โชคดีที่มีเธอ


หากจะพูดถึงความสำเร็จในปีนี้ ก็คงจะมีเรื่องเดียวแหละที่เป็นความสำเร็จ เพราะถ้าจะพูดถึงเรื่องสุขภาพ เรื่องการงานก็คงไม่ได้เรียกว่าเป็นความสำเร็จสักเท่าไหร่ โดยเฉพาะเรื่องสุขภาพ ถึงกับเข้าแอดมิทที่โรงพยาบาลเลยทีเดียว เป็นเรื่องของสุขภาพจิตที่เราก็เคยเขียนถึงมาแล้ว

เรื่องที่ประสบความสำเร็จในปีนี้ที่เราจะพูดถึงก็คือ เรื่องความรัก เรารู้สึกว่าเราโชคดีมากที่ได้เจอความรักดีๆ

ความรักของเราค่อนข้างจะต่างจากคู่อื่นตรงที่ เรามีช่องว่าง เว้นระยะห่างกันค่อนข้างมาก มากจนถึงขนาดที่ว่าถ้าใครมายืนอยู่ตรงจุดที่เรายืน ที่เราสัมผัส อาจจะมีคำถามขึ้นมาได้ว่า “เราเป็นคู่รักกันจริงๆ หรือ” เพราะเราสนทนากันน้อยมาก และส่วนใหญ่เราจะเป็นฝ่ายทักเขา

แต่ด้วยการใช้ชีวิตประจำวันของเราและเขาที่ต่างยุ่ง มันเลยทำให้เราไม่มีปัญหา เราทักไป เขาไม่ตอบ เราก็เฉยๆ ไม่ได้รู้สึกว่าเขาจะต้องตอบนะ เขาต้องตอบสิ ถ้าไม่ตอบ เราจะเลิกทักนะ อย่างนี้ไม่มี

และเราเองก็ไม่ได้รอคอย หรือรู้สึกเหงา เพราะเราก็มีอะไรหลายอย่างที่เราต้องทำ หรือเราอยากทำ เช่นเดียวกับเขา เขาก็มีอะไรหลายอย่างที่เขาอยากทำเหมือนกัน ตรงจุดจุดนี้มันก็เลยลงตัว กลายเป็นความรักในรูปแบบที่ไม่เหมือนใคร

เป็นความรักที่แปลกใหม่สำหรับเรา จะไม่แปลกใหม่ได้ยังไง ในเมื่อความรักครั้งนี้เป็นรักกับผู้หญิง ที่รู้จักและคบกันมาก็ 2 ปีกว่าแล้ว ไม่น่าเชื่อว่าความรักจะยืนยาวมาได้ โดยที่เราก็ยังสามารถเป็นตัวของตัวเองได้อยู่ เรายังสามารถกรี๊ดผู้ชายได้โดยที่เขาไม่หึง

ความหวานและการเอาใจใส่กันก็ไม่ได้ลดน้อยลงไป รูปภาพแต่ละรูป ข้อความแต่ละข้อความก็ยังคงเป็นแรงใจให้กัน

ก็รู้สึกโชคดีมากๆ ที่มีความรักครั้งนี้

ถ้าไม่มีความรักครั้งนี้ หลายๆ อย่างเราก็คงไม่ได้ทำ เช่น การกินผักที่ไม่เคยกิน เป็นต้น

และถ้าไม่มีรักครั้งนี้ เขาก็คงไม่ได้ดูแลตัวเองมากมายเพื่อเรา ในที่นี้เราหมายถึง การออกกำลังกายอย่างหนัก ถึงเขาจะบอกว่าเขาทำเพื่อตัวเอง แต่เราว่าลึกๆ ก็น่าจะมีส่วนที่ทำเพื่อเราบ้างล่ะ

เราจึงอยากขอบคุณที่เขาก็เปลี่ยนแปลงตัวเองมากมายเพื่อเรา

ปีนี้จึงเรียกได้ว่าความสำเร็จที่เราได้รับก็คือความรัก ก็หวังว่าปีต่อๆ ไป เราจะประสบความสำเร็จในเรื่องนี้อีก

ขอให้รักกันไปนานๆ และอยู่ดูแลกันไปนานๆ นะคะ

แล้วสักวันเราคงได้พบกัน






ขอบคุณรูปภาพจาก Pinterest



Create Date : 10 ธันวาคม 2562
Last Update : 10 ธันวาคม 2562 13:52:02 น.
Counter : 734 Pageviews.

ห่างเหิน แต่ไม่ห่างหายจากบล็อก


ความเป็นไปในช่วงนี้คล้ายๆ ความเป็นไปในช่วงก่อนที่เราจะมาเข้าบล็อกแก๊ง เป็นความเป็นไปที่อยากจะทำอะไรก็ทำ เหมือนมีเวลาให้กับตัวเองมากขึ้น แต่ความจริงแล้วเวลามันก็เท่าเดิม เราแค่ไม่ค่อยเข้าบล็อก ไม่ค่อยเข้าพันทิป ไม่ค่อยเข้าทวิตเตอร์

ทวิตเตอร์เราก็ตามแต่เฉพาะคนที่เรารักเท่านั้น แล้วก็ตาม #โรคซึมเศร้า แต่ขอย้ำว่าเราไม่ได้เป็นนะ เป็นแค่โรคหวาดระแวงโรคเดียว (แค่โรคเดียวก็พอแล้ว อย่าเอาโรคอื่นมาอีกเลย) แต่ตอนนี้เราก็ใกล้จะหายละ (จริงๆ เรารู้สึกว่าเราหายแล้ว แต่หมอยังให้กินยาอยู่) หมอนัดห่างขึ้น จากเจอกันหนึ่งเดือนถัดไป เป็นสองเดือนถัดไป เราคิดว่าต่อๆ ไปหมอก็คงจะนัดห่างขึ้นเรื่อยๆ สักพักก็คงจะหยุดนัด เพราะเราก็รักษาตัวเอง กินยาตามที่หมอสั่งมาโดยตลอด

บุคลิกของเราอาจจะดูเหมือนไม่ค่อยมั่นใจ แต่ความไม่มั่นใจไม่ได้มาจากตัวโรค มันมาจากตัวเราเอง เป็นมาตั้งแต่มัธยม ถึงกินยาต่อไป ก็ไม่ได้หมายความว่าจะมั่นใจมากขึ้น เราก็เป็นของเราอยู่อย่างนี้แหละ แต่เราก็ไม่ได้ไปทำงานที่ต้องใช้ความมั่นใจอะไรมากมาย เลยอยู่อย่างนี้ได้

สำหรับเรื่องบล็อก เราเข้าน้อยลง และไม่ได้ติดมันเหมือนเมื่อก่อน จากแต่ก่อนพอตื่นเช้ามาต้องมาอ่านบล็อกละ ตอนนี้ไม่ใช่ กลายเป็นว่าเราแทบไม่ได้อ่านบล็อกใครเลย เปิดหน้าแรกมาก็ดูผ่านๆ สัญญาณอะไรที่จะสื่อถึงเรา สื่อให้อ่าน เราก็แทบไม่ค่อยได้อ่านอะไรแล้ว

สัญญาณที่จะให้เราอ่านบล็อก ให้เราช่วยเหลือ นี่เราไม่ได้บ้านะ มันมีสัญญาณอย่างนั้นจริงๆ แต่หลายๆ คนไม่รู้ เราสังเกตมานานละ สังเกตมาก่อนที่เราจะป่วย ก่อนที่เราจะแอดมิทเข้าโรงพยาบาลเสียอีก

แต่ถ้าไม่มีใครส่งสัญญาณ ก็แสดงว่าเราคิดไปเอง (แต่เราไม่ได้คิดไปเองหรอก คนส่งสัญญาณก็ยังคงส่งสัญญาณอยู่)

แต่อย่างที่บอก เราก็ช่วยอะไรใครไม่ได้ ตอนนี้เราอยู่ในสถานะที่วางเฉยกับทุกอย่าง

อะไรจะเกิดก็ให้มันเกิดเถอะ ปีหน้าผลจะเป็นอย่างไรก็ให้มันเป็น

อะไรบางอย่างถ้ามันจะผิดเพี้ยน ก็ให้มันผิดเพี้ยนไป เพราะถ้าจะทักท้วง ก็น่าจะทักท้วงกันมาตั้งนานแล้ว

เราก็อยู่อย่างมีตัวตน (หรือไม่มีตัวตน) อย่างนี้ต่อไป

ใครสนใจเรา เขาก็มองเห็นเรา ใครไม่สนใจเรา เขาก็มองผ่านก็เท่านั้นเอง เราเองยังไม่สามารถสนใจทุกคนได้เลย จะไปคาดหวังอะไรกับมันมาก

ตอนนี้มีชีวิตอยู่ก็เพื่อดูแลตัวเอง และเพื่อดูแลคนในครอบครัวต่อไป

ดังนั้น ห่างเหิน ไม่ห่างหายก็คือ เราเข้าบล็อกน้อยลง แต่ก็ไม่ได้หมายความว่าเราจะไม่เข้าเลย เรายังเข้าอยู่ เพื่อที่จะเขียนอะไรที่เราอยากเขียน แต่เรื่องอ่าน เราอ่านน้อยลงกว่าเดิมมาก แต่ทุกๆ คนก็ไม่ต้องกังวล เพราะยังไงก็คงมีคนอ่านประจำอยู่แล้ว ขาดเราสักคนไปก็ไม่ได้ทำให้บล็อกเจ๊ง

ก็ขอให้ทุกคนเขียนกันต่อไปเถอะ เพื่อทางเว็บก็จะได้ดำเนินกิจการกันต่อไปได้ เพราะถ้าไม่มีคนเขียนแล้ว เว็บก็อาจจะสูญหาย ถึงตอนนั้นก็คงจะหายหน้ากันไปหมด เราก็คงจะไปอยู่ที่อื่น

ส่วนเรื่องคนอ่านจริง อ่านหลอก ก็ปล่อยๆ มันไปเถอะ เราแก้ไขตรงจุดนี้กันไม่ได้

เราทำได้แค่มองดู ตอนนี้คือทำได้แค่นี้จริงๆ ถ้าทำมากกว่านี้ก็อาจจะกลับไปป่วยได้ เราไม่อยากกลับไปแบบนั้น ถึงตอนป่วยจะมีเรื่องให้เขียนเยอะก็เถอะ แต่มันก็ไม่สนุกหรอก มันมีแต่ความคิดอะไรก็ไม่รู้เต็มหัวไปหมด

เราอยากอยู่แบบนี้ อยู่อย่างเบาๆ สบายๆ มากกว่า

อยู่อย่างห่างเหิน แต่ไม่ห่างหายนี่แหละ คือ ทางออกที่ดีที่สุดของเราแล้ว



Create Date : 09 ธันวาคม 2562
Last Update : 9 ธันวาคม 2562 17:39:53 น.
Counter : 898 Pageviews.

เรียนรู้เส้นทางใหม่ + ตรวจสอบสภาพจิตใจก่อนไปพบหมอ




เมื่อวาน (วันอังคารที่ 3 ธันวาคม) ได้เอาเครื่องช่วยฟังของตัวเองไปเช็คล้างทำความสะอาดเครื่องที่บริษัท มารุ่งโรจน์ จำกัด

ก่อนอื่นต้องขออธิบายก่อนว่าทำไมเราถึงต้องใช้เครื่องช่วยฟัง คือ เรามีหินปูนเกาะอยู่ที่หูชั้นกลางทั้งสองข้าง ทำให้การได้ยินของเราไม่เท่าคนปกติ บางทีถ้าคุยกันเสียงเบาเราก็ไม่ได้ยิน (แต่คนอื่นได้ยินนะ) ทำให้เราต้องใช้เครื่องช่วยฟัง แต่ด้วยงานการที่ทำอยู่ปัจจุบัน คือ ทำงานที่บ้าน เราเลยไม่จำเป็นต้องใช้เครื่องช่วยฟังนัก เราก็เลยทำมาแค่ข้างเดียว โดยใช้สิทธิประกันสังคม ซึ่งเขาก็จะรับประกัน 1 ปี

ช่วงที่อยู่ในประกัน เราก็ส่งเช็คล้างทำความสะอาดฟรี แต่พอหมดประกัน เราก็ไม่ได้ไปเช็คล้างทำความสะอาดเลย จะ 11 เดือนแล้ว เราเห็นว่าควรต้องไปสักที และก็จะได้ไปรู้จักบริษัทเขาด้วยว่าอยู่ตรงไหน (ตอนอยู่ในประกัน เราส่งล้างผ่านทางโรงพยาบาลกลาง) คราวนี้ก็เลยไปเอง โดยไปที่บริษัทซึ่งเป็นสำนักงานใหญ่ อยู่ซอยรามคำแหง 109

ก็เป็นครั้งแรกที่ไปในเส้นทางนั้น เมื่อวานก็ไปกับแม่ให้แม่ไปเป็นเพื่อนด้วย เราก็หาข้อมูลไปก่อนว่ามีรถเมล์สายไหนผ่านบ้าง ก็มีปอ.40 ที่เราสามารถไปได้ โดยขึ้นจากตรงหน้าวัดธาตุทอง แล้วก็ไปลงสุดสาย

ตอนแรกหาข้อมูลจากในอินเทอร์เน็ต เห็นว่าป้ายสุดท้ายคือวัดศรีบุญเรือง ซอยรามคำแหง 107 ก็คิดว่าเขาจะไปสุดสายที่ตรงนั้น และคิดว่าต้องเดินต่อไปอีกหน่อย แต่ปรากฏว่ามันไปสุดสายที่อีกป้ายหนึ่ง ซึ่งก็พอดีกับจุดหมายปลายทางที่เราจะไป เราเดินย้อนจากป้ายรถเมล์ที่รถหมดระยะมานิดนึงก็ถึง ทำให้เรารู้สึกว่าการเดินทางไปนั้นมันง่ายมาก

ถือว่าเราก็ได้รู้จักเส้นทางอีกเส้นทางหนึ่งจากการเอาเครื่องช่วยฟังไปเช็คล้าง

เราว่าการนั่งรถเมล์ก็เป็นอะไรที่สนุกดี การไปในเส้นทางใหม่ๆ ก็เป็นอะไรที่ตื่นเต้นดี ตื่นเต้นว่าเราจะลงถูกป้ายไหม เราจะเดินไกลไหม รถเมล์มันจะผ่านที่เราจะไปหรือเปล่า

แต่ถ้าเราเตรียมตัวไปก่อน ศึกษาเส้นทางไปก่อน มันจะช่วยให้เราเบาใจได้ ตอนนี้เราสามารถค้นหาเส้นทาง ป้ายต่างๆ ที่รถเมล์จะจอดได้ในกูเกิล ถ้าใครอยากไปไหนด้วยรถเมล์ ก็ศึกษาเส้นทางไปก่อนได้นะคะ


เอาล่ะจบจากเรื่องรถเมล์ ก็มาถึงการตรวจสอบสภาพจิตใจกันก่อนไปพบหมอในวันพรุ่งนี้กันบ้าง พรุ่งนี้วันพ่อและก็เป็นวันที่เราต้องไปพบหมอ เรากับแม่จะไปพบหมอก่อน แล้วค่อยไปทานข้าวกันแบบพร้อมหน้า

สำหรับเรา เราว่าสภาพจิตใจเราค่อนข้างกลางๆ (แต่ตอนนี้น้องเราอยู่ในช่วงแมเนีย ช่วงคึกคัก) บางทีก็อยากคึกคักอย่างน้องบ้างเหมือนกันนะ แต่ก็ไม่ดีหรอก เพราะคึกคักของไบโพลาร์ มันก็เป็นอะไรที่น่าห่วง น้องเราก็ต้องไปพบหมอวันที่สิบ นี่ทางบ้านก็อยากให้หมอช่วยบอกน้องให้กลับไปกินยา แต่ก็ไม่รู้ว่าถ้าหมอบอกแล้วน้องจะกลับไปกินหรือเปล่า

ช่วงแมเนียเป็นอะไรที่น่าห่วงพอๆ กับช่วงดีเพรส ช่วงซึมเศร้า ก็หวังว่าน้องจะกลับไปกินยา เพราะพระเจ้าก็ไม่ได้ช่วยให้โรคนี้หายไปหรอกนะ ถ้าจะให้หาย มันก็ต้องกินยา อยู่ที่ว่าคนป่วยจะยอมกินยาหรือเปล่า

อย่างเราเอง เราว่าเราก็ไม่มีอาการหวาดระแวง แล้วก็ไม่ได้เห็นภาพหลอน หรือคิดอะไรไปเองเหมือนช่วงก่อน แต่เราก็ต้องกินยา เพราะหมอสั่งให้กินยา เราจะหยุดได้ก็ต่อเมื่อหมอสั่งให้หยุด ซึ่งก็ไม่รู้ว่าเมื่อไหร่

การกินยาก็ไม่ได้ลำบากอะไร เพียงแต่เราแค่รู้สึกว่าตั้งแต่เราป่วย เข้าโรงพยาบาล หาหมอ และกินยานั้น เรารู้สึกว่าเราอ้วนขึ้น แต่หมอบอกว่ายาตัวที่ให้กินไม่ได้ทำให้อ้วน แต่เราก็แอบคิดว่าถ้าไม่ต้องกินยา น้ำหนักมันจะลงหรือเปล่า แต่ก็ยังไม่เคยเสี่ยงหยุดกิน ยังคงกินยาต่อเนื่องไปเรื่อยๆ ทุกวัน

สภาพจิตใจเราก็อยู่ในทางสายกลางอย่างที่บอก ไม่ได้สุขใจจนล้นเวอร์ แล้วก็ไม่ได้ทุกข์ใจจนดิ่ง ทุกอย่างอยู่ในแนวกลางๆ

ก็หวังว่ามันจะคงที่แบบนี้ไปเรื่อยๆ แล้วก็หวังว่าสักวันหมอคงจะให้หยุดยา เพราะว่าเราหายสนิทแล้ว ก็หวังไว้สักวันว่าเราคงไม่ต้องไปพบหมออีก ก็หวังเอาไว้อะนะ



Create Date : 04 ธันวาคม 2562
Last Update : 4 ธันวาคม 2562 20:54:04 น.
Counter : 725 Pageviews.

มีชีวิตอยู่เพื่อดูละคร


วันนี้ได้อ่านข่าวจากหนังสือพิมพ์ไทยรัฐว่านักร้องนำวง Fridaynight to Sunday ชื่อ คิว ได้ผูกคอตาย ลาจากโลกนี้ไปด้วยสาเหตุของโรคซึมเศร้า (ความจริงเรารู้ข่าวก่อนหน้านี้แล้ว เพราะตาม #โรคซึมเศร้า ในทวิตเตอร์ แล้วมีคนโพสต์บอก)

ก็รู้สึกว่าปีนี้มีคนจากไปด้วยโรคซึมเศร้าอยู่หลายคน โรคซึมเศร้าเป็นเรื่องของสารเคมีในสมอง ถ้าไม่ได้ไปเข้ารับการรักษา กินยา ก็อาจจะทำให้เกิดเหตุดังที่เป็นข่าวนี้ได้

น้องชายของเราป่วยเป็นโรคไบโพลาร์มาหลายปี โรคนี้ก็จะมีช่วงที่เป็นซึมเศร้าด้วย หลายปีก่อนน้องเราก็เคยมีความคิดจะกระโดดตึก เคยคิดจะกระโดดจากคอนโดฯ ที่พัก แต่พ่อแม่ไปช่วยไว้ได้ทัน น้องเราเคยแอดมิทเข้าโรงพยาบาลรักษาอาการอยู่นานเหมือนกัน ตอนนี้น้องเราดีขึ้นแล้วจากการเปลี่ยนศาสนา มีที่ยึดเหนี่ยวคือพระเจ้า เวลาเขามีปัญหาอะไร เขาจะขอพรจากพระเจ้า ทำให้เรารู้สึกว่าการที่คนป่วยจะอาการดีขึ้น นอกจากจะต้องพบหมอ เข้ารักษาตามปกติแล้ว ยังจะต้องมีที่ยึดเหนี่ยวทางจิตใจด้วย

ในส่วนของตัวเรา บางครั้งเราก็แปลกใจอยู่ เราเจอเหตุการณ์ต่างๆ มากมายในชีวิต ที่มันควรจะต้องเป็นโรคซึมเศร้า และควรจะต้องเป็นตั้งแต่มัธยม แต่ทำไมเราไม่เป็นนะ อาจจะเป็นเพราะเรามีแม่เป็นที่พึ่ง มีแม่เป็นที่ระบาย มีแม่คอยรับฟังก็อาจจะเป็นได้

พอโตมา เราก็มีดารา นักร้องเป็นที่พึ่ง เราควรจะต้องมีชีวิตอยู่เพื่อดูพวกเขาเหล่านี้

ตอนนี้มีชีวิตอยู่เพื่อดูละคร มีละคร มีซีรีส์มากมายที่เรายังไม่ได้ดูเลย

จบจากเรื่องเรือนไหมมัจจุราช เดี๋ยวก็มีเรื่องหนี้เสน่หามาให้เราได้ดูไอซ์ พาริส ช่อง 7 ก็มียอดรักนักรบให้เราได้ดูเวียร์ ศุกลวัฒน์ โอ๊ย ชีวิต แค่นี้ก็มีความสุขแล้ว

แต่เราเข้าใจนะว่าคนที่เป็นโรคซึมเศร้า จะไม่ได้มีความสุขง่ายๆ อย่างเรา เขาต้องต่อสู้กับตัวโรค และต้องอดทนต่อสภาพแวดล้อมอะไรต่างๆ มากมาย

เราโชคดีที่มีครอบครัวเป็นที่พึ่ง มีความเข้าอกเข้าใจกันในครอบครัว จึงไม่ค่อยมีปัญหาอะไร แต่ถ้าในอนาคตข้างหน้าเกิดมีปัญหาก็ค่อยๆ ปรับแก้กันไป

สิ่งที่เรากังวล คือ ถ้าในอนาคตข้างหน้าอันไกลๆ ถ้าพ่อกับแม่เราไม่อยู่แล้ว แล้วน้องเราเกิดมีอาการขึ้นมา เราจะรับมือไหวไหม แต่เราก็คิดว่าเราก็ยังมีน้าๆ ยังมีน้องสะใภ้ และก็หลาน ก็น่าจะช่วยกันประคับประคองกันไปได้ ก็ขออย่างเดียว ขออย่าให้เราเป็นด้วยอีกคนก็แล้วกัน ถ้าเป็นกันทั้งพี่ทั้งน้องก็จะแย่ เราต้องพยายามรักษาใจเราให้อยู่ในแดนบวกเข้าไว้ มีอะไรเกิดขึ้นก็ค่อยๆ เรียนรู้แก้ไขกันไป

เหมือนอย่างที่เราเคยเขียนนั่นแหละ อยู่ที่เรียนรู้ อยู่ที่ยอมรับมัน...

ไม่ว่าอะไรจะเกิดขึ้น ขอเพียงมีสติ ก็จะแก้ไขได้

ตอนนี้เราก็อยู่ดูเวียร์ ดูไอซ์ พาริสให้สำราญบานใจไปก่อน อนาคตยังมาไม่ถึง ถ้ามาถึงแล้วค่อยว่ากัน






ขอบคุณรูปภาพจากอินเทอร์เน็ต



Create Date : 01 ธันวาคม 2562
Last Update : 1 ธันวาคม 2562 15:10:33 น.
Counter : 635 Pageviews.

นอนไม่หลับ
 



ขอบคุณรูปภาพจากอินเทอร์เน็ต


แค่ขึ้นหัวข้อมาก็นึกถึงเพลงวงซาซ่า “อยู่ๆ ก็มีเรื่องราวให้นอนไม่หลับ ให้กลับมาคิดวกวนทั้งคืนวุ่นวาย...” แต่อาการนอนไม่หลับของเรา ก็ไม่มีอะไรต้องคิดวกวน เพราะชีวิตเราไม่มีอะไรให้เครียด เพราะเราจะพยายามทำตัวไม่ให้เครียด

บางคืนที่ดูละครย้อนหลังเรื่องเรือนไหมมัจจุราช เราก็พยายามคิดถึงเรื่องละคร และพยายามทำตัวให้หลับ แต่มันก็ไม่หลับ ก็คิดถึงอาซา อาเซี้ยะ คิดถึงรุ่นลูกๆ หรือว่าบางทีเราอาจจะกำลังตื่นเต้น รอลุ้นตอนต่อไปว่าจะเกิดอะไรขึ้นก็เป็นได้ เรื่องนี้เป็นเรื่องที่เราติดมากในตอนนี้

แต่การติดละคร ก็ไม่น่าห่วงเท่ากับการติดยานอนหลับ เรากลัวกินไปบ่อยๆ เข้า มันจะติด

เคยคิดว่าถ้านอนไม่หลับ จะลุกขึ้นมานั่งอ่านหนังสือ แต่ก็กลัวว่าจะอ่านยาวจนไม่ได้นอนอีก ถ้าไม่ได้นอนน่ะเกิดปัญหาแน่ๆ ถ้าวันรุ่งขึ้นไม่พายายไปฟอกไตน่ะไม่เป็นไร แต่ถ้าต้องพายายไปฟอกไตน่ะคงแย่

ตอนนี้คงต้องรักษาสภาพจิตใจ และร่างกายให้กลับมาเหมือนเดิม

ว่าจะบอกตัวเองว่าไม่ต้องตามการเมืองแล้ว แต่เมื่อช่วงสายของวันนี้ก็เข้าทวิตเตอร์ไปดู #วิ่งไล่ลุง นี่แปลว่าเราก็ยังสนใจการเมืองอยู่

หรือที่เราสนใจการเมือง เขียนเรื่องการเมืองอยู่ อาจทำให้เราเป็นกังวลก็ได้ มันก็เลยนอนไม่หลับ เมื่อวานก็เขียนถึงคุณธนาธร เมื่อคืนก็นอนไม่หลับ กินยานอนหลับไปเม็ดหนึ่ง ก็เหมือนจะหลับได้ แต่ตื่นมาก็ยังง่วง ที่นั่งพิมพ์ๆ อยู่นี่ก็รู้สึกมึนๆ ง่วงๆ นะ แต่จะไปนอนก็ไม่ได้ เพราะมีงาน เดี๋ยวต้องไปเอาผ้าออกตาก แล้วเดี๋ยวคิดว่าจะช่วยล้างจานอะไรด้วย ถ้าน้ายังไม่ได้ล้าง

เราก็มีเรื่องให้ทำตลอดล่ะ นิยายก็ยังเขียนไม่จบ นิยายเก่าที่เคยตีพิมพ์แล้วว่าจะเอามาทำเป็นอีบุ๊กบางเรื่องก็ยังไม่ได้ทำ ก็ค่อยๆ ทำไป

ทำไปเรื่อยๆ เหนื่อยก็พัก นอนไม่หลับก็กินยา

แต่เราพยายามเลี่ยงยานอนหลับอยู่นะ บอกตัวเองว่าพยายามกินให้น้อย ถ้าไม่จำเป็นก็ไม่ต้องกิน ถ้านอนไม่หลับก็ให้ลุกมาอ่านหนังสือ อ่านหนังสือพอให้ง่วง ถ้าง่วงแล้วเดี๋ยวก็นอนหลับได้เอง

แต่แม่ของเราใช้สูตรคุณย่า ถ้านอนไม่หลับ ให้ลุกมาหาอะไรกิน แต่เราใช้สูตรนี้ไม่ได้ เพราะเรากำลังพยายามลดน้ำหนักอยู่ ตั้งแต่เราป่วยเข้าโรงพยาบาล และกลับมาอยู่ที่บ้าน น้ำหนักเราขึ้น ขึ้นมาตั้ง 5 กิโลแหนะ เราคิดว่าเป็นเพราะยาหรือเปล่า แต่หมอบอกว่ายาตัวนี้ไม่ได้ทำให้อ้วน ถ้าเป็นยาตัวอื่น จะเป็น เพราะน้องเราก็น้ำหนักขึ้นมาก ตั้งแต่ป่วยเป็นไบโพลาร์เหมือนกัน แต่ตอนนี้น้องเราหยุดยาแล้ว น้ำหนักก็เหมือนเริ่มลง ไม่อ้วนเท่าเก่า


เราคิดว่าเราจะออกกำลังกายให้มากขึ้น แต่มันก็คงไม่ได้มากพอ เพราะน้ำหนักเราก็ยังไม่ค่อยลดสักเท่าไหร่ ว่าจะแกว่งแขนให้ได้สักพันครั้ง ก็ยังทำไม่เคยถึง

เราอยากจะลดน้ำหนักให้กลับไปได้เท่าเดิม แต่ตอนนี้ก็ยังทำไม่ได้ ไม่รู้จะมีโอกาสกลับไปได้เท่าเดิมอีกไหม แล้วถ้าไม่ต้องกินยาทางจิตเวชแล้ว น้ำหนักเราจะลดไหม เพราะจริงๆ เราไม่ได้เป็นคนกินเยอะนะ ปริมาณที่กินก็พอๆ กับตอนก่อนที่จะป่วย ก็ยังงงๆ ว่าทำไมมันถึงขึ้นมาได้เยอะจัง

จากนี้เราคงต้องใส่ใจสุขภาพกาย สุขภาพใจให้มันมากขึ้นกว่าเดิม อย่าให้มันดิ่ง อย่าให้มันดับ อย่าให้มันวูบ มองโลกในแง่บวกไว้ อะไรที่มันเครียดก็ให้ตัดทิ้ง ให้กำลังใจคนอื่นน่ะบ่อยแล้ว ให้กำลังใจตัวเองบ้าง

รักตัวเองให้มาก แล้วทุกๆ อย่างจะดีขึ้นเอง



Create Date : 30 พฤศจิกายน 2562
Last Update : 30 พฤศจิกายน 2562 12:50:07 น.
Counter : 657 Pageviews.

1  2  3  4  5  6  7  8  9  10  11  12  13  14  15  16  17  18  19  20  

comicclubs
Location :
  

[ดู Profile ทั้งหมด]
 ฝากข้อความหลังไมค์
 Rss Feed
 Smember
 ผู้ติดตามบล็อก : 27 คน [?]



Group Blog
    All Blog
  •  Bloggang.com