ผู้ที่ควรแก่การยกย่องและเคารพ คือผู้ที่ทรงไว้ซึ่งคุณธรรม มิใช่ผู้ที่ทรงอำนาจ แต่ไร้คุณธรรม "ป๋วย อึ้งภากรณ์"
Group Blog
 
All blogs
 

ชวนไปจองบัตรดูสี่แผ่นดินเดอะมิวสิคัล



วันนี้มีเรื่องราวความคืบหน้าเกี่ยวกับละครเวทีเดอะมิสิคัลฟอร์มใหญ่
ประจำปีของค่ายซิเนริโอมาฝากกันค่ะ ข่าวว่าละครเรื่องนี้เปิดจองบัตรแล้ว
โดยจะแสดงที่โรงละครเมืองไทยรัชดาลัยเธียรเตอร์ กรุงเทพมหานครค่ะ


เริ่มการแสดงตั้งแต่วันที่ 19 ตุลาคม 2554 เป็นต้นไป และคาดว่าน่าจะ
ลากยาวไปถึงเดือนธันวาคม อันนี้เดานะคะ สำหรับโรงละครแห่งนี้
ตั้งอยู่ที่ศูนย์การค้าเอสพลานาด รัชดาภิเษก ชั้น 4 หากมารถไฟฟ้าใต้ดิน
ก็ลงที่สถานนีศูนย์วัฒนธรรมแห่งประเทศไทย แล้วเดินออกทางประตู 1




มีคลิปวีดีโองานแถลงข่าวเพื่อเรียกน้ำย่อยมาฝากกันด้วยค่ะ โดยรัชดาลัย
เธียรเตอร์ บอกได้คำเดียวว่าไพเราะมาก อย่าลืมคลิ๊กดูนะคะ ในงานนี้
นอกจากการแนะนำตัวนักแสดงแล้ว เขายังมีตัวอย่างการแสดงพร้อม
เพลงเพราะๆ มาฝากกันด้วยค่ะ โดยเฉพาะเสียงของน้องพินต้า
นักแสดงรุ่นเยาว์ที่มีพลังเสียงมหัศจรรย์ ด.ญ ณัฐนิช รัตนเสรีเกียรติ
ผู้รับบทแม่พลอยตอนเด็กๆ มาฝากกันด้วยค่ะ สุดยอดจริงๆ ลองฟัง
ดูนะคะ แล้วคุณจะหลงรักละครเรื่องนี้ ทั้งที่ยังไม่ได้ดูเลยนี่แหละ


เรื่องนี้กำกับการแสดงโดย ถกลเกียรติ วีรวรรณ นำแสดงโดยทีมนักแสดง
ได้แก่ คุณสินจัย เปล่งพานิชรับบทแม่พลอย , เกรียงไกร อุณหะนันท์
รับบทคุณเปรม, รัดเกล้า อามระดิษ รับบทคุณช้อย,ตี๋ ดอกสะเดา,
อาณัตพล ศิริชุมแสง (อาร์) รับบทตาอ้น, สิงหรัตน์ จันทร์ภักดี(สิงโต)
รับบทตาอ๊อด, นภัทร อินทร์ใจเอื้อ (กัน) รับบทคุณเปรมตอนหนุ่มๆ,
ยุทธนา เปื้องกลาง (ตูมตาม) รับบทตาอั้น, มัดหมี่-พิมดาว พานิชสมัย
รับบทแม่พลอยตอนสาวๆ เหล่าบรรดาน้องๆ เดอะสตาร์มาเรียกแฟนคลับ
เป็นจำนวนมากให้มาดูละครเวทีเรื่องนี้ด้วย เลยทำให้ตอนนี้ยอดจองบัตร
พุ่งกระฉูดไปแล้ว ส่วนตัวแล้วไปจองตั้งแต่วันแรก ก็เห็นอย่างนั้นจริงๆ
ดังนั้นใครยังไม่ได้ตัดสินใจก็รีบหน่อยนะคะ พลาดของดีแล้วจะเสียใจค่ะ






เขาไม่มีการแสดงในวันจันทร์และวันอังคาร วันธรรมดาแสดงรอบเดียว
เริ่ม 19.30 น. ค่ะ คาดว่าคงเลิกดึกมาก เพราะวันเสาร์อาทิตย์มีรอบบ่าย
เริ่มการแสดงตั้งแต่เวลา 13.30 น. คุณบอยบอกว่าเรื่องนี้ใช้เวลาแสดง
ยาวกว่าเรื่องอื่นๆ ที่เคยทำการแสดงมาทั้งหมด เลยเริ่มเร็วขึ้นนะคะ





 

Create Date : 19 สิงหาคม 2554    
Last Update : 20 สิงหาคม 2554 22:09:12 น.
Counter : 2270 Pageviews.  

มหากัณหชาดก-ชาดกว่าด้วยคราวที่สุนัขดำกินคน




พระพุทธองค์ทรงตรัสว่า “ดูก่อนภิกษุทั้งหลาย มิใช่ตถาคต
จะบรรลุอภิสัมโพธิญาณแล้ว ถึงกระทำตนเป็นประโยชน์แก่
สัตว์โลก ในกาลก่อนแม้ยังมีกิเลสอยู่ก็ยังกระทำการเป็น
ประโยชน์แก่มหาชนมาแล้วเหมือนกัน” พระองค์ทรงตรัสเล่า


อดีตชาติในชาติหนึ่ง ซึ่งทรงเสวยพระชาติเป็นท้าวสักกเทวราช
อดีตนิทานในพระชาตินั้นคือ มหากัณหชาดกซึ่งในยุคนั้น
แผ่นดินพระศาสนาอยู่ในปลายสุดแห่งพุทธสมัยของพระกัสสป
สัมมาสัมพุทธเจ้า เมื่อพระกัสสปพุทธเจ้าเสด็จปรินิพพานแล้ว
จนกาลเวลาล่วงมานาน ศาสนาก็เสื่อมถอยลง ภิกษุทั้งหลาย




ทยอยกันออกไปจากพระศาสนาด้วยวิธีการต่างๆ ความเข้มแข็ง
ในพระธรรมวินัยย่อหย่อน ภิกษุจำนวนมากมิได้ลึกซึ้งในบท
พระธรรมอีกต่อไป ดังนั้นแทบไม่ต้องกล่าวถึงพฤติกรรมของ
ผู้คนทั้งหลาย เพราะต่างก็พากันประพฤติผิดศีลกันถ้วนหน้า




ทั้งสุราเมรัยและกิเลสกาม ทั้งการปล้นชิงทรัพย์ การฆ่ามนุษย์
ด้วยกัน เพียงเพื่อสิ่งของเล็กๆ น้อยๆ เท่านั้น ผู้คนยื้อแย่ง
แบ่งฝ่ายกันเอาชนะ เข่นฆ่าล้างผลาญผู้ที่ไม่ใช่ฝ่ายตนอย่าง
ไม่กลัวบาปกรรม แม้แต่เหล่าบัณฑิตก็พากันเสื่อมถอยสติปัญญา
ลุกขึ้นมาฆ่าฟันรักษาพวกพ้อง และพากันถือเอาอัตตาของตน
เป็นใหญ่ ศีลธรรมเวลานั้นสิ้นไร้ ไม่มีเหลือ ผู้คนก็พากันล้มหาย
ตายจากกันไปอย่างรวดเร็ว แต่บนห้วงสวรรค์อันเป็นที่สุคติของ
เทพบุตร ซึ่งจุติจากการดับขันธ์ของคนดีกลับกลายเป็นสวรรค์ว่าง




ท้าวสักกเทวราช ไม่เห็นเทพบุตรใหม่จุติขึ้นก็เล็งเห็นถึงสาเหตุ
เห็นเหล่ามนุษย์โลกตายลงแล้วไปเกิดในอบาย คือนรกขุมต่างๆ
มากมาย คนเหล่านี้ผิดศีล 5 ทั้งยังข่มเหงรังแก เอารัดเอาเปรียบ
ผู้อ่อนแอ ไร้โอกาสอยู่เป็นอาจิณ “ลงไปจัดการความชั่วเบื้องล่าง
กันเถอะ มาตุลี เธอจงแปลงกายเป็นสุนัขอสูรอันน่ากลัวเถิด มาตุลี
เราจะกลายร่างเป็นพรานล่ามนุษย์ ควบคุมเธอลงไปยังเบื้องล่างนั่น”




แล้วบัดนั้น เมื่อวิมานของท้าวสักกเทวราชก็บังเกิดร่างของสุนัขอสูร
ขึ้นอย่างน่ากลัว ร่างนั้นกำยำดำปลอด โตเท่าม้าพ่วงที่ตัวใหญ่
เขี้ยวแยกแสยะเท่าผลกล้วย ท่าทางกระหายเลือดนั้น ถูกดึงรั้ง
ไว้ด้วยเชือกคล้องคอเส้นหนึ่ง ปลายเชือกคือร่างใหญ่โตกว่า
ของมหาเทพอัมรินทร์หรือท้าวสักกเทวราชนั่นเอง ทรงแปลงร่าง
เป็นพรานล่าชีวิตในชุดแดงเพลิง คาดผ้าแดงตามวิธีของพราน


“ไปทำให้มนุษย์กลัวความชั่วกันเถิด มาตุลี เฮอะๆๆๆ ” แผ่นดิน
เบื้องล่างนั้น ทุรยุค เป็นแผ่นดินพาราณสีในสมัยของพระเจ้าอุสสิน
นรราชผู้นำที่ไม่อาจกำจัดความชั่วร้ายให้พ้นไปจากประชากรได้เลย
เมื่อมีสิ่งน่ากลัวลงมาจากฟ้าในเวลานั้น เสียงสะเทือนเลือนลั่น
ก็พลันบังเกิดขึ้น “ฆ่าคนชั่ว ฆ่าคนไม่มีศีล ฮ่าๆๆๆ” ร่างยักษ์ทั้ง
พรานถืออาวุธและสุนัขอสูรผิวดำ เหาะลงมาบนกำแพงหน้า
พระตำหนัก พระเจ้าอุสสินเข้าพระทัยตามวิสัยผู้ครอบครอง
ว่า พรานและสุนัขยักษ์ใหญ่กำลังหิวอาหาร แต่ครั้นนำข้าวปลา
ทั้งหมดของพระราชวังมาให้แล้วก็ยังไม่เพียงพอ และครั้น





ได้ฤกษ์เวลา ทั้งท้าวสักกเทวราชและมาตุลีราชบุตรจำแลง
ก็ส่งเสียงดังสะท้านแผ่นดิน เสียงนี้สะเทือนทั้งสกลจักรวาล
ชนิดที่มนุษย์ไม่เคยได้ยินมาก่อน ทุกชีวิตในรัศมี 100 โยชน์
ไม่อาจฟังด้วยโสตประสาทได้ ผู้มีบุญน้อยทำชั่วมาก ถึงกับเสียชีวิต



แม้พระราชาผู้มีบุญญาธิการยังมิอาจทนทานได้ “โอ่ย หยุดๆ เถิด
ท่านต้องการเลือดเนื้อสิ่งใด ก็บอกเรามาเถิด เราจะจัดหามาให้”
“ฮ่าๆๆๆ สุนัขของเราจักกินเนื้อคนที่เป็นศัตรูของเราเท่านั้น”
“แล้วศัตรูของท่านล่ะ เขาเป็นคนเช่นไร เราจะนำตัวมันมาให้ท่าน
เดี๋ยวนี้” “พวกมันก็คือ คนชั่ว คนโลภ คนไม่มีคุณธรรม ผิดข้อปาณา
ฆ่าสัตว์ ลักทรัพย์ ผิดข้อกาเม พูดเท็จ ส่อเสียด ยุแยง เสพของมึนเมา
และคนอกตัญญูไม่รู้บุญคุณ อีกทั้งนักบวชทุศีล หลอกปลด
ความทุกข์โศกแก่ผู้คน แลกค่าจ้าง ก็ล้วนต้องเป็นอาหารแก่สุนัขเรา”




เสียงประกาศของพรานจำแลงกายดังแทรกไปยังทุกอณูอากาศ
เหล่าคนชั่วที่ยังเหลืออยู่ได้เพราะมีอำนาจกำจัดผู้อื่นได้ยินกัน
ถ้วนหน้า มหาเทพสักกราช เมื่อเห็นผู้คนหวาดกลัวความตายจน
พอใจแล้ว ก็ค่อยๆ คืนร่างเดิม “ดูก่อนมหาราช ต่อไปโลกนี้จะพินาศ
เพราะเหล่าประชาชนประมาท พากันประพฤติชั่ว ตายแล้วไปแออัด
อยู่ในนรกภูมิ จงกลับตน ตั้งใจไว้ในความดีโดยไม่ประมาทเถิด
พระศาสนาอันเสื่อมโทรมนี้น่ะ จักยืนไปได้อีกพันปี” ท้าวสักก
เทวราชแสดงธรรมแล้วก็พา มาตุลี กลับวิมานของพระองค์ไป




ในพุทธกาลสมัยนั้น มาตุลีเทพบุตร กำเนิดมาเป็น พระอานนท์
ท้าวสักกเทวราช เสวยพระชาติเป็น พระสัมมาสัมพุทธเจ้า








ขอบคุณข้อมูลและภาพประกอบดีดีจาก
"www.dmc.tv" ธรรมดีดีที่มีให้ดูสดสดทุกวัน







 

Create Date : 27 เมษายน 2554    
Last Update : 27 เมษายน 2554 7:48:59 น.
Counter : 2053 Pageviews.  

โมรณัจจชาดก ว่าด้วยผู้ขาดหิริโอตัปปะ





ครั้นเมื่อพระสัมมาสัมพุทธเจ้าประกาศพระพุทธศาสนาแล้ว
เวลานั้นกุลบุตรจากทุกตระกูลหลั่งไหลกันเข้าบวชในพระ
พุทธศาสนาเพราะสัจธรรมอันวิเศษเป็นจำนวนมาก
เช่นกันกับชายตระกูลพราหมณ์คนหนึ่ง เมื่อมีโอกาสมา
ฟังธรรมเทศนาก็รู้สึกสงบมีความสุขใจ จึงรอโอกาสมาบวช
อยู่เช่นกัน พราหมณ์ผู้นี้มีฐานะดี กินอยู่สุขสบายจนเป็นนิจ
จึงเตรียมเครื่องอำนวยความสะดวกไปใช้เป็นอย่างมาก



นอกจากเตรียมเครื่องบริขารเกินจำเป็นแล้ว ก่อนเข้าเฝ้า
ขออุปสมบท พราหมณ์ยังนำช่างไปก่อสร้างกุฏิ โรงครัว
ส่วนตัว รอไว้ครบถ้วน เมื่อใกล้ฤดูพรรษา พราหมณ์ผู้มี
นิสัยสำรวยก็ได้รับพระกรุณาเป็นเอหิภิกขุอุปสมบทและอยู่
จำพรรษาในกุฏิใหม่ของตน ภิกษุผู้รักสบายเมื่อบวชแล้ว
นอกจากมีจีวรสวยงาม มีบริขารอุดมสมบูรณ์แล้ว ภิกษุใหม่
รูปนี้ยังสั่งให้คนรับใช้ที่บ้านมาคอยบริการทั้งกลางวันกลางคืน

ความประพฤติของภิกษุสงฆ์รูปนี้ เป็นที่วิพากษ์วิจารณ์
มากมายในหมู่สงฆ์ด้วยกัน ภิกษุผู้หลงในทรัพย์บริขารของตน
จึงถูกนำตัวไปเฝ้าพระบรมศาสดาในธรรมสภา เพื่อให้
องค์ศาสดาทรงตำหนิและให้สติเพื่อปลุกสำนึกในพระวินัยอันดี



ภิกษุใหม่เคยต่อความสุขสบายมานาน เมื่อถูกทำให้อับอาย
ก็โกรธจนลืมตัว ถอดจีวร ถอดอังสะ ยืนอุจาดกลางที่ประชุม
อย่างขาดหิริโอตัปปะ การกระทำที่น่าอับอายนี้ อุบาสกอุบาสิกา
และพระภิกษุทั้งหลายในธรรมสภาต่างไม่พอใจ จึงว่ากล่าว
และบริภาษอย่างรุนแรงจนต้องหนีออกจากพระเชตวันไป

สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าจึงทรงตรัสอดีตชาติของพระภิกษุ
ผู้ไม่ละอายขึ้นเป็นอุทาหรณ์ ในโมรณัจจชาดกดังต่อไปนี้

อดีตกาลย้อนไปแต่ครั้งต้นกัป ครั้งที่โลกยังสวยงามและ
อุดมสมบูรณ์ หมู่สัตว์ทั้งหลายต่างเคารพซึ่งกันและกัน
ไม่ล่วงเกินกล่าวร้ายกัน เช่นคนในวันนี้ ในหิมพานต์
ป่าใหญ่ครั้งนั้น ยังมีพญาหงส์เป็นหัวหน้าหมู่นกทั้งปวง



คราวหนึ่งถึงเวลาการมีคู่ครองของธิดาพญาหงส์ ซึ่งเจริญวัย
เป็นสาวและสวยงามกว่าวิหกใดๆ เมื่อพญาหงส์ประกาศ
ให้นกหนุ่มๆ ทั้งหลายมาชุมนุมกันเพื่อเลือกคู่ ธิดาซึ่งเป็นสาว
วัยกำดัด ก็ยิ่งงดงามจนชื่อเสียงกำจรขจาย เป็นที่ใฝ่ปองของ
นกทั้งหิมพานต์ เมื่อเวลาผ่านไปพอสมควร ธิดาพญาหงส์
ก็แสดงความพึงพอใจ นกยูงหนุ่มตัวหนึ่ง อันนกยูงนั้น มัน
ลำพองในความงามของขนหางอยู่แล้ว ครั้นได้รับเกียรติ
ได้รับคำเยินยอเข้า นิสัยอยากอวดก็กำเริบขึ้น นกยูงหนุ่ม
เชิดคอตั้ง ออกไปกลางลานโล่ง แล้วโชว์ขนหางออกลำแพน
หันไปหันมา อวดของดีในตัวอย่างไม่อายใคร หันก้นไปทางโน้น
ทางนี้ “อุ้ย น่าเกลียดจริงๆ นกอะไรไม่รู้จักกาลเทศะเลยนะเนี่ย"



พญานกเมื่อเห็นพฤติกรรมนกยูงก็ทนขัดเคืองไม่ไหว
“เธอขาด หิริ คือความไม่ละอายใจ ขาดโอตัปปะ คือความ
ไม่เกรงคำนินทา จึงทำให้ประจานตนอย่างนี้ เธอคงไม่เหมาะ
ที่จะเป็นคู่กับธิดาของเราแล้วล่ะ” พี่” นกยูงถูกขับไล่ออกไป

แต่บัดนั้น หงส์น้อยแสนสวย ถูกยกให้เป็นคู่กับหงส์หนุ่ม
ที่มาเลือกคู่ด้วยความเหมาะสม ได้ครองรักกันไปจนสิ้นอายุขัย



นกยูง ได้กำเนิดเป็น ภิกษุผู้ขาดหิริโอตัปปะ
พญานก เสวยพระชาติเป็น องค์พระสัมมาสัมพุทธเจ้า




ขอบคุณข้อมูลและภาพประกอบดีดีจาก
"www.dmc.tv" ธรรมดีดีที่มีให้ดูสดสดทุกวัน







 

Create Date : 23 เมษายน 2554    
Last Update : 23 เมษายน 2554 7:45:10 น.
Counter : 2564 Pageviews.  

มาตุโปสกชาดก-ชาดกว่าด้วยพญาช้างยอดกตัญญู





ในสมัยหนึ่งครั้งเมื่อพระพุทธเจ้าประทับอยู่วัดเชตวัน เมือง
สาวัตถี ได้เกิดเรื่องราวถกเถียงกันในหมู่สงฆ์ ถึงเรื่องวินัยสงฆ์
ของภิกษุผู้เลี้ยงมารดารูปหนึ่ง ภิกษุที่ว่านี้เมื่อออกบวชใน
พุทธศาสนาก็ไม่สามารถปฏิบัติธรรมอย่างจริงจังได้ เพราะ
ต้องคอยมาปรนนิบัติผู้เป็นมารดาที่อาศัยอยู่ในบ้านตามลำพัง



เมื่อพระศาสดาทราบเรื่องก็ทรงตรัสกับภิกษุเหล่านั้นว่า
“ภิกษุทั้งหลาย อย่าถือโทษภิกษุรูปนี้เลย แม้ในกาลก่อน
บัณฑิตทั้งหลายก็เคยปรนนิบัติผู้เป็นมารดาดั่งเช่นภิกษุนี้
แล้วพระองค์ก็ทรงตรัสเล่า มาตุโสกชาดกดังนี้



ในป่าลึกแห่งหนึ่งมีพญาช้างเผือกขาวปลอดมีรูปร่างสวยงาม
มีช้างแปดหมื่นเชือกเป็นบริวาร พญาช้างเผือกตัวนี้มีความ
กตัญญูรู้คุณมารดา ทุกครั้งที่ออกหาอาหารก็จะนำกลับมา
ให้มารดาที่ตาบอดกินเสมอ เก็บเอาไปฝากแม่เยอะๆ ดีกว่า

“เราจะอยู่ดูแลฝูงที่นี่รบกวนพวกเจ้าช่วยนำผลไม้เหล่านี้
ไปให้แม่ของเราด้วยนะ” ผลไม้รสหวานเหล่านั้นแทนที่จะ
เป็นอาหารให้กับช้างตาบอด แต่ก็ถูกช้างบริวารที่นำอาหาร
มากินเสียระหว่างทาง ปาก” เมื่อพญาช้างกลับมาพบว่า




มารดาไม่ได้อาหาร ก็คิดจะละจากโขลงเพื่อเลี้ยงดูมารดา
“นี่แม่ไม่ได้ทานอะไรตั้งแต่ลูกไปเลยเรอะ ไม่น่าเลย
ในเมื่อเป็นหัวหน้าโขลงแล้วลูกไม่สามารถดูแลแม่ได้
งั้นเราก็ออกจากโขลงกันเถอะ ลูกจะพาแม่ไปอยู่ที่
ชายป่าด้านโน้น เราจะอยู่ด้วยกันตามลำพังก็พอนะแม่



ในขณะที่ช้างเชือกอื่นกำลังหลับพักผ่อน พญาช้างก็แอบ
พาช้างมารดาหนีออกจากโขลงไปอยู่ที่เชิงเขา แล้วให้
มารดาพักอยู่ที่ถ้ำแห่งหนึ่ง “แม่จ๊ะเรารีบหนีไปกันเถอะ
ก่อนที่ช้างเชือกอื่นจะตื่นขึ้นมาซะก่อน” พญาช้างกับแม่
อาศัยอยู่ในป่าเพียงลำพัง ดำรงชีวิตด้วยความสงบสุข



จนอยู่มาวันหนึ่งมีพรานป่าชาวเมืองพาราณสีคนหนึ่งนั่งร้องไห้
อยู่ในป่า เพราะเข้าป่ามาแล้วหลงทางออกจากป่าไม่ได้
ด้วยความเมตตากรุณาพญาช้างจึงนำทางนายพรานออกจากป่า
แต่ฝ่ายพรานเมื่อพบช้างที่สวยงามอย่างพญาช้างก็คิดแผนร้าย

ในสมัยนั้นช้างมงคลของพระราชาได้ตายลง พระราชา
จึงมีรับสั่งให้ตีกลองร้องประกาศให้คนที่มีช้างงามให้เอามาถวาย
นายพรานเมื่อออกจากป่าได้แล้ว ก็รีบนำเรื่องช้างงาม
มาทูลต่อพระราชาเพื่อหวังได้รางวัล พระราชาเมื่อทราบแล้ว
ก็ปรารถนาจะครอบครองพญาช้างนั้น จึงให้นายควาญช้าง
พร้อมบริวารติดตามนายพรานเอมาจับพญาช้างไปถวาย



เมื่อพญาช้างเห็นนายพรานกลับมาพร้อมผู้คนอีกกลุ่มใหญ่
ก็รู้ว่าภัยจะมาถึงตัว แต่ก็สู้ไม่ได้ ยอมให้ควาญช้างนำตัวไป
ในเมืองพาราณสี ฝ่ายช้างมารดาเมื่อไม่เห็นลูกกลับมาก็ได้แต่
คร่ำครวญคิดถึงลูก เมื่อควาญช้างพาพญาช้างมาถึงเมือง
ก็ประพรมน้ำหอมพญาช้าง ประดับเครื่องทรงและนำไปไว้
ที่โรงช้าง รอให้พระราชาลงมาทอดพระเนตร



เมื่อควาญช้างนำความขึ้นกราบทูล พระราชาก็ทรงนำอาหาร
รสดีต่างๆ มาให้พญาช้าง “พญาช้างผู้ประเสริฐเชิญกินอาหาร
เสียก่อนเถิด เราดีใจที่ได้เจ้ามาเป็นช้างมงคล พญาช้าง
เมื่อเห็นอาหารดีๆ ก็คิดถึงมารดา ไม่ยอมกินอาหารนั้น

“พญาช้างเจ้ากังวลอะไรเหรอ ทำไม่เจ้าไม่ยอมกินอาหาร
ที่เรานำมาให้ละ” “หม่อมฉันเป็นห่วงนางช้างผู้เป็นมารดา
นางตาบอดไม่มีใครดูแล ป่านนี้จะเป็นอย่างไรบ้างก็ไม่รู้”



พระราชาเมื่อฟังแล้วก็เกิดความเศร้าใจมีรับสั่งให้ปล่อยพญาช้าง
“พญาช้างนี้เลี้ยงดูมารดาตาบอดอยู่ในป่า ท่านทั้งหลายปล่อย
เขาไปเถอะ” พญาช้างเมื่อถูกปล่อยตัวก็รีบกลับไปยังถ้ำที่
มารดานอนอยู่ เมื่อไปถึงก็รีบนำน้ำในสระมารดตัวมารดา
ที่นอนร่างกายผ่ายผอมเพราะไม่ได้กินอาหารมาแล้ว 7 วัน



ฝ่ายพระราชาที่เลื่อมใสในความกตัญญูของพญาช้าง มีรับสั่ง
ให้ตั้งอาหารไว้เพื่อพญาช้างและมารดาเป็นประจำตั้งแต่วันที่
ปล่อยพญาช้างไป “เอ้าๆๆ กินกันเยอะๆ เลยนะ”



เพื่อเทิดทูนความกตัญญูของพญาช้าง พระราชาจึงรับสั่ง
ให้สร้างรูปเหมือนพญาช้าง จัดงานฉลองช้างขึ้นเป็นประจำทุกปี
“เจ้าต้องเป็นเด็กกตัญญูเหมือนพญาช้างนะลูก” “จ๊ะแม่"
กาลต่อมาแม่ช้างก็สิ้นอายุขัย พญาช้างจึงตัดสิ้นใจ
เข้าไปในเมือง ถวายตัวรับใช้พระราชาจนสิ้นชีวิต

พระราชาในกาลนั้น กำเนิดเป็น พระอานนท์
พรานป่า กำเนิดเป็น พระเทวทัต
ควาญช้าง กำเนิดเป็น พระสารีบุตร
นางช้าง กำเนิดเป็น พระนางมหามายาเทวี
พญาช้าง เสวยพระชาติเป็น พระสัมมาสัมพุทธเจ้า





ขอบคุณข้อมูลและภาพประกอบดีดีจาก
"www.dmc.tv" ธรรมดีดีที่มีให้ดูสดสดทุกวัน






 

Create Date : 19 เมษายน 2554    
Last Update : 19 เมษายน 2554 20:44:14 น.
Counter : 3923 Pageviews.  

ปัญจาวุธกุมาร-ชาดกว่าด้วยการทำความเพียร





ขณะเมื่อพระพุทธศาสดาประทับในมหาวิหารทรงแจ้งใน
พระญาณว่า ยังมีภิกษุเกียจคร้านอาศัยครองเพศสมณะไปวันๆ
ทรงตักเตือนด้วยพุทธโอวาทว่า “ดูก่อนภิกษุ แม้ในกาลก่อน
บัณฑิตทั้งหลายกระทำความเพียร ในที่ที่ควรประกอบความเพียร
ก็ยังบรรลุถึงราชสมบัติได้” ทรงระลึกชาติของพระองค์ด้วย
ชาดกเรื่องหนึ่งส่งเสริมพุทธโอวาทเกี่ยวกับความเพียรนั้น





อดีตกาลนานมาในแผ่นดินพระเจ้าพรหมทัตนั้น กรุงพาราณสี
ร่มเย็นเป็นสุขด้วยราชธรรม ชาวเมืองใกล้ไกลเดินทางค้าขาย
ไปมาหาสู่กันอย่างปลอดภัยเป็นอันดี ทุกคนอาศัยเส้นทางที่
ตัดผ่านทุ่งโล่ง ผ่านหมู่บ้านมากมายไปยังพรหมแดนเมือง
พาราณสี ไม่มีใครที่กล้าเสี่ยงเดินออกนอกเส้นทางผ่าน
ป่าดงดิบที่ถึงแม้จะเป็นเส้นทางลัดเลยสักคน




เจ้าชายเมืองพาราณสี นาม “ปัญจาวุธกุมาร” พระราชโอรส
องค์เดียวของพระเจ้าพรหมทัต หลังจากได้สำเร็จการเรียน
ศิลปะวิทยาการจากสำนักทิศาปาโมกข์ เมืองตักศิลาแคว้น
คันธาระแล้ว ก็ได้เดินทางกลับพระนครเพียงลำพังพร้อม
อาวุธประจำกาย ด้วยความปรารถนาให้ถึงกรุงพาราณสีโดยเร็ว
เพื่อจะได้เข้าเฝ้าพระราชบิดาก่อนตะวันตกดิน เจ้าชายจึง
ทรงเลือกใช้เส้นทางลัดผ่านป่าดงดิบเข้าไปยังกล้าหาญ
มิเกรงกลัวอันตรายใดๆ เจ้าชายปัญจาวุธกุมาร ทรงมี
ความวิริยะและสติปัญญาเป็นเลิศ มีศิลปะวิทยาการชั้นสูง
ทางอาวุธทั้งที่อยู่ในวัยหนุ่มเพียง 18 ปี เท่านั้นเมื่อครั้ง
ประสูติโหรหลวงได้ถวายคำทำนายว่า พระโอรสจะเป็นบุรุษ
ที่เลิศทางปัญญา และเชี่ยวชาญศาสตราวุธอย่างไร้ผู้เทียมทาน


ความสามารถด้านศาสตราวุธของเจ้าชายคือ ทรงยิงธนู
ได้ราวห่าฝน พุ่งหอกซัดได้ไม่พลาดเป้า ตีกระบองได้หนัก
ดุจทะลายขุนเขา และใช้พระขันธ์ได้ดีเท่ายอดขุนศึกผู้นำทัพ
ด้วยความสามารถเหล่านี้จึงไม่ได้ทรงหวั่นเกรงต่ออันตรายใดๆ
ในป่าดงดิบที่จะผ่านเข้าไป แม้จะทรงทราบมาก่อนแล้วว่า
ไม่เคยมีผู้ใดที่เข้าไปในป่าดงดิบนี้แล้วรอดชีวิตออกมาได้




ระหว่างทางพระองค์ทรงพบกับพ่อค้าวาณิชที่ต่างห้ามปราม
ด้วยความห่วงใย เมื่อห้ามปรามไม่ได้ กองพ่อค้าวาณิชจึงต้อง
จำยอมและเดินทางจากไป เจ้าชายแห่งพาราณสีเร่งเดินทาง
ลงจากทุ่งหญ้ามายังประตูป่า ทรงพบว่ามันเป็นป่าทึบที่เงียบ
เชียบผิดไปจากป่าทั่วไป พระองค์จึงผ่านประตูป่าเข้าไปด้วย
ความระมัดระวัง ไม่ประมาท การเดินทางผ่านป่าแห่งความตาย
เป็นไปด้วยความยากลำบาก ต้องใช้พระขันธ์ตัดกิ่งหนามบ้าง
เถาวัลย์บ้าง หลายครั้งทรงถูกกิ่งไม้และหนามทิ่มตำจึงเกิด
บาดแผล แต่เจ้าชายก็ไม่ได้ทรงย่อท้อจนกระทั่งถึงป่าโปร่ง




สิ่งที่ได้เห็นทำให้เจ้าชายตกใจเป็นอย่างมาก ภาพที่เห็นคือ
กระดูกเศษเนื้อสัตว์และมนุษย์ ถูกแทะกินทิ้งไว้มากมาย
มีทั้งของเก่าเป็นซากค้างปีและซากใหม่ที่ยังสดๆ เหม็นกลิ่น
คาวคละคลุ้ง กองกระดูกเศษเนื้อสัตว์และมนุษย์ ถูกทิ้ง
เกลื่อนทั้งซากเก่าและซากใหม่ คุณพระช่วย! นั่น! นั่น! นั่น
มันยักษ์กินคนนี่” “ฮ่าๆๆๆ ไอ้มนุษย์น้อย ฮ่าๆๆๆ ผ่านเข้ามา
ให้ข้ากินอีกคนแล้ว ฮ่า ๆๆๆ” “ฝันไปเหอะ เจ้าไม่มีทาง
ได้กินเราหรอก” “จะสู้เหรอ เหอะ ฮ่าๆๆๆ ข้าคือสิเลสโลม
มีขนเป็นเกราะกายสิทธิ์ เจ้าจะทำอะไรข้าได้ เหอะ ฮ่าๆๆๆ
ไม่มีอาวุธใด ทำอันตรายข้าได้” “งั้นก็ลองชิมศรเหล็ก
อาบยาพิษของทิศาปาโมกข์หน่อยละกัน” แม้ลูกธนูจะทำอะไร
ยักษ์ไม่ได้ แต่เจ้าชายก็ไม่ได้หวาดกลัวหรือท้อถอยแต่อย่างใด
ยังคงงัดความสามารถที่มีอยู่ต่อสู้กับเจ้ายักษ์ต่อไป ลิ้มรส
พระขันธ์ของเราแทนล่ะกัน นี่!” “ฤทธิ์มากเหลือเกิน” เจ้าชาย
ปัญจาวุธ ทรงใช้เพลงอาวุธที่ร่ำเรียนมาโถมเข้าใส่ยักษ์
แม้ว่าอาวุธของพระองค์จะไม่สามารถทำอะไรเจ้ายักษ์ได้




แต่พระองค์ก็ยังทรงมีมานะบุกเข้าไปต่อสู้จนได้โอกาสฟาด
พระขันธ์ได้อย่างจัง การต่อสู้อย่างไม่ลดละของเจ้าชาย
ทำให้เจ้ายักษ์รู้สึกรำคาญมันจึงใช้มือตบเจ้าชาย จนกระเด็น
ไปกระทบกับโขดหิน เจ้ายักษ์ใช้ขนกายสิทธิ์ของมันดูด
พระขันธ์ของเจ้าชายไว้ โชคดีที่เจ้าชายมีหอกเป็นอาวุธ




อีกอย่างหนึ่ง เจ้าชายปัญจาวุธทรงตัดความเจ็บปวดทิ้งไป
ฝืนทรงร่างกายหยิบหอกซัดปลายด้ามกระบอกขึ้น เตรียมสู้
ต่อไปอีก “นี่เจ้ายังไม่เข็ดอีกหรอ?” เจ้าชายปัญจาวุธใช้หอก
ต่อสู้กับเจ้ายักษ์อีกครั้ง แต่แล้วก็โดนขนกายสิทธิ์ดูดใบหอก
ไปอีก เหลือแต่เพียงด้ามหอกเท่านั้น เจ้าชายรีบถอยมาตั้งหลัก
และไม่ยอมแพ้ใช้ไม้กระบองตีเข้าที่มือเจ้ายักษ์อย่างไม่ลดละ




ร่างเล็กๆ ของพระองค์ไฉนเลยจะต่อสู้กับร่างอันใหญ่โต
ของเจ้ายักษ์ได้ เจ้ายักษ์ใช้มืออันกำยำคว้าร่างของเจ้าชายไว้
เจ้าชายปากระบองไปโดนตาของเจ้ายักษ์อย่างเต็มแรง
ยักษ์สิเลสโลมโกรธเจ้าชายมากที่ทำมันบาดเจ็บ จึงตัดสินใจ
จะกินโอรสปัญจาวุธกุมารซะเดี๋ยวนั้น แต่เจ้าชายก็ไม่ได้
หวาดกลัวแต่อย่างใด ทำให้เจ้ายักษ์เกิดความสงสัย




ด้วยกิริยาห้าวหาญแม้กำลังจะถูกกิน ทำให้เจ้ายักษ์ร้ายประหม่า
เริ่มระวังตัวเอง เจ้ายักษ์หารู้ไม่ว่าอาวุธอีกอย่างที่เจ้าชายมีนั้น
ก็คือปัญญาที่หลักแหลมของพระองค์นั่นเอง เมื่อยักษ์ร้าย
หลงกลอยากรู้ ปัญจาวุธกุมารก็โผซ้ำตามแผนที่คิดไว้ “ฮึๆๆๆ
เจ้ายักษ์เอ๋ย ทำไมเราต้องกลัวเจ้า เจ้ารู้หรือไม่ว่าในท้องของเรา
มีวชิราวุธ เฮ้อ ฮ่าๆๆๆๆ” วชิราวุธที่เจ้าชายพูดถึง เป็นอาวุธวิเศษ
ใครโดนอาวุธนี้ทำร้ายจะต้องตายเป็นผงธุลีดั่งสายฟ้าฟาดทุกราย


ยักษ์สิเลสโลมวางเจ้าชายลงเพราะกลัววชิราวุธในกายของเจ้าชาย
ยักษ์ร่ายเวทมนต์ย่อร่างตัวเองให้เล็กลงจนขนาดเท่าๆ กับช้าง
แล้วปล่อยพระโอรสปัญจากุมารเป็นอิสระ แล้วเดินทาง
ผ่านไปยังกรุงพาราณสีได้ ปัญจาวุธกุมารขอบใจยักษ์ แต่ก็ยัง
ไม่จากไปทันที เจ้าชายทรงโปรดเจ้ายักษ์โดยการชี้ให้เห็นถึง
บาปกรรมในการฆ่าผู้อื่น เจ้าต้องไปเกิดในอบายภูมิซึ่งก็คือนรก
เกิดเป็นสัตว์เดรัจฉาน เป็นเปรต อสุรกาย แล้วเจ้าก็ต้องเกิด
มาเป็นยักษ์อีกแน่ แม้ว่าหมดเวรกรรมจากอบายภูมิ ได้เกิดมา
เป็นมนุษย์อายุของเจ้าก็จะสั้น เหตุเพราะได้ทำลายชีวิตของผู้อื่น
ไว้มาก” ยักษ์สิเลสโลมนิ่งฟังปัญจาวุธกุมารพูดอย่างสงบ
เพราะนี่เป็นการฟังพระธรรมครั้งแรกในชีวิตมัน “รับปากได้รึไม่ว่า
เจ้าจะไม่ฆ่าใครอีกและจะประพฤติธรรมรักษาศีล เจ้าต้องรักษา
ไว้ให้มั่นอย่าประมาท จำไว้นะเจ้ายักษ์” “ข้ารับปาก”




เมื่อเจ้ายักษ์สิเลสโลมสัญญาว่าจะไม่ทำร้ายใครอีก
ปัญจาวุธกุมารก็เก็บอาวุธประจำกายแล้วเร่งเดินทางออกไปจากป่า
นับแต่นั้นมาป่าชายแดนพาราณสีก็ไม่ได้เป็นดินแดนแห่งความตาย
อีกต่อไป ชาวบ้านช่วยกันผลัดเปลี่ยนเดินทางนำอาหารเข้าไปในป่า
ครั้งละมากๆ เพื่อนำไปให้ยักษ์สิเลสโลมที่กลับใจมาบำเพ็ญเพียร
ได้กินแทนชีวิตคน ชาวบ้านเลิกหวาดกลัวยักษ์ กลายเป็นเพื่อนกัน
ตั้งแต่บัดนั้นเป็นต้นมา “ขอบใจพวกเจ้าทุกคน อร่อยมาก ฮ่า ๆๆๆๆ”


ยักษ์ในครั้งนั้น ต่อมาคือ องคุลีมาล
ปัญจาวุธกุมาร คือ พระชาติหนึ่งของพระพุทธเจ้า





ขอบคุณข้อมูลและภาพประกอบดีดีจาก
"www.dmc.tv" ธรรมดีดีที่มีให้ดูสดสดทุกวัน




 

Create Date : 14 เมษายน 2554    
Last Update : 14 เมษายน 2554 21:34:32 น.
Counter : 1753 Pageviews.  

1  2  3  4  5  6  7  8  9  10  11  12  13  14  15  16  

หอมกร
Location :
กรุงเทพ Thailand

[Profile ทั้งหมด]

ฝากข้อความหลังไมค์
Rss Feed
Smember
ผู้ติดตามบล็อก : 65 คน [?]




ทำงานราชการมีจิตใจรักชาติไม่น้อยกว่าใคร จากเดิมทำบล็อกหลากหลายที่ตนเองสนใจ ปัจจุบันเน้นแปะเรื่องราวจากภาพยนตร์ไว้เป็นข้อมูลเบื้องต้นเพื่อการตัดสินใจไปดู
Hello ! Hello ! Hello ! ขอบคุณสำหรับการเยี่ยมเยียนจ้า
Friends' blogs
[Add หอมกร's blog to your web]
Links
 

 Pantip.com | PantipMarket.com | Pantown.com | © 2004 BlogGang.com allrights reserved.