แผ่นอนามัย...ใช้อย่างไรให้ถูกวิธี?
---------------------------------------------------------------------------------------------------------------------------- เพราะธรรมชาติของผู้หญิงสร้างให้ร่างกายขับของเหลวออกมาทางช่องคลอด ที่เรียกกันติดปากว่า “ตกขาว” นอกเหนือจากช่วงเวลาที่มีประจำเดือนเป็นเรื่องปกติ แต่อาจเป็นเหตุให้คุณผู้หญิงหลายคนต้องกังวลใจเรื่องการเปื้อนเปรอะ มีร่องรอยมาปรากฏอยู่บนกางเกงชั้นใน
ปัจจุบันแผ่นอนามัย (panty liner) จึงได้เข้ามามีบทบาท กลายมาเป็นของใช้ ที่จำเป็นในชีวิตประจำวันของคุณผู้หญิงยุคนี้ไปเสียแล้ว อาจด้วยอิทธิพลของการโฆษณา ที่มุ่งเน้นความสำคัญในการแก้ปัญหาการเปรอะเปื้อน ซึมซับความชื้น สร้างความรู้สึกแห้งสบายตัว ทำให้เกิดความเชื่อว่าการใช้แผ่นอนามัยเป็นประจำทุกวัน จะช่วยรักษาความสะอาดของอวัยวะส่วนพึงสงวนได้ดีกว่า อันที่จริงความเชื่อนี้ก็ไม่ถึงกับถูกต้อง 100% เพราะมีบางคนที่ยังประสบปัญหารำคาญใจ กับกลิ่นไม่พึงประสงค์ที่เกิดขึ้นเมื่อใช้แผ่นอนามัย หรือใช้แล้วทำให้เกิดอาการคันบริเวณผิวหนังที่สัมผัส พอหยุดใช้ปัญหาเหล่านี้ก็กลับหมดไปได้
กลิ่นหรืออาการคันบริเวณผิวสัมผัส (ปากช่องคลอด) อาจเกิดได้จากหลายสาเหตุ เช่น การแพ้สารเคมีที่ผสมในแผ่นอนามัย หรือกระดาษทิชชูที่ใช้เวลาเข้าห้องน้ำ โดยเฉพาะพวกน้ำหอม หรือแพ้วัสดุที่ใช้ทำแผ่นซึมซับเพื่อความแห้งเป็นพิเศษ โดยเฉพาะวัสดุที่ไม่ได้มาจากเส้นใยธรรมชาติ บางคนไม่คันเพียงอย่างเดียว แต่เกิดรอยผื่นบวมแดงตามมา จนต้องเดือดร้อนไปปรึกษาคุณหมอด้วยความตกใจ คิดว่าตัวเองติดเชื้อโรคเข้าเสียแล้วก็มี
นอกจากแพ้วัสดุที่ใช้แล้ว ยังมีเรื่องของความอับชื้นจากการระบายอากาศไม่ดีพอ ซึ่งนี่แหละที่เป็นตัวการเกิดกลิ่นไม่พึงประสงค์จากเชื้อแบคทีเรีย รวมทั้งเชื้อราด้วย บางคนใส่แผ่นอนามัยทั้งวัน รู้สึกว่าตัวเองรักษาความสะอาดดีแล้ว เมื่อเข้าห้องน้ำก็ซับด้วยกระดาษทิชชูจนแห้งทุกครั้ง แต่อาจลืมไปว่าหากแผ่นอนามัยที่คุณใช้เป็นแผ่นหนานุ่ม จนมีการระบายอากาศได้น้อย ก็ยิ่งทำให้เกิดความอับชื้น จึงมีโอกาสเกิดเชื้อราได้ง่ายขึ้น ใครที่มักปล่อยให้เกิดความอับชื้นนานๆ บ่อยๆ จึงควรระวังให้ดี แถมบริเวณส่วนนั้นของร่างกายเป็นที่รวมของเส้นประสาทมากมาย อาการคันบริเวณจุดซ่อนเร้น จึงเป็นความคันที่ชวนทรมานมากกว่าปกติหลายเท่าตัวทีเดียว ในเรื่องนี้เคยมีการศึกษาโดย โบ รูเนอร์แมนและคณะซึ่งตีพิมพ์ไว้ในวารสารวิจัยให้ข้อยืนยัน ว่าการใช้แผ่นอนามัยแบบมีเส้นใยโปร่งระบายอากาศได้ดี จะช่วยลดความระคายเคืองกับผิวบริเวณปากช่องคลอดได้ ดีกว่าแผ่นอนามัยที่ทำจากวัสดุซึมซับชนิดหนาทึบ ระบายอากาศยากอย่างมีนัยสำคัญ
พูดอย่างนี้เดี๋ยวใครจะคัดค้านได้ว่า เอ๊ย! ฉันก็ใช้แผ่นอนามัยเป็นประจำก็เป็นปกติดีไม่เห็นเคยมีปัญหาเลยนี่.... ก็ถือว่าเป็นโชคดีของคุณที่ไม่แพ้ก็ดีแล้ว และไม่ขอเถียงว่าการใช้แผ่นอนามัยนั้นมีประโยชน์ เพราะ ดร.เดวิด เจ. เซส นักวิชาการและผู้เชี่ยวชาญทางด้านสุขอนามัยสตรีจากสหรัฐอเมริกา ก็ได้เคยเปิดเผยงานวิจัยของเขาไว้ในการประชุมนานาชาติในงาน Asian Pacific Congress on Obstetrics จากการศึกษาผู้หญิงอายุระหว่าง 18-49 ปีจำนวน 157 คนที่มีสุขภาพดี และไม่ได้มีปัญหาติดเชื้อหรือระคายเคืองที่ช่องคลอดมาก่อน แล้วสอบถามถึงผลการใช้แผ่นอนามัยทุกวันเป็นเวลา 2 เดือน ผลพบว่า แนวโน้มของกลุ่มที่ใช้แผ่นอนามัยเป็นประจำทุกวัน มีโอกาสเกิดเชื้อราต่ำกว่ากลุ่มที่ไม่ได้แผ่นอนามัยทุกวัน และไม่ได้เพิ่มโอกาสการติดเชื้อ หรือเพิ่มการระคายเคืองทางช่องคลอดให้กับผู้หญิงที่มีสุขภาพดี แต่นั่นอยู่ในเงื่อนไขที่ว่าคุณต้องใช้แผ่นอนามัยอย่างถูกวิธีด้วย
แล้วการใช้แผ่นอนามัยให้ถูกวิธีคืออย่างไร? อย่างแรกคือการรักษาความแห้งสะอาด ระวังไม่ปล่อยให้เกิดการอับชื้นนานๆ ติดต่อกัน โดยการเปลี่ยนแผ่นอนามัย รวมทั้งเปลี่ยนผ้าอนามัยในเวลาที่มีประจำเดือน ทุกๆ 4 ชั่วโมงโดยประมาณ เพื่อให้รู้สึกแห้งสบายทั้งวัน หากเป็นช่วงปกติที่ไม่ค่อยมีตกขาวมาก อาจเลือกใช้ชนิดที่บางหน่อยและมีการระบายอากาศดี (breathable) ส่วนแผ่นอนามัยชนิดหนาอาจเก็บไว้ใช้ในวันท้ายๆ ของการมีประจำเดือนแทน
นอกจากนี้ควรทดสอบดู ว่าตัวเองแพ้วัสดุที่เอามาทำแผ่นอนามัยเหล่านั้นหรือเปล่า หากใช้แล้วเกิดผื่นแดงคันจากผิวสัมผัสหรือน้ำหอม ลองสังเกตด้วยว่า ถ้าหากหยุดใช้แผ่นอนามัยชนิดนั้นแล้วความคันจะลดลงหรือไม่ หากใช่ก็ควรลองเปลี่ยนมาเป็นชนิดที่ไม่มีน้ำหอม หรือทำจากแผ่นใยธรรมชาติ เช่น ใยฝ้ายหรือชนิดผิวสัมผัสนุ่มแล้วลองดูผลที่เกิดขึ้น
แผ่นอนามัยบางแบบใช้วัสดุหนาหรือมีขอบคม ทำให้เกิดการเสียดสีกับผิวหนังส่วนที่บอบบางได้ง่ายเวลาเคลื่อนไหว จึงควรเลือกชนิดที่มีขอบมนลดการเสียดสีให้น้อยที่สุด เพื่อลดโอกาสการเกิดการคันและอักเสบตามมา
อยากขอเสริมอีกเล็กน้อยว่า ไม่เพียงแต่ความอับชื้น เชื้อแบคทีเรีย หรือเชื้อราจะเกิดจากการใช้แผ่นอนามัยเท่านั้น แต่ยังมีเรื่องควรระวังอีกคือบางคนชอบใส่กางเกงคับ เนื้อผ้าหนาๆ เป็นประจำ อย่างเช่นกางเกงยีนส์รัดๆ ทำให้ผิวต้องเสียดสีกับเนื้อผ้าตลอดเวลา และการระบายอากาศไม่ดี ก็อาจทำให้เกิดการอับชื้นหมักหมมได้ง่ายเช่นเดียวกัน
บางคนซักชุดชั้นในไม่สะอาด ชอบซักตอนกลางคืน ตากในห้องน้ำซึ่งเป็นที่ที่มีความชื้นสูงมาก ยิ่งไม่ได้รับแสงแดดการถ่ายเทอากาศน้อยกว่าที่โล่ง จึงเป็นแหล่งสะสมของเชื้อรา เมื่อชุดชั้นในขึ้นราแล้วมาเกาะผิวหนังส่วนบอบบางของเรา แน่นอนว่าปัญหาก็จะตามมาให้แก้แน่ๆ
ข้อแนะนำก็คือพยายามเลี่ยงการใส่กางเกงเนื้อผ้าหนา หรือกางเกงที่รัดแน่น เลือกเนื้อผ้าที่มีการระบายอากาศดีหน่อย และไม่ควรใส่กางเกงตัวเดิมซ้ำๆ หลายวัน
ส่วนการเลือกชุดชั้นในโดยเฉพาะตรงจุดบอบบางบริเวณเป้ากางเกงใน ควรเลือกใช้ชนิดที่ทำจากผ้าฝ้ายจะดีกว่าใยสังเคราะห์ เพราะผ้าฝ้ายจะระบายอากาศได้ดีกว่า และลดอาการแพ้ ควรซักด้วยน้ำสบู่หรือน้ำยาซักชุดชั้นใน โดยเฉพาะที่มักจะทำจากสารฟอกชนิดอ่อนๆ ไม่มีสารตกค้างในเนื้อผ้ามากเหมือนอย่างผงซักฟอกทั่วไป และควรซักในตอนเช้า ตากในที่โล่งที่มีแสงแดดส่องถึงและอากาศถ่ายเทสะดวก ไม่ควรตากกางเกงชั้นในไว้ในห้องน้ำ ตากให้ผ้าแห้งสนิทก่อนจึงค่อยนำมาใส่ วิธีการเหล่านี้ จะช่วยป้องกันการเกิดเชื้อราบนผิวหนังให้กับตัวคุณเองค่ะ
ที่มา นิตยสาร Health Today
สารบัญ สุขภาพ
Create Date : 07 กุมภาพันธ์ 2552 |
|
2 comments |
Last Update : 25 ธันวาคม 2554 11:33:45 น. |
Counter : 4879 Pageviews. |
|
|
|