สัมมนาเชิงปฏิบัติการงานเขียน โดย อาจารย์ประภัสสร เสวิกุล
ในวันอาทิตย์ที่ผ่านมา (25พฤษภาคม 2557) ผมได้มีโอกาสไปร่วมงานสัมมนาเชิงปฏิบัติการงานเขียน ซึ่งเป็นกิจกรรมวรรณศิลป์ที่จัดขึ้นในงาน อลังการผสานศิลป์กับศิลปินแห่งชาติ จัดโดยห้างสรรพสินค้าซีคอน บางแค ร่วมกับหออัครศิลปิน กรมส่งเสริมวัฒนธรรม กระทรวงวัฒนธรรม จัดขึ้น ซึ่งในงานสัมมนาวันนั้นมีท่านอาจารย์ประภัสสร เสวิกุล ศิลปินแห่งชาติมาบรรยายวิชาการที่เป็นความรู้สำหรับผู้ที่สนใจในการเขียน ดังนั้นผู้ที่อยากจะเป็นนักเขียนอย่างผมจึงไม่พลาดที่จะเข้าร่วมฟังสัมมนาในครั้งนี้ด้วย
ผมจึงขออนุญาตนำความรู้ที่ผมได้รับจากการสัมมนาเชิงปฏิบัติการงานเขียนในครั้งนี้มาบันทึกเพื่อถ่ายทอดต่อให้แก่บุคคลที่สนใจ โดยรายละเอียดทั้งหมดเป็นการจดจากคำบรรยาย(จดเลคเชอร์)ที่ผมฟังเข้าใจ ซึ่งข้อมูลอาจจะไม่ครบถ้วนทั้งหมดแต่ก็น่าจะพอเป็นความรู้ที่เป็นประโยชน์สำหรับผู้ที่อยากจะเป็นนักเขียนอยู่บ้าง ลองอ่านกันดูนะครับ
(ถ้ามีข้อมูลในส่วนใดผิดพลาดไปบ้างผมก็กราบของอภัยไว้ ณ ที่นี้ด้วยครับ)
อาจารย์ประภัสสร เสวิกุล ศิลปินแห่งชาติผู้บรรยายให้ความรู้
บรรยากาศในงานสัมมนา
@การเขียนก็คือการเล่าเรื่อง นักเขียนที่เก่งก็คือนักเล่าเรื่องที่ดี สำหรับคนที่มีพื้นฐานการเล่าเรื่องที่ดีก็สามารถที่จะพัฒนาตัวเองให้เป็นนักเขียนได้
@เรื่องที่เขียนแบ่งเป็น 2 ประเภทใหญ่ ๆ คือ 1.เรื่องที่แต่งขึ้น เช่น เรื่องสั้น นิยาย บทกวี ฯลฯ 2.เรื่องที่ไม่ได้แต่งขึ้น เช่น สารคดี
@เรื่องที่แต่งขึ้นมีหลายรูปแบบ เช่น -บทกวีเป็นเรื่องที่แต่งขึ้นโดยมีการกำหนดโครงสร้างทางฉันทลักษณ์ -เรื่องสั้นเป็นเรื่องที่มีความยาวจำกัด มีประเด็นของเรื่องเพียงประเด็นเดียว ตัวละครน้อย -นวนิยายหรือนิยาย เป็นเรื่องที่มีโครงเรื่องสลับซับซ้อนมากกว่าเรื่องสั้น มีหลายประเด็น มีตัวละครมากกว่า
@โครงสร้างของนิยาย 1.ต้องมีโครงเรื่องหรือพล็อตเรื่องก่อน ซึ่งโครงเรื่องก็เปรียบเสมือนโครงกระดูกของร่างกาย ถ้ามีโครงเรื่องที่ดีแข็งแกร่งเรื่องก็จะออกมาดี 2.เนื้อเรื่อง เปรียบเสมือนเนื้อหนังห่อหุ้มร่างกายหรือหุ้มกระดูกเอาไว้ การเขียนเนื้อเรื่องเป็นการใส่รายละเอียดปลีกย่อยให้แก่เรื่อง 3.แก่นของเรื่อง คือสิ่งที่ต้องตอบคำถามให้ได้ว่าเราเขียนเรื่องนี้ขึ้นมาเพราะอะไร? เราต้องการสื่ออะไรให้ผู้อ่าน ซึ่งก็คือหัวใจของเรื่องนั้นเอง 4.การดำเนินเรื่อง ซึ่งก็เปรียบเสมือนการเดินหรือการวิ่ง ซึ่งเป็นการทำให้เรื่องที่เราเขียนขึ้นนั้นสามารถเล่าเรื่องราวตั้งแต่ต้นจนจบเรื่องได้ 5.ชื่อเรื่อง เพื่อให้ผู้อ่านรู้ว่าเรื่องที่เราเขียนนั้นสื่อถึงอะไร
@หลาย ๆ ครั้งมักจะมีคนถามว่าเราควรจะเขียนเรื่องอะไรดี? ซึ่งวิธีการเขียนที่ดีที่สุดก็คือเขียนเรื่องที่ใกล้ตัวที่สุด หรือเขียนเรื่องที่เรารู้จักดีที่สุด หรือเขียนเรื่องที่เรารู้จริงที่สุด หรือเขียนเรื่องที่เรารู้แจ้งที่สุด หรือเขียนเรื่องที่เรารู้จบที่สุด
@รู้แจ้ง คือรู้อย่างดี เช่นเรารู้จักหมาที่เราเลี้ยง แล้วเราก็รู้จักหมาตัวอื่น ๆ (พันธุ์อื่น ๆ ) ด้วย
@รู้จัก คือการเรียนรู้ซ้ำ ๆ ในเรื่องเดียวดัน
@รู้จบ คือรอบรู้ในเรื่องนั้น ๆ เป็นอย่างดี
@สิ่งหนึ่งที่นักเขียนต้องมีก็คือ แรงบันดาลใจ โดยแรงบันดาลใจนั้นมีอยู่รอบ ๆ ตัวเรา เป็นสิ่งที่เราอยากเอามาเล่าให้คนอื่นได้ฟัง ซึ่งแรงบันดาลใจที่ดีนั้นจะสร้างความน่าสนใจให้แก่ผู้เขียนและผู้อ่าน
@สาเหตุที่นักเขียนส่วนใหญ่เขียนเรื่องใดเรื่องหนึ่งไม่จบนั้น เพราะ 1.เรื่องที่เขียนนั้นยังไม่น่าสนใจพอ 2.มีข้อมูลสำหรับนำไปเขียนไม่เพียงพอ 3.ผู้เขียนขาดความอดทน เช่น เบื่อ , เหนื่อย , ขี้เกียจ ฯลฯ 4.ขาดวินัยในการเขียน
@วินัยในการเขียนเป็นสิ่งสำคัญที่สุดที่จะทำให้นักเขียนประสบความสำเร็จในการเขียน ดังนั้นผู้ที่เป็นนักเขียนควรสร้างวินัยในการเขียนให้แก่ตัวเอง ยกตัวอย่างเช่น เราควรตั้งวินัยในการเขียนของตัวเองไว้ว่า ในวันหนึ่ง ๆ เราจะเขียนให้ได้เป็นเวลากี่นาที หรือกี่ชั่วโมง แล้วต้องพยายามทำตามที่ตั้งใจไว้ให้ได้ ถ้าตั้งใจว่าจะเขียนวันละ 30 นาทีในเวลา 2 ทุ่มก่อนนอนก็ควรทำให้ได้อย่างสม่ำเสมอ ต้องทำให้เป็นนิสัยแล้วจะเกิดวินัยขึ้นมาได้
@นักเขียนที่ดีต้องพยายามคิดอยู่เสมอว่า การเขียนก็คือการทำงาน และเป็นส่วนหนึ่งในชีวิตของเรา
@หลักในการเขียนประกอบไปด้วย 1.จินตนาการ โดยเฉพาะเรื่องแต่งเช่น เรื่องสั้น นิยาย บทกวี ฯลฯ ผู้เขียนต้องใส่จินตนาการลงไปในงานเขียนด้วยทุกครั้ง 2.วิชาการ ความรู้และข้อมูลความเป็นจริงในเรื่องนั้น ๆ โดยเฉพาะงานเขียนที่ไม่แต่งขั้น เช่นสารคดี
@จินตนาการทำให้เรื่องที่เราเขียนนั้นน่าอ่าน แต่ถ้ามีจินตนาการเพียงอย่างเดียวเรื่องที่เราเขียนนั้นก็จะเกินจริงไป ดังนั้นจึงควรทำให้เรื่องที่เราเขียนมีความสมจริงด้วย
3.มีศิลปะการประพันธ์ 4.ประสบการณ์ของผู้เขียน
อาจารย์ประภัสสร เสวิกุลให้ผู้เข้าร่วมสัมมนาได้ลองเขียนและให้คำแนะนำ
อาจารย์ชุติมา เสวิกุล ช่วยบรรยายเสริมให้ความรู้ในช่วงท้าย
หลักในการเลือกเรื่องที่จะเขียน 1.จงเขียนเรื่องที่ยังไม่มีใครเขียนมาก่อน 2.ถ้าเรื่องนั้นมีคนเคยเขียนไว้แล้ว เราต้องเขียนให้ดีกว่า
@หลักของวรรณศิลป์ (ที่ต้องนำมาใช้ในงานเขียน) 1.อารมณ์สะเทือนใจ คือหัวใจของการเขียนเรื่องแต่ง อารมณ์สะเทือนใจนั้นมีทั้งดีและไม่ดี เช่นอารมณ์สะเทือนใจแบบเศร้าสุด ๆ หรืออารมณ์สะเทือนใจแบบดีใจสุด ๆ (นักเขียนควรเลือกอย่างใดอย่างหนึ่ง)
@อีโมชั่น (อารมณ์สะเทือนใจ)สำคัญสำหรับเรื่องแต่ง แต่ถ้าเป็นเรื่องจริงต้องมีอินฟอร์เมชั่น(ข้อมูล)
2.ความคิด+จินตนาการ เรื่องที่เขียนเราควรจะคิดพร้อมทั้งจินตนาการไปด้วย 3.การสื่อสารกับผู้อ่าน ผู้เขียนต้องสื่อสารให้ผู้อ่านรู้เรื่องราวที่เราเขียนให้ได้ , เรื่องที่เขียนต้องสื่อให้ตรงกับใจของผู้อ่าน
@ผู้เขียนคือผู้ส่งสาสน์ งานเขียน(หนังสือ)คือสาสน์ ผู้อ่านคือผู้รับสาสน์
4.อัตลักษณ์ของผู้เขียน งานเขียนเป็นสิ่งที่สะท้อนตัวตนของผู้เขียน ผู้เขียนควรมีสำนวนการเขียนที่เป็นเอกลักษณ์ของตัวเองโดยไม่จำเป็นต้องไปลอกเลียนแบบใคร งานเขียนนั้นสามารถบ่งบอกตัวตนและจิตใจของผู้เขียนได้ด้วย 5.กลวิธีในการดำเนินเรื่อง (เทคนิคการนำเสนอเรื่อง) การที่จะทำให้ผู้เขียนมีเทคนิคที่ดีก็คือต้องอ่านให้เยอะ ดังนั้นการที่จะเป็นนักเขียนที่ดีจะต้องเป็นนักอ่านด้วย 6.การวางองค์ประกอบเรื่อง , ทิศทางของเรื่อง รวมทั้งสำนวนภาษาที่ใช้ ควรจะวางโครงสร้างทั้งหมดเอาไว้ก่อนแล้วหารายละเอียดใส่ลงไปในเรื่องนั้น
@อ.ประภัสสรเล่าให้ฟังถึงสาเหตุของการเขียนเรื่อง ชี๊ค เพราะว่าในตอนนั้นสหรัฐอเมริกาส่งกองเรือไปปิดล้อมประเทศลิเบียเอาไว้ อ.ประภัสสรจึงไปหาข้อมูลศึกษาเรื่องเกี่ยวกับประเทศลิเบียและประเทศในแถบอาหรับเพิ่มเติม อ.ประภัสสรจึงสนใจอยากจะเรื่องนี้ขึ้นมา โดยถ่ายทอดออกมาเป็นเรื่อง ชี๊ค อ.ประภัสสรเล่าให้ฟังว่า ศึกษาข้อมูลและข้อเท็จจริงต่าง ๆ โดยใช้เวลาอยู่ 1 ปีครึ่ง ก่อนที่จะลงมือเขียนเรื่องนี้
@ส่วนเวลาที่เขียนก็ต้องสร้างบรรยากาศในการเขียน โดยเอาตัวเองเข้าไปอยู่ในเรื่องที่จะเขียนให้ได้ เช่นจะเขียนเรื่องเกี่ยวกับทะเลทรายก็เอาภาพทะเลทรายมาติดผนังไว้ เปิดเพลงประกอบที่เป็นเพลงที่เกี่ยวข้อง(เพื่อสร้างอารมณ์+จินตนาการ) บุคลิกของตัวละครก็ต้องไปหาภาพของคนในประเทศตะวันออกกลางมาดู หรือหาภาพมาติดเอาไว้ เวลาบรรยายลักษณะตัวละครจะได้บรรยายได้ถูก
@การเขียนคือการทำให้คนอื่นคล้อยตามเรา ดังนั้นเราควรจะเชื่อในเรื่องที่เราจะเขียนก่อน เช่นจะเขียนเรื่องผี เราก็ควรจะกลัวผีก่อน ผู้อ่านจึงจะกลัวตามและเชื่อในเรื่องที่เราเขียน
@นักเขียนควรเตรียมร่างกาย,จิตใจและสมองให้พร้อมก่อนที่จะลงมือเขียน เพราะว่าถ้าส่วนใดส่วนหนึ่งไม่พร้อมก็จะเขียนออกมาได้ไม่ดี ดังนั้นนักเขียนควรเตรียมทั้งร่างกาย,จิตใจและสมองในพร้อมก่อนที่จะเขียน อย่าฝืนตัวเอง
@เรื่องที่แต่งต้องเขียนออกมาให้เหมือนจริง ส่วนเรื่องจริงจะเขียนเหมือนเรื่องแต่งไม่ได้
@ตัวสะกดในงานเขียนถือว่าเป็นสิ่งสำคัญ ควรเขียนตัวสะกดให้ถูกต้อง
@อย่าหลงลืมตัวละคร อย่าทิ้งตัวละคร วิธีที่ดีที่สุดคือควรทำแผนผังตัวละคร ว่าตัวละครไหนอยู่ผ่ายไหน ฝ่ายดีหรือว่าฝ่ายร้าย ฝ่ายพระเอกหรือว่านางเอก จะทำให้ไม่หลงลืมตัวละคร
@การสร้างตัวละคร ต้องสร้างตัวละครออกมาให้มีความเหมือนจริงมากที่สุด ต้องให้ข้อมูลของตัวละครอย่างเพียงพอ มีภูมิหลังของตัวละครตัวนั้น ๆ ด้วย เช่นควรสร้างตัวละครให้มีพื้นฐานทางสังคมด้วย เรียนจบอะไรมา , ทำอาชีพอะไร , ฐานะครอบครัวเป็นอย่างไร , สนใจเรื่องอะไร , มีความสามารถพิเศษเรื่องใด ฯลฯ
@ต้องระวังอย่าให้ตัวละครดื้อ เพราะว่าตัวละครต้องมีชิวิตเป็นของเขาเอง ต้องไม่เขียนให้ตัวละครฝืนกับความเป็นจริง เช่น ตัวละครเป็นครูคณิตศาสตร์แต่เขียนให้บวกเลขผิด หรือทอนเงินผิด มันจะขัดกับความเป็นจริง
โครงสร้างของนิยาย 1.การเริ่มเรื่อง 2.ความขัดแย้ง หรือปมปัญหาต่าง ๆ 3.จุดสูงสุดของความขัดแย้ง 4.การคลีคลายความขัดแย้งนั้น ๆ 5.บทสรุปของเรื่อง
@การเริ่มเรื่อง สามารถทำได้ทั้ง (1)เรียงความลำดับเวลา (เรียงตามเหตุการณ์) หรือ (2)เอาตอนจบของเรื่องมาเริ่มก่อน หรือ (3)เอาตอนที่เด่นที่สุดหรือสำคัญที่สุดมาเป็นตอนเริ่มเรื่อง เพื่อดึงดูดและล่อใจผู้อ่านให้อยากอ่านเรื่องของเรา
@การจบเรื่องคือ (1)การสิ้นสุดของปัญหาหรือปมขัดแย้งต่าง ๆ หรือ (2)จบแบบทิ้งปมหรือประเด็นเอาไว้ให้ผู้อ่านคิด หรือ (3)จบแบบยังไม่จบ คือผู้อ่านต้องไปคิดปัญหาต่อเอาเอง
@จบแบบทิ้งปมหรือประเด็นเอาไว้ คือผู้เขียนรู้อยู่แล้วว่าคำตอบคืออะไร แต่ต้องการให้ผู้อ่านไปคิดต่อเอาเอง +อ.ประภัสสรบอกว่า สาเหตุที่ทำให้มาเป็นนักเขียนก็มาจากการที่ อ.ชอบดูภาพยนตร์และชอบอ่านวรรณคดี ดังนั้นสไตล์การเขียนจึงมีวิธีการตัดฉากเยอะ รวมทั้งให้ตัวละครพูดสั้น ๆ แต่ได้ใจความ
@ในการเขียนนิยาย ทุกคำพูดของตัวละครจะต้องมีความสำคัญต่อเนื้อเรื่อง
@นิยายเดินเรื่องด้วย (1)คำบรรยาย + (2)คำพูดของตัวละคร หรือบทสนทนาของตัวละคร
@บทสนทนาของตัวละครจึงให้ข้อมูลเกี่ยวกับเรื่องด้วย
@ตัวละครพูดคุยกันสามารถเขียนให้สื่อได้หลายอย่าง เช่น พูดถึงฐานะของตัวละคร , บอกอารมณ์ของตัวละครในขณะนั้น , บอกเรื่องราวที่ผ่านมาแล้ว , บอกถึงเรื่องราวที่ผู้อ่านยังไม่รู้ , บอกข้อมูลสำคัญในเนื้อเรื่อง ฯลฯ
@ในการเขียนควรนำสำนวนโวหารมาใช้ด้วย เช่นอุปมาโวหารที่ใช้เปรียบเทียบ ซึ่งการใช้สำนวนโวหารนั้นจะช่วยร่นเวลาการเขียนลงได้มาก เช่นบอกว่า ช้างทั้งตัวเอาใบบัวปิดไม่มิด ผู้อ่านอ่านแล้วจะเข้าใจในเรื่องราวได้โดยที่ผู้เขียนไม่ต้องเขียนบรรยายมากนัก
@การตั้งชื่อเรื่องเป็นสิ่งสำคัญเช่นกัน เพราะว่าชื่อเรื่องเป็นสิ่งแรกที่ผู้อ่านจะเห็น การตั้งชื่อเรื่องที่ดีสามารถดึงดูดความสนใจของผู้อ่านได้ ชื่อเรื่องที่ดีคือชื่อที่บอกนัยของเรื่องได้ แต่ไม่เปิดเผยทั้งหมดของเรื่อง
@ยกตัวอย่างชื่อเรื่อง ลอดลายมังกร อ.ประภัสสรคิดอยากจะเขียนเรื่องราวเกี่ยวคนจีน ดังนั้นจึงต้องการคำที่สื่อความหมายที่เป็นจีน ซึ่งก็คือคำว่าหงส์หรือคำว่ามังกร แต่ตัวละครเอกในเรื่องเป็นผู้ชายจึงเลือกใช้คำว่ามังกร นอกจากนั้นการดำเนินเรื่องเป็นการเล่าผ่านมุมมองของตัวละครที่เป็นหลาน เลยใช้คำที่มีความหมายในเชิงบุคคลที่สามเล่าถึงตัวละครเอก ซึ่งเป็นการมองผ่านเพื่อส่งต่อเรื่องราวมาให้ผู้อื่นได้ทราบ จนสุดท้ายจึงได้ชื่อว่า ลอดลายมังกร
@การตั้งชื่อเรื่องคือการย่อโลกทั้งใบให้เหลือเม็ดถั่วเขียว
หลักในการหาแรงบันดาลใจ 1.หาแนวเขียนที่ตัวเองชอบมากที่สุด 2.พยายามมองหาข้อดีและข้อด้อยในงานเขียนของตัวเอง 3.ทดสอบการเขียนในแนวที่ชื่นชอบกับแนวเขียนอื่นที่ยังไม่เคยเขียน 4.ศึกษาแนวเขียนที่เราชื่นชอบจากนักเขียนคนอื่น 5.ทักษะเกิดจากการเรียนรู้และการฝึกฝน ดังนั้นควรฝึกเขียนไปเรื่อย ๆ 6.ไม่มีใครรู้จักตัวเอราได้ดีเท่าตัวเราเอง เราควรรู้ว่าเราเขียนได้หรือไม่ได้ 7.ต้องมีความมั่นใจในตัวเอง ถ้าดูถูกความสามารถของตัวเอง + @ท้ายสุด อ.ประภัสสร บอกผู้ที่อยากเป็นนักเขียนว่า ...
หมั่นเขียนและฝึกฝนหาแนวทางของตนเองจนกระทั่งค้นพบตัวเอง ไม่จำเป็นต้องเหมือนใคร ไม่จำเป็นต้องตามใคร จงเป็นตัวของตัวเองแล้วท่านก็จะเป็นนักเขียนที่ประสบความสำเร็จ
ผู้เข้าร่วมสัมมนาถ่ายภาพร่วมกัน
หลังจบสัมมาผู้เข้าสัมมนาได้ขอลายเซ็นอาจารย์ประภัสสร เสวิกุล
ผมก็ไม่พลาดที่จะขอลายเซ็นอาจารย์ประภัสสร เสวิกุลด้วย
คำอวยพรและลายเซ็นที่อาจารย์ประภัสสร เสวิกุล เซ็นมอบให้ผม
ผมขอขอบพระคุณท่านอาจารย์ประภัสสร เสวิกุลและท่านอาจารย์ชุติมา เสวิกุล ผู้เป็นวิทยากรถ่ายทอดความความรู้เกี่ยวกับงานเขียนให้แก่ตัวผมในครั้งนี้ รวมทั้งขอขอบคุณห้างสรรพสินค้าซีคอน บางแค ที่ได้จัดให้มีงานกิจกรรมสัมมนาดี ๆ แบบนี้ขึ้นมา
และขอขอบคุณทุกท่านที่เข้ามาอ่านและเยี่ยมชมบล็อกนี้ด้วย หวังว่าเรื่องราวที่ผมนำเสนอในวันนี้คงจะเป็นประโยชน์แก่ท่านได้บ้างครับ
อิอิ
Create Date : 26 พฤษภาคม 2557 |
|
15 comments |
Last Update : 26 พฤษภาคม 2557 16:33:22 น. |
Counter : 3663 Pageviews. |
|
|
|