จิบชาชมดอกไม้ไปพลาง คุยกันเบาๆ ที่สวน..เจ้าแก้ว กังไส





Group Blog
 
<<
พฤษภาคม 2556
 1234
567891011
12131415161718
19202122232425
262728293031 
 
30 พฤษภาคม 2556
 
All Blogs
 
เวียงนาคินทร์ ตอนที่ 45

ตอนที่ 45
ใต้สายนที



                 รถยุโรปคันงามแล่นผ่านรั้วมหาวิทยาลัยออกไปช้าๆ โดยมีเคียงฟ้านั่งเคียงคู่กับเจ้าของรถไปด้วย ใจหล่อนไม่อยู่กับเนื้อกับตัวนักจึงไม่สนใจแม้กระทั่งสายตาของคนในมหาวิทยาลัย หรือแม้แต่มิรันตีที่เบิกตาค้างยามที่เห็นหล่อนออกไปกับวิมุตติ เพื่อนรักเพื่อนร้ายของหล่อนเม้มริมฝีปากลงจนแน่นจ้องมองรถยนต์สีงาช้างขับผ่านไปจนสุดสายตา


                 ในขณะที่หญิงสาวในรถได้แต่นั่งบีบมือนุ่มนิ่มของตนไปมา ด้วยความพะวงไปถึงคนที่กำลังจะไปเจอ เจ้าภูวิษะจะหาว่าหล่อนบ้าหรือเปล่านะ สีหน้าวิตกกังวลนี้กลับเรียกรอยยิ้มให้เจ้าของรถนึกขำ


                 “เขา..เอ้อ เจ้าภูวิษะ เขาเคยฝันเห็นอะไรอย่างที่ฟ้าเห็นบ้างไหมคะ?”


                 “เดี๋ยวก็ลองถามเขาดูสิครับ”


                 “ตะ...แต่ อยู่ๆ ก็ไปหาแล้วไปคุยเรื่องแบบนี้ เขาอาจจะลำบากใจ” เคียงฟ้านึกถึงใบหน้าหล่อเหลาที่ตีสีหน้าบึ้งตึงใส่หล่อนออกแทบจะในทันที ดีไม่ดีพ่อคุณจะหาว่าหล่อนบ้าเสียด้วยซ้ำ แต่ความกลัวที่มีต่อความฝันที่ต่อเนื่องมานับเดือนมีอิทธิพลมากกว่าความกังวลใจที่จะเผชิญหน้ากับเจ้าภูวิษะ


                 “เคียงฟ้าที่ผ่านมาแก้ปัญหาเรื่องนี้ยังไงบ้างครับ?”


                 “เอ้อ...” หญิงสาวก้มหน้าไม่รู้จะตอบอย่างไรดีในเมื่อหล่อนแทบไม่ได้แก้ไขอะไรเป็นชิ้นเป็นอันเลย


                 “ก็...ปรึกษาคุณแม่ค่ะ แล้วก็ไปทำบุญให้..ให้คนในความฝัน” จากนั้นหล่อนก็เงียบไปอีก


                 “บางอย่าง..ให้ความรู้สึกเป็นตัวนำทางเถอะ ไม่ต้องรออะไรอีกแล้ว” ความกังวลที่ก่อรูปในใจมาครู่ใหญ่ค่อยๆ เบาบางลงเมื่อได้ยินคำพูดประโยคนี้เข้า บางทีเคียงฟ้าอาจจะรอใครสักคนมาบอกว่าหล่อนควรทำอย่างไรก็เป็นได้


                 “แล้วถ้า...ถ้ามันไม่เป็นอย่างที่เราคิดล่ะคะ ” ใช่...ถ้าเขารังเกียจหล่อนเกินกว่าจะพูดจาด้วยล่ะ


                 “อย่าเพิ่งคิดไปเอง ไปคุยกับเขาก่อนเรื่องมันอาจจะไม่ได้แย่อย่างที่คิด” หญิงสาวพยักหน้ารับแล้วนั่งนิ่งไปตลอดทางไม่มีคำถาม ไม่มีบทสนทนาใดระหว่างกันอีก หล่อนจมอยู่ในความคิดของตนเองจนลืมถามวิมุตติไปว่าจะไปพบเจ้าภูวิษะที่ไหนด้วยซ้ำ


                  รถยนต์สีงาช้างวิ่งออกนอกตัวเมืองเรียบถนนริมแม่น้ำมาตลอดทาง ไม่นานนักก็ชะลอตัวลงหน้าบ้านหลังใหญ่ รั้วสูงค่อยๆ เลื่อนตัวเปิดออก ปล่อยให้รถวิ่งเข้าสู่ภายในอย่างเงียบเชียบ หญิงสาวเหลียวมองที่รั้วไม่มีคนเปิด หล่อนแน่ใจว่าไม่เห็นเขาใช้รีโมทเปิดรั้วเลยด้วยซ้ำ แต่อาจจะมีคนในบ้านกดปุ่มเปิดให้ก็เป็นได้จึงไม่ให้ความสนใจอีก


                 “ที่นี่...บ้านเจ้าภูวิษะเหรอคะ?” หล่อนถามในขณะที่ก้าวลงจากรถ ชายหนุ่มข้างตัวมีเพียงรอยยิ้มน้อยๆ แต่ไม่ตอบคำถาม


                  บ้านหลังใหญ่โอ่อ่าตรงหน้าแสดงฐานะของผู้อยู่อาศัยโดยอัตโนมัติ จนหญิงสาวรู้สึกด้อยลงไปโดยปริยาย หล่อนอาศัยอยู่ในบ้านน้อยหลังเดิมที่อยู่มาตั้งแต่เกิด ซึ่งเริ่มทรุดโทรมลงตามกาลเวลา แม้จะไม่ได้ดูอนาถาแต่เทียบไม่ได้กับบ้านหลังใหญ่ตรงหน้า


                  “เคียงฟ้ามาทางนี้”


                  วิมุตติเรียกหล่อนให้เดินตาม แต่เขาไม่ได้เดินนำเข้าไปในบ้านอย่างที่คิด หากแต่เดินอ้อมตัวบ้านไปยังสวนด้านหลัง เคียงฟ้าเดินตามเงียบๆ ไม่ได้ซักถามสิ่งใด ในใจมีแต่ความตื่นเต้น ยิ่งเดินลึกเข้าไปหล่อนก็ยิ่งประหลาดใจเมื่อเขาเดินนำไปยังศาลาท่าน้ำ


                 “จะให้รอตรงนี้เหรอคะ?” หล่อนเหลียวซ้ายแลขวาด้วยความไม่แน่ใจ ศาลานั้นตั้งอยู่ริมน้ำเลยออกไปอีกหน่อยมีท่าน้ำเล็กๆ ทอดตัวลงไปสู่แม่น้ำ หญิงสาวเข้าใจว่าเขาจะไปเรียกเจ้าภูวิษะมาให้คุยกับหล่อนตรงนี้ แต่คำตอบที่ได้รับยิ่งทำให้พิศวง


                 “ไม่ใช่หรอก....ตรงนั้นต่างหาก” หนุ่มรูปทองมีรอยยิ้มเข้าใจยากมอบให้หล่อน ก่อนจะเดินผ่านศาลาออกไปที่ท่าน้ำ แล้วชี้มือลงในแม่น้ำนั้น


                 “คะ?” เคียงฟ้ามองตามแล้วขมวดคิ้วด้วยความไม่เข้าใจ


                 “ต้องลงไป”


                  รอยยิ้มเยือกเย็นยังระบายอยู่บนใบหน้า นัยน์ตาสีน้ำตาลใสคู่นั้นมีแววประหลาดสะท้อนกลับมา ทำเอาหล่อนสังหรณ์ประหลาด แต่ก่อนจะได้เอ่ยถามอะไรมากไปกว่านั้น ผู้เป็นอาจารย์ก็เอื้อมมือมาถึงตัวแล้วผลักหล่นตกลงไปในแม่น้ำ!


+++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++


                  เคียงฟ้าว่ายน้ำเป็นแต่ไม่แข็งนัก บวกกับไม่ทันตั้งตัว เมื่อตกลงไปในน้ำกะทันหันหล่อนก็กรีดร้อง แต่ทันทีที่อ้าปากน้ำก็ทะลักเข้ามา ทำให้เสียงร้องไม่อาจเล็ดรอดออกไปได้ วิมุตติยืนนิ่งมองหล่อนตะเกียกตะกายอยู่ในน้ำโดยไม่มีท่าทีจะช่วยเหลือแต่อย่างใด มีเพียงรอยยิ้มลึกลับส่งมาให้


                  หญิงสาวนึกโกรธแต่ไม่สามารถทำอะไรได้มากไปกว่านั้น ลำพังแค่พยายามจะพยุงตัวก็ยากแล้ว น้ำในแม่น้ำไม่ได้นิ่งเหมือนในสระว่ายน้ำ และยิ่งไปกว่านั้นหล่อนรู้สึกว่าที่ขามีเส้นใยบางอย่างมาพันรอบขาแล้วดึงให้จมลงไป หล่อนไม่ได้คิดไปเองอย่างแน่นอนเพราะยิ่งตะเกียกตะกายเท่าใดสายใยนั้นยิ่งรัดแน่นและฉุดกระชากให้ดำดิ่งลงมากขึ้น


                 “อาจารย์..ช่วย...ช่วยด้วย!!!” เคียงฟ้าร้องได้แค่นั้นก่อนจะจมหายลงไปอย่างรวดเร็ว เหมือนถูกมือที่มองไม่เห็นฉุดลงไปใต้น้ำ


                  หญิงสาวพยายามกลั้นหายใจแล้วว่ายขึ้นบนผิวน้ำ แต่ไม่มีวี่แววว่าจะทำสำเร็จตรงกันข้ามกับดิ่งลึกลงไปเรื่อยๆ ด้วยความรวดเร็ว ใต้สายน้ำอันมืดมิดมีแรงดึงดูดมหาศาลพยายามลากหล่อนลงไป ลมหายใจใกล้จะสุดแล้วเคียงฟ้าตัดสินใจพลิกตัวดำลงไปแกะใยประหลาดที่รัดข้อเท้าตนเองไว้ออก


                  แม้มองเห็นทุกอย่างไม่ชัดเจนแต่ ณ วินาทีนั้นเอง หล่อนมั่นใจว่าเห็นนัยน์ตาคู่หนึ่งเรื่อเรืองขึ้นมาจากท้องน้ำ นัยน์ตาแดงก่ำจนเหมือนเลือดอยู่ใจกลางเส้นใยประหลาดนั้น ความหวาดกลัวทวีขึ้นทุกขณะ ยิ่งกลัวยิ่งเหมือนเวลาจะหยุดลง ภาพทุกอย่างเคลื่อนไหวช้าลง ในน้ำอันมัวสลัวกลับค่อยๆ กระจ่างชัดขึ้น เส้นใยประหลาดที่รัดขาหล่อนไว้ไม่ใช่เชือก ไม่ใช่พืชใต้น้ำอย่างที่คิดแต่เป็น....


                    ‘เส้นผมมนุษย์!’
                   เส้นผมนั้นยาวผิดธรรมชาติราวกับไม่ใช่ผมมนุษย์ แต่เป็นของภูตผีหรืออสูรกายตนใด เมื่อมองย้อนไปยังเจ้าของเรือนผมหัวใจหล่อนแทบหยุดเต้น


                  “พี่กุสุมาลย์!!” พูดได้แค่นั้นน้ำก็ทะลักเข้าปากจนหล่อนไม่อาจกลั้นลมหายใจได้อีก


                  “อีกนิดเดียว...อีกนิดเดียวเท่านั้นมหิตา..หึ หึ” เสียงหัวเราะแหลมกรีดความรู้สึกสะท้อนไปทั่วคุ้งน้ำ หญิงสาวไม่คิดว่าตนเองจะรอดพ้นความตายไปได้ เพียงแต่ไม่เข้าใจว่าทำไมอาจารย์หนุ่มถึงได้ทำกับหล่อนแบบนี้


                   วิญญาณสาวงามแสยะยิ้มสมใจยิ่งนัก ด้วยคาดไม่ถึงว่าวิทยเทพจะยอมอ่อนให้ดังคำที่ให้ไว้กับนาง ‘ไม่ว่าจะทำสิ่งใดจะไม่ขัดขวาง’ และเป็นผู้พาเคียงฟ้ามาให้เอง อีกนิดเดียวเท่านั้นชีวิตของมหิตาเทวีในชาตินี้จะสิ้นสุดลง


                   ใจของกุสุมาลย์เริงโลดขึ้น ‘จบกันเสียที’ หากชาติหน้าพบนางอีกใจคงทุเลาเบาบางลง แต่ถ้าหากว่าไม่เป็นเช่นนั้นเล่าจะทำเช่นไร จะต้องฆ่านางอีกครั้งหรือ แล้วอีกกี่ครั้งถึงจะหายจากความเจ็บปวดเสียใจนี้กันเสียที หญิงงามจากอดีตกาลเกิดความสับสนลังเล คิดใคร่จะไปถามวิทยเทพ นี่ใช่หรือไม่โอกาสที่เขาเปิดให้เลือก


                   “ทำไม?...ขอร้องข้าสิ วิงวอนขอชีวิตสิ” กุสุมาลย์ตะโกนก้องคุ้มน้ำ แต่เคียงฟ้าทำได้แค่เพียงมองไม่อาจเอ่ยสิ่งใดได้ ม่านน้ำตาไหลกลบจนแสบร้อนดวงตาไปหมด ลมหายใจก็ติดขัดสติกำลังจะขาดหายจึงไม่อาจเข้าใจการกระทำของกุสุมาลย์ได้ ดวงจิตในยามนั้นมิได้ร้องขอชีวิตจากคู่อาฆาต แต่คำนึงถึงใครคนหนึ่งซึ่งอยู่ก้นบึ้งหัวใจ


                    “เจ้าภูวิษะ...ช่วยด้วย ช่วยฟ้าด้วย!”


++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++


                  ในความเลือนลางของสติที่ใกล้หลุดลอย มีแสงสว่างดวงใหญ่วาบผ่านท่ามกลางลำน้ำอันมืดมิด เมื่อเคลื่อนเข้ามาใกล้จึงแลเห็นว่าลูกแก้วสีทองสองดวงที่เรืองรองอยู่ในความมืด เป็นนัยน์ตาของพญางูขนาดใหญ่ทว่ารูปทรงศีรษะผิดแผกจากงูทั่วไป เหนือหน้าผากกว้างโหนกนูนสูงขึ้นมาราวกับทรงมงกุฏ ลำตัวเหยียดยาวห่อหุ้มด้วยเกล็ดทอประกายรุ้ง ยามขยับผงคลีกายร่วงหล่นเป็นละอองทองคละคุ้งไปกับสายน้ำ


                   เมื่อเจ้านาคราชใกล้เข้ามาเท่าใดกระแสน้ำอุ่นจัดก็พุ่งมาเป็นธารคลื่นระลอกใหญ่ ทำลายความความเย็นยะเยือกของน้ำที่รายล้อมเมื่อครู่ คล้ายกับมีพายุเคลื่อนผ่านมาใต้น้ำมาด้วยความเร็วสูง พอถึงตัวหล่อนร่างของพญามะโรงก็มลายไป เคียงฟ้าเห็นเพียงตรงหน้ามีบุรุษทรงสง่าดวงหน้างามปานสลักดึงร่างของหล่อนเข้ามากอด และก่อนมโนสติสุดท้ายจะหลุดลอย


                   หญิงสาวสัมผัสได้ว่าริมฝีปากอุ่นๆ ของใครบางคนประกบเข้าที่ริมฝีปากของตนพร้อมกับลมหายใจร้อนผ่าวเป่าผ่านเข้ามา ฉับพลันนั้นความอึดอัดจากการขาดอากาศก็มลายหายไป หญิงสาวค่อยๆ ปรือตาลืมขึ้น ภาพตรงหน้าชัดเจนขึ้นเป็นลำดับไม่พร่ามัวเหมือนที่ผ่านมา เจ้าของจุมพิตเพิ่งถอนริมฝีปากออกไป ดวงหน้าอันนั้นคุ้นเคยที่จารอยู่ในความทรงจำ ไม่ว่ายามหลับหรือยามตื่นก็ไม่เคยลบเลือนไป เป็นเขานั่นเอง...


                   “เจ้าภูวิษะ...มาแล้วเหรอคะ?...มาช้าจัง...” เคียงฟ้าพึงพำได้แค่นั้นก็หมดสติไป


                    เจ้านาคราชประคองร่างอรชรไว้ในอ้อมอก พลางหันไปสบตาหญิงงามผู้กลายเป็นวิญญาณร้าย ดวงเนตรส่องประกายสีทองวาววามบอกให้รู้โทสะในพระทัย ไม่ว่าเป็นผู้ใดหากเข้าขวางในเวลานี้คงต้องแหลกลาญเป็นแน่ อนุภาพรังสีแผ่ซ่านจากกายชายที่กกกอดร่างเคียงฟ้าไว้ กุสุมาลย์รู้เจ้านาคราชกำลังพิโรธ ไม่ว่ากาลเวลาผ่านมาเท่าใดบุรุษตรงหน้าก็มิเคยเสื่อมรักต่อนางในอ้อมพระกร เมื่อนางมีอันตรายก็รีบเสด็จมาช่วย


                   “ไป!!” สุรเสียงตวาดก้อง บังเกิดระลอกคลื่นใหญ่พุ่งแผ่ไปทั่วบริเวณ จนสายนทีบริเวณนั้นกวาดเป็นวงกว้างพุ่งขึ้นไปด้านบนพร้อมแสงอร่าม


                   “มาแล้วรึ? ภูวิษะ” ชายผู้ยืนอยู่เหนือนม่านน้ำ เพ่งมองลงมาจากศาลาริมฝั่ง ไม่มีทีท่าตกใจซ้ำยังแย้มยิ้มออกมานัยน์มาฉายเลศนัยประหลาดนัก


                   เรือนผมยาวที่พันธนาการร่างเคียงฟ้าไว้ขาดออกโดยแรง พลานุภาพแห่งฤทธานั้นผลักไสนางจากอดีตให้จมดิ่งลึกลงใต้สายนที แล้วจึงพาร่างอ้อนแอ้นในวงพาหาพุ่งขึ้นเหนือน้ำทันที


                   กุสุมาลย์มิได้โต้ตอบ หญิงงามมองทุกสิ่งที่เกิดขึ้นด้วยอาการนิ่งงัน แต่มิกล้าขัดพระทัยเจ้านาคราช นางรู้ดีหากแข็งขืนสู้ก็ไม่อาจเอาชนะได้ ในทรวงอกบังเกิดความรู้สึกเจ็บแปลบจนด้านชา ไม่ว่าผู้ใดก็มิอาจแทรกเข้าไปในพระทัยได้ แต่ไฉนนางผู้เป็นเจ้าหทัยกลับไม่รู้สึกรู้สาถึงความรักที่ทรงมีให้


เศร้ากระนั้นรึ?...มิใช่
เสียใจที่มิเคยได้รับการเหลียวแลกระนั้นรึ?...ก็มิใช่
แล้วความเจ็บปวดอันจับจิตนั้นคือสิ่งใด...คือเวทนาต่อเจ้านาคราชกระนั้นรึ?
...ไม่..มันต้องมิใช่...แต่ถ้ามิใช่แล้วมันคือสิ่งใด?



                   ‘วิทยเทพ ท่านตอบข้าที!!’


++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++


                  เจ้านาคราชผุดขึ้นเหนือน้ำพร้อมกับร่างอ้อนแอ้นที่โอบกอดไว้ เคียงฟ้าค่อยๆ สูดอากาศเข้าไปเต็มปอดแล้วจึงปรือตาลืมขึ้น ภูวิษะเจ้าแลเห็นว่าหล่อนปลอดภัยแล้วก็คลายพระทัย ดวงเนตรจึงมองขึ้นไปบนฝั่งเสาะหาตัวต้นเหตุก็มิพบเจอ ในหทัยขุ่นเคืองยิ่งนักไม่เข้าพระทัยสหายรักทำเช่นนี้เพื่อสิ่งใด


                  “วิมุตตต..ติ!!” สุรเสียงตวาดก้องไปทั่วบริเวณ แต่ไม่มีผู้ใดตอบรับ


                  “แค่กๆๆ ” เมื่อได้สดับเสียงไอจากร่างที่อิงแอบอยู่จึงค่อยระงับโทสะลง


                  “เคียงฟ้า เป็นอย่างไรบ้าง?”


                  “ไม่...ไม่เป็นไรแล้วค่ะ เมื่อกี้นี้...” หล่อนเหลียวมองไปทั่วบริเวณด้วยความงุนงง


                  “ขึ้นไปบนฝั่งก่อนเถอะ แช่น้ำอยู่อย่างนี้เดี๋ยวก็เป็นหวัดกันพอดี” เมื่อเจ้าภูวิษะตัดบทหล่อนก็พยักหน้ารับแต่โดยดี เพราะเริ่มจะครั่นเนื้อครั่นตัวแล้ว


                   ชายหนุ่มดันตัวหล่อนขึ้นบนท่าน้ำ ก่อนจะโหนร่างตามขึ้นมาแล้วฉุดให้หญิงสาวลุกขึ้นยืนตาม จากนั้นก็จึงพากันเดินไปบนฝั่ง โดยเคียงฟ้ายอมปล่อยให้เขากุมมืออยู่อย่างนั้น เมื่อก้าวพ้นท่าน้ำขึ้นมาทั้งคู่ก็ต้องชะงัก ศาลาริมน้ำหายไปมิเพียงแค่นั้นแม้แต่บ้านหลังโตโอ่อ่าหลังนั้นก็อันตธานหายไปจนหมดสิ้น เหมือนบริเวณนี้ไม่เคยบ้านเรือนตั้งอยู่มาก่อนเลยด้วยซ้ำ


                  แผ่นดินตลอดฝั่งปราศนาการสิ่งใด ตรงหน้ามีเพียงที่รกร้างและซากปรักหักพังของสิ่งปลูกสร้างรูปทรงไม่คุ้นตา เมื่อเดินเข้าไปดูใกล้ๆ จึงพบว่ากองหินมหึมาเหล่านั้นเป็นศิลาแลง บางก้อนจะมีลวดลายที่แกะสลักไว้อย่างงดงาม บอกเล่าว่ามันเคยงดงามเพียงใดก่อนจะพังภินท์ลงมา


                 “ที่นี่ที่ไหน?” หญิงสาวเหลียวซ้ายและขวาด้วยความไม่เข้าใจ ก็เมื่อครู่ก่อนหน้านี้ไม่นานนัก ที่ตรงนี้เป็นบ้านของใครบางคนที่อาจารย์ของหล่อนพามา


                 “เธอมาจากไหน?” เสียงห้าวของชายหนุ่มข้างตัวค่อยเรียกสติให้กลับมา


                 “เอ้อ...คือ อ.วิมุตติ พาฉันมาจากมหา’ลัย ค่ะ บอกว่าจะมาพบ..พบคุณนั่นแหละเจ้าภูวิษะ” ท้ายประโยคร่างเล็กมีทีท่าอึดอัดใจไม่น้อย


                 “มาพบเรา? ไม่เห็นรู้เรื่องมาก่อน”


                 “ขอโทษ..ที่มากะทันหัน”


                 “เธอไม่ต้องขอโทษหรอก...อาจารย์ของเธอต่างหาก เรื่องนี้อยู่ในการตัดสินใจของเขา” แม้ใบหน้าจะไร้รอยยิ้มแต่เคียงฟ้าก็สบายใจที่เขาไม่ได้โกรธหล่อน


                 “แล้วทำไมถึงลงไปในน้ำ”


                 “เอ้อ....อาจารย์...คือ อาจารย์เขาผลักฉันลงไป บอกว่าให้ลงไปหาคุณในน้ำ”


                 “วิมุตติ!บ้าไปแล้วหรือไง ?!!!” เจ้าภูวิษะสบถเสียงดังจนหล่อนตกใจ


                 “บางทีอาจจะเป็นอุบัติเหตุก็ได้...มันเกิดขึ้นเร็วมากฉันไม่แน่ใจ แล้วอาจารย์ก็ไม่มีเหตุผลจะทำอย่างนั้นด้วย”


                 “หาใช่อุบัติเหตุ การณ์นี้เกิดขึ้นด้วยความจงใจ” ชายหนุ่มที่เคยเป็นคู่อริดูเดือดเนื้อร้อนใจแทนหล่อน แม้อยู่ในสถานที่ไม่คุ้นเคยแต่ก็ทำให้อุ่นใจขึ้น


                 “ฉันก็ไม่รู้ แต่..ขอบคุณที่ช่วยฉันไว้ค่ะ” หล่อนยิ้มอ่อนหวานให้เขา เจ้าภูวิษะสบตาหล่อนเพียงครู่เดียวแล้วหันหนีไป หล่อนไม่รู้ว่าเขาเก้อเขินหรือไม่อยากคุยกับหล่อนกันแน่ แต่ไม่นานนักก็มีเพียงตอบกลับมาเบาๆ


                 “ไม่เป็นไร” หญิงสาวได้ยินแบบนี้จึงค่อยคลี่ยิ้มออกมาได้


                 “เธอมาหาฉันมีเรื่องอะไร?”


                 “เอ้อ...คือ” เคียงฟ้าไม่อาจเอ่ยขึ้นได้ในทันที “ฉันมีเรื่องบางอย่าง...ที่อาจารย์บอกว่าต้องถามคุณเอง แต่ตอนนี้...ฉันไม่รู้ว่าเราอยู่ที่ไหน หรือว่าน้ำพัดเราไปไกล ฉันอยากกลับบ้านค่ะ อย่างน้อยๆ ก็หาที่ที่ฉันคุ้นตากว่านี้หน่อยแล้วค่อยคุยกันดีกว่าค่ะ”


                 “แล้วที่นี่ไม่คุ้นตารึ?” ดวงตาเขานิ่งสนิทยามที่ถามหล่อน หากเป็นปกติหล่อนคงคิดว่าเขาหาเรื่อง แต่เวลานี้อคติในใจไม่ทำงาน


                 “ไม่ค่ะ..ไม่เคยสักนิด” หล่อนมองไปรอบตัวแล้วเกิดอาการหนาวสะท้าน ที่นี่ดูหงอยเหงาเศร้าสร้อยอย่างไรชอบกล


                 “นั่นสินะ...ที่เธอเคยเห็นมันงดงามกว่านี้”


                 “คะ?” หล่อนทวนคำ แต่เจ้าภูวิษะไม่ตอบ เขายื่นมือมาให้


                “มาสิเคียงฟ้า ยินดีต้อนรับสู่จุมภะปุระ!”



+++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++




Create Date : 30 พฤษภาคม 2556
Last Update : 30 พฤษภาคม 2556 10:47:00 น. 1 comments
Counter : 1944 Pageviews.

 
กำลังสนุกเลย รออ่านตอนต่อไปนะคะ ขอบคุณค่ะ


โดย: หวาน IP: 118.174.93.36 วันที่: 31 พฤษภาคม 2556 เวลา:10:49:43 น.  

ชื่อ :
Comment :
  *ใช้ code html ตกแต่งข้อความได้เฉพาะสมาชิก
 

แก้วกังไส
Location :
กรุงเทพ Thailand

[ดู Profile ทั้งหมด]

ฝากข้อความหลังไมค์
Rss Feed
Smember
ผู้ติดตามบล็อก : 54 คน [?]







ผลงานเขียนที่ผ่านมาค่ะ

รักนี้(แค้น)ต้องชำระ


Amethyst Sonata
เพลงรัก..ลิขิตหัวใจ



บาปปาริชาต

Friends' blogs
[Add แก้วกังไส's blog to your web]
Links
 

 Pantip.com | PantipMarket.com | Pantown.com | © 2004 BlogGang.com allrights reserved.