Group Blog
 
<<
สิงหาคม 2553
1234567
891011121314
15161718192021
22232425262728
293031 
 
7 สิงหาคม 2553
 
All Blogs
 
เว้ ดานัง ฮอยอัน ตอนที่ 1

ได้ฤกษ์กันซะที ผมและเพื่อนๆที่เป็นรุ่นพี่อีก 3 คนอายุรวมกันมากกว่าสองร้อยปี เริ่มเห็นตรงกันว่าเราควรจะหาประสบการณ์ใหม่ๆบ้าง เราไม่เคยไปทัวร์แบบนี้มาก่อน ผมหนุ่มที่สุดใน 4 คน ไม่ถึงกับดีใจที่เป็นเด็กกว่าเพื่อนเพราะคนที่อายุมากที่สุดเกษียณไปแล้ว คนรองลงมาเกษียณปีนี้ อีกคนหนึ่งอายุมากว่าผมไม่มากนัก

เป็นครั้งแรกที่เราทั้ง 4 คนจะไปกับทัวร์ซึ่งรวมกับคณะอื่นๆที่ไม่เคยรู้จักกันมาก่อน เรียกว่าคละลูกทัวร์ก็ว่าได้ นับได้ 33 ชีวิต บางคนมาเป็นครอบครัวใหญ่ คู่สามีภรรยา หรือมาเดี่ยวๆ ก็มี "เอสซี ฮอลิเดย์" เป็นบริษัททัวร์ที่ให้บริการแก่พวกเราในครั้งนี้ ลูกทัวร์ออกปากกันว่าประทับใจหลายๆ ยิ่งผู้สูงวัยด้วยแล้วแฮปปี้ไปตามๆกัน

ผมอยากตั้งชื่อทัวร์นี้ว่า "ทัวร์หนีลูกไปเที่ยว" ผู้อาวุโสมาเป็นคู่ๆ ขากลับเห็นโทรศัพท์ (ที่ปิดกันทุกคนหลังผ่านเข้าแดนประเทศลาว) ดังกริ้งกร้าง ลูกๆโทร.เข้ามาด้วยความเป็นห่วง ผมว่าทัวร์คณะนี้น่ารัก ว่าไงว่าตามกัน ไกด์บริการผู้สูงวัยเหมือนเป็นพ่อแม่ การจัดการทัวร์เขามืออาชีพจริงๆ

สิ่งที่พวกเรากังวัลและใจตรงกันคือไม่อยากแนะนำตัว เพื่อนของผมเล่าให้ฟังว่าเคยไปกับทัวร์บริษัทหนึ่ง ไกด์ให้ทุกคนแนะนำตัว หวังว่าจะได้รู้จักกัน แต่ผู้ร่วมเดินทางไม่สนุกด้วย บางคู่บางคนอยากมาแบบไม่เปิดเผย ขอให้รู้จักกันแค่หน้าตาก็พอ พวกเราโล่งใจ ที่ไกด์ไม่มีพิธีกรรมนี้

กำหนดการ รถจะออกที่หน้าสวนลุ่มพินี ในเย็นของวันที่ 16 ก.ค. 53 เวลา 18.00 น. เราทั้ง 4 คนไปก่อนเวลา จึงอ้อยอิ่งกินส้มตำจิ้มจุ่มกันแถวนั้น ฝนตกปรอยๆ อากาศน่าง่วงนอน กว่าจะลุกจากร้านอาหารได้ก็จวนเจียนเต็มที แต่ละคนมีสีหน้ากังวลไปต่างๆนาๆตามประสาวัยรุ่น (เหลือน้อย) เมื่อมาถึงรถทัวร์ เวลาล่วงเลยไปเล็กน้อย ลูกทัวร์คนอื่นๆนั่งกันเต็มรถแล้ว รู้สึกอายนิดๆ สายจนได้



"น้องจิต" ไกด์สาวไทย พูดคุยอย่างเป็นกันเองทำให้ผู้อาวุโสเกิดความเอ็นดูเหมือนลูกหลาน เวลาพูดหน้าไมค์ไกด์ทุกคนจะเรียกลูกทัวร์ว่าคุณพ่อคุณแม่ทุกคำ

รถที่จะไปส่งเราที่ชายแดนมุกดาหาร เป็นรถบัสปรับอากาศ 2 ชั้น นั่งสบาย ไกด์สาว 2 คน ชื่อน้องเมย์กับน้องจิต ให้การต้อนรับอย่างกันเอง บริการดีเยี่ยมตลอดเส้นทาง พวกเธอตั้งชื่อคณะของเรา 4 คน ว่า F4 (น่าจะเป็นตัวพ่อมากกว่า) ทางบริษัททัวร์แจ้งแผนผังที่นั่งให้เราทราบตั้งแต่ก่อนเดินทางมา ใครมาด้วยกัน จัดให้นั่งใกล้ๆกัน มีอาหารมื้อแรกแจกบนรถ

เมื่อได้ที่นั่งเรียบร้อยแล้ว ผมมองไปรอบๆ ล้วนผู้สูงอายุทั้งนั้น อายุเกิน 70 อยู่ 2 ท่าน มีวัยรุ่นสัก 3-4 คนเห็นจะได้ บรรยากาศช่างเงียบและวังเวง กังวลว่าเสียงของกลุ่มเราจะดังไปรบกวนผู้เฒ่าที่นั่งข้างหน้า ถึงกระนั้นก็เถอะ เราหวังว่าบรรยากาศจะดีขึ้นเรื่อยๆ ตามเวลาที่ต้องอยู่ด้วยกันในการเดินทางนับพันกิโลเมตร เป็นจริงดังคาดครับ ความเป็นคนไทยด้วยกัน จึงสร้างความคุ้นเคยกันได้ไม่ยาก

คณะทัวร์ของเรามาถึงมุกดาหารตีสี่ วันที่ 17 ก.ค. 53 ถึงก่อนเวลาราว 1 ชั่วโมง บางทัวร์ที่มาเส้นทางเดียวกันกับเรา ออกรถช้าจึงติดอยู่ที่สระบุรี กว่าจะถึงมุกดาหารก็สายแล้ว ต้องปรับแผนกันใหม่ พวกเราเข้าพักที่โรงแรมพลอยพาเลซ อาบน้ำอาบท่า รับประทานอาหารเช้ากันที่นี่ ที่พักดี อาหารอร่อย หลังจากนั้นออกเดินทางไปที่ด่านชายแดนของไทยที่มุกดาหาร ข้ามสะพานมิตรภาพไทย-ลาวแห่งที่สอง ไปด่านตรวจคนเข้าเมืองของลาวที่สะหวันนะเขต





ฉากหลังเป็นสะพานมิตรภาพไทย-ลาวแห่งที่ 2





คณะที่มากับทัวร์ ไกด์จะดำเนินการด้านเอกสารการผ่านแดนให้ทั้งหมด


หลังจากผ่านด่านตรวจคนเข้าเมืองที่สะหวันนะเขตแล้ว เราเปลี่ยนเป็นรถบัสชั้นเดียว 45 ที่นั่ง ไม่มีห้องน้ำ เลขที่ทะเบียนรถของประเทศลาว คนขับเป็นชาวเวียดนาม ที่นั่งจัดกันล่วงหน้าตั้งแต่ก่อนออกเดินทาง สบายใจด้วยกันทุกคน มีไกด์สาวชาวลาวขึ้นมาคุยเป็นเพื่อนตั้งแต่รถวิ่งจากชายแดนที่ติดกับไทยไปยังชายแดนลาวที่ติดกับเวียดนามที่ "แดนสะหวัน" ข้ามไปเวียดนามที่ด่าน "ลาวบาว"

ระยะทางที่ผ่านลาวประมาณ 245 กม. ใช้เวลาเดินทาง 3 ชม. ใช้เส้นทางถนนหมายเลข 9 ทางเรียบใช้ได้ สองข้างทางยังเป็นชนบทอยู่มาก เริ่มมีการก่อสร้างโรงงานขนาดใหญ่ เช่นโรงงานน้ำตาลจากไทย



"ตุลา" ไกด์สาวชาวลาว (สะพายกระเป๋าสีขาว) ได้สร้างสีสันตลอดเส้นทาง หน้าที่ไกด์นี้สำคัญมาก เป็นหน้าตาของประเทศ ความเห็นในมุมมองของเธอจะเป็นที่จดจำของลูกทัวร์ เธอทำหน้าที่ได้อย่างดี ทำให้คนไทยมีความเข้าใจประเทศลาวในแง่มุมต่างๆ

บ้านของชาวลาวสองข้างทาง ส่วนใหญ่เป็นบ้านชั้นเดียวใต้ถุนสูง ห้องน้ำห้องท่าไม่ค่อยเห็น นานๆจะเห็นถนนที่เป็นซอยสองข้างทาง ไกด์บอกว่าลึกๆเข้าไปสองข้างทาง ชาวบ้านยังใช้ชีวิตอยู่กับธรรมชาติ สมบัติไม่ใช่เงินทอง แต่เป็นสัตว์เลี้ยวที่มีชีวิต เช่น ควาย หมู แพะ เป็ด ไก่

เส้นทางหมายเลข 9 นี้จะเป็นทางผ่านของคณะทัวร์ราว 30 คันรถซึ่งเดินทางไปพร้อมๆกับคณะของเรา แทบไม่มีการจับจ่ายใช้สอยในประเทศลาวเลย ระหว่างทางผมเห็นค่ายทหารอเมริกันที่ร้างๆหลายแห่ง หากปรับปรุงและมีประวัติศาสตร์ความเป็นมากำกับจะหน้าสนใจไม่น้อย

ตลอดเส้นทางที่ผ่านประเทศลาว เราแวะพักระหว่างทางที่ร้านค้าแห่งหนึ่ง เพื่อเข้าห้องน้ำ



ระหว่างแวะพักมีเด็กๆเดินขายไก่ย่าง



ร้านขายเครื่องมือเครื่องใช้สารพัด



มอเตอร์ไซค์มีป้ายทะเบียนรถสีเหลือง


พักรับประทานอาหารกลางวันที่ร้านอาหารชายแดนประเทศลาวหรือแดนสะหวัน ระหว่งนั้นมีบริการแลกเงินเวียดนาม หรือเงินดอง อัตราแลกเปลี่ยนบาทละ 500 ดองเศษ ผมเองไม่ได้แลกเงินดองเลย ไกด์บอกว่าแหล่งท่องเที่ยวที่คนไทยจะแวะช็อปปิ้ง เขารับเงินบาทกันทั้งนั้น เตรียมแบงก์ยี่สิบกับแบงก์ร้อยไทยไปมากๆก็แล้วกัน




ป้ายหน้าร้านที่พวกเราเติมพลังตอนเที่ยงก่อนลุยเวียดนาม



ชาวบ้านที่ด่านแดนสะหวัน



ลาวบาวด่านชายแดนเวียดนาม


ขณะที่ผ่านด่านลาวบาว เจ้าหน้าที่ของเวียดนามตรวจไข้หวัด 2009 ใช้เครื่องมือบางอย่างตรวจอุณหภูมิที่หน้าผากที่ละคน โดยคณะทัวร์ของเราไม่ต้องลุกจากที่นั่ง

หน้าที่ไกด์หลังจากนี้อีก 3 วันเต็มจะเป็นของชายหนุ่มชาวเวียดนาม มีชื่อแบบไทยๆว่า "อาทิตย์" สำหรับคนไทยเรีกกง่ายและจำง่ายกว่าชื่อเวียดนาม เขาได้รับทุนจากรัฐบาลเวียดนามส่งมาเรียนที่ ม.ราชภัฏสกลนคร จบปริญญาตรีการเงินการธนาคาร เป็นเด็กนักเรียนนอกของเวียดนามในรุ่นแรกจากจำนวน 20 คน





ไกด์หนุ่มชาวเวียดนาม พูดได้ไม่หยุด มีสาระน่าฟัง


"อาทิตย์" เป็นไกด์ที่ไม่รู้จักเหน็ดเหนื่อยจาการพูดตลอดเส้นทางหลายร้อยกิโลเมตร เล่าเรื่องตั้งแต่ประวัติศาสตร์ ชีวิตความเป็นอยู่ของชาวบ้าน ทัศนคติ เล่นเอาผู้อาวุโสในคณะทัวร์ของเราตั้งใจฟังราวกับว่าจะต้องกลับไปเขียนรายงาน นอกจากความรู้แล้ว เขายังเรียกเสียงฮาได้ตลอดทริปของการเดินทาง

เส้นทางผ่านไปยังอุโมค์มินห์ม็อก ที่จริงมีวิวริมทะเลสวยๆอยู่มาก แต่เก็บภาพไม่ทัน



สะพานข้ามแม่น้ำแห่งหนึ่ง



แม่น้ำสายหนึ่งจากจำนวนหลายสาย ไกด์บอกว่าเวียดนามมีแม่น้ำมากจนยากที่จะจดจำชื่อได้



ที่เห็นไกลลิบๆนั้น ล้วนเป็นสุสานอยู่บนหัวไร่ปลายนา หรือใกล้ๆที่อยู่อาศัย ตามประเพณี คนเวียดนามมักจะฝั่งผู้เสียชีวิตไว้ที่สุสาน ซึ่งอยู่ไม่ไกลจากที่อยู่อาศัย ไกด์บอกว่าคนเวียดนามไม่กลัวผี บรรพบุรุษจะช่วยคุ้มภัยให้กับลูกหลาน



บ้านหลังหนึ่งในเวียดนาม ที่เห็นส่วนใหญ่จะเป็นคล้ายห้องแถวห้องเดียวอาจสูงหลายชั้น เหมือนกล่องไม้ขีดตั้งขึ้น ผมเคยเห็นตึกแถวห้องเดียวแบบนี้ที่จังหวัดพัทลุง

บ่ายแก่ๆ มาถึงหมู่บ้านวินห์ม็อก (Vinh Moc village) ในเขตเมืองกวางตรี เพื่อชมอุโมงค์หลบภัยสงคราม

อุโมงค์วินห์ม็อก ขุดขึ้นมาในช่วงสงครามเวียดนามกับอเมริกัน ตั้งแต่ปี พ.ศ. 2509 ใช้เวลาขุด 3 ปี แบ่งความลึกลงไป 3 ระดับ คือลึก 12 เมตร, 15 เมตร, และ 23 เมตร ตามลำดับ โดยมีทั้งหมด 114 อุโมงค์เชื่อมกัน เพื่อใช้เป็นหลบภัยของชาวบ้าน 60 ครอบครัวนาน 6 ปี เด็กที่เกิดในอุโมงค์จำนวน 17 คน

ในอุโมงค์มีคอกเลี้ยงสัตว์ มีบ่อน้ำ ห้องพยาบาล ห้องสุขา ห้องซักล้าง ห้องครัว ห้องประชุม และเป็นที่เก็บสะสมอาวุธ เรื่องนี้สร้างความประหลาดใจให้กับทหารอเมริกันมากที่เห็นทหารเวียดกงราวกับผี เห็นไกลๆกลางทุ่ง พอเข้าไปใกล้หายวับไปกับตา (ลงอุโมงค์)

หลังจากออกจากอุโมงค์แล้ว เกิดความรู้สึกบางอย่าง คล้ายๆกันการยึดมั่นถือมั่นในความมีตัวตนของเราลดลง การที่คนทั้งหมู่บ้านไม่ทิ้งที่อยู่ พร้อมที่จะสู้กับผู้รุกรานทุกรูปแบบ แม้แต่ขุดอุโมงค์อยู่ก็เอา ผมรู้สึกว่าความรันทดหดหู่ยังไม่จางหายไปไหน



ลูกระเบิดขนาดต่างๆซึ่งเป็นเครื่องเตือนใจไม่กี่อย่างที่หลงเหลืออยู่



ภาพนูนต่ำเกี่ยวกับการขุดอุโมงค์วินห์ม๊อกและบรรยากาศของสงครามที่พิพิธภัณฑ์ใกล้ทางเข้าอุโมงค์



ธงและเหรียญประดับเครื่องแบบทหาร



หลังจากที่ไกด์เวียดนาม (อาทิตย์) สรุปความเป็นมาที่พิพิธภัณฑ์แล้ว เขาชักชวนให้คณะทัวร์ของเราเดินเรียงหนึ่งลงไปในอุโมงค์ แล้วแต่ความสมัครใจ เดินเข้าไปในระยะทางสั้นๆ ใช้เวลาประมาณ 15 นาทีก็โผล่มาอีกด้าน ในนั้นค่อนข้างมืด ต้องให้สุ้มให้เสียงกับคนที่เดินมาข้างหลัง ว่าไหนเป็นพื้นราบ ส่วนไหนเป็นกระได ออกมาแล้วจึงได้รู้ได้เห็นความลำบากของคนตัวเล็กๆในอุโมงค์แห่งนี้



ทางลงอุโมงค์



ในอุโมงค์เป็นทางเดินแคบ ๆ มีแสงไฟส่องสว่างเพียงเล็กน้อยพอมองเห็น



ครอบครัวหนึ่งในห้องขนาดเล็ก การอาศัยในห้องนี้ทำได้เพียงนั่งหรือนอนเท่านั้น ยืนไม่ได้



ห้องคลอด



คนดังแห่งอุโมงค์วินห์ม็อก เขาเคยอาศัยในอุโมงค์แห่งนี้ในวัยเด็ก



คนไทยเรียกเปลญวน ลืมถามไกด์ว่าเวียดนามเขาเรียกอะไร



หลังจากลอดอุโมค์มาเหนื่อยๆ พักกินกาแฟร้อน

เพื่อนๆของผมไปนั่งที่ร้านขายของกินใกล้ๆกับอุโมงค์ สั่งกาแฟร้อน แม่ค้าพอพูดไทยได้นิดหน่อย เธอกุลีกุจอทำตามสั่ง แทนที่จะไปหากาต้มน้ำ ซึ่งไม่มีในบริเวณนั้น เธอเอามือสองมือควานหาของสิ่งหนึ่งที่แช่น้ำแข็งในถังสีน้ำเงิน แล้วกำกระป๋องกาแฟ "เบอร์ดี้" ด้วยมือทั้งสองอย่างกับเขย่าติ้ว หันมาทางพวกเรา ชูกระป๋องกาแฟขึ้น พูดเสียงดัง ว่า ฮ็อท ๆๆๆ...

หลังจากนั้น พักรับประทานอาหารเย็นที่เมืองเว้ เสร็จแล้วเข้าพักที่โรงแรม กรีนเว้โอเต็ล ที่พักสะดวกสบาย นับเวลารวมแล้วอยู่บนรถวันกับคืนหนึ่งเต็มๆ หัวถึงหมอนจึงหลับไม่รู้เรื่อง ตามแผนที่จะเดินชมเมืองเว้ยามค่ำคืนมีอันต้องพับไป



ท้องทุ่งสองข้างทางมุ่งไปยังตัวเมืองเว้





ปั้มน้ำมันเพื่อให้ลูกทัวร์ได้ยืดเส้นยืดสายและเข้าห้องน้ำ



รถบรรทุก ผมเห็นรถที่วิ่งผ่านไปมา นอกจากมีป้ายทะเบียนหน้า-หลังแล้ว ยังมีเลขทะเบียนรถพ่นสีไว้ที่ด้านข้างรถทั้ง 2 ข้าง เหมาะสำหรับการตรวจจับความเร็วรถ



อาคารหลังหนึ่ง ประดับธงพรรคคอมมิวนิสต์เวียดนาม (ค้อนกับเคียวบนพื้นสีแดง)
และธงชาติเวียดนาม (ดาวสีเหลืองบนพื้นสีแดง)



อนุสาวรีย์แห่งหนึ่ง



มุมหนึ่งของเมืองเว้ยามเย็น วิวสวยเหมือนภาพเขียนเวียดนาม



ถึงแล้วโรงแรมกรีนเว้โฮเต็ลระดับ 4 ดาว



Create Date : 07 สิงหาคม 2553
Last Update : 17 สิงหาคม 2553 20:10:33 น. 36 comments
Counter : 4916 Pageviews.

 
เห็นแล้วอยากกลับไปนอนสบาย ๆ ที่เว้และดานังอีก... ถึงจะวุ่นวาย แต่บรรยากาศชาวบ้านดี


โดย: sirimas_m วันที่: 7 สิงหาคม 2553 เวลา:11:41:37 น.  

 
พี่อิมเล่าได้ละเอียดลออ สมที่รอชมจริงๆค่ะ...บรรยากาศเหมือนชนบทบ้านเราไหมคะ นกดูคล้ายแต่ไม่เหมือนซะทีเดียว แต่อุโมงค์นั้นทำให้เศร้าใจ หลายครั้งการเดินทางไปในประเทศเหล่านี้เรามักพบภาพหรืออนุสรณ์ที่ทำให้สะเทือนใจเสมอๆ
ชอบภาพทุ่งนาที่ถ่ายจากในรถ ฟ้าสวยใสๆแบบนี้ไม่ได้เห็นมานานแล้วค่ะ ส่วนภาพที่สวยที่สุดคือภาพสุดท้ายหน้าโรงแรมค่ะ แสงเงาและน้ำหนักสวยมากๆ รอติดตามต่อนะคะ


โดย: popang IP: 124.122.111.240 วันที่: 7 สิงหาคม 2553 เวลา:11:52:05 น.  

 
แวะไปเที่ยวเวียดนามด้วยคนคะ


โดย: kapeak วันที่: 7 สิงหาคม 2553 เวลา:12:18:23 น.  

 
ผมเองก็เคยไปทัวร์เส้นทางสายนี้เมื่อสักสองปีก่อนครับ

ที่เข็ดจนตาย ก็คือ สัญญาว่า ต่อไปจะไม่ไปเที่ยวไกลๆ แบบนี้ทางรถแล้ว

นั่งรถกันทรมานมากครับ ลงจากรถตอนเช้า ขาเดี้ยง แทบเดินไม่ได้

ก็เลยตั้งปฎิธานไว้ว่า ต่อไปถ้าไปต่างประเทศไกล ๆ ขอขึ้นเครื่องดีกว่า

แม้จะต้องแลกกับต้องจ่ายแพงขึ้นอีกหน่อย ก็คิดว่าคุ้มครับ

ว่ากันถึงบ้านเมืองของเวีตนาม

นับว่าเขาพัฒนาได้เร็วมากนะครับ

เพียง 20-30 ปีหลังสงคราม

เขาไล่จี้พี่ไทยมาแบบหายใจรดต้นคอเชียวละ

นี่ถ้าเรายังไม่คิดทำอะไรจริงๆ จัง ๆ กันแบบนี้

ผมว่าต่อไปคงได้เป็นฝ่ายวิ่งไล่เขาบ้างละ

จะรออ่านตอนต่อ ๆ ไปครับ


โดย: ลุงแว่น วันที่: 7 สิงหาคม 2553 เวลา:12:27:41 น.  

 
คงไม่นานหรอกค่ะลุงแว่น
เราต้องตามเขาแน่
เพราะเรามัวแต่ทะเลาะกัน
ถ้าเราสามัคคีกัน ร่วมแรงกัน
นู๋เชื่อว่า เรากินขาดแน่นอน


โดย: Huh Fool Again วันที่: 7 สิงหาคม 2553 เวลา:14:17:47 น.  

 
ต้องขอบคุณคุณลุงแว่นมากที่แต่งกลอนกระดิ่งลมไปฝากนะคะ เพราะมากเลยค่ะ ถึงจะไม่ใช่ไฮกุแต่ก็เอาไปเก็บไว้ในบล็อค "ไฮกุจากเพื่อนบล็อค" เรียบร้อยแล้ว

สภาพบ้านเมืองเวียตนามก็คล้าย ๆ บ้านเรานะคะ คนเวียตนามเป็นคนที่ขยันแล้วก็อึดมาก ประเทศเขาเคยล้าหลังมาก แต่เดี๋ยวนี้จวนจะแซงหน้าไทยไปอย่างคุณลุงว่าเลยค่ะ



โดย: haiku วันที่: 7 สิงหาคม 2553 เวลา:20:53:22 น.  

 

ที่บ้านมีลำตัด ให้ชมกันค่ะ... สบายดีนะคะ ....ระลึกถึงเสมอ เกศสุริยง
สร้างกริตเตอร์

ขอบคุณค่ะ ตั้งใจอยู่ก่อนแล้วว่าปิดเทอมนี้จะไปเที่ยวดานัง,เว้กับเพื่อน พอดีคุณimลงlineให้ดีเลยค่ะ รออ่านตอนต่อไปนะคะ


โดย: เกศสุริยง วันที่: 8 สิงหาคม 2553 เวลา:0:56:50 น.  

 
คุณ IM เขียนได้น่าอ่านมากค่ะ
ขอตามคณะ F4 ไปเที่ยวผ่านตัวหนังสือละกัน

ยังไม่เคยไปเว้ ได้แต่ไปทางใต้และอุโมงค์กู๋จีค่ะ


โดย: HoneyLemonSoda วันที่: 8 สิงหาคม 2553 เวลา:12:26:19 น.  

 
อินเทรนด์มากค่ะ ได้เป็น F4

ถ้ามองย้อนไปบ้านเมืองเวียตนาม ที่ผ่านสงครามมาอย่างโชกโชน คิดกลับมาถึงพวกเราคนไทยแสนจะโชคดี อยู่กันอย่างสุขสบาย แต่นั่นแหละเขาว่าไม่เห็นโลงศพไม่หลั่งน้ำตา เห็นที่อีกหน่อยเราต้องวิ่งตามเวียตนามแบบยิกไม่ทัน ("ยิก" ภาษาถิ่นใต้แปลว่า "ไล่" ค่ะ)

มาขอบคุณ คุณ IM ที่ไปโหวดให้ด้วยค่ะ

ขอบคุณค่ะ



โดย: ซองขาวเบอร์ 9 วันที่: 8 สิงหาคม 2553 เวลา:17:00:30 น.  

 

นึกว่าหายไปไหน
หลบหนีลุกไปเที่ยวเวียดนามนี่เอง

แถมไปเวียดนามแทนที่จะได้กินกาแฟ"Dao" ของเวียดนาม
กลับได้กินกำแฟ Berdy ซะงั้น

น่าไปเทียวจังนะคะ
แถม Intrend แบบตามหนังไทยเรื่อง"เราสองสามคน" เลย
ใช้ฉาก On the Road ระหวางไทย-ลาว-เวียดนาม เหมือนกัน


รอดูตอน 2 นะคะ..(ถ้ามี)


โดย: เริงฤดีนะ วันที่: 8 สิงหาคม 2553 เวลา:23:22:43 น.  

 
สวัสดีวันสีแดงค่ะ แวะมาเี่ที่ยวเวียดนามค่ะ บ้านเขายังเป็นธรรมชาติอยู่มาก อยากให้เขาอนุลักษณ์ไว้


โดย: ไผ่สวนตาล วันที่: 8 สิงหาคม 2553 เวลา:23:43:16 น.  

 
น่าไปจังเลยค่ะ เห็นแล้วแอบอิจฉา

การไปเที่ยวกับทัวร์ ไกด์ถือว่าเป็นองค์ประกอบหลัก ๆ ที่สำคัญที่จะทำให้ทริบนั้นน่าประทับใจ เคยไปทัวร์นครวัดค่ะ ไกด์ก็ทำหน้าที่บรรยายประวัติ และเล่าเรื่องต่าง ๆ ได้อย่างน่าสนฟัง พลอยทำให้สถานที่่นั้นดูน่าสนใจมากยิ่งขึ้น


โดย: NoiseN วันที่: 9 สิงหาคม 2553 เวลา:2:02:10 น.  

 
คลิกๆๆ รูปสวยๆน่ารักๆไว้ส่งต่อเพียบ...
รอตอน๒อยู่คร่าาาาาาคุณim


โดย: เกศสุริยง วันที่: 9 สิงหาคม 2553 เวลา:9:19:09 น.  

 
มานั่งอ่านเพลิดเพลินเจริญใจ
(คลายปวดฟันที่เพิ่งไปถอนมาครับ)
อยากไปเว้บ้าง
ตอนต่อไปชมวังใช่ไหมครับ
จะรอๆๆๆ


โดย: ดาวส่องทาง IP: 61.19.65.242 วันที่: 9 สิงหาคม 2553 เวลา:13:59:55 น.  

 
สวัสดีค่ะ

ขอบคุณมากนะคะที่แวะไปให้กำลังใจ แสนสุข ไม่ได้แวะมานานมากเพราะต้องปั่นๆๆๆๆๆ งานตามคำสั่ง บก. งานหลวงก็รุมกระหน่ำช่วงเปลี่ยนผู้บริหารค่ะ ประชุมกันอยู่นั่นเฮ้อ.... เหนื่อยมากค่ะ....แต่ไม่น่าเชื่อแวะมาบ้านนี้ทีไรมีกำลังใจออกไปทุ๊กที ขอบคุณสำหรับบรรยากาศดีๆ นะคะ

รักษาสุขภาพด้วยค่ะ


โดย: sansook วันที่: 9 สิงหาคม 2553 เวลา:16:25:57 น.  

 
ทริปนี้คุณไอเอ็มเขียนได้ดีจนเห็นภาพพจน์ค่ะ
ยิ่งโดยเฉพาะอุโมงนั้น ไม่เคยทราบมาก่อน
ยังสงสัยเหมือนกันว่า ทหารเมกันเสียชีวติไม่ได้รับความชัยชนะถึงเเม้จะต่อสู้มาหลายปีก็ตาม..เเปลกมาก

ปัจจุปันรัฐบาลสหรัฐได้ให้ความช่วยหลือชาวเวีตมนามหรือพวกลี้ภัย
มีบ้านมีการศึกษาฟรี ได้เงินจากรัฐบาลเป็นรายเดือน
รัฐต่างๆจะเสนอจำนวนพลเมืองให้เเก่ผู้รี้ภัยสงคราม

อยากเห็นภาพใต้อุโมงค์ที่เรียกว่ามีการทำสวนครัวหรือการตั้งบ้านเรือนในนั้น..เป็นประวัติศาสตร์ให้ชาวโลกได้ศึกษาค่ะ

เมื่อไม่กี่วันเข้าร้านหนังสือ เห็นหน้าชาวเอเซียคนนึงเด่นมาก
ปรากฎว่าเธอหนีสงครามมาอยู่เมกา เขียยหนังสือเล่าประสบการณ์ในประเทศที่เธอได้รับความทรมาร
อ่านเเล้วจะนำมาเล่าให้ฟังค่ะ เป็นเบสเซลเล่อร์ของบางรัฐค่ะ


โดย: YUCCA วันที่: 10 สิงหาคม 2553 เวลา:2:00:12 น.  

 
เข้าใจได้เป็นอย่างดีค่ะ เรื่อง" ไกด์ "

บางเเห่งจะให้มีการเเนะนำตัว(ทุกเเห่ง)
เริ่มด้วยไกด์จะเเนำนำตัวเองความเป็นมาเเละเหตุผลของการทำงานนี้
บางเเห่งจะหันหน้าเข้าหากันเเละคุยเพื่อทำความรู้จักกัน
บางเเห่งถ้าเป็นระยะสั้นจะเเค่บอกตัวเองว่ามาจากประเทศไหน?

เเต่ที่จำได้เเม่นคือที่ฮาวายค่ะ ไกด์จะมาขอใหเทกเเคร์กับชาวญ๊่ปุ่นเเม่ลูกคู่นึงในงานปาร์ตี้ฆ่าหมูเสวยเเละการเเสดงระบำพื้นเมือง
เรามาเพื่อหาความสงบ บางครั้งขี้เกียจพูดคุย ขี้เกียจเอาใจคน ขี้เกียจมานั่งดูเเลคนอื่น ไม่เห็นเเก่ตัวเเต่มาเพื่อปล่อยทุกข์

ไกด์คิดว่าเราเป็นคนญ๊่ปุ่นด้วยกันคงอยากคุยกันน่ะค่ะ


โดย: YUCCA วันที่: 10 สิงหาคม 2553 เวลา:2:06:57 น.  

 
สวัสดีวันสีชมพู แวะมาเก็บรายละเอียดของเวียดนามอีกรอบค่ะ ดูแล้วเวียดนามยังมีธรรมชาติเหลืออยู่มากกว่าบ้านเราเยอะแน่เลย


โดย: ไผ่สวนตาล วันที่: 10 สิงหาคม 2553 เวลา:12:27:34 น.  

 
มาชวนไปอ่านตะพาบตามไปที่นี่นะคะ

https://www.bloggang.com/viewdiary.php?id=lovelymum&group=9

เพราะยังไม่ได้ขึ้นหน้าหลักค่ะ

หรือตามไปพรุ่งนี้ก็ได้ ขี้นหน้าหลักพรุ่งนี้ค่ะ


โดย: ซองขาวเบอร์ 9 วันที่: 10 สิงหาคม 2553 เวลา:21:47:37 น.  

 


หวัดดีค่ะคุณอิม
วาว...เล่าเรื่องได้แบบมองเห็นภาพเลยค่ะ อิอิ
เกาหลี ตอนต่อไปคงจะเอารูปลงให้ดูด้วยค่ะ
แต่ แหม ฝีมือการถ่ายรูปเนี่ย แย่มาก ๆ
ไม่ค่อยมีรูปที่ชัด ๆ เลยค่ะ มันมัว ๆ เยอะอ่ะ
แล้วจะมาติดตาม ตอนต่อไป นะคะ


โดย: มินทิวา วันที่: 11 สิงหาคม 2553 เวลา:5:28:14 น.  

 

เอากล้วยหอมทอดมาฝากค่ะ



ขอให้คุณแม่ทุกๆท่านมีความสุข
และสุขภาพแข็งแรงค่ะ


โดย: เริงฤดีนะ วันที่: 11 สิงหาคม 2553 เวลา:10:33:50 น.  

 
อนุสาวรีย์แม่กับลูกหันหน้าไปทางเดียวกัน ถ่ายเก่งนะครับ รถกำลังวิ่งฉิวแท้ๆเชียว

ปั๊มน้ำมันในรูปก็เคยจอดรถเหมือนกัน

เส้นทางที่ไปคงจะทับกัน เพราะมีหลายอย่างคล้ายๆกัน



น้ำใจที่มีคุณค่าของคุณIM ผมจำได้เสมอ ขอขอบคุณมากๆนะครับ





จาก สิน


โดย: yyswim วันที่: 11 สิงหาคม 2553 เวลา:10:48:56 น.  

 
ตามมาเที่ยวด้วยคนค่ะ


โดย: แม่น้องกะบูน วันที่: 11 สิงหาคม 2553 เวลา:19:43:28 น.  

 

'อบอุ่นรัก ใดเล่า เท่าอกแม่ รักแน่แท้ แม่ให้ ด้วยใจมั่น ใครรักเรา เท่าไร ไม่มีวัน จะเทียบทัน รักแท้ แม่ให้เรา' ...พันวัตต์....
สร้างกริตเตอร์

แวะมาทักทายในวันแม่ มีความสุขมากๆนะคะ


โดย: เรือนเรไร วันที่: 12 สิงหาคม 2553 เวลา:4:44:24 น.  

 
อ่านและชมรูปภาพต่างๆเหมือนไปด้วยนะคะ บรรยายได้เยี่ยม ถ่ายภาพได้ยอด "เอสซี ฮอลิเดย์" ต้องไปแล้ว เอ...ค่าใช้จ่ายการเดินทางกี่บาทไม่เห้นบอกเลย ทัวร์นี้น่าไปด้วยจริงๆ อยากเข้าอุโมง นึกถึงสมัยสงครามเวียตนาม น่าสงสารนะคะ เมืองไทยแสนจะดีในน้ำมีปลา ในนามีข้าว เมืองไทยใหญ่อุดม ดินดีสมเป็นนาสวน ร่มเย็นมีความสุข เนอะคุณ Insignia





โดย: nathanon วันที่: 12 สิงหาคม 2553 เวลา:4:46:20 น.  

 
ซาบซึ้งกับเรื่องที่อ่าน ชาวบ้านไม่ยอมทิ้งถิ่นไปไหนถึงต้องขุดอุโมงค์อยู่ก็ยอม
เราถูกทำให้เชื่อว่าชาวเวียตเป็นชาติพันธุ์ที่โหดร้ายด้วยการปรุงแต่งเรื่องราวในภาพยนตร์จนเกินจริง
เริ่มเข้าใจมูลเหตุของการโหมโฆษณาชวนเชื่อเพื่อให้เห็นการฆ่าผู้อื่นไม่ผิดก็คราวนี้เอง.....

ไม่ได้หนีหายไปไหน แต่ขาดแรงบันดาลใจที่จะเขียนอะไรๆ เท่านั้นเองแวะเข้ามาบ้างแต่ไม่บ่อยนัก
วันนี้มาหาด้วยความคิดถึงอย่างเดียวเลยค่ะ ^_^


โดย: กุ้ง IP: 87.20.46.133 วันที่: 12 สิงหาคม 2553 เวลา:17:28:38 น.  

 
แวะมาทักทายวันแม่ค่าพี่อิม^^


โดย: โปแป้ง IP: 124.122.184.189 วันที่: 12 สิงหาคม 2553 เวลา:21:02:49 น.  

 
ขอให้คุณIMมีความสุขมาก ๆ ในวันอันเป็นมงคลนะคะ สุขสันต์วันแม่ค่ะ


โดย: haiku วันที่: 12 สิงหาคม 2553 เวลา:21:05:03 น.  

 
สุขสันต์วันแม่ครับคุณอิม เดี๋ยวพรุ่งนี้จะตามมาเที่ยวเก็บรายละเอียดอีกครั้งครับ


โดย: ปลายแป้นพิมพ์ วันที่: 12 สิงหาคม 2553 เวลา:22:03:59 น.  

 

มาเยี่ยมชม มาทักทายครับ

มาตามเที่ยวลาวและเวียดนามด้วยคนครับ ผมยังไม่เคยไปเที่ยวเลยครับ

ได้อ่านเรื่องราวในบล็อกนี้พร้อมกับชมภาพประกอบไปแล้วก็เพลินดีครับ จขบ. เกือบรายละเอียดได้ดีมากเลยครับ ชอบครับ แล้วไว้ผมจะแวะมาตามชมอีกนะครับ

อิอิ


โดย: อาคุงกล่อง วันที่: 13 สิงหาคม 2553 เวลา:1:52:08 น.  

 
หวัดดีค่ะ คุณ IM

กลับมาจากเที่ยวเวียดนามแล้วหรือคะเนี่ย

โหย...อ่านบล็อกท่องเที่ยวของคุณ IM แล้วติดใจค่ะ ได้ความรู้สึกเหมือนอ่านคอลัมน์ท่องเที่ยวในนิตยสารดัง ๆ เลยค่ะ เขียนดีมากค่ะพี่ (ขออนุญาตเรียกพี่ซะเลย อิอิ)

ทัวร์แถบประเทศเพื่อนบ้านของไทยเราเนี่ย เป็นความใฝ่ฝันของฝรั่งข้างตัวเลยค่ะ เธออยากไปมาก ขณะที่กระเหรี่ยงอย่างป้าเดซี่ไม่เคยคิดจะไปเล้ย แก้ต่างไปว่า ไอ้อะไรที่ค่อยเจริญเนี่ย ชั้นเห็นมาแล้วทั้งชีวิต ขอชั้นได้ไปเห็นอะไรที่มันเจริญหูเจริญตาหน่อยเหอะ

เห็นเพื่อน ๆ น้อง ๆ บล็อกเค้าไปเวียดนาม ไปลาวกัน ถ่ายรูปมาสวย ๆ ก็อ่ะนะ เรานี่มันใกล้เกลือกินด่างจริง ๆ น่าไปค่ะ น่าไป

ไปเที่ยวกับทัวร์นี่มันก็มีข้อดีเยอะนะคะ มันสะดวกสบาย ได้เที่ยวหลายที่ ไม่ต้องเสียเวลาลองผิดลองถูกเองเหมือนเราไปด้วยตัวเองอ่ะค่ะ ยิ่งถ้าได้เพื่อนร่วมกลุ่มน่ารัก ๆ เนี่ย จบทัวร์ได้เพื่อนใหม่เลยนะคะ

ดูรูป-อ่านเรื่องอุโมงค์หลบภัยในเวียดนาม ก็นึกถึงพี่กันเค้านะคะ เรียกว่าเสียหมาหน้าแตกเพล้งกันไปเลยทีเดียวกับสงครามเวียดนาม จนป่านนี้ลูกหลานก็ยังเล่าขานกันไม่จบ ฮอลลีหวูดก็ตอกย้ำถึงความอัปยศด้วยหนังดังเรื่องแล้วเรื่องเล่า

สงครามไม่เคยให้อะไรใครเลย นอกจากความตาย

เม้นท์นี้ซีเรียสเชียว ป้าเดซี่ปลอมตัวมาค่ะ อิอิ เดี๋ยวตามไปอ่าน ไปเม้นท์บล็อกต่อไปค่ะ


โดย: Oops! a daisy วันที่: 13 สิงหาคม 2553 เวลา:10:49:37 น.  

 
ไปภาคสอง


โดย: แมวหง่าว (chaiwatmsu ) วันที่: 24 สิงหาคม 2553 เวลา:19:08:49 น.  

 
มาชมตอนแรกอีกครับ


โดย: wicsir วันที่: 28 สิงหาคม 2553 เวลา:16:41:15 น.  

 
เพิ่งกลับมาจากเวียดนามเหมือนกัน ไป ตั้งแต่ 29 พ.ย. 53ถึง 4 ธ.ค. 53 สนุกมากไกด์ก็คนเดียวกัน มันพูดมากจนเราหลับเลย แต่เป็นทริปที่ประทับสุดยอดมากเลยแล้วจะแชร์รุปมาให้ดู


โดย: Chalinee IP: 125.26.106.158 วันที่: 8 ธันวาคม 2553 เวลา:11:25:56 น.  

 
ครับ เวียตนามกลางเป็นทริปที่สนุกครับ เจอไกด์เวียตนามคนนี้ฟังเพลินไปเลย พูดไม่หยุด


โดย: Insignia_Museum วันที่: 9 ธันวาคม 2553 เวลา:22:44:39 น.  

 
เปลญวณ
คนญวนเค้าเรียกว่า "หว่อง" ครับ


โดย: peeradol33189 วันที่: 20 มกราคม 2554 เวลา:10:50:31 น.  

ชื่อ :
Comment :
  *ใช้ code html ตกแต่งข้อความได้เฉพาะสมาชิก
 

Insignia_Museum
Location :
กรุงเทพฯ Thailand

[ดู Profile ทั้งหมด]

ฝากข้อความหลังไมค์
Rss Feed
Smember
ผู้ติดตามบล็อก : 66 คน [?]




ความตั้งใจในการทำบล็อกเปลี่ยนไปตามกาลเวลา เริ่มต้นด้วยการเขียนถึงถิ่นที่อยู่ในวัยเด็ก ต่อมาเป็นเรื่องเครื่องหมายต่างๆ เรื่องศิลปะ ภาพถ่ายในยุคก่อนๆ อาหารการกิน และอะไรต่อมิอะไรที่ประสบพบเห็น สนใจอะไรขึ้นมาก็อยากรู้ให้มากขึ้น กลุ่มเนื้อหาจึงแตกแขนงไปเรื่อยๆ
New Comments
Friends' blogs
[Add Insignia_Museum's blog to your web]
Links
 

 Pantip.com | PantipMarket.com | Pantown.com | © 2004 BlogGang.com allrights reserved.