ศรีบูรพา รำลึก : ข้างหลังภาพ บนแผ่นฟิล์ม
ศรีบูรพา รำลึก ข้างหลังภาพ บนแผ่นฟิล์ม
พล พะยาบ คอลัมน์อาทิตย์เธียเตอร์ มติชนรายวัน 3 เมษายน 2548
31 มีนาคมที่ผ่านมา เป็นวันครบรอบ 100 ปี ชาตกาล กุหลาบ สายประดิษฐ์ นักเขียน-นักหนังสือพิมพ์คนสำคัญ ผู้สร้างสรรค์ผลงานมากมายฝากไว้บนบรรณพิภพ ทั้งนิยาย เรื่องสั้น บทกวี บทความ บทวิจารณ์ เรื่องแปล ในหลากหลายนามปากกา ที่รู้จักคุ้นเคยกันมากที่สุดคือนามปากกา ศรีบูรพา
กระนั้น กุหลาบ สายประดิษฐ์ มิใช่โดดเด่นเพียงเพราะอัจฉริยภาพด้านการประพันธ์ หากเพราะอุดมการณ์และความกล้าหาญในการเรียกร้องสันติภาพและความเป็นธรรมในสังคม จนตนเองต้องสูญเสียอิสรภาพ ต้องจากแผ่นดินเกิดจวบจนเวลาสุดท้ายของชีวิต
เป็นคุณูปการยิ่งใหญ่บนความเสียสละอันใหญ่หลวง
ในบรรดางานประพันธ์ของศรีบูรพา เรื่องที่ประทับอยู่ในความทรงจำของผู้คนมากที่สุดคือ ข้างหลังภาพ ด้วยเรื่องราวอันน่าสะเทือนใจของ ม.ร.ว.กีรติ ตัวละครหญิงที่โด่งดังที่สุดตัวละครหนึ่งในโลกวรรณกรรมไทย กับประโยคทองในบทอวสานว่า ฉันตายโดยปราศจากคนที่รักฉัน แต่ฉันก็อิ่มใจว่า ฉันมีคนที่ฉันรัก
ข้างหลังภาพตีพิมพ์ครั้งแรกเป็นตอนๆ ในประชาชาติรายวัน เมื่อปี 2479 ก่อนจะรวมเล่มในปีถัดมา จัดว่าเป็นกึ่งไพรัชนิยาย เพราะครึ่งเรื่องแรกใช้ฉากประเทศญี่ปุ่น ศรีบูรพาเขียนเรื่องนี้หลังจากเดินทางไปดูงานหนังสือพิมพ์ที่นั่นในปี 2479 ได้ไปเที่ยวพักผ่อน ณ ภูเขามิตาเกะ ซึ่งกลายมาเป็นฉากสำคัญในนิยาย
แก่นสารของข้างหลังภาพคือการให้ภาพชีวิตของชนชั้นสูง โดยเฉพาะผู้หญิงซึ่งต้องอยู่ในกรอบเคร่งครัด และความขัดแย้งแตกต่างระหว่างหญิงสาวในสังคมเก่า (ก่อนเปลี่ยนแปลงการปกครอง) กับชายหนุ่มในโลกปัจจุบัน (หลังเปลี่ยนแปลงการปกครอง)
สำหรับหนังที่สร้างจากบทประพันธ์ข้างหลังภาพมีอยู่ 2 ฉบับ ฉบับแรกปี 2528 กำกับฯโดย เปี๊ยก โปสเตอร์ เขียนบทโดย วิศณุศิษย์ อีกฉบับหนึ่งออกฉายวันที่ 30 มีนาคม 2544 กำกับฯโดย เชิด ทรงศรี ถ่ายทอดเป็นบทภาพยนตร์โดย ธม ธาตรี (นามปากกาที่เปิดเผยของ เชิด ทรงศรี)
เนื่องจากเนื้อหาส่วนใหญ่ในนิยายเป็นบทพรรณนาโวหาร สลับกับบทสนทนาระหว่าง นพพร กับ ม.ร.ว.กีรติ บนพื้นฐานของเรื่องเล่าย้อนหลัง จึงแทบจะไม่มีรายละเอียดอื่นๆ นอกสายตาของผู้เล่าอย่างนพพร การดัดแปลงเป็นบทหนังทั้ง 2 ฉบับ จำเป็นต้องเพิ่มเติมฉากและบทสนทนาให้มีมิติมากขึ้น ท่านเจ้าคุณและคนอื่นๆ ที่นพพรเพียงกล่าวถึงในนิยายจึงมีบทบาทรับ-ส่งเรื่องราวกันตามสมควร
หากเปรียบเทียบกันแล้วฉบับของเปี๊ยก โปสเตอร์ มีความใกล้เคียงกับบทประพันธ์มากกว่า ทั้งโครงสร้างของเรื่องราวและบทสนทนา ขณะที่ฉบับของเชิด ทรงศรี จะเห็นได้ถึงความตั้งใจของผู้สร้างในการขยับขยายกรอบของบทประพันธ์ให้กว้างขึ้น โดยไม่ต้องถูกเหนี่ยวรั้งด้วยข้อจำกัดต่างๆ โดยเฉพาะช่วงครึ่งแรกในประเทศญี่ปุ่น ผู้สร้างหยิบเพียงบางบทบางตอนมาเล่าใหม่ให้มีสีสันมากขึ้น ไม่ใช่เพียงการเดินคุยโต้ตอบกันด้วยคารมคมคายไปเรื่อยเช่นในนิยาย
ดังนั้น ผู้ที่ประทับใจบทพูดอันไพเราะ คมคาย เฉลียวฉลาดของพระ-นาง น่าจะชอบฉบับของเปี๊ยก โปสเตอร์ มากกว่า ขณะที่ฉบับของเชิด ทรงศรี ดูจะมีสีสัน มีอารมณ์สนุกสนาน ชนิดที่ผู้อ่านข้างหลังภาพไม่เคยนึกจินตนาการมาก่อน
อย่างไรก็ตาม แม้จะยึดอิงบทประพันธ์มากกว่าแต่ฉบับแรกก็มีข้อด้อยตรงที่นักแสดงนำ โดยเฉพาะ อำพล ลำพูน ซึ่งจัดว่าเป็นดาราหน้าใหม่ในขณะนั้น ไม่ถนัดกับภาษาและโวหารย้อนยุค หางเสียงสั้นๆ แบบสมัยใหม่ เช่นคำว่า เนียะ (นี้) จึงหลุดออกมาเป็นระยะ ยังไม่พูดถึงบุคลิกของอำพลซึ่งผู้เขียนมองว่าไม่เหมาะกับนพพร หนุ่มผู้ดีนักเรียนนอกผู้มีจิตใจอ่อนไหว ในส่วนนี้ ธีรเดช วงศ์พัวพันธ์ ในฉบับหลังทำได้ดีกว่า แต่บางจังหวะก็ดูเหมือนกับว่านพพรของเชิด ทรงศรี แสดงออกมากเกินพอดี ไม่มีเก็บอาการข่มความรู้สึก หรือนึกถึงความผิดชอบชั่วดีใดๆ
ส่วนบท ม.ร.ว.กีรติ ทั้ง นาถยา แดงบุหงา และ คารา พลสิทธิ์ นับว่าทำหน้าที่ได้ดีและเหมาะสมด้วยกันทั้งสองคน
ที่น่าพูดถึงอีกจุดหนึ่งคือ ฉบับเชิด ทรงศรี นอกจากจะขยับขยายกรอบของบทประพันธ์แล้ว ยังเพิ่มเติมเรื่องราวรายละเอียดลงไปพอสมควร เช่น ความรู้สึกของท่านเจ้าคุณต่อความสนิทสนมระหว่างนพพรกับกีรติ ซึ่งในนิยายไม่อาจกล่าวถึงได้เพราะเป็นมุมมองของนพพรเพียงด้านเดียว หรือการเปลี่ยนเรื่องราวให้ เป็นเหตุเป็นผล มากขึ้น ด้วยการให้ท่านเจ้าคุณเสียชีวิตด้วยวัณโรค มิใช่ไตพิการ จน ม.ร.ว.กีรติต้องติดโรคไปด้วย เพราะต้องปรนนิบัติดูแลสามี
นอกจากนี้ ผู้สร้างได้บอกกล่าวช่วงเวลาอันเป็นฉากหลังและมีความสำคัญต่อแก่นสารซึ่งนิยายได้ละไว้ในฐานที่เข้าใจ โดยให้กีรติพูดคำว่า ก่อนเปลี่ยนแปลงการปกครอง
ที่น่าชมเชยคือภาพวัฒนธรรมการสวมหมวกและภาพทหารญี่ปุ่น ซึ่งหมายถึงยุค จอมพล ป. พิบูลสงคราม เมื่อนพพรได้กลับมาพบกีรติอีกครั้ง เพราะเป็นเหตุการณ์ที่ศรีบูรพาไม่อาจล่วงรู้ได้ขณะเขียนเรื่องนี้ในปี 2479
อย่างไรก็ตาม แม้จะมีข้อเด่นข้อด้อยแตกต่างกัน แต่หนัง ข้างหลังภาพ ทั้ง 2 ฉบับ ต่างประสบความสำเร็จตรงจุดเดียวกัน คือการสร้างอารมณ์สะเทือนใจต่อชะตากรรมของ ม.ร.ว.กีรติ ทั้งนี้อาจเป็นเพราะความตายของเธอเป็นอมตะ ตรึงใจผู้คน
เรียกว่าเป็นความเศร้าที่อิ่มเอม เสมือนบทอวสานของข้างหลังภาพ แม้จะผ่านกาลเวลามากว่า 60 ปีแล้วก็ตาม
Create Date : 07 พฤษภาคม 2551 |
|
10 comments |
Last Update : 7 พฤษภาคม 2551 0:11:55 น. |
Counter : 4557 Pageviews. |
|
|
|
|
| |
โดย: อุ้มสี 7 พฤษภาคม 2551 6:58:59 น. |
|
|
|
| |
โดย: yawaiam IP: 125.25.246.119 7 พฤษภาคม 2551 8:00:19 น. |
|
|
|
| |
โดย: ดนย์ 7 พฤษภาคม 2551 12:51:13 น. |
|
|
|
| |
โดย: แม่ไก่ 7 พฤษภาคม 2551 16:22:07 น. |
|
|
|
| |
โดย: nanoguy IP: 125.24.126.174 7 พฤษภาคม 2551 17:45:35 น. |
|
|
|
| |
โดย: Petit :-Dream IP: 58.8.15.142 24 มิถุนายน 2551 12:12:10 น. |
|
|
|
|
|
|
|
Location :
[ดู Profile ทั้งหมด]
|
ฝากข้อความหลังไมค์
Rss Feed
Smember ผู้ติดตามบล็อก : 6 คน [?]
|
บทวิจารณ์ภาพยนตร์รางวัลกองทุน ม.ล.บุญเหลือ เทพยสุวรรณ ปี 2549 ..............................
พญาอินทรี
ศราทร @ wordpress
|
|
|
|
| 1 | 2 | 3 |
4 | 5 | 6 | 7 | 8 | 9 | 10 |
11 | 12 | 13 | 14 | 15 | 16 | 17 |
18 | 19 | 20 | 21 | 22 | 23 | 24 |
25 | 26 | 27 | 28 | 29 | 30 | 31 |
|
|
|
|
|
|
|
|
|
|