|
| 1 | 2 | 3 | 4 |
5 | 6 | 7 | 8 | 9 | 10 | 11 |
12 | 13 | 14 | 15 | 16 | 17 | 18 |
19 | 20 | 21 | 22 | 23 | 24 | 25 |
26 | 27 | 28 | 29 | 30 | |
|
|
|
|
|
|
|
โรงรับจำนำที่รัก
โรงรับจำนำที่รัก
หากย้อนเวลาได้ ถ้ามีคนที่เกิดในสมัยต้นรัชกาลที่ 5 เดินเข้าไปในโรงรับจำนำ ยังไม่ทันเดินออกมา สมมุติว่าวันเวลาผ่านไปอีก 100 ปีต่อ เขาจะรู้สึกว่าภายในโรงรับจำนำยังเหมือนเดิมๆ มีไฟสลัวๆ มองอะไรไม่ค่อยชัด หลงจู๊แก่ๆยังนั่งที่เดิม แต่พอเขาเดินออกจากประตูเล็กๆ แคบนั้น จะพบว่านั่นไม่ใช่โลกเดิมที่เขาคุ้นเคย ตึกรามบ้านช่องเปลี่ยนไปจนจำไม่ได้ รถรามากมาย โลกเก่ากับโลกใหม่อยู่ใกล้กันแค่เอื้อม
ผมสงสัยมานานแล้วว่า ทำไมผู้คนต้องเขินอายเวลาเดินเข้าโรงรับจำนำ ใครจะรู้บ้างว่า คนที่เข้าไปติดต่อโรงรับจำนำ จริงๆมี 2 พวก คือ พวกแรกเป็นลูกค้า เอาของมีค่ามาจำนำ ส่วนอีกพวกตั้งใจมาดูของหลุดจำนำ ซื้อของถูกกลับบ้าน เคยมีเพื่อนคนหนึ่งชอบซื้อพระเหลี่ยมทอง เขาบอกว่าโรงจำนำไม่ได้คิดค่าพระ คิดเฉพาะแต่ค่าทองคำ ปะเหมาะเคราะห์ดีอาจได้พระเก่าหายาก มีมูลค่ามากกว่าทองหลายร้อนหลายพันเท่า นั่นก็เป็นคำคุยที่หวังว่าจะพบสักวัน
เดี๋ยวนี้มีพวกที่ 3 ครับ นั่นคือ พวกไม่มีธุระอะไรกับโรงรับจำนำ แต่หลงเสน่ห์โรงรับจำนำ อยากแส่เข้าไปดู ไปชมบรรยากาศมืดๆ ทึมๆ สะลึมสะลือ คนหน้าเคาเตอร์จะทำหน้าสงสัยไว้ก่อน ถ้าแขกผู้มาเยือนไม่คุ้นหน้า วันหนึ่งผมไปด้อมๆมองๆ โรงรับจำนำเก่าแก่แห่งหนึ่ง ไปดูสภาพ รำลึกถึงความเป็นมาของธุรกิจชนิดนี้ ว่ามันถูกสตาฟมาถึงศตวรรษกว่าๆได้อย่างไร ผมไปยืนถ่ายหน้าร้านที่ว่านั้น ทำตัวอย่างกับนักท่องเที่ยว ไม่ได้เดินเข้าไปในร้าน เห็นว่าป้ายหน้าร้านนี้เก่ามาก พอถ่ายได้รูป สองรูป กำลังจะเดินจากไป ก็เห็นผู้หญิงคนหนึ่งวิ่งออกมาจากโรงรับจำนำแห่งนั้น เข้าใจว่าเป็นเจ้าของร้าน ไล่กวดผมมาติดๆ เข้ามาซักไซ้ไล่เลียง ถามว่าผมเป็นใคร มาจากไหน เขาบอกว่าไม่สบายใจมากที่ ใครไม่รู้มาถ่ายรูปร้าน กังวลไปต่างๆนาๆว่ารูปหน้าร้านซึ่งเป็นส่วนหนึ่งของวิวริมถนนสายนั้น จะถูกนำไปใช้ในทางมิดีมิชอบ ผมจึงบอกว่าเพื่อความสบายใจของท่าน จะลบรูปในกล้องให้ จึงเลิกรากันไป ด้วยเหตุนี้ทำให้ภาพประกอบในบล็อกไม่มีครับ
ถึงแม้ว่าโรงรับจำนำจะไม่ค่อยเปลี่ยนแปลง อนุรักษ์รูปแบบอาคาร ช่องรับ-จ่ายเดิมๆ ยังปั๊มลายมือเหมือนอย่างสมัยที่คนยังอ่านไม่ออก เขียนไม่ได้ แต่ลูกค้าในศตวรรษนี้น่าจะเปลี่ยนไป
ผมเคยได้ยินผู้จัดการโรงรับจำนำแห่งหนึ่งว่า "หมดสมัยแล้ว ที่จะแบกครกหินไปจำนำ เดี๋ยวนี้ลูกค้าโรงจำนำส่วนใหญ่ มีแต่คนชั้นกลางจนถึงเศรษฐี ถ้าไม่มีทอง ก็เอาของมีค่าอื่นไปจำนำ แก้ความขัดสนเฉพาะหน้า ภาพลักษณ์ของผู้ใช้บริการโรงจำนำยุคนี้จึงต่าง จากแต่ก่อน"
ประวัติโรงรับจำนำในประเทศไทย
การรับจำนำในประเทศไทยมีมาตั้งแต่สมัยโบราณ ปรากฏตามหลักฐานในรัชสมัยพระบรมโกษฐ์ กรุงศรีอยุธยา ตามพระราชกำหนดที่ออกในปี พ.ศ. 2284 เรื่องการควบคุมการรับจำนำ กำหนดให้การรับจำนำกระทำในเวลากลางวัน การให้จำนำกันให้แต่คนที่รู้จักกันดี
ผมเคยได้ข้อมูลมาว่า การจำนำกับคนรู้จักกันในสมัยที่ยังไม่มีโรงรับจำนำ คิดตอกเบี้ย 25 สตางค์ ต่อเงินต้น 1 ตำลึง หรือ 6.25 % (ต่อเดือน) ลองเทียบกับเงินกู้นอกระบบสมัยนี้แล้ว นายทุนเงินกู้สมัยก่อนน่าจะโหดน้อยกว่า
ด้วยจุดอ่อนของการให้กู้เงินที่ต้องปล่อยกู้เฉพาะคนคุ้นเคย และคิดดอกเบี้ยแพง จึงเกิดธุรกิจที่จะทำอย่างไรให้คนที่มีเงินปล่อยกู้กับใครก็ได้ที่มีข้าวของมาเป็นหลักประกัน แถมยังคิดดอกเบี้ยถูกกว่า จึงเป็นที่มาของการตั้งโรงจำนำ
ผู้ตั้งโรงรับจำนำแห่งแรกของไทยเป็นชาวจีน ชื่อ ฮง แซ่เบ๊ ในปี พ.ศ. 2409 ตั้งอยู่ที่ ย่านประตูผี ถนนบำรุงเมือง ชื่อร้านโรงรับจำนำย่องเซี้ยง (หัวมุมตัดกับถนนมหาไชย) ข้างวัดเทพธิดาราม ปัจจุบันเปลี่ยนชื่อมาเป็น โรงรับจำนำสำราญราษฎร์
เริ่มแรกคิดดอกเบี้ยเพียง 1 เฟื้อง (12 .5 สตางค์) จากเงินต้น 1 ตำลึง (4 บาท) นี่ถูกกว่าการกู้กับคนกันเอง คิดดอกเบี้ยเพียงครึ่งหนึ่งของท้องตลาด หรือประมาณ 3.12% ต่อเดือน
เมื่อชาวบ้านร้านถิ่นได้ข่าวว่าโรงรับจำนำของจีนฮง ดอกเบี้ยถูกกว่า จึงแห่มาใช้บริการของจีนฮงกันมาก ใครจะเอาอะไรมาก็จำนำได้ ไม่จำเป็นต้องรู้จักกันมาก่อน มีการออกตั๋วให้เป็นหลักฐาน
ในปี พ.ศ. 2411 มีการตราพระราชบัญญัติ กำหนดไม่ให้เรียกดอกเบี้ยเกินกว่าชั่งละ 1 บาท หรือ 1.25% ต่อเดือน
เมื่อโรงรับจำนำของจีนฮงได้รับความนิยมมาก จึงมีผู้เปิดโรงรับจำนำตามจีนฮงอีกหลายสิบโรง ธุรกิจโรงรับจำนำจึงบูมมากๆ ในปี พ.ศ. 2433 มีโรงรับจำนำในกรุงเทพ ฯ ถึง 200 โรง การตั้งโรงรับจำนำสมัยนั้น ตั้งได้ง่ายๆ ไม่ต้องขออนุญาต ไม่ต้องเสียค่าธรรมเนียมให้กับรัฐบาล
พ.ศ. 2438 (ร.ศ.114) พระบาทสมเด็จพระจุลจอมเกล้าอยู่หัวจึงโปรดเกล้า ฯ ให้ตราพระราชบัญญัติโรงรับจำนำรัตนโกสินทร์ศก 114 ขึ้นและโปรดเกล้า ฯ ให้ใช้บังคับตั้งแต่วันที่ 1 เมษายน พ.ศ. 2438 เป็นต้นไป กำหนดให้ผู้ที่จะตั้งโรงรับจำนำต้องขออนุญาต มีการกำหนดค่าธรรมเนียม และระยะเวลาการใช้ใบอนุญาตกำหนดเวลาจำนำและไถ่ถอนกำหนดให้จัดทำตั๋วจำนำ และบัญชีไว้เป็นหลักฐาน และกำหนดอัตราดอกเบี้ยจำนำ เงินต้นไม่เกิน 1 บาท ให้คิดดอกเบี้ย 3 อัฐ ต่อ 1 เดือน ถ้าเงินต้นเกิน 50 บาทแต่ไม่เกิน 400 บาท ให้คิดดอกเบี้ยได้บาทละ 2 อัฐต่อ 1 เดือน การไถ่ของกำหนดไว้ภายใน 3 เดือน หากเทียบอัตรา 64 อัฐเป็น 1 บาท ดังนั้น 3 อัฐ เท่ากับ 1.56 %
โรงรับจำนำแห่งแรกของประเทศไทยที่ตั้งขึ้นถูกต้องตามพระราชบัญญัติโรงรับจำนำ ร.ศ.114 ชื่อ ฮั้วเส็ง ก่อตั้งโดยนายเล็ก โทณวนิก
ทางการได้ยกเลิกพระราชบัญญัติ ร.ศ. 114 และตราพระราชบัญญัติใหม่ ให้บังคับใช้ตั้งแต่วันที่ 1 เมษายน พ.ศ. 2481 เป็นต้นมา โดยพระราชบัญญัติใหม่นี้ มีหลักการสำคัญ คือ ใช้วิธีประมูลการตั้งโรงรับจำนำทุกๆ ระยะ 5 ปี เพราะไม่ต้องการให้มีมากจนเกินไป ลดการแข่งขันกันเอง ต่อมาสภาพทางเศรษฐกิจ และสังคมของเราได้เปลี่ยนไปมาก
รัฐบาลจึงได้ตราพระราชบัญญัติ โรงรับจำนำฉบับใหม่ในปีพ.ศ. 2505 เหตุผลในการประกาศใช้พระราชบัญญัติฉบับนี้ คือ เนื่องจาก พระราชบัญญัติโรงรับจำนำ พุทธศักราช 2481 ได้ออกใช้เป็นเวลานานมาแล้ว การกำหนดจำนวนเงินกู้ อัตราดอกเบี้ย การอนุญาต คุณสมบัติของผู้รับอนุญาต และบทกำหนดโทษยังไม่เหมาะสมแก่กาลสมัยในขณะนี้ จึงสมควรปรับปรุงแก้ไข ให้เป็นการเหมาะสม
ต่อมาในพ.ศ. 2517 รัฐบาลได้ออกพระราชบัญญัติ โรงรับจำนำใหม่ โดยแก้ไขเพิ่มเติม จากพระราชบัญญัติโรงรับจำนำ พ.ศ. 2505 เพื่อมีบทบัญญัติที่รัดกุม เน้นที่การลงหลักฐานของผู้จำนำ ป้องกันการจำนำทรัพย์ที่ได้มาโดยทุจริต
ใน พ.ศ. 2526 มีการออกพระราชบัญญัติโรงรับจำนำอีกครั้ง โดยมุ่งหวังจะช่วยเหลือประชาชนที่นำทรัพย์มาจำนำ แล้วหลุดจำนำโดยเจ้าของไม่ตั้งใจ อาจเป็นเพราะหาเงินมาไถ่ไม่ทัน หรือขาดการส่งดอกเบี้ย จึงขยายเวลา หรือหลักเกณฑ์ให้อะลุ้มอล่วยกับผู้อยากไร้มากขึ้น ซึ่งใช้บังคับมาจนกระทั่งถึงปัจจุบัน
ปัจจุบันนี้ โรงรับจำนำแบ่งออกเป็น 3 ประเภท
1. โรงรับจำนำ ซึ่งดำเนินการโดยเอกชน ได้ก่อตั้งขึ้นโดยทั่วไป ในรูปธุรกิจแบบห้างหุ้นส่วนจำกัด ตั้งแต่ พ.ศ.2520 เป็นต้นมา รัฐบาลไม่อนุญาตให้เอกชนจัดตั้งโรงรับจำนำได้อีก แต่โรงรับจำนำที่จัดตั้งขึ้นก่อนหน้านี้ให้ดำเนินการต่อไป จนกระทั่งปี 2532 ประชากรในเขตกรุงเทพมหานครเพิ่มมากขึ้น รัฐบาลจึงเปิดประมูลขออนุญาตประกอบกิจการโรงรับจำนำเพิ่มอีก 16 แห่ง
2. โรงรับจำนำ ที่ดำเนินกิจการโดยกรมประชาสงเคราะห์ เรียกว่า สถานธนานุเคราะห์ ซึ่งก่อตั้งขึ้นในปีพ.ศ. 2498 (เริ่มแรกใช้ชื่อว่า "โรงรับจำนำของรัฐ เปลี่ยนชื่อมาเป็น สถานธนานุเคราะห์ เมื่อ พ.ศ. 2500)
3. โรงรับจำนำที่ดำเนินกิจการโดยเทศบาล เรียกว่า สถานธนานุบาล เริ่มที่เทศบาลนครเชียงใหม่ได้เปิดกิจการขึ้นเป็นแห่งแรก เมื่อวันที่ 22 ธันวาคม พ.ศ. 2503 ต่อมาในปี พ.ศ. 2504 ก็ได้เปิดกิจการขึ้นอีก 3 แห่ง รวมเป็น 4 แห่ง คือเทศบาลเมืองนครสวรรค์ เทศบาลเมืองหาดใหญ่ และเทศบาลเมืองอุดรธานี
ปัจจุบัน สถานธนานุเคราะห์และสถานธนานุบาล คิดอัตราดอกเบี้ยที่ เงินต้นไม่เกิน 5,000 บาท คิดดอกเบี้ยร้อยละ 0.75 บาท ต่อเดือน เงินต้นเกิน 5,000 บาท ดอกเบี้ยร้อยละ 1 บาทต่อเดือน
ถูกกว่าดอกเบี้ยโรงรับจำนำเอกชน ซึ่งกำหนดอัตราดอกเบี้ยไว้ที่ เงินต้นไม่เกิน 2,000 บาท คิดดอกเบี้ยร้อยละ 2 ต่อเดือน เงินต้นส่วนที่เกิน 2,000 บาท คิดร้อยละ 1.25 ต่อเดือน โดยมีข้อแม้ว่าต้องส่งดอกห่างกันไม่เกิน 4 เดือน 30 วัน
แต่กระนั้น การตีราคาทรัพย์สินที่นำมาจำนำของโรงรับจำนำราชการยังต่ำกว่าของเอกชนมาก ประชาชนทั่วไปจึงยังนิยมใช้บริการของโรงรับจำนำเอกชนอยู่เช่นเดิม
จากการเฝ้าสังเกตอาชีพของผู้ใช้บริการและข้าวของที่มาจำนำ เราพบว่า ผู้จำนำแบ่งเป็นอาชีพ 5 อันดับแรก คือ 1. รับจ้าง 2. พ่อบ้าน แม่บ้าน 3. ค้าขาย 4. ข้าราชการ และ 5. นิสิต นักศึกษา ส่วนประเภททรัพย์สินที่มีการนำมาจำนำมากที่สุด คือ 1. ทอง นาก เพชร 2. กล้องถ่ายรูป 3. นาฬิกาข้อมือ 4. โทรทัศน์
ผมได้ข่าวว่าเดี๋ยวนี้นักศึกษาจบใหม่ชอบเอาใบปริญญาบัตรมาจำนำ ไม่ใช่ในไทยหรอกครับ ที่ประเทศเวียตนามโน่น
Create Date : 11 เมษายน 2552 |
|
48 comments |
Last Update : 30 พฤศจิกายน 2557 14:45:51 น. |
Counter : 12121 Pageviews. |
|
|
|
|
| |
โดย: ลุงแว่น 11 เมษายน 2552 11:19:52 น. |
|
|
|
| |
โดย: คนชุมแสง 11 เมษายน 2552 12:54:50 น. |
|
|
|
| |
โดย: ลุงแว่น 11 เมษายน 2552 18:54:05 น. |
|
|
|
| |
โดย: Fullgold 11 เมษายน 2552 23:00:10 น. |
|
|
|
| |
โดย: Fullgold 11 เมษายน 2552 23:04:40 น. |
|
|
|
| |
โดย: ยายเก๋า (ชมพร ) 12 เมษายน 2552 22:11:58 น. |
|
|
|
| |
โดย: haiku 13 เมษายน 2552 18:29:34 น. |
|
|
|
| |
โดย: ลุงแว่น 14 เมษายน 2552 6:46:51 น. |
|
|
|
| |
โดย: Jolisa 14 เมษายน 2552 9:43:01 น. |
|
|
|
| |
โดย: ทากชมพู (ทาสบอย ) 15 เมษายน 2552 8:35:25 น. |
|
|
|
| |
โดย: ซาตานสีส้ม IP: 125.24.86.203 15 เมษายน 2552 9:59:32 น. |
|
|
|
| |
โดย: Jolisa 16 เมษายน 2552 16:12:49 น. |
|
|
|
| |
โดย: Fullgold 16 เมษายน 2552 19:20:10 น. |
|
|
|
| |
โดย: ลุงแว่น 16 เมษายน 2552 21:39:54 น. |
|
|
|
| |
โดย: sarntee 16 เมษายน 2552 22:38:06 น. |
|
|
|
| |
โดย: (@-@) (ตาพรานบุญ ) 17 เมษายน 2552 11:35:34 น. |
|
|
|
| |
โดย: ทากชมพู (ทาสบอย ) 17 เมษายน 2552 14:59:34 น. |
|
|
|
| |
โดย: ลุงแว่น 17 เมษายน 2552 21:47:02 น. |
|
|
|
| |
โดย: Fullgold 17 เมษายน 2552 22:26:44 น. |
|
|
|
| |
โดย: ทากชมพู IP: 115.67.120.9 18 เมษายน 2552 7:20:09 น. |
|
|
|
| |
โดย: พิม...วันวาน IP: 119.31.48.117 18 เมษายน 2552 8:01:21 น. |
|
|
|
| |
โดย: SK IP: 202.90.6.36 20 พฤศจิกายน 2557 11:37:11 น. |
|
|
|
| |
โดย: SK IP: 202.90.6.36 21 พฤศจิกายน 2557 13:55:41 น. |
|
|
|
|
|
|
|
Location :
กรุงเทพฯ Thailand
[ดู Profile ทั้งหมด]
|
ฝากข้อความหลังไมค์
Rss Feed
Smember ผู้ติดตามบล็อก : 66 คน [?]
|
ความตั้งใจในการทำบล็อกเปลี่ยนไปตามกาลเวลา เริ่มต้นด้วยการเขียนถึงถิ่นที่อยู่ในวัยเด็ก ต่อมาเป็นเรื่องเครื่องหมายต่างๆ เรื่องศิลปะ ภาพถ่ายในยุคก่อนๆ อาหารการกิน และอะไรต่อมิอะไรที่ประสบพบเห็น สนใจอะไรขึ้นมาก็อยากรู้ให้มากขึ้น กลุ่มเนื้อหาจึงแตกแขนงไปเรื่อยๆ
|
|
|
|
|
|
|
|
อ่านแล้วให้คิดถึงอดีตอีกแล้วสิ...
เชื่อหรือไม่? ผมเข้าโรงจำนำตั้งแต่อายุยังไม่เต็ม 15 ปี !
เชื่อเหอะ ไม่รู้จะมาหลอกกันหาพระแสงอะไร
เรื่องของเรื่องคือ เงินที่จะใช้เที่ยวขาดแคลน จะหาหยิบยืมเอาจากเพื่อนฝูงวัยเดียวกันก็กระไรอยู่ เพราะเพื่อนในกลุ่มในก๊วนก็ล้วนแต่ต้องใช้เงินในการเที่ยวเหมือนเราเสียทุกคน
ก็เลยมีคำแนะนะจากเพื่อนฝูงในวัยนั้นว่า ถ้ามีข้าวของก็เอาไปฝากอาโกที่โรงจำนำไว้ก่อน จะได้เงินมาเที่ยวตามวัตถุประสงค์
วัตถุพยานที่นำไปจำนำเป็นครั้งแรกในชีวิต คือ กางเกงขายาวขาบานตัวใหม่ ที่ต้ดได้ไม่นาน ตอนตัดทั้งค่าผ้า ค่าแรง หมดไปร่วมสองร้อยบาท แต่เผอิญตัดออกมาแล้วไม่ถูกสเป็คไม่พอดีตัว จะโยนทิ้งก็เสียดาย จะให้ใครก็ไม่มีใครรับ พอมีดำริว่าต้องหาเงินมาใช้ จึงหยิบเจ้ากางเกงตัวนี้เป็นเหยื่อชิ้นแรกของชีวิตการจำนำ
สมัยนั้น คงไม่เข้มงวดกวดขันกับอายุของผู้มาใช้บริการเท่าใดนัก หนุ่มน้อยตัวกระเปี๊ยกนุ่งกางเกงขาสั้น ก็เลยสามารถเดินเข้าโรงจำนำได้อย่างสบายไร้กังวล
พอยื่นกางเกงตัวเก่งให้อาโกที่อยู่หลังเคาน์เตอร์ เขาก็คลี่ออก มองผาด ๆ แล้วพูดขึ้นลอย ๆ ว่า
"30 บาท"
"จำนำขาดเลยได้เท่าไหร่" ลูกค้าหนุ่มต่อรองตามคำแนะนำของเพื่อนผู้ชำนาญการ
"40"
"ขอ 50 แล้วกัน กางเกงใหม่เอี่ยมเลย ใส่ไม่เกิน 2 ครั้ง"
อาโกเหลือบตามองหน้าไอ้หนุ่มกางเกงขาสั้นแป๊บนึ่ง ก่อนจะเขียนตั๋วจำนำขยุกขยิกเป็นภาษาจีน เขียนเสร็จ ให้คนลูกค้าแปะโป้ง หยิบเงินในเก๊ะส่งให้ 50 บาท แล้วฉีกตั๋วจำนำใบนั้นทิ้งต่อหน้า เป็นนัยสำคัญของการ "จำนำขาด" หรือมีค่าเท่ากับการขาย ไม่มีการไถ่คืน
จากประสบการณ์ครั้งนั้น ทำให้การเข้าโรงจำนำในลำดับถัด ๆ มาเป็นไปอย่างลื่นไหลมากขึ้น สิ่งของที่นำเข้าจำนำก็มักจะเป็นเสื้อผ้าแฟชั่นทันสมัยเสียมาก นาน ๆ ทีจึงจะสลับด้วยสร้อยทองสร้อยนาคบ้าง
เป็นที่น่าสังเกตว่า ถ้าเป็นการจำนำตามปกติ คือ ไม่ใช่จำนำขาด หรือขายขาดดังที่เล่ามาเบื้องต้น ในตั๋วจำนำจะเขียนชื่อผู้จำนำว่า "นายสมชาย" โดยที่อาโกไม่เคยถามถึงชื่อแซ่สักคำ และในช่องอายุ จะระบุว่า 20 ปี ทุกทีไป
การกรอกชื่อและอายุเช่นนี้ คงเป็นเพราะต่างฝ่ายต่างไม่สู้เห็นความสำคัญของข้อมูลทั้งสองส่วนนี้ เพราะมีลายพิมพ์หัวแม่มือแปะไว้เป็นสำคัญแล้วกระมัง
ชื่อ "สมชาย" จึงเป็นนามปากกา หรือนามแฝง ยอดฮิตสำหรับคนที่ใช้บริการโรงจำนำ จนแม้แต่อาโกก็พลอยเห็นดีเห็นงาม นำไปกรอกลงในตั๋วจำนำเสียเลย โดยไม่ต้องซักถามให้มากความ
จึงเป็นคำพูดที่เป็นอันรู้กันในหมู่มิตรสหายก๊วนเดียวกันว่า หากวันไหนไปหาสมชาย ก็หมายถึงไปเข้าโรงจำนำ...
พอห่างหายจากวงการเที่ยวดื่มกิน แบบวัยรุ่นในยุคนั้น ความขาดแคลนในด้านทุนทรัพย์ จนต้องหันไปพึ่งคุณสมชาย ก็หมดลง จึงไม่เคยแวะเข้าสถานที่พรรค์นั้นอีกเลย นับรวมเวลาเกือบกึ่งศตวรรษแล้ว...
ก็เลยไม่ได้รับรู้ว่า มีวิวัฒนาการ และการเปลี่ยนแปลงของบรรยากาศแบบครึ้มมืดคลาสสิคแบบโรงรับจำนำในยุคหลัง ๆ นี้หรือไม่อย่างไร
แต่เมื่อมาอ่านในบล็อกนี้ และพบว่ายังคงบรรยากาศแบบเดิม ๆ ก็ให้รู้สึกสบายใจ
หากมีอันต้องหันเหเข้าใช้บริการอีกครั้ง คงมั่นใจได้ว่า คงจะไม่ไปยืนเก้ ๆ กัง ๆ ขัด ๆ เขิน ๆ อีกเป็นแน่แท้
และแม้อาโกจะไม่ถาม ก็ตั้งใจจะบอกอาโกแบบเสียงดังฟังชัดว่า
"ชื่ออะไรก็ได้ ที่ไม่ใช่สมชาย"
สร้างสรรค์หน่อยสิอาโก...