1 2 3
4 5 6 7 8 9 10
11 12 13 14 15 16 17
18 19 20 21 22 23 24
25 26 27 28 29 30 31
การเดินทางของกัลลิเวอร์
28 พฤศจิกายน 2559
หนังสือเล่มที่ผมอ่านในวันนี้เป็นวรรณกรรมเยาวชนอมตะเรื่องหนึ่งของโลกเลย มีชื่อเรื่องว่า การเดินทางของกัลลิเวอร์ (Gullivers Travels) ที่เขียนโดยนักเขียนอังกฤษผู้มีนามว่า โจนาธาน สวิฟต์ เล่มนี้เป็นของสำนักพิมพ์แพรวเยาวชน แปลเป็นภาษาไทยโดย อัจฉรา ประดิษฐ์ วาดภาพประกอบโดย ธีรวัฒน์ เฑียรฆประสิทธิ์ หลายท่านคงจำภาพการผจญภัยของกัลลิเวอร์ได้ ที่เป็นภาพคนนอนอยู่แล้วโดนคนตัวเล็กๆ ล้อมจับ โดยเอาเชือกเส้นเล็กๆ มัดตรึงตัวเขาไว้กับพื้น ผมเองก็จำได้ว่าเคยเห็นภาพนี้ตั้งแต่เป็นเด็กแล้ว หรืออาจจะเคยได้ดูเวอร์ชั่นที่เป็นภาพยนตร์การ์ตูนแล้วก็ได้ ซึ่งเมื่อผมได้มาอ่านเล่มนี้แล้วก็รู้เลยในทันทีว่าผมไม่เคยรู้เรื่องจริงๆ ของกัลลิเวอร์มาก่อน โดยจำได้แค่ภาพที่โดนจับเหมือนภาพในหน้าปกเล่มนี้เท่านั้น เมื่อผมได้อ่าน การเดินทางของกัลลิเวอร์ แล้วก็คิดว่าเรื่องนี้ไม่น่าจะจัดประเภทอยู่ในหมวดวรรณกรรมเยาวชนเลย เพราะว่าเรื่องราวในเรื่องนั้นมีความซับซ้อนในนัยยะมากเกินกว่าที่เด็กจะเข้าใจได้ อีกทั้งเนื้อเองก็ค่อนข้างยาวและบทพรรณาในส่วนใหญ่ค่อนข้างอืดอาดและดำเนินเรื่องช้ามาก ผมอยากจะจัดว่าเรื่องนี้น่าจะเป็นเรื่องแฟนตาซีที่ดีสำหรับผู้ใหญ่มากกว่า เพราะผู้เขียนจงใจเขียนให้เป็นเรื่องในแนวเสียดสี ซึ่งเชื่อว่าผู้ใหญ่น่าจะอ่านแล้วเข้าใจได้มากกว่าเด็กๆ อ่าน หลายคนยกย่องให้ การเดินทางของกัลลิเวอร์ เป็นวรรณกรรมเสียดสีที่ลุ่มลึกที่สุดเล่มหนึ่งของโลก ที่สะท้อนภาพความเป็นจริงทั้งด้านสังคม เศรษฐกิจ วิทยาศาสตร์ การเมือง ฯลฯ ไว้ตลอดเส้นทางที่กัลลิเวอร์ไป ซึ่งใจความสำคัญเหล่านี้ยังคงมีค่าและมีพลังสะกิดให้คนอ่านได้ตะหนักถึงความเป็นจริงบางอย่างในสังคมมาได้จนถึงทุกวันนี้ จาก คำนำสำนักพิมพ์ จากคำนำสำนักพิมพ์ที่ผมยกมาข้างต้นนี้จะเห็นว่า เรื่องนี้เป็นวรรณกรรมเสียดสีที่ลุ่มลึกที่สุด โดยความลุ่มลึกของการเสียดสีนี้เองที่เด็กอ่านแล้วไม่น่าจะเข้าใจได้ หรือไม่น่าจะเข้าถึงความหมายที่แท้จริงที่ผู้เขียนต้องการจะบอกได้ ส่วนที่ว่าเป็นวรรณกรรมเสียดสีนั้นเป็นการเสียดสีความเป็นมนุษย์ โดยใช้วิธีมองภาพสะท้อนของความเป็นมนุษย์ในลักษณะที่ตรงข้ามกันอย่างสิ้นเชิง เป็นการลดทอนความรู้สึกของการเป็นคนลง โดยทำให้ดินแดนลึกลับที่กัลลิเวอร์เดินทางไปนั้นมีลักษณะของความเป็นมนุษย์ที่ตรงข้ามกับความเป็นจริงในโลกนี้ คือต้องเล่าคร่าวๆ ก่อนว่า เนื้อเรื่องหลักนั้นคือการเดินทางออกทะเลของศัลยแพทย์หนุ่มนามว่ากัลลิเวอร์ ชายผู้เสพติดการเดินทางท่องทะเลอย่างแท้จริง โดยในเรื่องแบ่งออกเป็น 4 ภาค ซึ่งแต่ละภาคเล่าถึงการเดินทางในแต่ละครั้งของเขา โดยเริ่มภาคแรกที่กัลลิเวอร์ออกทะเลแล้วเรือแตก เขาลอยไปติดยังดินแดนประหลาดแห่งหนึ่งที่มีแต่คนตัวจิ๋ว , ภาคที่สองเป็นการดินทางออกทะเลแล้วโดนลมมรสุมพัดไปในดินแดนที่ไม่รู้จัก กัลลิเวอร์ขอติดเรือเล็กที่แล่นเข้าฝั่งเพื่อหาน้ำจืดแต่เขาต้องติดอยู่ในดินแดนนั้นลำพังกับมนุษย์ที่ตัวสูงใหญ่ราวกับยักษ์ , พอขึ้นภาคที่สามผมเริ่มคิดในใจว่า มันยังกล้าออกทะเลอีกหรือเนี่ย? ในภาคที่สามนี้กัลลิเวอร์ออกทะเลไปแล้วจับโจรสลัดปล้นเรือ พวกโจรสลัดนำเขาไปทิ้งไว้ยังเกาะแห่งหนึ่งซึ่งเป็นดินแดนลึกลับ ที่เกาะนี้เองกัลลิเวอร์เจอกับเกาะลอยฟ้า ใช่ครับ .. เกาะที่ลอยไปมาในอากาศได้ เกาะที่มีบ้านเมืองและมีคนอาศัยอยู่ ซึ่งเกาะที่ว่านี้ลอยได้ เขาได้เข้าไปผจญภัยบนเกาะลอยได้และดินแดนต่าง ๆ อีกมากมาย , พอขึ้นภาคที่สี่ซึ่งเป็นภาคสุดท้าย ผมก็สรุปเอาเองว่ากัลลิเวอร์เป็นพวกที่เสพติดการเดินทางท่องทะเลอย่างร้ายแรง เพราะยังกล้าออกทะเลอีก ในภาคนี้เขาโดนพวกลูกเรือทรยศโดยนำเขาไปปล่อยเกาะอีกเช่นเดิม ในเกาะประหลาดนี้เป็นดินแดนที่ถูกปกครองโดนม้า ใช่ครับ ... ม้าที่ร้อง ฮี้ๆ เหมือนม้าที่เรารู้จัก แต่ในดินแดนแห่งนี้ม้าเป็นสัตว์ประเสริฐที่พูดได้ มีความคิดและจิตใจงาม ส่วนสิ่งมีชีวิตสายพันธุ์มนุษย์นั้นเป็นแค่สัตว์เลี้ยงของม้า จะว่าไปแล้วเรื่องนี้ถือเป็นสิ่งที่มีความแฟนตาซีสูงมาก โดยทั้งมนุษย์ตัวจิ๋ว , มนุษย์ตัวยักษ์ , คนในเกาะลอยฟ้า ม้าที่ปกครองเกาะ ฯลฯ พวกนี้ถูกสร้างขึ้นมาจากจินตนาการจของผู้เขียน โดยสร้างให้มีลักษณะตรงข้ามกับมนุษย์ เพื่อการเสียดสีความเป็นมนุษย์อย่างที่ผมได้กล่าวไว้ โดยเรื่องนี้อาจจะไม่ใช่เรื่องแฟนตาซีที่สนุกมาก เพราะในเรื่องมีความลุ่มลึกที่ต้องการตีความอยู่เยอะ เรื่องราวของการผจญภัยเป็นเรื่องที่น่าสนุกก็จริง แต่ในเนื้อเรื่องการผจญภัยจริงๆ คือการออกทะเลและการไปใช้ชีวิตให้อยู่รอดในดินแดนประหลาดทั้ง 4 ซึ่งในท้ายที่สุดแล้วกัลลิเวอร์ก็สามารถรอดกลับมายังบ้านเกิดของตัวเองที่ประเทศอังกฤษได้ทุกครั้ง สำหรับผมแล้วเรื่อง การเดินทางของกัลลิเวอร์ นี้มีความน่าสนใจประการหนึ่งคือ เรื่องนี้ถูกแต่งขึ้นเมื่อ 300 ปีที่แล้ว โดยเขียนขึ้นในปี ค.ศ. 1720 ซึ่งไม่น่าเชื่อว่าเมื่อสามร้อยปีก่อนนี้ โจนาธาน สวิฟต์ จะเขียนเรื่องที่ล้อเลียนความเป็นมนุษย์ซึ่งแฝงไปกับการผจญภัยให้เราได้อ่านกัน โดยการมองความเป็นมนุษย์ในแง่มุมต่างๆ ที่ผิดแปลกไปจากความเป็นจริงนี้เองที่ทำให้เรื่องนี้ถูกกล่าวถึงและเป็นอมตะมาจนถึงทุกวันนี้ อีกทั้งไม่น่าเชื่อว่าเมื่อ 300 ปีที่แล้วจะมีคนที่จินตนาการเรื่องราวได้ล้ำเลิศขนาดนี้ ซึ่งดินแดนลึกลับทั้ง 4 แห่งในเรื่องนี้ เป็นดินแดนที่ไม่มีอยู่จริงและไม่อาจมีใครค้นพบได้ ถือว่าเป็นดินแดนแห่งเทพนิยายอย่างแท้จริง หนังสือนวนิยายเรื่อง การเดินทางของกัลลิเวอร์ เล่มที่อยู่ในมือผมนี้ เป็นฉบับพิมพ์เป็นครั้งแรก เดือนเมษายน 2558 โดยสำนักพิมพ์แพรวเยาวชน ในเครืออมรินทร์พริ้นติ้งแอนด์พับลิชชิ่ง ฉบับปกแข็ง ด้วยความหนา 630 หน้า ราคาปก 425 บาท (ผมคิดว่าน่าจะมีฉบับที่แปลโดยท่านอื่นอีกด้วย) ท่านใดที่ชอบอ่านแนวแฟนตาซีก็น่าจะลองหาเรื่องนี้มาอ่านดูนะครับ ถึงแม้ว่าเรื่องจะไม่สนุกมากตลอดเล่ม แต่ก็ถือว่าแปลกแหวกแนวเลิศล้ำจินตนาการไม่เหมือนใครแน่ครับ ขอให้ทุกท่านมีความสุขกับการอ่านหนังสือ และขอให้ทุกท่านมีความสุขมากๆ ในช่วงเทศกาลปีใหม่นี้นะครับ สุขสันต์วันปีใหม่ 2560 ครับ
Create Date : 28 ธันวาคม 2559
24 comments
Last Update : 28 ธันวาคม 2559 1:20:13 น.
Counter : 18643 Pageviews.
โดย: haiku 31 ธันวาคม 2559 23:53:02 น.
โดย: หอมกร 13 มกราคม 2560 21:15:30 น.
โดย: กะว่าก๋า 13 มกราคม 2560 22:16:01 น.
โดย: haiku 30 มกราคม 2560 12:10:05 น.
Location :
กรุงเทพฯ Thailand
[ดู Profile ทั้งหมด]
ฝากข้อความหลังไมค์
Rss Feed
Smember ผู้ติดตามบล็อก : 62 คน [? ]
อาคุงกล่องเป็นชายไทยนิสัยดีมีความฝัน ผู้ผันตัวมาเป็นทาสวรรณกรรมอย่างแท้จริง ใช้ชื่อกำหนดตัวตนว่า อาคุงกล่อง เป็นนามปากกาสร้างสรรค์ผลงานในเชิงหัสนิยาย และงานเขียนในรูปแบบต่าง ๆ อาทิเช่น เรื่องสั้น นวนิยาย สารคดี ความเรียง บทกลอน ไดอารี่เพ้อเจ้อละเมอเพ้อฝันต่างๆ ฯลฯ ปัจจุบัน อาคุงกล่อง เป็นนักอ่าน นักคิดและนักเขียน รวมทั้งเป็นนักจินตนาการออกมาเป็นตัวอักษรด้วย ผู้มีความฝันอันยิ่งใหญ่คือการเป็นนักเขียนมีคุณภาพที่สรรค์สร้างผลงานอย่างต่อเนื่องสม่ำเสมอ คาดว่าในเวลาอันใกล้นี้นาม อาคุงกล่อง จะเกิดปรากฎชัดในโลกวรรณกรรม จนเป็นที่รู้จักกันอย่างกว้างขวางในหมู่หนอนนักอ่านทั่วไทย "ในชีวิตจริงของคนเรา มีอะไรอีกมากมายที่จะต้องรับรู้และรับผิดชอบ ในแต่ละวันเรามีโอกาสที่จะหัวเราะได้สักกี่ครั้ง? แต่ถ้าเราได้มีโอกาสหัวเราะเสียบ้างเพื่อเป็นการผ่อนคลายหรือคลายเครียด ก็คงจะเป็นสิ่งที่ดีนะครับ" ถ้าคุณเข้ามาในบล็อคของผมแล้ว คุณสามารถอมยิ้มหรือหัวเราะได้ ผมก็คงจะดีใจแล้วครับ (กรุณาช่วยทิ้งคอมเม้นท์วิจารณ์ไว้ให้ผมด้วยนะครับ จักขอบพระคุณมากเลยครับ) akungklong@gmail.com
ถ้าเราอ่านเราก็คงไม่คิดซับซ้อนถึงเรื่องเสียดสี
แต่คงบันเทิงในแง่แฟนตาซีมากกว่า
จะว่าไปเรื่องนี้ได้ยินชื่อมานานก็จริงแต่ยังไม่เคยคิดหามาอ่านเลย
สงสัยต้องลองหามาอ่านดูบ้างแล้วเนี่ย
โหวต Book Blog