มาดามโบวารี
18 กุมภาพันธ์ 2559
หนังสือเล่มที่ผมอ่านในวันนี้ได้รับการยกย่องว่าเป็นสุดยอดวรรณกรรมคลาสสิกเล่มหนึ่งของโลก ซี่งก็คือนวนิยายเรื่อง มาดามโบวารี ของนักเขียนฝรั่งเศสนาม กุสตาฟ โฟลแบรต์ เล่มนี้ถูกเขียนเป็นภาษาฝรั่งเศสก่อนที่จะแปลเป็นภาษาอังกฤษ สำหรับฉบับที่ถูกแปลเป็นภาษาไทยที่อยู่ในมือผมนี้เป็นสำนวนการแปลโดย วิทย์ ศิวะศริยานนท์ ซึ่งแปลไว้ตั้งแต่ปี พ.ศ. 2494
จริง ๆ แล้วผมมีปัญหากับการอ่านหนังสือแปลเป็นอย่างมาก ผมมักจะอ่านหนังสือแปลไม่ค่อยจะจบเล่มเลย รวมทั้ง มาดามโบวารี เล่มนี้ด้วย ผมต้องใช้ความพยายามในการอ่านถึง 3 ครั้งกว่าที่จะอ่านได้จบ ทั้ง 2 ครั้งที่ผ่านมาผมอ่านค้างไว้แค่ครึ่งเรื่องแล้วก็ทิ้งไม่ได้อ่านต่อ จนกระทั่งครั้งสุดท้ายนี้ผมต้องพยายามฝืนทนอ่านให้จบ ส่วนสาเหตุที่ผมอยากจะอ่านเรื่องนี้ก็เป็นเพราะว่าผมได้ยินชื่อเรื่อง มาดามโบวารี นี้เกือบทุกครั้งที่ได้เรียนเกี่ยวกับการเขียน ทั้งหนังสือวิชาการทางด้านการประพันธ์ต่างก็แนะนำให้อ่านเรื่องนี้ จนผมต้องไปหามาอ่านเพื่อให้รู้แน่ชัดว่าเองนี้มันดีอย่างไร? อีกทั้งการที่ได้อ่านหนังสือที่ได้รับการยกย่องว่าเป็นวรรณกรรมเอกนั้นผมจะได้รับอะไรกลับมาบ้าง?
ผมเคยอ่านบทความชิ้นหนึ่งที่ตั้งหัวข้อไว้ว่า ทำไมต้องอ่านวรรณกรรม ซึ่งได้ข้อสรุปว่า ถึงแม้วรรณกรรมจะอ่านยากเพียงไร แต่ถ้าเราพยายามอ่านจนจบได้เราก็จะได้รับหลายสิ่งหลายอย่างที่ซ่อนอยู่ในวรรณกรรมนั้น อีกทั้งการอ่านวรรณกรรมคือการบอกตัวเองว่าเราสามารถอ่านและตีความได้ในระดับใดด้วย
นั่นคือ เรามีความจำเป็นส่วนหนึ่งในการที่จะต้องอ่านอย่างเข้าใจยุคสมัยที่วรรณกรรมนั้น ๆ ถือเกิดขึ้น ไปพร้อมกับความโดดเด่นที่ผู้ประพันธ์สามารถก้าวพ้นคตินิยมของยุคที่เขามีชีวิตอยู่ ซึ่งประกอบกันสองส่วน คือ หนึ่ง-มุมมองหรือวิสัยทัศน์ต่อปัญหาใดปัญหาหนึ่ง และ สอง-กรรมวิธีในการสะท้อนหรือนำเสนอในเชิงวรรณศิลป์ จาก สำนักพิมพ์แถลง หน้า (5)
สำหรับเรื่อง มาดามโบวารี นี้เป็นเรื่องราวของการแสวงหาความรักของตัวละครหญิงที่ชื่อว่า เอ็มม่า โบวารี ที่เป็นภรรยาของคุณหมอชาร์ลส์ โบวารี นายแพทย์ประจำหมู่บ้านผู้ที่ได้การเคารพจากคนในเมือง ตัวเอ็มม่า โบาวารีนั้นเป็นสตรีผู้ไม่เคยเข้าใจในเรื่องความรักอย่างแท้จริง เธอแต่งงานกับคุณหมอชาร์ลส์ก็เพราะแรงปรารถนาของตัวเองที่ต้องการหลุดพ้นจากชีวิตโสดอันจำเจ แต่การแต่งงานไม่ใช่สิ่งที่ทำให้เกิดความรักขึ้นแก่เธอเลย การที่ต้องทนอยู่กับคนที่เธอไม่ได้รักนั้นสร้างความอัดอั้นตันใจให้แก่เธอมาก ในขณะที่คุณหมอชาร์ลส์ผู้เป็นสามีรักภรรยามาก รักมากจนยอมทำตามทุกอย่างที่เธอต้องการ จนกระทั่งในท้ายที่สุดมาดามโบวารีผู้ไม่เคยสัมผัสความรักที่แท้จริงต้องแหกกรอบศีลธรรมไปค้นหาความรักจากชายคนอื่น ซึ่งก็คือการคบชู้นั้นเอง
แล้วเธอก็ระลึกถึงนางเอกในหนังสือที่เคยอ่าน และเหล่าหญิงที่คบชู้นี้เริ่มร้องเพลงซึ่งเธอฟังเหมือนเสียงของคนหัวอกเดียวกัน เป็นที่พอใจเธอมาก ตัวเธอเองรู้สึกเหมือนได้ร่วมบทบาทจริง ๆ ในจินตภาพเหล่านี้ และได้เห็นความใฝ่ฝันแต่เมื่อรุ่นเป็นจริงเป็นจังขึ้นมา โดยที่เธอนับตนเองว่าอยู่ในจำพวกหญิงที่กำลังอยู่ในความรัก ซึ่งเธอเคยอิจฉามานานแล้ว นอกจากนั้น เอ็มม่ารู้สึกว่าได้แก้แค้นสะใจ เธอไม่ได้ทนทุกข์ทรมานมานานนักหนาแล้วหรือ! แต่บัดนี้เธอมีชัยแล้ว และความรักที่อัดอั้นมานานได้พรั่งพรูออกมาจนหมดสิ้น เธอได้ลิ้มรสรักโดยปราศจากความสำนึกผิด ปราศจากความกระวนกระวายใจแต่อย่างใด (หน้า 197)
สาเหตุที่เรื่อง มาดามโบวารี นี้อ่านไม่สนุกสำหรับผมก็น่าจะเป็นเพราะว่า ในเรื่องเป็นเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นในประเทศฝรั่งเศสในช่วงเวลาหนึ่ง(ในอดีต) ซึ่งผมรู้สึกว่าไม่มีประสบการณ์ร่วมไปกับเรื่องราวเลย ผมรู้สึกห่างไกลจากรายละเอียดในเรื่องมาก ผมไม่รู้เรื่องประเพณีและวัฒนธรรมความเป็นอยู่ของคนฝรั่งเศสสักเท่าไหร่ แต่มีเรื่องราวของความรักที่เป็นสากลที่ผู้อ่านสามารถรับรู้ได้ อีกทั้งในฐานะผู้อ่านผมไม่ได้เอาใจช่วยตัวละครมาดามโบวารีเลย เพราะผมรู้อยู่ตลอดเวลาว่ามันเป็นสิ่งที่ผิด อีกทั้งรังเกียจตัวละครมาดามโบวารีที่ไปคบชู้ด้วย แต่สาเหตุประการเดียวที่ผมทนอ่านจนจบได้ก็คืออยากจะรู้ว่าเรื่องราวนี้จะจบลงอย่างไร
ได้อ่านบทนำที่มีอยู่ในเล่มจึงทำให้พอทราบได้ว่า ในสมัยที่เรื่อง มาดามโบวารี นี้ถูกตีพิมพ์ก็ได้รับกระแสการต่อต้านมากพอสมควร เพราะว่าเป็นเรื่องไม่เหมาะสมและผิดศีลธรรม ผู้แต่งโดนฟ้องร้องประเด็นนี้ด้วย แต่ต้องยอมรับอยู่อย่างหนึ่งว่า เรื่องนี้เป็นวรรณกรรมแนวสัจนิยมเรื่องแรกของโลก วิธีการเขียนที่มีการอธิบายให้เห็นภาพ(ในจินตนาการของผู้อ่าน) ,การบรรยายรายละเอียดต่าง ๆ ของฉาก , การเปรียบเทียบเชิงพรรณนา ฯลฯ สิ่งเหล่านี้เป็นเรื่องที่ใหม่มากสำหรับในเวลานั้น (ประมาณ พ.ศ.2400) ดังนั้นเรื่องนี้จึงถือได้ว่ามีวิธีการเขียนที่โดดเด่นมาก สำหรับท่านที่ต้องการจะศึกษาวิธีการเขียนในแนวสัจนิยมก็ควรจะอ่านเรื่องนี้โดยไม่ต้องไปสนใจกับพล็อตเรื่องมากนัก
เขาไม่มีอะไรจะพูดกันอีกหรือ แต่นัยน์ตาของทั้งสองเต็มไปด้วยถ้อยคำที่สลักสำคัญยิ่งกว่า และขณะที่สรรหาคำพูดที่ไม่ใคร่เป็นเรื่องเป็นราวเพื่อกลบความรู้สึกที่แท้จริง ความเชื่อมซึมอย่างแสนหวานก็กำลังเข้ามาสู่เขาทั้งสอง เป็นเสียงกระซิบของวิญญาณลึกซึ้งต่อกันซึ่งข่มเสียงที่พูดออกมา ถึงแม้จะประหลาดใจในความหวานจับอกจับใจพิกลยิ่งนี้ เขาก็ไม่อยากออกปากพูดถึงความรู้สึกอันนี้ให้อีกฝ่ายหนึ่งทราบ หรือค้นหาต้นสายปลายเหตุ ความยินดีปรีดาที่จะมาถึงภายหน้านั้นเหมือนกับฝั่งทะเลในประเทศร้อน ย่อมแผ่ความนุ่มนวลรัญจวนใจซึ่งมีประจำอยู่ เหมือนลมหอบออกปกคลุมเนื้อที่อันไพศาลที่มาถึงก่อน และคนเราก็ถูกทำให้เคลิบเคลิ้มไปกับกลิ่นมึนเมานี้โดยไม่พะวงถึงขอบฟ้าซึ่งยังไม่เห็น (หน้า 114)
ต้องขอยกย่องคุณวิทย์ ศิวะศริยานนท์ ผู้แปลเรื่อง มาดามโบวารี นี้ด้วย โดยจะเห็นได้จากย่อหน้าที่ผมยกมาให้ได้อ่านกันนี้ ท่านแปลโดยใช้คำที่สละสลวยทำให้อ่านแล้วรู้สึกได้อารมณ์คล้อยตามไปด้วย ต้องถือว่าเป็นผลงานการแปลที่สุดยอดไปด้วยวรรณศิลป์อย่างแท้จริง ในบทนำของหนังสือก็มีบทความเขียนเพื่อระลึกถึง วิทย์ ศิวะศริยานนท์ แบบฉบับของนักวิชาการที่แท้จริง ที่เขียนยกย่องโดย ทวีป วรดิลก
ถ้าถามผมว่า หลังจากทนอ่านเรื่อง มาดามโบวารี จบแล้วได้อะไรกลับมาบ้าง? ผมคิดว่าผมได้รู้เกี่ยวกับกลวิธีในการประพันธ์ ได้รู้เกี่ยวกับรูปแบบของการวางโครงเรื่อง การลำดับเรื่อง และการดำเนินเรื่อง อีกทั้งได้ทราบรายละเอียดต่าง ๆ เกี่ยวกับแง่คิดและชีวิตความเป็นอยู่ของคนฝรั่งเศสในยุคก่อนมากขึ้นด้วย ส่วนเรื่องราวเกี่ยวกับความรักในเรื่องนี้ ผมก็คิดว่าได้รู้จักกับอีกหนึ่งรูปแบบของความรักที่ผมไม่กล้าตัดสินว่าถูกหรือผิด ทั้ง ๆ ที่รู้ว่าผิดศีลธรรมแต่ก็เข้าใจว่าเป็นความต้องการลึก ๆ ในใจของตัวละคร ผมคิดว่าท่านใดที่คิดว่าความรักของตัวเองไม่สมบูรณ์แบบ ท่านใดไม่พอใจความรักที่ตัวเองมีอยู่ หรือท่านใดกำลังลังเลว่าความรักที่มีอยู่นั้นเป็นความรักที่แท้จริงหรือไม่? ท่านก็ควรจะลองหาเรื่องนี้มาอ่านดู ลองเอาประสบการณ์ความรักของตัวท่านมาลองตัดสินตัวละครเอกที่ชื่อ มาดามโบวารี ดูก็แล้วกัน
สำหรับหนังสือเรื่อง มาดามโบวารี เล่มที่อยู่ในมือผมนี้เป็นฉบับพิมพ์โดยสำนักพิมพ์ ทับหนังสือ ผู้เป็นเจ้าพ่อแห่งการจัดพิมพ์หนังสือวรรณกรรมคลาสสิก ฉบับพิมพ์ครั้งที่ 5 ในปี 2549 ปกแข็งราคาปก 400 บาท ด้วยความหนาเนื้อเรื่อง 406 หน้า + คำอธิบายเพิ่มเติม 20 หน้า + บทนำ 47 หน้า คุ้มค่าแก่การหามาอ่านให้ปวดหัวเล่นเป็นอย่างยิ่ง (ถึงจะปวดหัวแต่ก็เข้าใจอะไรมากขึ้นนะ)
เคยมีคนตะโกนให้ได้ยินเล่น ๆ ว่า ... เอาชนะวรรณกรรมให้ได้ แล้วค่อยไปเอาชนะชีวิตตัวเอง แสดงว่าคน ๆ นั้นเชียร์ให้ทุกท่านหาหนังสือวรรณกรรมดี ๆ มาอ่านครับ
ขอให้ทุกท่านมีความสุขกับการอ่านหนังสือนะครับ
Create Date : 18 กุมภาพันธ์ 2559 |
Last Update : 18 กุมภาพันธ์ 2559 0:25:52 น. |
|
30 comments
|
Counter : 4080 Pageviews. |
|
|
แวะมาอ่านตอนดึก
พอดีฟังข่าวไฟไหม้ แค้มปืคนงานแถววัดอุทัยทาราม
ถนนเพชรบุรีตัดใหม่