สู่ยุคหนังสือดิจิทัล นักเขียนและนักอ่านดิจิทัลในสังคมไทย
8 มกราคม 2561
ผมมีโอกาสได้ไปรับฟังการอภิปรายในหัวข้อ สู่ยุคหนังสือดิจิทัล นักเขียนและนักอ่านดิจิทัลในสังคมไทย ซึ่งจัดขึ้นโดยสมาคมภาษาและหนังสือแห่งประเทศไทย จัดที่ห้องเอนกประสงค์ ชั้นที่ 1 หอศิลปวัฒนธรรมแห่งกรุงเทพมหานคร เมื่อวันอาทิตย์ที่ 7 มกราคม 2561 ที่ผ่านมา ผมเห็นว่าเนื้อหาในการอภิปรายนั้นมีประโยชน์และน่าสนใจสำหรับผู้ที่ในแวดวงวรรณกรรม รวมทั้งผู้ที่ใช้อินเตอร์เน็ตในชีวิตประจำวันอย่างพวกเราทุกคนด้วย ผมจึงขอนำรายละเอียดมาเขียนเล่าให้ท่านฟังกันครับ
(รายละเอียดจากการอภิปราย ผมจดเป็นบันทึกช่วยจำย่อ (จดเลคเชอร์) แล้วจึงนำมาเรียบเรียงใหม่ ดังนั้นถ้ามีรายละเอียดประการใดที่ผิดพลาด หรือคาดเคลื่อนไปจากความเป็นจริง รวมทั้งคำทับศัพท์ต่างๆ ที่ผมไม่ได้เขียนเป็นคำภาษาอังกฤษกำกับไว้ให้ ผมก็ต้องกราบขออภัยมา ณ ที่นี้ด้วยครับ ขอบคุณมากครับ)
ผู้ร่วมอภิปราย คือ อาจารย์อรรถพล ปะมะโข อาจารย์ประจำภาควิชาภาษาอังกฤษและภาษาศาสตร์ มหาวิทยาลัยรามคำแหง และคุณเปรมวิทย์ ศรีชาติวงศ์ คุณปิ๊ปโป้ เจ้าของและผู้ก่อตั้ง Storylog มีผู้ดำเนินการอภิปรายโดย อาจารย์ตรีศิลป์ บุญขจร นายกสมาคมภาษาและหนังสือแห่งประเทศไทย ผู้เป็นเจ้าภาพในการจัดงานวันนี้
@@@@@@@@@@
เริ่มจากอาจารย์ตรีศิลป์ บุญขจร
-เกริ่นถึงสถานการณ์เกี่ยวกับวงการสิ่งพิมพ์ที่กำลังประสบปัญหาอยู่ในปัจจุบัน การเข้ามาของสื่อดิจิทัลทำให้สื่อที่เป็นกระดาษทยอยปิดตัวกันไป ทั้งวารสาร นิตยสารและสำนักพิมพ์หนังสือ ฯลฯ
-ต้องยอมรับว่าเป็นการเปลี่ยนแปลงในยุคโลกกาภิวัฒน์ ที่สื่อเทคโนโลยีต่างๆ จะมีอิทธิพลต่อการใช้ชิวิตของผู้คน การใช้อินเตอร์เน็ตจะอยู่ควบคู่กับชีวิตประจำวันของคนทั่วไป ทำให้เกิดการปรับตัวครั้งใหญ่ ปรับเปลี่ยนพฤติกรรมของคนอ่านหนังสือ โดยต้องหันไปอ่านหนังสือในรูปแบบใหม่ ถือว่าเป็นปรากฎการณ์ใหม่ที่เกิดขึ้นในสังคมบ้านเรา
-การเขียนหนังสือในยุคดิจิทัลนี้ ส่วนใหญ่จะใช้ภาพในการดำเนินเรื่อง หรือใช้ภาพต่างๆ ในการเล่าเรื่องราว จึงเรียกว่าเป็นวัฒนธรรมการอ่านด้วยสายตาที่มาพร้อมกับสื่อสังคมโซเซียลมิเดีย
อาจารย์อรรถพล ปะมะโข
-อยากจะเล่าว่า สถานการณ์ที่อ.ตรีศิลป์เกริ่นมานั้น มันไม่ใช่ปรากฎการณ์การเปลี่ยนแปลงผ่านสื่อที่เกิดขึ้นเป็นครั้งแรก จริงๆ แล้วมีการเปลี่ยนแปลงผ่านสื่อมาตั้งแต่ยุคโบราณแล้ว แต่เดิมจะเป็นการเล่าเรื่องด้วยปาก ที่เรียกว่า มุขปาฐะ คือการเล่าต่อๆ กันมาโดยมิได้เขียนเป็นลายลักษณ์อักษร ต่อมามีการนำเอากระดาษมาใช้เขียนเพื่อบันทึกเรื่องราวต่างๆ แทน
-ตามประวัติศาสตร์ก็เคยระบุว่า โซเครตีสแอนตี้วัฒนธรรมการเขียน เพราะมองว่าจะทำให้ระบบความจำของสมองมนุษย์นั้นด้อยลง
-ปัจจุบันการเปลี่ยนแปลงจากสื่อสิ่งพิมพ์หรือที่เรียกว่า พรินต์เทค (print text) เปลี่ยนมาเป็นสื่อดิจิทัลในรูปแบบต่างๆ นั้น ถือว่าเป็นการปรับเปลี่ยนตามกระแส ตามยุคสมัย
-เมื่อมีการปิดตัวของสื่อสิ่งพิมพ์ ไม่ว่าจะเป็นหนังสือหรือนิตยสารต่างๆ ก็มีแอฟลิเคชั่นในการอ่านรูปแบบใหม่เกิดขึ้นมาแทน เพื่อเป็นสื่อกลางของการเล่าเรื่องจากผู้เขียนไปสู่ผู้อ่าน อย่างเช่นแอฟปัจจุบันที่มีอยู่ในสื่อไทย เช่น จอยลดา , ธัญวลัย , นิยายเด็กดี , Storylog , ReadAWrite เป็นต้น
-หรืออย่าง The MATTER ที่เป็นเว็บไซต์ข่าวด้านวรรณกรรม ที่ย่อยข่าวออกเป็นข่าวสั้นๆ ให้คนเข้ามาอ่านด้วยภาษาที่ง่ายๆ ถือเป็นอีกรูปแบบใหม่ของการอ่านในยุคดิจิทัลนี้
-แต่เท่าที่ลองคลิกเข้าไปอ่านดู พวกที่เป็นนวนิยายออนไลน์ส่วนใหญ่จะเป็นเรื่องที่มีเนื้อหาล่อแหลม , หมิ่นเหม่ , อิโรติก หรือเป็นนิยายวาย ถือว่าไม่เป็นการปิดกั้นและเปิดเสรีในการอ่านอย่างมาก
-ที่ผ่านมาสื่อสิ่งพิมพ์จำพวกพรินต์เทค เราจำเป็นต้องซื้อมาถึงจะอ่านได้ บางเรื่องบางเล่มก็หาซื้อยากหรือหาซื้อไม่ได้ พอมีนวนิยายออนไลน์เกิดขึ้น เข้าก็สามารถเข้ามาอ่านในอินเตอร์เน็ตได้ ทำให้มีผู้เข้ามาอ่านนิยายได้เยอะขึ้น
-การเขียนนวนิยายออนไลน์เป็นการตัดระบบบรรณาธิการออก ข้อดีคือนักเขียนสามารถสื่อสารกับผู้อ่านได้โดยตรง สะดวกรวดเร็ว ชอบหรือไม่ชอบอะไรก็เขียนความคิดเห็น (คอมเม้นท์)บอกนักเขียนได้เลย ข้อเสียคือไม่มีการเซ็นเซอร์หรือกลั่นกรองจากบรรณาธิการเลย
-ปัจจุบันนี้ใครก็เป็นนักเขียนได้ อยากเขียนก็เขียนออนไลน์ลงไปในแอฟต่างๆ ทางอินเตอร์เน็ตได้ ไม่เหมือนสมัยก่อนที่คนอยากจะเป็นนักเขียนต้องส่งเรื่องไปให้สำนักพิมพ์พิจารณา กว่าจะผ่านหลักเกณฑ์ขั้นตอนต่างๆ กว่าจะได้ตีพิมพ์เป็นเล่มต้องใช้เวลานานมาก
-ดังนั้นจึงเกิดอาชีพนักเขียนออนไลน์ขึ้น เมื่อเขาเขียนเรื่องลงอินเตอร์เน็ตแล้วมีคนอ่าน เขาก็เขียนต่อไปได้เรื่อยๆ มีแฟนคลับมาอ่านเป็นประจำเยอะ ทำให้นักเขียนออนไลน์พวกนี้มีรายได้ด้วย
-นักเขียนออนไลน์บางคนเป็นนักศึกษาอยู่ เขียนไปด้วยเรียนไปด้วย เขียนดีจนถูกใจคนอ่านในออนไลน์ก็สามารถทำรายได้เป็นกอบเป็นกำได้
อาจารย์อรรถพล ปะมะโข
-ลักษณะพิเศษของนวนิยายออนไลน์ในยุคดิจิทัลคือ ตัดระบบบรรณาธิการออกไปเลย นักเขียนมีอิสระมากมายในการเขียน นวนิยายแต่ละบทต้องสั้น กระชับ และจบอย่างรวดเร็ว เพื่อเริ่มเขียนเรื่องใหม่ต่อไป
-เขียนให้แต่ละบทสั้น แต่ต้องเขียนให้สนุกทำให้ผู้อ่านอยากอ่านตอนต่อไปเร็วๆ เขียนอะไรสั้นๆ เพราะการอ่านในระบบออนไลน์จะไม่อ่านอะไรที่ยาวๆ เพราะในอินเตอร์เน็ตไม่มีลักษณะพิเศษที่ดึงดูดให้อ่านต่อเนื่องเป็นเวลานานๆ ได้ จึงกลายเป็นการอ่านแบบ ไฮเปอร์รีดดิ้ง คืออ่านแบบสมาธิสั้น ไม่อ่านอะไรที่ยาวๆ อ่านเปลี่ยนแบบพลิกหน้าบราวเซอร์ไปเรื่อยๆ
-ลักษณะพิเศษของนวนิยายออนไลน์อย่างหนึ่งที่สื่อสิ่งพิมพ์ไม่มีคือ การมีระบบคอมเม้นท์เพื่อสื่อสารกับนักเขียนได้โดยตรงในทันทีที่อ่านจบ ชอบหรือไม่ชอบอะไรก็เขียนความคิดเห็น (คอมเม้นท์)บอกนักเขียนได้เลย ซึ่งพรินต์เทคไม่สามารถได้
-การอ่านในลักษณะที่โต้ตอบกับผู้เขียนได้โดยตรงแบบนี้ เป็นวัฒนธรรมการอ่านบนอินเตอร์เน็ตที่เรียกว่า คอร์เลคตีบ เอ็กซ์พรีเรียน คือแต่เดิมเราอ่านหนังสือเล่มเราก็อ่านคนเดียว อ่านในใจ แต่พอเป็นการอ่านบนอินเตอร์เน็ตจะเป็นการอ่านแบบร่วมกัน แต่ละคนอ่านแล้วมีความคิดเห็นอย่างไรก็มาแชร์กันในคอมเม้นท์ เป็นประสบการณ์ร่วมที่จะสนุกสนานกับเรื่องที่อ่านด้วยกัน
@@@@@@@@@@
อาจารย์ตรีศิลป์
-มองว่าคนรุ่นใหม่มองโลกในแง่ดี มองว่าการเปลี่ยนแปลงเป็นเรื่องที่ดี ไม่ถือว่าเป็นการล่มสลายหรือเป็นการบ่อนทำลายที่เลวร้ายเลย
-การตัดตอนบรรณาธิการออก สิ่งที่เกิดขึ้นคือไม่มีการตรวจสอบเลยจริงหรือ? ไม่มีการกลั่นกรองเบื้องต้นเลยหรือ? จะเขียนอะไรก็เขียนได้เลยหรือ? จะโพสอะไรก็โพสได้เลยหรือ? ไม่เหลือข้อจำกัดอะไรเลยหรือ? หรือว่าบรรณาธิการจะเปลี่ยนรูปลักษณ์ไปแล้ว
-เสริมจากที่อาจารย์อรรถพลพูด มีประเด็นที่น่าสนใจคือ การอ่านแบบ ไฮเปอร์รีดดิ้ง หรืออ่านแบบ สตรีมมิ่ง คือการอ่านแบบเร็วๆ สั้นๆ นั้น อ่านแล้วอาจจะทำให้เกิดการเข้าใจผิด เกิดกระแสต่างๆ เนื่องจากตีความหมายผิดไป ไม่สามารถวิเคราะห์เนื้อหาที่แท้จริงได้ เนื่องจากอ่านน้อยจึงไม่มีข้อมูลมากเพียงพอสำหรับการวิเคราะห์ว่าเป็นความจริงหรือไม่? การอ่านในลักษณะแบบนี้ผู้อ่านควรจะต้องระมัดระวังด้วย
คุณเปรมวิทย์ ศรีชาติวงศ์ (คุณปิ๊ปโป้ แห่ง Storylog)
คุณเปรมวิทย์ ศรีชาติวงศ์ คุณปิ๊ปโป้
-ปัจจุบันคุณปิ๊ปโป้ทำเว็บไซต์แอฟพลิเคชั่นอยู่ 2 ตัว ตัวแรกคือ Storylog เป็นการแชร์เรื่องราวประสบการณ์ความคิดต่างๆ ของคน ไปเล่าไปเขียนไปอ่านกันได้ฟรี ส่วนอีกตัวคือ Fictionlog ตัวนี้เป็นนิยายออนไลน์ เป็นการขายให้ผู้อ่าน วิธีซื้อก็เติมเงินเข้าไป แล้วไปซื้ออ่านกันบทละ 3 บาท 5 บาท สำหรับคนที่เข้ามาอ่านนั้นต้องยอมรับว่าเยอะมาก จนน่าตกใจว่ามีคนอ่านเยอะขนาดนี้เลยหรือ?
-ใครที่บอกว่าคนไทยไม่อ่าน คุณปิ๊ปโป้กล้าเถียงเลยว่าไม่จริง คนไทยยังอ่านอยู่เยอะมาก โดยเฉพาะผู้ที่อ่านเยอะในระบบออนไลน์คือพวกวัยรุ่น
-จากการวิเคราะห์ข้อมูลของคนที่เข้ามาอ่านในแอฟ Fictionlog มีผู้อ่าน คนอ่าน (ยูเซอร์) อ่านอยู่ในระบบนานมากกว่า 15 นาที จากสถิตินี้ก็เชื่อว่ายังมีผู้อ่านกันอยู่
-มองว่าแอฟพลิเคชั่นพวกนี้จะมาเปลี่ยนแปลงอะไรในสังคมได้บ้าง? ผมมองว่าเรื่องใหญ่สุดเลยคือ ยุคนี้ทุกคนเป็นนักเขียนได้หมด แอฟมันช่วยตัดคนกลางออกไป ตัดบรรณาธิการออก , ตัดสำนักพิมพ์ออก , ตัดคนออกแบบปกออก ฯลฯ เหมือนกับแอฟต่างๆ ที่เกิดขึ้นในสมัยใหม่ เช่น อูเบอร์ ก็ตัดแท็กซี่ออก , แอฟจองโรงแรมก็ตัดความวุ่นวายในการจองออกไป
-ยุคนี้ทุกคนเป็นนักเขียนได้หมด ที่เรียกว่า ยูเซอร์เจเนอร์เรดเต็ดคอนเทนต์ (UGC.) ทำให้เกิดการเปลี่ยนแปลงในระบบ มีคำถามว่า บรรณาธิการต้องมีหรือไม่? เพราะเมื่อเป็นออนไลน์ ใครใคร่เขียนก็เขียน ใครใคร่อ่านก็อ่าน ต้องมีการกลั่นกรองเบื้องต้นมีการพิสูจน์อักษรหรือไม่? ดังนั้นจึงทำให้เกิดนักเขียนขึ้นมากมายเต็มไปหมด
-อย่างแอฟ จอยลดา เป็นนิยายแซท กลายเป็นว่าไม่ต้องมีบทบรรยาย อ่านกันแค่แซทอย่างเดียว (แซทคือการคุยกันด้วยวิธีการพิมพ์) มีสถิติบ่งบอกว่า ในจอยลดาใน 1 วันมีวัยรุ่นมาลงนิยายกัน 6 หมื่นกว่าบท (โอ้ ... แม่เจ้า เยอะมาก) เป็นการแสดงให้เห็นพลังของ UGC. พลังของการที่ทุกคนเป็นนักเขียนได้หมด
-มองว่าหนังสือคือตัวกลางอันหนึ่ง จะเป็นเล่มหรือเป็นไอแพ็ค มันก็คือภาชนะซึ่งไม่มีวันตายแน่นอน คือคุณจะเปลี่ยนภาชนะอะไรคนก็ยังอ่านอยู่เช่นเดิม คอนเทนต์จะไม่วันตายตลอด
-เริ่มทำ Fictionlog เมื่อปีที่แล้ว ตอนที่เปิดตัวครั้งแรก คุณปิ๊ปโป้ได้เรียนเชิญนักเขียนชื่อดังอาทิเช่น คุณปองวุฒิ , คุณวรรณสิงห์ ฯลฯ ซึ่งเป็นนักเขียนมืออาชีพ เอาเรื่องมาลงแต่ปรากฎว่าขายไม่ได้เลย ซึ่งเขางงมากว่านักเขียนชื่อดังขายไม่ได้ในออนไลน์ จนคุณปิ๊ปโป้มาเข้าใจว่า ผู้อ่านคือคนละกลุ่มอย่างแท้จริง
-คนที่ชอบอ่านสายวรรณกรรม วรรณคดี ก็ยังชอบอ่านในแบบที่คุ้นเคยอยู่คือเป็นหนังสือเล่ม ส่วนในออนไลน์แนววรรณกรรม แนวซีไรต์ ไม่มีใครอ่านกันเลย เพราะมีแต่วัยรุ่นซึ่งชอบอ่านงานอะไรที่ฉาบฉวยและตื่นเต้นอยู่ ดังนั้นจึงสรุปได้ว่า ออนไลน์ไม่ได้มาทำลายโลกเก่า แต่มันคืออีกโลกหนึ่งเลยที่ใหญ่มาก ที่มันเติบโตด้วยตัวมันเองได้ตลอดเวลา เป็นโลกที่ผู้ใหญ่อย่างเราอาจจะเข้าใจได้ยาก และเชื่อว่ามันจะเปลี่ยนแปลงไปเรื่อยๆ
-สำหรับประเด็นเรื่อง ไฮเปอร์รีดดิ้ง จากประสบการณ์ของคุณปิ๊ปโป้ในการทำขายนิยายออนไลน์ที่ผ่านมาทำให้ได้เรียนรู้ว่า
1. นิยายขายดีกับนิยายคุณภาพมันคนละโจทย์กันเลย นิยายที่ขายดีในออนไลน์คุณปิ๊ปโป้เองเข้าไปอ่านแล้วยังงงเลยว่า มันคืออะไรว่ะ? มันเขียนอะไรเนี่ย? ดังนั้นจึงต้องบอกว่ามันคนละโจทย์กัน งานคุณภาพก็เป็นงานที่ได้รับการการันตรีอยู่แล้ว แต่งานที่ขายดีในออน์ไลน์อาจจะเป็นงานที่ไม่มีคุณภาพมากนักแต่อยู่ในความนิยมของคนอ่านก็ได้
2. เรื่องที่ทุกคนเป็นนักเขียนได้ UGC. ยังเป็นเรื่องใหม่สำหรับในไทย คุณเป็นนักเขียนอย่างเดียวไม่พอ คุณต้องเป็นนักขายด้วย คนที่ขายเป็นจะไปเปิดเพจเฟสบุ๊ค ทำการสื่อสารกับแฟนคลับ คนรุ่นใหม่จึงได้เปรียบ เพราะคนรุ่นใหม่เขาไวกว่ามีช่องทางมากกว่า มีทั้งเฟส ทั้งทวีตเตอร์ ทั้งไลน์ พรีเซ็นต์ตัวเองได้ตลอด
3. จากสถิติบอกว่า แบ่งบทสั้นๆ เน้นถี่ ไม่เน้นยาวเหมาะกับออนไลน์มากกว่า ลงเรื่อยๆ ให้คนติดทุกวัน เป็นในแนวนี้ทุกประเทศ ไม่ว่าจะเป็นเกาหลีหรือที่จีนก็ตาม เฉพาะในประเทศจีน ในแอฟขายนิยายออนไลน์ 1 ปี เขาขายได้ 1,600 ล้านยูเอสดอลล่าร์
4. ดีมานและซัพพลายยังคงเป็นสิ่งสำคัญในการขายนิยายออนไลน์ ถ้าเขียนในแนวที่กำลังนิยมก็จะขายได้ อย่างเช่นช่วงนี้นิยม นิยายวาย , นิยายแปลจีน ฯลฯ
5. เปิดให้อ่านฟรีก่อน พออ่านไปยิ่งอ่านยิ่งสนุกจนคนอ่านติดแล้วจึงค่อยขาย ซึ่งเป็นข้อจำกัดที่หนังสือเล่มทำไม่ได้ อย่างในประเทศจีนเขาเปิดให้อ่านฟรีก่อน 60 บท ถึง 100 บท ก่อนที่จะขาย อย่างนิยายจีนใน Fictionlog บางเรื่องมี 1,000 ตอน ผมขายบทละ 3-4 บาท สมมุติว่าใน 1 วันมีคนมาอ่าน 1,000 คน แสดงว่าเขาขายได้วันนี้ 40,000 บาทแล้ว
6. ความสม่ำเสมอเทียบเท่ากับคุณภาพของงานเขียนเลย คือถึงนิยายจะไม่มีคุณภาพ (นิยายห่วยมาก) แต่ถ้ามีคนอ่านต้องลงทุกวันอย่างสม่ำเสมออย่าให้ขาดเลย ต้องให้ต่อเนื่องตลอด เพราะคนอ่านในออนไลน์สมาธิสั้น พอหายไปเดือนหนึ่งคนอ่านก็ไม่ตามต่อแล้ว
7. งานเขียนสายวรรณกรรมยังขยับมาขายในออนไลน์ได้ยากด้วย 2 เหตุผลคือ 1. คนอ่านส่วนใหญ่เป็นวัยรุ่น ที่ไม่นิยมอ่านงานวรรณกรรม 2. งานวรรณกรรมต้องใช้เวลาสรรค์สร้าง ต้องใช้เวลาเขียน ต้องใช้ความปราณีต จึงไม่เหมาะกับธรรมชาติของออนไลน์ที่ต้องการความเร็วและความถี่ จึงไม่ตอบโจทย์เท่าที่ควร
@@@@@@@@@@
อาจารย์ตรีศิลป์ เสริมว่า
-จากการที่ได้คุณกับนักเขียนซีไรต์คนล่าสุดทราบว่า เจ้าตัวก็เขียนนวนิยายออนไลน์ในแนวนิยายวายด้วย พร้อมกับเขียนเรื่องสั้นส่งสำนักพิมพ์ด้วย โดยเอาหัวข้ออภิปรายในชั้นเรียนปรัชญามาเขียนเป็นเรื่องสั้นแนวแฟนตาซี เธอทำทั้งสองอย่างคือเขียนออนไลน์ด้วย เขียนงานวรรณกรรมด้วย
-ดังนั้นจึงสรุปเหมือนว่าเราสามารถกินอย่างได้ทั้ง 2 ประเภท โดยเปรียบว่านิยายออนไลน์คืออาหารจานด่วน พวกฟาสฟู๊ดต่างๆ ส่วนงานวรรณกรรมเป็นอาหารระดับเมนครอสในภัตตราคารหรู ซึ่งราคาก็แตกต่างกัน และกลุ่มผู้กินก็แตกต่างกันด้วย
-ดังนั้นในปัจจุบันจะกล่าวว่า คนไทยอ่านหนังสือวันละ 8 บรรทัด 10 บรรทัด ไม่ได้แล้ว มันเป็นการมองโลกในแง่ร้ายเกินไป เพราะจริงๆ แล้วคนไทยยังอ่านอยู่ตลอดเวลา
-อ.ตรีศิลป์ ถามคุณปิ๊ปโป้ว่าก่อนจะทำ Storylog ทำอะไรมาก่อน แล้วคนที่เป็นเพล็ตฟอร์ม (แอฟพลิเคชั่น) ต้องทำหน้าที่อะไรบ้าง? และเพล็ตฟอร์มคืออะไร?
@@@@@@@@@@
คุณเปรมวิทย์ ศรีชาติวงศ์ คุณปิ๊ปโป้
-คุณปิ๊ปโป้เรียนจบมาจากนิเทศศาสตร์ ที่จุฬาลงกรณ์ เคยทำงานด้านครีเอทีฟสายบันเทิงมาก่อน ทั้งงานงานเขียนบทโฆษณาต่างๆ
-เพล็ตฟอร์มก็คือตัวกลางนั้นเอง คืออย่างที่บอกว่ายุคนี้ใครก็เป็นนักเขียนได้ ตัวเพล็ตฟอร์มคือตัวกลางที่จับคู่ระหว่างนักเขียนกับผู้อ่าน คือต้องอำนวยความสะดวกให้มากที่สุด มีความเป็นกลางให้มากที่สุด เพลตฟอร์มต่างจากสำนักพิมพ์ คือเพล็ตฟอร์มไม่ได้จัดพิมพ์ ไม่ได้มีว่าต้องแนวโรแมนติค , แนวแฟนตาซี หรือต้องเฉพาะแนวไหนเท่านั้น แต่เพล็ตฟอร์มคืออะไรก็ได้ จะแนวไหนก็ได้ ใครจะเขียนอะไรก็ได้ เป็นเหมือนเวทีสำหรับนักเขียนในยุคใหม่นี้ที่ใครจะมาปล่อยของได้
-ส่วนความยากของเพล็ตฟอร์มอยู่ที่การกลั่นกรองสิ่งที่ 1. ผิดกฎหมาย 2. ผิดจริยธรรม ในประเด็นของการกรองเรื่องผิดกฎหมายนั้นง่าย แต่ในประเด็นเรื่องจริยธรรมนั้นยาก เพราะจะใช้อะไรเป็นตัววัด? จึงจำเป็นต้องตั้งกฎขึ้นมาว่า อะไรที่รับได้ อะไรที่รับไม่ได้ ถึงแม้เราจะเป็นตลาดเสรีที่ใครจะมาขายอะไรก็ได้ แต่เราก็ไม่อยากให้ตลาดของเรามีเรื่องที่ไม่เหมาะสมอยู่ด้วย
-เมื่อมีนักอ่านและนักเขียนส่งความคิดเห็นมาบอกว่า ไม่อยากให้เพล็ตฟอร์มของเรามีแต่เรื่องที่ไม่ดี เราจึงใช้วิธีลดการแสดงผล คือถ้าเกิดมีนิยายเรื่องไหนที่ไม่ดี โฉ่งฉ่าง ล่อแหลม เราจะลดการแสดงผลลง คือเอาไปไว้ในหน้าที่ลึกๆ หน่อย ไม่เอาโชว์ในหน้าแรก เอาวางขายไว้หลังร้านเลย ถ้าคนอ่านจะเข้าถึงเรื่องนี้ได้ต้องคลิกผ่านหลายชั้นหน่อย
-สิ่งที่เพล็ตฟอร์มได้คืออะไร? เราได้ 50 50 จากรายได้ที่ขายเรื่องได้ (บางแห่งให้ไม่เท่ากัน) อย่างที่ Fictionlog ให้ตั้งราคาขายที่บทละ 3 5 บาท นักเขียนได้ 50 เปอร์เซ็นต์ ส่วนค่าใช้จ่ายอื่นๆ ทางเพล็ตฟอร์มเราออกให้หมดเช่น ค่าจ่ายเปย์เม้นท์เกตเวย์ , ค่าธรรมเนียมบัตรเครดิต , ค่าใช้จ่ายในการเบิกเงินถอนเงินเติมเงิน ฯลฯ ถ้านักเขียนขายได้มีเงินเกิน 500 บาทสามารถถอนเงินออกไปได้เลย บางแห่งอาจจะให้นักเขียน 70% เลย แต่เป็น 70% หลังจากหักค่าใช้จ่ายต่างๆ แล้ว
-ดังนั้นสิ่งที่เพล็ตฟอร์มทำคือ อำนวยความสะดวกต่างๆ เหมือนเราเป็นตลาดสด อำนวยความสะดวกให้ทั้งแม่ค้าและลูกค้า จัดสถานที่ให้ขายกันได้อย่างสะดวก คนซื้อจะซื้อ(นิยายอนไลน์)ยังไง? เติมเงินยังไง? ทางเพล็ตฟอร์มจะเป็นผู้อำนวยความสะดวกให้หมด
-ปีที่แล้ว (ประมาณ 6 เดือน) Fictionlog จ่ายเงินให้นักเขียนรวมๆ แล้วหลายล้านบาท นักเขียนบางคนขายเดือนเดียวได้เงินถึง 7 หมื่นก็มี ซึ่งคนที่ขายได้ขนาดนี้เขาต้องลงเรื่องทุกวัน แต่ไม่ใช่ว่าทุกคนจะขายได้แบบนี้ คนที่เขียนแล้วขายได้ขนาดนี้ต้องขยันมาก และเขียนได้ดีมากด้วย
-ข้อดีของนิยายออนไลน์คือ เขียนครั้งเดียวลงครั้งเดียวแล้วอยู่ได้ตลอดกาล( จนกว่าเพล็ตฟอร์มจะเจ๊ง) ไม่มีต้นทุนอีกแล้ว ไม่เหมือนหนังสือเล่มที่ต้องมีการพิมพ์ซ้ำถึงจะเอามาขายได้
-คนไทยไม่เหมือนกับคนต่างประเทศ คือคนไทยพอมีพื้นที่ให้ลงเรื่องก็เขียนๆ มาลงเรื่อยๆ ขายได้ก็ดีขายไม่ได้ก็ไม่เป็นไร แต่นักเขียนต่างประเทศเขาเขียนแล้วจ้างบรรณธิการส่วนตัว จ้างคนพิสูจน์อักษรเอง จ้างคนทำปกเอง จึงทำให้เรื่องที่เขาเขียนมีคุณภาพและขายดี ดังนั้นจึงมองว่าในอนาคตอาชีพบรรณาธิการจะไม่ตายจากไป แต่จะเป็นการปรับตัว ตัวบรรณาธิการอาจจะไม่ได้ยึดติดอยู่กับสำนักพิมพ์ แต่จะเป็นอิสระมากขึ้น ดูแลนักเขียนได้อิสระขึ้นด้วย
-มีบรรณาธิการที่คุณปิ๊ปโป้รู้จักอยู่ 1 คน เขาคอยดูแลนักเขียนอยู่ประมาณ 10 คน คือเขาจะเป็นโค้ชให้นักเขียน คอยปั้นนักเขียนให้ขายงานได้ พอนักเขียนเอาเรื่องมาลงในออนไลน์แล้วขายได้ เขาก็จะได้ส่วนแบ่งจากยอดขายด้วย ถือว่าเป็นรูปแบบใหม่ของบทบาทบรรณาธิการในโลกออนไลน์
-มีผู้ฟังถามคุณปิ๊ปโป้ว่า ใน Fictionlog มีนิยายออนไลน์แนวไหนบ้างที่ขายได้ดี? คุณปิ๊ปโป้ให้ความเห็นว่าแต่ละตลาดมีของขายไม่เหมือนกัน แต่ละเพล็ตฟอร์มก็ขายเรื่องไม่เหมือนกันด้วย บางเพล็ตฟอร์มอาจจะเน้นเรื่องรักล้วนๆ แต่เพล็ตฟอร์มของ Fictionlog ตอนนี้ที่ใหญ่ที่สุดคือ นิยายแปลจีนย้อนยุค พวกกำลังภายใน รักจีนโบราณย้อนยุค รองลงมาก็เป็นแนวรักวัยรุ่น นิยายวาย และแนวแฟนตาซี
-สำหรับนิยายวาย คือนิยายแนวชายรักชายที่นักเขียนหญิงเขียน คุณปิ๊ปโป๊ให้ความเห็นว่า น่าจะมาจากวัฒนธรรมเกาหลี แนวเคป๊อป ที่พยายามเอาดาราชายต่างๆ มาจิ้นกันในจินตนาการ
-พอนิยายจีนฮิตมีคนชอบอ่านกันเยอะ ตอนนี้เลยมีคนไทยที่เขียนนิยายจีน เขียนแนวกำลังภายในกันเยอะมาก อย่างคนที่บอกว่าได้เงินเดือนละ 7 หมื่น เป็นคนไทยที่เขียนนิยายจีนกำลังภายใน มันเป็นเรื่องของดีมานซัพพลาย พอมีคนอยากอ่านนิยายกำลังภายในก็มีคนเขียนให้อ่าน
-ส่วนนิยายจีนที่แปลมาขายที่ไทยเป็นเรื่องของนักเขียนจีนรุ่นใหม่ ที่เข้าใจธรรมชาติของออนไลน์ คือเขียนแต่ละบทสั้นๆ และลงถี่ๆ ทาง Fictionlog ซื้อลิขสิทธิ์เอามาให้นักเขียนไทยแปลเพื่อขายลงออนไลน์ อย่างช่วงที่ผ่านมาในออนไลน์อาจจะเป็นช่วงที่เรื่องแนวแจ่มใสเฟื่องฟูแล้วก็ดร็อปลงมา หลังจากนั้นก็แนวแฟนตาซีเฟื่องฟู ประมาณแนว ดร.ป๊อป แล้วก็ดร็อปลงมาเช่นกัน ในตอนนี้นิยายจีนกำลังภายในกำลังกลับมาเฟื่องฟูแทน
อาจารย์ตรีศิลป์เสริมในประเด็นที่แปลเรื่องจากจีนมาขายในออนไลน์ว่า
-อย่างนักเขียนซีไรต์คนล่าสุด เขาบอกว่าพยายามเขียนเรื่องให้คนเอาไปแปลเป็นภาษาอื่นได้ ถือว่าเป็นอีกหนึ่งมิติใหม่เลย ที่นักเขียนสามารถเขียนเรื่องให้ทะลุกำแพงของภาษาได้ โดยเป็นให้คำตอบว่าวรรณกรรมไทยจำเป็นต้องเขียนเฉพาะเรื่องไทยหรือไม่? ถ้าคนไทยเขียนเรื่องที่ไม่ใช่ไทยแล้วจะถือว่าเป็นวรรณกรรมไทยหรือไม่? เพราะถ้าเรื่องแปลเป็นภาษาอื่นไปแล้วจะอ่านกันได้ทั่วโลก
-ดังนั้นการเขียนออนไลน์ การขายออนไลน์ การเป็นตัวกลางตลาดออนไลน์ เป็นการตัดขั้นตอนตัวกลางออกไปหมดเลย เหลือแค่คนเขียนกับคนอ่าน แล้วมีเพล็ตฟอร์มเป็นตลาดแทน ถือว่าเป็นมิติใหม่แบบโลกาภิวัฒน์จริงๆ พูดคุยในประเด็นออนไลน์แล้วรู้สึกมีความหวัง รู้สึกไม่ห่อเหี่ยว รู้สึกว่ามันมีอนาคต แล้วโลกออนไลน์ก็ไม่ได้น่ากลัวไปเสียหมดเลย ทุกคนในธุรกิจกระดาษจึงจำเป็นต้องปรับตัวให้สอดคล้องกับการเปลี่ยนแปลงให้ได้ เพราะโลกของการอ่าน โลกของหนังสือมันไม่ได้อยู่ในมิติเดิมแล้ว
@@@@@@@@@@
คุณเปรมวิทย์ ศรีชาติวงศ์ คุณปิ๊ปโป้ เสริมว่า
-ปัจจุบันมีเพล็ตฟอร์มที่เป็นนิยายออนไลน์อยู่ไทยยังไม่เยอะมาก มีไม่กี่เจ้า มี MeB , เด็กดี , ธัญวลัย , จอยลดา , Fictionlog , ห้องสมุดดอทคอม ล่าสุดแจ่มใสก็มาทำออนไลน์ น่าจะชื่อแจ่มเวิลด์ ดังนั้นทุกคนจึงต้องปรับตัวหมด เวลาที่มีเพล็ตฟอร์มเกิดใหม่ คุณปิ๊ปโป้จะรู้สึกดี เหมือนว่ามันคึกคักดี เหมือนแนวโน้มมาจะหันมาทางออนไลน์มากขึ้น
-คุณปิ๊ปโป้ได้เชิญนักเขียนชื่อดังหลายท่าน ที่เคยเขียนเรื่องอยู่ในนิตยสารแล้วเรื่องยังไม่จบแต่นิตยสารปิดตัวไปก่อน โดยเชิญให้นักเขียนเหล่านี้เอาเรื่องมาลงต่อที่ Fictionlog เพราะคนอ่านยังอยากอ่านต่อให้จบ ตอนนี้มีอยู่ประมาณ 5-6 ท่าน โดยผมเรียกว่าเป็นนิยายชุดเป็นซีรีส์
-จุดแข็งของนิยายออนไลน์คือ สเกลมันใหญ่มาก ต้นทุนแทบจะเป็นศูนย์ ขายสิบหรือขายพันต้นทุนก็เท่าเดิมคือศูนย์ แล้วก็อยู่ได้ตลอด ผมเชื่อว่าในอนาคตอาจจะมีเรื่องไทยที่แปลไปขายต่างประเทศ ถ้านักเขียนไทยขอแงเราแข็งแรงพอ เราก็อยากจะส่งเสริมให้นักเขียนไทยขายผลงานออกไปต่างประเทศให้ได้ เป็นเป้าหมายที่เราอยากจะทำให้ได้ในอนาคต
อาจารย์อรรถพล ปะมะโข ถามคุณปิ๊ปโป้ว่าเรื่องที่ขายมันจะยั่งยืนไหม? ในเมื่องานเราอยู่ที่เพล็ตฟอร์มแล้ว เมื่อเพล็ดฟอร์มปิดตัวลง เรื่องของเรายังจะยอยู่ไหม? เป็นปัญหาเรื่องการจัดเก็บไหม?
คุณเปรมวิทย์ ศรีชาติวงศ์ คุณปิ๊ปโป้ตอบว่า เรื่องการจัดเก็บไม่มีปัญหา ในเชิงเทคนิคนั้นการจัดเก็บไม่แพง แต่การดึงข้อมูลมาใช้นั้นแพง ส่วนประเด็นที่ถามว่าจะยั่งยืนไหม? ตอบว่าถ้าถึงจุดที่เพล็ตฟอร์มต้องปิดตัวลงจริงๆ แล้ว เราจะนำเรื่องทุกเรื่องที่เรามีอยู่ตอนนี้ประมาณ 10,000 กว่าเรื่องมาจัดทำเป็นไฟล์พีดีเอฟ เพื่อให้ผู้ซื้อทุกคนเข้ามาโหลดได้ เชื่อว่าแต่ละที่แต่ละแห่งคงจะมีทางออกที่ไม่เหมือนกัน
มีผู้ฟังถามว่า อีบุ๊คที่ต้องอ่านด้วยเครื่องอ่าน (เครื่องคินเดิ่ล) แทนที่การพกหนังสือหลายๆ เล่ม ถือว่าเป็นอีกหนึ่งเพล็ตฟอร์มไหม? คนที่อยากจะอ่านนวนิยายเก่าแก่จะมาหาอ่านในออนไลน์ ใน Fictionlog ได้ไหม?
คุณปิ๊ปโป้ ตอบว่ามีเจตนาที่จะทำ โดยอยากจะเอานวนิยายเก่าๆ ทีเขาพิมพ์ซ้ำไม่ได้มาลงใน Fictionlog แต่ในเชิงปฎิบัติแล้วทำได้ยากมาก เพราะมีความแตกต่างในเรื่องเจนเนอเรชั่นเป็นอย่างมาก และการนำเรื่องเก่านั้นมาลงในออนไลน์ จะต้องทำการพิมพ์ใหม่ทั้งหมด ซึ่งในประเด็นนี้ยังไม่มีกำลังมากพอที่จะทำได้ อีกทั้งเมื่อนำนวนิยายเก่าๆ พวกนี้มาลงในออนไลน์แล้วมันขายไม่ได้ด้วย แต่จริงๆ แล้วอยากทำมากเพราะมันมีประโยชน์ในการทำเป็นคลังสะสมนวนิยายเก่า แต่ในเชิงธุรกิจมันยังไม่ตอบโจทย์เลยยังทำไม่ได้
อาจารย์อรรถพล ปะมะโข เสริมในประเด็นนี้ว่า เท่าที่อ่านข่าวมาลักษณะนี้เขาเรียกว่า ดีสไทธ์บุ๊ค(ผมสะกดไม่ถูก) คือหนังสือที่แค่พิมพ์เป็นเล่มมาก่อน แล้วนำมาแปลงให้เป็นไฟล์ดิจิทัล ที่ขายในเว็บไซต์อะเมซอนดอทคอมช่วงแรกๆ ขายดีมาก เพราะว่ามันสะดวกโดยอ่านด้วยเครื่องคินเดิ้ล แต่สักพักหนึ่งยอดขายมันคงที่ แต่ยอดขายหนังสือเล่มกลับโตขึ้นมาแทน ในกรณีนี้มีคนอธิบายว่า ด้วยลักษณะของงานวรรณกรรมโดยปกติไม่เหมาะกับการอ่านบนหน้าจอสกรีนสักเท่าไหร่ การอ่านต้องใช้สมาธิต่อเนื่องสูง การเลื่อนเปลี่ยนหน้าบนคินเดิ้ลไม่สะดวกนัก งานวรรณกรรมจึงเหมาะสำหรับการอ่านเป็นหนังสือเล่มมากกว่า
@@@@@@@@@@
อาจารย์ตรีศิลป์ สรุปในประเด็นออนไลน์ว่า เป็นการเปลี่ยนผ่านที่น่าสนใจ มีข้อดีคือไม่สิ้นเปลือง สะดวก พกพาได้ จะอ่านที่ไหนก็ได้
มีผู้ฟังถามเรื่องลิขสิทธ์งานเขียน ที่นำลงไปในระบบออนไลน์ ว่าจะมีการป้องกันการละเมิดลิขสิทธ์ได้มากน้อยขนาดไหน?
@@@@@@@@@@
คุณปิ๊ปโป้ ตอบว่าสำหรับเรื่องอีบุ๊คจด ISBN ได้ แต่ในออนไลน์เรื่องที่ยังเขียนลงเป็นบทๆ ยังไม่จบ ยังไม่สามารถจด ISBN ได้ เคยมีคนก็อปเอางานเขียนพวกนี้ไป แต่ก็จะมีคนส่งข้อความมากบอกว่าพบเห็นมีคนละเมิดลิขสิทธ์ที่ไหน อย่างไร แล้วเขาก็จะมีกระแสสังคมในโซเวียลที่รุมประณาม รวมกันคอมเม้นท์ต่อว่าหรือว่าคอมเม้นท์รุมประชาทัณฑ์ ถือว่าเป็นการตรวจสอบกันเองในระบบออนไลน์อยู่แล้ว
มีผู้ฟังถามต่อเป็นคำถามสุดท้ายในประเด็นว่า ในช่วงหลังคนทำละครทีวีจะซื้อเรื่องจากนักเขียนที่เขียนลงในออนไลน์ เพราะถูกกว่าไปซื้อเรื่องจากนักเขียนดัง แต่ปัญหามันเกิดว่าพอเอามาเขียนบทแล้วมันเขียนไม่ได้เลย เพราะเข้าใจกันคนละเจนเนอเรชั่นเลย หรือไม่เข้าใจเหตุผลและวิธีคิดของนักเขียนออนไลน์ คือมีประเด็นดราม่าหรือมีปมขัดแย้งในเรื่อง แต่ไม่รู้ว่ามันเชื่อมโยงกันอย่างไร? หรือเชื่อมโยงมาจากไหน? คือคนเขียนเรื่องออนไลน์เขียนมั่ว เขียนเรื่องไม่มีคุณภาพ ทำให้คนเขียนบทต้องทำงานหนักมาก ในประเด็นนี้อยากทราบว่า ในเพล็ตฟอร์มต่างๆ เมื่อไม่มีบรรณาธิการแล้ว เราจะรักษามาตราฐานที่เป็นคุณภาพของงานเขียนได้อย่างไรบ้าง?
คุณปิ๊ปโป้ ตอบว่าในประเด็นของคุณภาพเป็นเรื่องควบคุมได้ยากมาก เพราะงานเขียนที่มีคุณภาพก็ขายไม่ได้ เราจึงเข้าใจว่ามันคือ โซเซียลคิวเรท คือในออนไลน์เขาจะมีการตัดสินกันเองว่าเรื่องไหนดี เรื่องไหนไม่ดี กลายเป็นเรื่องที่คนอ่านเขาดันกันเองว่าเรื่องไหนเขาชอบ ทางเพล็ตฟอร์มเข้าไปแทรกแซงได้ยากมาก ซึ่งปัญหาเรื่องคุณภาพนี้พบในประเทศจีนเช่นกัน
-ทาง Fictionlog มีทีมงานที่คอยสอดส่องดูว่า นักเขียนคนไหนเขียนดี มีแนวโน้มว่าจะปั้นได้ ก็จะมีทีมสนับสนุนคอยช่วยนักเขียนคนนั้น ช่วยในเรื่องการสร้างเนื้อหาที่ดี คือในเชิงธุรกิจ ถ้านักเขียนสร้างเนื้อหาที่ดี เรื่องก็ขายได้ ธุรกิจก็เติบโตเช่นกัน แต่ในอนาคตไม่แน่ว่าจะทำได้ตลอด เพราะว่าทุกวันนี้มันยังไม่เยอะก็ยังพอช่วยกันได้
@@@@@@@@@@
อาจารย์ตรีศิลป์ สรุปทิ้งทายว่าในการอภิปรายวันนี้เราได้รับรู้สิ่งที่กำลังเกิดขึ้นในสังคมไทย มันเป็นระลอกใหญ่มากทีเข้ามามีผลกระทบโดยตรง แล้วเราก็ได้รู้ว่าสิ่งที่เกิดขึ้นจริงคืออะไร? และเป็นอย่างไร? สำหรับยุคหนังสือดิจิทัลไทยในวันนี้
Create Date : 08 มกราคม 2561 |
|
48 comments |
Last Update : 8 มกราคม 2561 15:57:36 น. |
Counter : 3772 Pageviews. |
|
|
|
ผู้อ่านโดยเฉพาะวัยรุ่น ชอบอ่านฟรีแบบออนไลน์หรือ อีบุ๊คกัน
ส่วนหนังสือรูปเล่มทำให้น่าสนใจ ผู้ใหญ่วัยเราก็ยอมเสียตังค์ซื้ออยู่
จขบ.เลคเชอร์ไว้เก่งมากๆคร้า ขอบคุณที่แบ่งปัน