังจากที่เขาต้องเกษียณตัวเองในอนาคตอันใกล้
หนัง Apprentice ไม่เพียงพาผู้ชมไปสำรวจกระบวนการทำงานของเพชฌฆาตในเรือนจำแบบก้าวต่อก้าวเท่านั้น แต่ผู้กำกับหนุ่ม บูจุนเฟิง ยังโยนความขัดแย้งในเชิงจริยธรรมต่อผู้ชมอีกด้วย เมื่อหนังเปิดเผยว่า พ่อของไอมานนั้นเคยเป็นแพะรับบาปคดีอุกฉกรรจ์คดีหนึ่งและต้องโทษประหารชีวิต จนทำให้ไอมานและพี่สาวเติบโตมาเป็นเด็กกำพร้า ซึ่งบุคคลที่หยิบยื่นความตายให้กับพ่อของเขาก็ไม่ใช่ใครอื่น แต่คือราฮิมนั่นเอง
Apprentice เปิดตัวครั้งแรกในเทศกาลภาพยนตร์เมืองคานส์ โดยได้รับการคัดเลือกอย่างเป็นทางการให้ฉายในสาย Un certain regard พร้อมคำชมอย่างล้นหลาม ลีลาและท่าทีการเล่าเรื่องของบูจุนเฟิงนั้นทำได้อย่างเข้มข้น หนักแน่นและกดดัน เรียกได้ว่าอาจเป็นหนังสิงคโปร์ที่น่าตื่นเต้นที่สุดในรอบหลายปีมานี้
เรื่องนี้ผมไปดูรอบพิเศษมาเมื่อวาน ชอบเหมือนกันครับ เป็นแนวดราม่า ค่อนข้างเครียดไปหน่อย แต่ก็ลุ้นตามตัวละครไปด้วย ไปชมกันครับ ฉายไม่กี่โรงเอง
ข้อคิดที่ได้จากหนังเรื่องนี้ : โอกาสไม่ได้มาบ่อย ๆ อย่าปล่อยให้หลุดมือไป
เรื่องที่สอง เปรตอาบัติ (28)
เรื่องนี้ผมไปดูมาเมื่ออาทิตย์ที่แล้ว เป็นเวอร์ชั่นใหม่ที่เพิ่มฉากขึ้นมา เป็นหนังไทยที่สมควรไปดูอีกเรื่องนึงเลยครับ แนะนำไ ด้คติสอนใจเพียบเลย
เป็นครั้งแรกที่ผมดูหนังแล้วไม่ต้องไปรอต่อคิวซื้อตั๋วหน้าโรง จ่ายบัตรเครดิตซื้อจากแอพที่บ้านไปก่อนเลย ไปถึงเข้าโรงได้เลย ไม่ต้องเสียเวลา
เรื่องนี้คนพูดถึงเยอะเหมือนกัน
ไว้ต้องหาโอกาสไปดูให้ได้
ลงชื่อไว้ก่อนค่ะ