|
|||
ตอนนี้ติดละครเรื่องนี้ "เรือนไหมมัจจุราช"
![]() Cr. Youtube :: ท้าทาย ( เพลงประกอบละคร เรือนไหมมัจจุราช ) - ปาน ธนพร โรงพยาบาล (แผนกจิตเวช) ในความทรงจำ (งานตะพาบครั้งที่ 238)
ถ้าพูดถึงโรงพยาบาล โดยทั่วไปแล้วก็น่าจะเหมือนๆ กัน และการแอดมิทเข้าโรงพยาบาลก็คงไม่ต่างกันเท่าไหร่ แต่สำหรับฉัน มันต่างออกไปเมื่อฉันมาเป็นผู้ป่วยทางด้านจิตเวช และถูกแอดมิทเข้าโรงพยาบาลกรุงเทพ ศูนย์จิตรักษ์ แรกเริ่มเดิมที ฉันก็ไม่รู้ว่าฉันเป็นอะไร คือ ตอนที่แอดมิท ฉันก็ไม่รู้นะว่าทำไมฉันต้องมาแอดมิทที่นี่ ฉันไม่ได้ป่วยเป็นโรคซึมเศร้า และฉันก็ไม่ได้เป็นไบโพลาร์ ฉันมารู้ตอนหลังว่าฉันป่วยเป็นโรคหวาดระแวง จากการที่ถามหมอเมื่อนัดเจอหมอหลังจากที่ออกจากโรงพยาบาลแล้ว อาการของฉัน ฉันเห็นภาพหลอน แต่ฉันคิดว่ามันเป็นเรื่องจริง เหตุการณ์ต่างๆ ฉันเคยเล่าไว้ในบันทึก(ไม่)ลับ ฉบับคนบ้า ถ้าใครอยากรู้ก็คลิกเข้าไปอ่านกัน จะได้รู้ว่าฉันบ้าแค่ไหน อย่าถามฉันว่ามันเกิดขึ้นได้ยังไง เพราะฉันเองก็ไม่รู้ว่ามันเกิดขึ้นได้ยังไงเหมือนกัน บางทีอาจจะเพราะคิดอะไรเยอะเกิน จริงจังกับบล็อกมากเกิน บ้าการเมืองมากเกิน เลยทำให้สารเคมีในสมองมันผิดปกติไป จนนำไปสู่การเห็นภาพหลอนอะไรต่างๆ มากมาย และทำให้ที่บ้านต้องรีบนำตัวไปส่งโรงพยาบาล และที่ที่ฉันอยู่ 18 วัน ก็คือโรงพยาบาลกรุงเทพ ภายใต้การดูแลของแผนกจิตเวช ซึ่งที่นี่เรียกว่า ศูนย์จิตรักษ์ ฉันบอกเลยว่าเมื่อฉันเข้ามาอยู่ ฉันจำอะไรไม่ได้เลยช่วงแรก เหมือนความทรงจำมันหายไปประมาณสัก 10 วัน สิ่งที่ฉันจำได้ คือ จำได้ว่าโดนเจาะเลือด โดนสวนทวาร แต่หลังจากนี้ฉันก็จำอะไรไม่ค่อยได้ ฉันไม่รู้ว่าใครมาเยี่ยมฉันบ้าง ฉันโดนให้ยาฆ่าเชื้อ และยาอะไรบ้าง ฉันก็ไม่รู้ ฉันรู้แต่ว่าฉันมีอาการแพ้ยา ยาที่กินแก้โรคหวาดระแวง เป็นยาตัวใหม่ล่าสุด ซึ่งฉันมารู้ทีหลังจากการที่ฉันถามแม่ และหมอบอก ว่าฉันกินไปแล้วมีอาการตัวแข็ง คอแข็ง กลืนอาหารลำบาก ซึ่งนั่นจึงทำให้เขาส่งหมออายุรแพทย์ทางด้านระบบประสาทและสมองมาดูแลฉันอีกคน ฉันอยู่โรงพยาบาลโดยมีหมอ 2 คนเข้ามาดู คนหนึ่งเป็นอายุรแพทย์จะมาดูฉันตอนเช้าตรู่ ส่วนอีกคนเป็นจิตแพทย์มาดูฉันตอนเย็น แต่เนื่องจากเคสของฉันไม่เหมือนคนอื่น คือ ฉันมีอาการแพ้ยา และทำให้ฉันกลืนอะไรไม่ได้ ฉันเลยต้องมาฝึกกลืน ฝึกพูด ก่อนที่ฉันจะรับประทานอาหารเช้า ทุกเช้าจะมีแบบฝึกหัดให้ฉันบริหารปาก ฉันรู้สึกเหมือนฉันกลับไปเป็นเด็กประถม ฉันไม่ได้รู้สึกเบื่อนะ แต่ฉันมีคำถามว่าทำไมฉันต้องมาทำอะไรแบบนี้ด้วยวะ ทำไมฉันต้องอยู่ที่นี่ และฉันต้องมาทำอะไรแบบนี้ ฉันไม่ได้มีความว่ารู้สึกอยากกลับบ้านนะในช่วงแรกๆ ที่รู้สึกตัว แค่รู้สึกมันมีคำถาม ไม่ได้รู้สึกทรมาน แค่มีความรู้สึกว่า “อะไรกันวะ” และอย่างที่บอกว่าฉันเป็นเคสพิเศษ ก็เลยมีพยาบาลมานั่งอยู่ตรงหน้าตอนกินข้าวด้วย ฉันบอกตรงๆ ว่าฉันก็ค่อนข้างอึดอัด คือ มันแปลกๆ แต่พยาบาลเขาดูแลดีนะ ดูแลดีมาก ตอนเย็นเขาก็อาบน้ำให้ฉันด้วยล่ะ แต่อย่างที่บอกฉันไม่ค่อยชิน บางทีก็รู้สึกอายๆ เขินๆ ยังไงไม่รู้ นี่คือ การเริ่มต้นในการใช้ชีวิตในแต่ละวัน หลังจากกินข้าวเช้าแล้วก็จะเข้าสู่การเรียน เหมือนเราอยู่ในไฮสคูล จะมีตารางเรียนแปะไว้ที่บอร์ด ผู้ป่วยหรือนักเรียนจิตเวชทุกคนก็จะมาดูบอร์ด วันนี้มีเรียนอะไรกันบ้างนะ มีคลาสที่เราอยากเรียนหรือเปล่า สำหรับฉัน ฉันชอบคลาสดนตรี (โชคดีที่ยังไม่เจอศิลปะกับงานประดิษฐ์) และก็คลาสทำอาหาร คลาสโยคะ ฉันก็ชอบนะ แต่ไม่ค่อยมีใครไปเรียนเท่าไหร่ในช่วงหลังๆ ฉันก็เลยอู้ไม่ไปเรียนมั่ง (ที่นี่ไม่บังคับนะ ถ้าใครไม่อยากเรียนก็ไม่ต้องเข้าก็ได้ หรือเรียนแล้วรู้สึกไม่ชอบ ก็เดินออกได้ เขาไม่ว่า) คลาสดนตรีก็จะเป็นดนตรีบำบัด มีให้ฟังเสียงดนตรีแล้วถามว่ารู้สึกยังไง แล้วก็มีให้ร่วมกันเล่นดนตรีจากเครื่องประกอบจังหวะต่างๆ เขาจะมีให้เลือก เราก็หยิบมาคนละชิ้น ![]() ![]() คลาสทำอาหาร ก็จะทำขนม เบเกอรี่ ที่จำได้ก็จะมีแอปเปิ้ลครัมเบิ้ล จำได้แม่นเพราะเป็นครั้งแรกที่ผ่าแอปเปิ้ล หั่นแอปเปิ้ลเองโดยใช้มีดตัดเค้ก ที่นี่เขาจะไม่ใช้มีดที่มีคม ก็ดีแล้วล่ะ ไม่อย่างนั้นคงเสียวน่าดู ![]() ส่วนคลาสโยคะก็เล่นโยคะ ก็สนุกดี บางท่าก็ยาก บางท่าก็ง่าย ![]() นอกจากนี้ก็จะมีการสนทนาเป็นกลุ่มกับนักจิตบำบัด หรือจิตแพทย์ เหมือนพูดคุย ปลดล็อกเรื่องราว แชร์ประสบการณ์ต่างๆ ที่ตัวเองประสบให้กันและกันฟัง ก็ผ่อนคลายดี บางครั้งก็มีกิจกรรมสันทนาการ โยนลูกบอลส่งต่อกันไปมา และทำท่าต่างๆ ![]() จำได้ว่าวันหนึ่งเรานั่งระบายสีอยู่คนเดียวในห้อง ก็มีพยาบาลเข้ามาชวนคุย จริงๆ เราอยากอยู่คนเดียวเงียบๆ เพราะชอบอยู่คนเดียวเงียบๆ แต่ก็เข้าใจทางพยาบาลนะ ว่าไม่อยากให้อยู่คนเดียวเงียบๆ เราก็เลยไม่ได้เงียบ ก็คุยกับพยาบาลไปนั่นแหละ จนกระทั่งถึงเวลาทานอาหาร หรือทำกิจกรรมอะไรสักอย่าง มันก็เป็นประสบการณ์ที่แปลกใหม่ดี กับการที่ได้มาอยู่ที่นี่ นี่ก็บอกแม่ไว้แล้วเหมือนกันว่าถ้าครั้งหน้า เราเกิดป่วยอีก แล้วที่บ้านไม่มีสตางค์พาเข้าโรงพยาบาลกรุงเทพ ก็ไปศรีธัญญาได้เลยนะ เราอยากรู้เหมือนกันว่าศรีธัญญาเขาเป็นยังไงกันบ้าง อยากรู้และสัมผัสบรรยากาศอีกแบบหนึ่ง เผื่อได้เอามาเขียน แต่จริงๆ ไม่เข้าก็ดีกว่านะ ไม่เปลืองสตางค์ ตอนนี้เราก็รักษาตัวเองและกินยาตามที่หมอสั่ง ภาพหลอนต่างๆ ก็ไม่มีแล้ว และเราก็ไม่ได้หวาดระแวงหนักเหมือนช่วงแรกแล้ว เราพยายามดึงตัวเองออกมาจากทุกสิ่ง อยู่กับตัวเอง ดูแลตัวเอง พักผ่อนให้เพียงพอ ทำงานให้พอเหมาะ ไม่ทำให้ตัวเองเครียด และที่สำคัญไม่เสพหรืออินกับการเมืองเยอะ มันก็ช่วยทำให้เราหายจากอาการต่างๆ ได้ ถ้าไม่อยากเครียด ก็แค่ทำตัวให้สบาย แค่ทำตัวให้สบาย ก็ห่างไกลจากโรคได้แล้ว และนี่ก็คือเรื่องราวในความทรงจำของเราค่ะ ยังมีเรื่องอื่นๆ อีกที่อยากเขียน ถ้ามีเวลา และคิดว่าเหมาะสมที่จะเขียน ก็จะมาเขียนให้อ่านกันนะคะ ขอบคุณทุกคนที่ติดตามอ่านค่ะ ดูแลตัวเองกันด้วยนะทุกคน ได้คีย์บอร์ดใหม่มาแล้ว
ตอนนี้พิมพ์ได้แล้ว ไม่ติดขัดจ้า ![]() ![]() ![]() ![]() เพราะคีย์บอร์ดพังเลยยังไม่มีอารมณ์พิมพ์งาน
จริงๆ ก็เป็นคนที่พิมพ์งานเอื่อยเฉื่อยอยู่แล้ว พอเจอคีย์บอร์ดเจ๊งก็ยิ่งไปใหญ่ นี่ก็นั่งพิมพ์บ่นในมือถือแล้วเอามาลงบล็อก แต่ก็สั่งซื้อคีย์บอร์ดทางออนไลน์ไปละ เดี๋ยวพรุ่งนี้ไปโอนตังค์ จะได้กระตือรือร้นในการพิมพ์ขึ้นมาหน่อย วันนี้ก็ไม่มีอะไรจะบอก แค่อยากบอกว่าแม่ก็ติดตามลูกอยู่ ส่วนคุณสันต์อะไรนี่ไม่น่าจะกลับมาแล้วมั้ง ส่วนคุณสีเมจิกก็หายตามคุณสันต์ไปอีกคน (อย่าบอกนะว่าจริงๆ รู้จักกัน) ที่ติดตามฉันจริงๆ ก็มีพี่เสือนี่แหละ ช่วงนี้พี่เสือก็คงจะเหงาๆ เพราะฉันไม่ค่อยได้เล่นบล็อก ฉันออกนอกบ้านถี่ แต่ฉันก็พยายามจะถ่ายรูปนั่น โน่น นี่ นะ เพื่อให้รู้ว่าฉันยังมีชีวิตอยู่ และฉันยังอยู่ตรงนี้ อยากบอกพี่เสือว่าคิดถึงเสมอ และขอบคุณความรักที่มีให้ค่ะ ลงบัญชี
สำหรับฉันแล้วฉันเป็นคนหนึ่งที่ค่อนข้างขี้เกียจลงบัญชี เวลาใช้จ่ายอะไรโดยส่วนตัวจะไม่เคยลงบัญชีเลยสักครั้ง ยกเว้นแต่เรื่องค่าอาหารที่เอาเงินจากกองกลาง ซึ่งจะต้องลงบัญชี อันนี้ก็จะลง แล้วน้าก็จะเป็นคนที่จะรวมยอด และดูว่ามันตรงกับเงินที่ใช้จ่ายในกระเป๋าสตางค์หรือไม่ ถ้าเงินในกระเป๋าสตางค์หาย ไม่ตรงกับที่ลงในบัญชี ถ้าเป็นเงินหนึ่งร้อยบาทขึ้น น้าก็จะเริ่มคิดมาก และต้องคิดให้ได้ว่าเงินมันหายไปไหน น้าจะค่อนข้างซีเรียสกับเรื่องเงินตรงนี้ ช่วงที่น้าป่วย ต้องนอนที่โรงพยาบาลหลายคืน เป็นช่วงที่ฉันปวดหัวมาก เพราะต้องทำหลายอย่าง นอกจากงานบ้าน งานดูแลยายแล้ว ฉันยังต้องคิดบัญชีอีกด้วย ถ้าเงินมันหายไป ไม่ตรงกับที่ลงในบัญชี ฉันก็จะเครียด เครียดเพราะกลัวน้าจะถาม แต่ถ้าเป็นตัวฉันเองจริงๆ ฉันจะไม่เครียด เพราะจริงๆ เงินมันก็ไม่ได้หายไปไหน มันก็เอาไปใช้จ่ายในบ้านนั่นแหละ ไปซื้อกับข้าว ไปซื้อของ แต่บางทีคนที่ไปซื้อซึ่งอาจจะเป็นแม่ หรือญาติของฉัน อาจจะลืมลง เลยทำให้มันไม่ปรากฏในบัญชี เวลาคิดออกมามันเลยไม่ตรงกันกับเงินที่เหลือในกระเป๋า เรื่องบัญชี คนที่เคร่งครัดนอกจากน้าของฉันแล้ว ก็คือ พ่อของฉัน พ่อของฉันเป็นคนที่จดบันทึกเรื่องค่าใช้จ่ายทุกอย่างที่ตัวเองจ่ายไป ทุกวันนี้ก็ยังคงทำ พ่อจะมีสมุดบันทึกของพ่อเพื่อจดบันทึกเรื่องค่าใช้จ่าย จะต่างกับแม่ แม่ของฉันจบบัญชี แต่ไม่เคร่งครัดเท่า อย่างตอนที่น้าป่วย แล้วฉันต้องมาคิดบัญชีแทน ถ้าเงินมันหายไป แม่ก็บอกให้ลงเป็นค่าอาหาร แม่จะไม่ซีเรียสเวลาเงินหาย เพราะอย่างที่บอกมันก็ไม่ได้หายไปไหนหรอก พวกเราก็เอามาซื้อของกิน ของใช้กัน แต่บางทีลืมลง บ้านฉันไว้ใจกันได้อยู่แล้ว ไม่มีใครขโมยหรอก ฉันเองก็อย่างที่บอก โดยส่วนตัวก็ไม่ได้เป็นคนบันทึกเรื่องค่าใช้จ่ายประจำวัน ยกเว้นค่าอาหารกองกลาง แต่ตอนนี้ฉันต้องเริ่มจดบัญชีแล้ว เริ่มตั้งแต่พ่อให้บริหารเงินห้าหมื่นที่ได้มาจากประกันที่เขาให้มาเมื่อครั้งที่ไปนอนอยู่โรงพยาบาลกรุงเทพ (จริงๆ ค่าใช้จ่ายมันมากกว่านี้ แต่เบิกประกันมาได้ห้าหมื่น) ฉันก็เลยต้องลงบัญชีว่าใช้จ่ายอะไรไปบ้างเวลาออกไปข้างนอก เวลาออกไปข้างนอกนี่หมายถึงเวลาออกไปพบหมอ เวลาออกไปเที่ยว (หลังจากฉันป่วยเข้าโรงพยาบาล แม่ก็ชวนฉันเที่ยวเกือบทุกอาทิตย์ เพราะแม่ก็คงไม่อยากให้ลูกอยู่กับคอมพิวเตอร์มากเกินไป หรืออยู่ติดบ้านมากเกินไป แม่คงกลัวลูกจะป่วยอีก) ฉันก็เลยได้ออกไปเที่ยว ได้ใช้จ่ายเงิน และได้ลงบัญชี และนี่คือ ที่ฉันลงบัญชี ![]() ในส่วนของค่าหมอนั้น จริงๆ มัน 1,800 บาท แต่มีค่าใช้จ่ายอื่นๆ ในโรงพยาบาลอีกก็เลยเป็น 2,200 บาท ส่วนค่าบัตรรถไฟฟ้า MRT ของฉัน ฉันซื้อบัตรครั้งแรก เลยจ่าย 180 บาท (มูลค่าในการเดินทาง 100 บาท ค่ามัดจำบัตร 50 บาท และค่าธรรมเนียมการออกบัตร 30 บาท) ฉันคิดว่าฉันก็คงจะลงบัญชีไปเรื่อยๆ คิดว่ากว่าจะครบถึงห้าหมื่นบาทก็น่าจะอีกหลายปี ถ้าต่อไปหมอเขานัดฉันห่างขึ้น ฉันก็ไม่ต้องไปพบหมอบ่อย ส่วนเรื่องค่ายา ฉันซื้อยาจากข้างนอก มันก็เลยถูกกว่าซื้อในโรงพยาบาล ถ้าเป็นช่วงก่อนหน้านี้ ก่อนที่ฉันจะได้รับเงินห้าหมื่นและลงบันทึก ฉันเสียค่ายามากกว่านี้ รวมๆ แล้วไปหาหมอครั้งหนึ่งก็ประมาณสามพันกว่าบาท ตอนนี้เหลือแค่สองพันสองร้อยบาท ถือว่าโอเคแล้ว ฉันหวังว่าต่อไปฉันคงไม่ต้องไปหาหมอ ฉันหวังอยู่นะ แต่ถ้าต้องหาหมอตลอดๆ ก็ไม่เป็นไร เอาที่ทางบ้านสบายใจ ฉันยังไงก็ได้ เพราะฉันไม่ได้เป็นคนจ่ายสตางค์ไง ถ้าฉันเป็นคนจ่าย ฉันก็คงไม่ไปหาหมอหรอก ถ้าฉันไม่ไปหาหมอ ตอนนี้ฉันก็คงจะอยู่ในวิมานบ้าๆ บอๆ ของฉัน ฉันคงมีบันทึกบ้าๆ บอๆ ไม่รู้จบ ชีวิตแบบนี้มันก็สนุกดีนะ เอาจริงๆ แต่พอไปหาหมอแล้วกินยา มันก็หายไปเลย ไม่สนุกเลย แต่ก็ยังดีที่ฉันได้ไปเที่ยวข้างนอกกับแม่ละนะ ก็เป็นการชดเชยที่ดี ว่าแล้วก็ “สุขกันเถอะเรา เศร้าไปทำไม อย่ามัวอาลัย คิดร้อนใจไปเปล่า...” ก็สนุกๆ กับชีวิตไป ไม่ต้องเครียด ถ้ามีอะไรเกิดขึ้นก็ค่อยๆ เรียนรู้ไป เหมือนอย่างที่ฉันก็เพิ่งได้มาเริ่มจดบัญชี นี่ถ้าฉันไม่ป่วย ก็คงไม่ได้บันทึกหรอกนะ แล้วก็คงไม่ได้เงินห้าหมื่นด้วย (ก็ไม่รู้ว่าจะดีใจหรือยังไงดี) ฮา... |
comicclubs
![]() ![]() ![]() ![]() ![]() Group Blog All Blog
Friends Blog
|
||
Pantip.com | PantipMarket.com | Pantown.com | © 2004 BlogGang.com allrights reserved. |