วัดสุวรรณาราม : พระเวสสันดร
เวสสันดรชาดกเป็นการบำเพ็ญทานบารมีที่ยิ่งใหญ่ที่สุดในพระชาติสุดท้าย ก่อนที่จะมาเสวยพระชาติเป็นเจ้าชายสิทธัตถะแล้วได้ตรัสรู้เป็นพระพุทธเจ้า เป็นเรื่องที่ยืดยาวมากที่สุด แต่ในขณะเดียวกันก็เป็นเรื่องที่คนไทยรู้จักมากที่สุด เมื่อแรกเห็นก็น่าจะเดาเรื่องได้ทันที ดังนั้นเรามาคุยเรื่องจิตรกรรมฝาผนังดีกว่า
ในสมัยสมัยสุโขทัยไม่พบการเขียนจิตรกรรมฝาผนัง ที่เห็นมีเพียงปูนปั้น เมื่อเข้าสู่ยุคอยุธยาตอนต้น พบจิตกรรมฝาผนังสองแห่งคือที่ภายในกรุวัดราชบูรณะ อยุธยา และภายในกรุวัดมหาธาตุ ราชบุรี ซึ่งพบการเขียนภาพอดีตพระพุทธเจ้า หรือภาพพระพุทธเจ้าจำนวนมาก และเท่าที่รู้มีชาดกเรื่องพระมหาชนกด้วย
มันคงหลงเหลือมาจนถึงในปัจจุบัน เนื่องจากเมื่อสร้างพระปรางค์เสร็จสิ้น มีการบรรจุของล้ำค่าต่างๆ เป็นพุทธบูชาแล้วก็จะมีการปิดกรุทำให้ไม่มีใครแตะต้อง ส่วนวัดโดยทั่วไป อุโบสถและวิหารนั้นก็ไม่มีเทคโนโลยีการก่อหน้าต่างขนาดใหญ่ ทำให้แสงเข้าได้น้อย หรืออาจจะเป็นด้วยการบูรณะทับซ้อนมาหลายสมัย
หรือจริงๆ แล้วการเขียนจิตรกรรมฝาผนังในอุโบสถและวิหาร อาจจะเพิ่งเริ่ม สมัยอยุธยาตอนปลายที่เป็นยุคที่ศาสนาเฟื่องฟุถึงขีดสุด รูปแบบอาคาร และคติวิธีการเขียนจิตรกรรมฝาผนังนั้นยังคงสืบทอดมาจนถึงในปัจจุบัน แต่ด้วยความที่อยุธยาถูกทิ้งร้างจากการเสียกรุงครั้งที่สอง ทำให้มีจิตรกรรมฝาผนัง เหลือเพียงแค่วัดใหม่ประชุมพล และตำหนักพระพุทธโฆษาจารย์ วัดพุทไธสวรรย์
แต่เราสามารถที่จะพบจิตรกรรมฝาผนังสมัยอยุธยาตอนปลายได้จากสองสายช่างสกุล หนึ่งนั้นคือเมืองเพชรบุรี มีสองวัดคือวัดใหญ่สุวรรณาราม และวัดเกาะแก้วสุทธาราม ส่วนสายช่างนนทบุรีนั้น มีสองวัดคือวัดชมพูเวกและวัดปราสาท ส่วนกรุงเทพนั้น อาจจะพบได้ที่วัดยานนาวา และที่ผมเพิ่งไปมาก็คือวัดโบสถ์สามเสน
รูปแบบของอยุธยาตอนปลายและรัตนโกสินทร์ตอนต้นนั้นแทบไม่แตกต่างกัน แต่มีจุดที่สังเกตได้ก็คือ การใช้สีอย่างหลากหลายในจิตกรรมยุครัตนโกสินทร์ และการตัดเส้นด้วยสีทองที่สมัยอยุธยา ใช้เฉพาะตัวละครที่สำคัญเท่านั้น ไม่มากมายละลานตาเหมือนดั่งเช่นในสมัยรัชกาลที่สามที่ศาสนารุ่งเรืองขีดสุด
หลายครั้งที่เราเข้าไปในโบสถ์เก่าหรือแม้กระทั่งที่วัดสุวรรณารามแห่งนี้ก็ตาม จะพบว่ามันหลุดลอกหายไปในช่วงล่างของห้องภาพ แน่นอนว่าเกิดจากความชื้น ซึ่งแม้ช่างจะเตรียมการมาดีเท่าไหร่ก็ไม่สามารถจะแก้ไขปัญหานี้ได้ เนื่องเพราะความเจริญที่ถามโถมมาสู่ตัววัดนี่เอง ที่เป็นตัวการทำลายจิตรกรรมฝาผนัง
เพราะในอดีตนั้นตัวพระอุโบสถและวิหารมักจะเป็นพื้นไม้ที่ระบายความชื้นได้ดี รายรอบตัวอาคารนั้นก็เป็นเพียงพื้นทรายที่ระบายความชื้นของฝนได้อย่างรวดเร็ว การเตรียมผนังต้องมีกรรมวิธีที่ดี ต้องให้ผิวพื้นเรียบ เมื่อระบายสีและตัดเส้น จะทำได้อย่างประณีต ผนังที่เตรียมอย่างดีแล้วต้องไม่ดูดสีที่ระบายอีกด้วย
การเตรียมผนังต้องหมักปูนขาวที่จะฉาบผนังไว้นานราว 3 เดือน หรือนานกว่านั้น ระหว่างหมักปูนต้องหมั่นถ่ายน้ำจนความเค็มของปูนลดน้อยลง ต่อจากนั้น จึงนำปูนที่หมักมาเข้าส่วนผสม มีน้ำอ้อยที่เคี่ยวจนเหนียว และยังมีส่วนผสมของกาว ที่ได้จากยางไม้ หรือกาวหนังสัตว์ที่ได้จากการเคี่ยวหนังวัว หนังควาย
ส่วนผสมดังกล่าวจะทำให้ปูนมีความแข็งเหนียว และผิวเรียบเป็นมัน เมื่อปูนฉาบแห้งสนิทแล้วมีการชโลมผนังด้วยน้ำต้มใบขี้เหล็ก เพื่อลดความเป็นด่างของผนัง การทดสอบว่าผนังยังมีความเป็นด่างอยู่อีกหรือไม่ ทำได้ด้วยการใช้ขมิ้นขีดที่ผนัง หากสีเหลืองของขมิ้นเปลี่ยนเป็นสีแดง
แสดงว่าผนังยังมีความเป็นด่าง กลายเป็นที่มาของคำโบราณที่ว่าว่า ขมิ้นกับปูน การรองพื้นก่อนการเขียนภาพใช้ดินสอพองบดละเอียดนำไปหมักในน้ำ กรองเอาสิ่งสกปรกออกไป แล้วทับน้ำให้หมาด นำมาผสมกับกาวที่ได้ จากน้ำต้มเม็ดในของมะขาม เมื่อแห้งจึงขัดให้เรียบก่อนเริ่มขั้นตอนการเขียนภาพ
Create Date : 02 ตุลาคม 2555 |
|
3 comments |
Last Update : 2 ตุลาคม 2555 16:45:05 น. |
Counter : 4357 Pageviews. |
|
|
วันที่จากเชียงใหม่มามวกเหล็ก ขับจนหมดแรงทั้งคู่ ต้องแวะค้างบ้านเพื่อนที่ปากช่อง
โทรไปหาว่าวันนี้ขอค้างที่บ้านหน่อย
เพื่อนถามย้อนมาเลยว่ ามาจากไหนเนี่ย
เพราะหมดแรงแถวปากช่องประจำ