จะไม่รอให้ฟ้าสว่าง (Breaking Night)
9 พฤศจิกายน 2561
เวลาที่คุณเดินไปตามท้องถนนหรือเวลาที่คนเจอกับคนแปลกหน้า คุณกล้าสบตาเขาหรือไม่? ถ้าคุณกล้าสบตาคนอื่นนั้นอาจจะแสดงว่าคนยังมีตัวตนอยู่ในสังคม คุณจึงกล้าเชิดหน้าขึ้นเพื่อเพ่งมองทุกดวงตาที่กำลังจ้องมองคุณอยู่ แต่ถ้าคนเป็นคนที่ไม่เคยมีตัวตนอยู่ในสังคมเลยล่ะ คุณยังจะกล้าสบตาคนอื่นหรือไม่?
ผมเชื่อว่าในทุกวันนี้คนในสังคมต่างเฝ้ามองซึ่งกันและกันผ่านตัวตนที่เขามีอยู่ในสังคม หรือมองคนอื่นด้วยสถานะทางสังคมต่างๆ เช่น คนนี้เป็นหมอ , คนนี้เป็นทหาร , คนนี้เป็นนักศึกษามหาวิทยาลัยชื่อดัง ฯลฯ คนเราจึงมองคนอื่นผ่านรูปลักษณ์ภายนอกที่เขาแสดงออกเป็นหลัก คนในสังคมจึงเคารพและให้เกียรติซึ่งสถานะทางสังคมของแต่ละบุคคล แต่ถ้าสถานะทางสังคมคุณไร้ซึ่งตัวตนที่ชัดเจน ไร้ซึ่งที่พักอาศัยและไร้ซึ่งครอบครัว คุณอาจจะไม่กล้ามองสบตาใครเลยก็ได้ ในขณะเดียวกันคุณต้องเบือนหน้าหลบซ่อนจากสังคมที่กำลังจ้องจะตีตราคุณอยู่ ด้วยคุณเกรงกลัวการถูกประณาม การถูกกลั่นแกล้ง การถูกกรีดกัน และการถูกแบ่งแยก
ความจริงเหล่านี้ถูกสะท้อนผ่านเรื่องราวอันน่าสะเทือนใจของลิซ เมอร์เรย์ ตั้งแต่วัยเด็กจนถึงอายุ 19 อย่างไรก็ตามหนังสือเล่มนี้มิได้มีแต่เรื่องราวอันโหดร้ายและเจ็บปวดเท่านั้น แท้จริงแล้วเล่มนี้เป็นบันทึกที่ให้ความหวังและแรงบันดาลใจอย่างมีพลังยิ่ง เพราะเหตุว่าทั้งๆ ที่เธอประสบอุปสรรคขวากหนามมากมาย ในขณะที่ปัจจัยสนับสนุนก็มีน้อยมาก แต่เธอสามารถปืนป่ายออกจากหลุมดำได้สำเร็จ ยิ่งกว่านั้นยังสามารถทำสิ่งที่คนจำนวนไม่น้อยที่ได้เปรียบกว่าเธอมากนักไม่สามารถทำได้ นั่นคือ จากคนที่แทบจะไม่มีความรู้ใดๆ ติดตัวเลยในวัย 17 ปี (เพราะเธอหนีเรียนมาตลอด) แถมเป็นคนไร้บ้าน แต่ภายในเวลาสองปีนอกจากเรียนจบชั้นมัธยมปลาย (ซึ่งคนทั่วไปใช้เวลาเรียนสี่ปีแล้ว) เธอยังพากเพียรจนเรียนต่อที่มหาวิทยาลัยฮาร์วาร์ดได้สำเร็จ
บางส่วนจากบทกล่าวนำ โดยพระไพศาล วิสาโล (หน้า 9)
ข้อความในย่อหน้าที่ผมยกมาจากบทกล่าวนำข้างต้นนี้เป็นสปอยล์ มันเป็นสปอยล์จริงๆ เพราะย่อหน้านี้ได้พูดถึงเรื่องราวทั้งหมดของหนังสือเล่มนี้ไว้ทั้งหมดแล้ว ถึงมันจะเป็นสปอยล์ที่แจ้งไว้ให้ผู้อ่านทราบตั้งแต่หน้าแรกๆ ก็ตาม แต่ด้วยความหนาของหนังสือเล่มนี้ที่มีเนื้อหารวมทั้งหมด (บทนำ , คำนำ , เนื้อเรื่อง , ภาคผนวก , บทตาม) กว่า 479 หน้านั้น มันไม่อาจดำรงความเป็นสปอยล์ไว้ได้จนจบเล่มแน่ ที่ผมพูดนี้หมายความว่า เนื้อเรื่องมันยาวจนคนอ่านลืมสปอยล์ไปหมดแล้ว แต่การที่ผู้อ่านได้เคยอ่านสปอยล์มาตั้งแต่ต้นเล่มนั้น มันทำให้สปอยล์เป็นเส้นทางนำผู้อ่านไปสู่บทสุดท้ายของเล่ม เพราะว่าหนทางมันยาวไกลเกินกว่าที่ท่านจะจำรายละเอียดของเส้นทาง(สปอยล์)ได้ทั้งหมด ท่านจะจำได้เพียงแค่หมุดหมายสุดท้ายของเรื่องที่ต้องไปจบลง ณ มหาวิทยาลัยฮาร์วาร์ดนั้นเอง
หนังสือ จะไม่รอให้ฟ้าสว่าง (Breaking Night) เล่มนี้บอกได้เลยว่าเป็นการก้าวผ่านพ้นวัยไปด้วยกัน หรือที่รู้จักกันในสำนวนฝรั่งว่า Coming of Age นั้นเอง เล่มนี้เล่าเรื่องราวของลิซ เมอร์เรย์ตั้งแต่วัยเด็กจนถึงตอนโต ซึ่งแต่ละช่วงเวลาในชีวิตของเธอนั้นผ่านอุปสรรคใดๆ มาบ้าง? และเธอก้าวผ่านพ้นสิ่งเหล่านั้นมาได้อย่างไร? โดยหนังสือเล่มนี้มีพลังอย่างยิ่งที่ให้ทั้งความหวังและกำลังใจแก่ผู้อ่าน เพราะว่าเป็นการก้าวผ่านพ้นวัยไปด้วยกันที่เป็นการก้าวออกมาจากเงามืดดำอันเลวร้ายในชีวิตได้ ซึ่งเป็นตัวอย่างอันดีที่ผู้อ่านควรจะได้รับทราบ โดยเฉพาะการที่ตัวละครพ้นจากบ่วงโคจรอันเลวร้ายในชีวิตได้นั้น ผู้อ่านที่ติดตามชีวิตของตัวละครมาตั้งแต่หน้าแรกๆ ก็คงต้องแอบอมยิ้มในใจไปพร้อมกับความสำเร็จของตัวละครด้วย
แต่กว่าจะผ่านพ้นออกจากเงาที่มืดมิดได้นั้น รายละเอียดของชีวิตล้วนมีแต่ความโหดร้ายและน่ารันทดอย่างสุดซึ้ง ผู้เขียนซึ่งเป็นตัวละครหลักในเรื่องนี้ทำให้ผู้อ่านได้รับรู้ถึงเรื่องราวอันโหดร้ายไปพร้อมๆ กัน เรียกว่าผู้เขียนทำให้ผู้อ่านเจ็บปวดไปพร้อมกับตัวละครได้อย่างกลมกลืน อ่านแล้วต้องคอยถามตัวเองตลอดว่า ทำไมโชคชะตาที่โหดร้ายถึงกระหน่ำซ้ำเติมชีวิตที่บอบซ้ำได้อย่างแสนสำหัสอย่างนี้ แล้วทำไมปัญหาที่เกี่ยวข้องกับทุกรายละเอียดของชีวิตมันมักจะเกิดขึ้นจากครอบครัวล่ะ ใครจะรู้บ้างว่าในสังคมอเมริกันที่ดูเลิศหรูนั้น จริงๆ แล้วก็มีครอบครัวอีกมากมายที่เลวร้ายแตกแยกจนไม่น่าจะอยู่รอดได้เลย แล้วครอบครัวเหล่านี้เองที่ยัดเยียดความเลวร้ายให้แก่สมาชิกในครอบครัว โดยเฉพาะสมาชิกตัวน้อยที่เป็นลูกๆ ของพวกเขานั้นเอง
หนังสือเล่มนี้ชี้ให้เห็นถึงความเลวร้ายต่างๆ ที่ปรากฎอยู่ในชีวิตของคนๆ หนี่ง โดยชี้ให้เห้นถึงต้นเหตุของปัญหาต่างๆ ที่มาจากยาเสพติด จนลุกลามไปสู่ปัญหาที่พ่อแม่ติดเชื่อเอชไอวี จนทำให้ลูกต้องหนีออกจากบ้านจนกลายเป็นคนไร้บ้าน รายละเอียดของแต่ละช่วงเวลาอันโหดร้ายที่ผู้เขียนบันทึกไว้ในเรื่องนี้ มันทำหน้าที่อย่างเต็มที่ในการบาดลึกเข้าไปในความรู้สึกของคนอ่าน และหนึ่งสิ่งที่สำคัญที่หนังสือเล่มนี้แสดงให้เห็นน่าจะเป็นหนทางของการแก้ปัญหา รวมทั้งแนวทางของการป้องกันไม่ให้ปัญหาเกิดขึ้น ซึ่งผู้อ่านน่าจะรับรู้ได้ในทันทีหลังจากที่อ่านเล่มนี้จบลง ผมเชื่อว่าผู้อ่านแต่ละท่านกว่าจะอ่านหนังสือเล่มนี้จบลงได้ก็คงต้องใช้เวลานานมากว่า 1 วันแน่ๆ เพราะผมเชื่อว่าเพียงแค่วันเดียวท่านไม่อาจจะทัดทานความเศร้าที่ตัวละครประสบอยู่ได้ อย่างน้อยผู้อ่านก็ต้องอยู่เป็นเพื่อนกับตัวละครผ่านข้ามคืนอันโหดร้าย คืนที่เปล่าเปลี่ยวและหนาวเหน็บไปให้ได้ อย่างน้อยก็ต้องมีสัก 1 คืนที่ผู้อ่านกำลังอ่านหนังสือเล่มนี้ค้างอยู่แล้วต้องเข้านอน ผมเชื่อว่าในช่วงขณะสักเสี้ยวนาทีก่อนที่ท่านจะหลับตาลง ท่านอาจจะต้องคิดถึงตัวละครลิซ เมอร์เรย์ ว่าในคืนต่อๆ ไปเธอจะซุกตัวนอนได้ที่ไหน? แล้วที่นอนของเธอจะอบอุ่นและนอนสบายเหมือนเตียงที่ท่านกำลังนอนอยู่หรือไม่? ผมเชื่อว่าจะต้องมีเสี้ยวนาทีหนึ่งที่ท่านต้องคิดถึงเธอก่อนที่ท่านจะหลับไปพร้อมกับความห่วงใยที่เกิดขึ้นโดยไม่รู้ตัว
หลายต่อหลายคืนฉันเฝ้าโหยหาบ้าน แต่ในขณะที่ดิ้นรนเพื่อหาความรู้สึกสบายใจและปลอดภัยอยู่นั้น ฉันก็พบว่า ฉันไม่รู้ว่าบ้านอยู่ที่ไหน บางครั้งยามฉันลืมตาตื่น ในตอนนั้นฉันยังไม่รู้ว่าตัวเองอยู่ที่ไหนในช่วงสองสามวินาทีแรกนั้น มันอาจเป็นที่ยูนิเวอร์วิตี้อเวนิวที่ฉันเคยอยู่ มีเสียงฝีเท้าอยู่ใกล้ๆ พ่อกับแม่คงเตรียมพร้อมอัพยาสำหรับคืนนั้น หรืออาจเป็นบ้านเพื่อนที่อยู่ใกล้ๆ ในระยะเอื้อมถึง แต่เมื่อดวงตาฉันรับภาพได้ชัดเจน มันก็เป็นที่ทางของคนอื่นเสมอ มีเสียงครอบครัวของพวกเขาอยู่รอบตัวฉัน กลิ่นอายพวกเขาอยู่ในอากาศ ฉันอยู่ในบ้านของเพื่อนหรือหนึ่งในสถานที่สองสามแห่งที่ฉันเคยไปในบ้างครั้ง
(หน้า 341)
หนังสือ จะไม่รอให้ฟ้าสว่าง (Breaking Night) เล่มนี้หนักหน่วงและลากยาวด้วยความเศร้าหมองไปตลอด ดังนั้นท่านควรนั่งอ่านเล่มนี้ภายใต้ความเงียบงันและโดดเดี่ยว เพื่อที่จะได้อยู่เป็นเพื่อนกับตัวละคร ลิซ เมอร์เรย์ ไปจนกว่าเรื่องราวจะเคลื่อนผ่านไปถึงตอนท้ายเล่ม เล่มนี้เป็นหนึ่งในหนังสือที่ทรงพลังในการให้แง่คิด ทรงพลังในการให้กำลังใจแก่ผู้อ่าน และทรงพลังในการให้ความหวังแก่คนในสังคม แม้ว่ามันจะมืดมิดและอับจนหนทางสักเพียงใด มันต้องมีโอกาสเพียงเล็กๆ ให้เราไขว่คว้าไว้ได้ เพียงขอให้เรามองหาแสงสว่างจุดเล็กๆ นั้นให้เจอก็แล้วกัน มันจะนำพาไปสู่ทางออกที่เป็นแสงสว่างโล่งก็เป็นได้ หรือจะไม่ต้องรอให้ถึงจุดที่สว่างจ้าก็ได้ แค่มีแสงส่องร่ำไรให้พอเห็นทางเราก็เริ่มวิ่งออกไปสู่ภายนอกได้เช่นกัน เหมือนที่ผู้เขียนหนังสือเล่มนี้บอกไว้ว่า ไม่มีใครรู้ได้อย่างแท้จริงว่าอะไรเป็นไปได้บ้าง จนกว่าพวกเขาจะเดินหน้าและลงมือทำ
ขอให้หนังสือดีๆ เล่มหนึ่งได้ประทับอยู่ในความทรงจำอันงดงามของคุณ แม้ว่าคุณจะอ่านเรื่องราวที่เลวร้ายสักปานใดก็ตาม แต่ผมเชื่อว่าคุณคงยิ้มได้เมื่อได้อ่านเรื่องราวนั้นจบลง โดยที่คุณยิ้มนั้นได้ไม่ใช่ว่าคุณจะมีความสุขกับความโศกเศร้าของคนอื่นหรอก แต่คุณจะมีความสุขอย่างเปี่ยมล้นเมื่อรู้ว่าความเลวร้ายนั้นได้รับการเยียวยาแล้ว ไม่ว่าจะเยียวยาในตอนจบของเรื่องหรือเยียวยาภายในจิตใจของคุณเองในขณะที่กำลังอ่านก็ตาม แค่นี้คุณก็สร้างความสุขขึ้นในใจของคุณได้เองแล้ว
สำหรับหนังสือเรื่อง จะไม่รอให้ฟ้าสว่าง (Breaking Night) เล่มที่อยูในมือผมนี้ เป็นหนังสือที่ผมยืมมาจากห้องสมุด TKpark (เซ็นทรัลเวิร์ด ชั้น 8) เล่มนี้เขียนโดย ลิซ เมอร์เรย์ แปลเป็นภาษาไทยโดย ปิ่นแก้ว กิตติโกวิท เล่มนี้น่าจะจัดเล่มเป็นครั้งแรก (ไม่ได้ระบุไว้) ประมาณปี 2560 เลขมาตราฐานประจำหนังสือ (ISBN) 978-616-7832-25-8 โดยสำนักพิมพ์ OMG BOOKS ด้วยความหนา 479 หน้า ราคาปก 380 บาท ท่านใดที่สนใจก็ลองไปหาอ่านกันดูนะครับ
ขอให้ทุกท่านมีความสุขกับการอ่านหนังสือครับ
Create Date : 09 พฤศจิกายน 2561 |
|
28 comments |
Last Update : 9 พฤศจิกายน 2561 14:55:49 น. |
Counter : 12412 Pageviews. |
|
 |
|
ชีวิตมันก็แบบนี้แหละ เรื่องราวร้ายๆ มันเยอะครับ